Sixth day
ผมตัดสินใจออกจากงานและมาทำตามสิ่งที่ใจบ้าๆเรียกร้อง
Part1:
สวัสดีทุกท่าน นี้ก็ 6 วันแล้วสำหรับการผจญภัยในเชียงใหม่ แผนการของผมคือตะลุยเมืองเชียงใหม่ให้หมดวัน จริงๆผมไม่ได้มีแพลนอะไรที่ตายตัว สถานที่ไหนอยู่ใกล้กันก็ไปมันกันที่นั้นแหล่ะ!!!
ข้าวซอยคืออาหารหลักของผมไปแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนถ้าผมเห็นร้านข้าวซอยผมจะวิ่งเข้าใส่ทันที Hahaha ร้านนี้อยู่ใกล้กับ hostel ที่ผมพักอยู่ แม่ค้าน่ารักดีเพราะตอนที่ผมกำลังกิน แกก็เล่าให้ฟังว่า ข้าวซอยจริงๆแล้วมีต้นตำหรับจาก "คนจีนมุสลิมที่อพยพมาจากยูนนาน" น้ำแกงนั้นในช่วงแรกเป็น "ข้าวซอยน้ำใส" ไม่มีกระทิ ต่อมาในภายหลังมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสูตรให้ถูกปาก จึงมีการเติมกระทิเข้าไปจนกลายเป็นข้าวซอยที่เรากินกันทุกวันนี้ ส่วนคำว่า "ข้าวซอย" มาจากการที่พ่อครัวนำแป้งมาซอยให้เป็นเส้นๆ แล้วก็เรียกกันมาถึงปัจจุบัน ผมประทับใจกับป้าเจ้าของร้านมากครับ มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นที่เหมือนได้รับจากญาติผู้ใหญ่ มื้อนี้อิ่มกายสบายใจ
สวนสัตว์เชียงใหม่ คือจุดหมายแรก ที่แห่งนี้มีความทรงจำที่สวยงามของผมอยู่ ถ้าจำไม่ผิดผมเคยมาดู "หลินปิง ตอนทที่มันเกิดใหม่ๆ" กับครอบครัวตอนอายุ 14 ปี อยากรู้เหมือนกันว่าเวลาที่ผ่านไปแล้วอะไรจะเปลี่ยนไปบ้าง
ทางเข้ายังเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือมุมถ่ายรูปและผู้คนที่เปลี่ยนไป
Zone Africa ทำให้หัวใจผมเต้นแรง การทรงจำและกลิ่นอายที่ผมเคยสัมผัสตอนเป็นอาสาสมัคมันกลับมาอีกครั้ง ผมนั่งทบทวนสิ่งที่ผมเคยทำและดูพวกสัตว์ที่กำลังกินหญ้าอย่างสบายเพลิดเพลิน จริงๆมันมียีราฟด้วยแต่ผมนั่งชิวนานไป มันเลยกลับบ้านไปนอน Hahaha
ที่ชมหมีแพนด้าที่ผมรู้จักไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสถานที่แห่งความรื่นเริงที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกัน การ renovate (ปรับปรุง) ใหม่ เป็นสิ่งที่ดูแล้วสวยงาม มีร้านอาหารมีสิ่งน่ารักๆและมุมถ่ายรูปเก๋ๆที่สามารถพาครอบครัวไปพักผ่อนได้ ผมสะดุดตากับรูปปั้นหมีแพนด้าบนหลังคา พอมองดูมันดีๆแล้วเหมือนมันกำลังกวักมือเรียกผู้คนที่ผ่านไปมา มันให้ความรู้สึกน่ารักยังไงก็ไม่รู้ ถึงแม้มันจะเก่าและโทรมไปบ้าง แต่สำหรับผมแล้วมันดูมีค่าและทรงพลัง ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็เยอะกว่าหลินปิงจะโตก็ต้องใช้เวลา มันคงจะดูสดใหม่ตลอดไปก็ไม่ได้เพราะฉนั้นการมองมันให้มีค่าเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกดี
"ขออภัยสำหรับภาพประกอบที่ใช้เครื่องคิดเลขถ่ายครับ" ผมเดินผ่านไปหลาย Zone จนมาถึงตรงนี้ "กาลิ"
คือชื่อของเจ้าแรดที่ทุกท่านเห็น "เจ้านี้เป็นของขวัญจากทางอินเดียที่มอบให้กับ ในหลวง ร.9" และท่านก็ได้ส่งต่อให้กับสวนสัตว์ใว้ดูแล กาลิ เป็นแรดอินเดียนอเดียวที่มีขนาดใหญ่ ผมมองมันใกล้ๆแล้วรู้สึกถึงพลังที่บอกไม่ถูก หรือเพราะมันเป็นฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกก็เป็นได้ ผมนั่งดูมันอยู่นานเลยทีเดียว
ผมลืมบอกไปว่าวันนี้ผมใส่ชุด "แสงอุษา จาก การ์ตูนเรื่องนินจาจอมคาถา นารูโตะ" มาด้วย นั่งไปสักพัก มีเด็กอายุประมาณ 12-13 ผ่านมาสองคน จู่ๆพวกเขาก็ตะโกนว่า "ซาสึเกะ" (ตัวละครในเรื่อง) และก็วิ่งย่อตัวเอามือไปข้างหลังแบบนินจา จากผมไปอย่างงงๆ ผมหัวเราะขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ Hahaha ในใจก็คิดว่า บางทีการทำอะไรที่มันดูเหมือนจะบ้าแต่ถ้ามีคนเห็นค่ามันก็สวยงามเสมอ
สวนสัตว์เชียงใหม่กับความอบอุ่นใจที่ได้รับ สิ่งสวยงามและสดใส ผมจะเก็บมันใว้ในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยมาบ้าที่นี้ จริงๆแล้วมีรูปและเรื่องราวอีกมากมายที่ผมอยากจะถ่ายทอดให้กับทุกท่าน แต่ถ้าผมบรรยายจนหมดแล้วจะเหลืออะไรให้ทุกท่านไปค้นหาใช่ไหมละครับ เพราะฉนั้นท่านใดที่ไปเชียงใหม่ก็อย่าลืมแวะไป เชียงใหม่ Zoo นะครับ น้องๆรอทุกท่านอยู่
Part2:
"วัดอุโมงค์" เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต ที่ถ้าท่านใดมาเชียงใหม่แล้วต้องการจะชมความสวยงามในเมืองบอกเลยว่าที่นี้ไม่ควรพลาด!!! อยู่ไม่ไกลจาก เชียงใหม่ Zoo เลย ขับรถทะลุ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ แล้วออกทางประตูหลัง จากนั้นขับต่อไปอีกหน่อยถึงเลย วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัย พญามังราย ประมาณปี พ.ศ. 1893
"ผมต้องขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายป้ายชื่อของวัด" ในมุมมองของผม วัดแห่งนี้มีศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สวยงาม
เจดีย์ 700 ปีที่เมื่อมองใกล้ๆแล้วใหญ่เอาเรื่องเลยทีเดียว เจย์ดีนี้อยู่ด้านบนของอุโมงค์ ศิลปะล้านนามีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถ้าทุกท่านสังเกตุที่เกร็ดของพญานาคดีๆจะเห็นว่ามันมีลวดลายที่ unique ไม่เหมือนที่อื่น
อุโมงค์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่ปฎิบัติธรรมของพระสงฆ์ นาม "มหาเถระจันทร์" ภายในมีทางเดินที่ทะลุถึงกันและยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปหลายองค์ นักท่องเที่ยวนิยมมาขอพรถ่ายรูปกันเพื่อเป็นที่ระลึกและสิริมงคล อากาศในนี้ค่อนข้างเย็น มีแสงไฟสว่างไสวตลอดทางเดิน ท่านสามารถเห็นค้างคาวแบบใกล้ชิดได้เพียงแค่เงยหน้ามองเพดาน ตัวอุโมงค์ถูกบูรณะแล้ว
ที่วัดยังมีสวนพุทธธรรมและมุมถ่ายรูปสวยๆ คติธรรมที่ติดตามต้นไม้เป็นเครื่องมืออย่างดีสำหรับเรียกสติเรากลับมา ที่นี้ร่มรื่นเหมาะกับการพักผ่อนหย่อนใจ ถ้าหน้าฝนจะมีมอสเขียวๆขึ้นด้วย ให้ความรู้สึกแบบโบราณสถานที่มีชีวิตชีวา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เปรียบเสมือนพื้นที่ปลอดภัยของผู้คน เราสามารถมาได้ทุกเวลา (เว้นแต่มันปิด)
ในสมัยเด็กๆผมไม่ค่อยชอบจะมาเที่ยวแบบนี้สักเท่าไหร่เพราะคิดว่ามันไม่เห็นจะมีอะไรเลยนอกจากซากปรักหักพัง แต่เมื่อโตขึ้นและได้รับมุมมองที่กวางกว่าเดิม ผมกลับได้เรียนรู้เรื่องราวของประวัติศาสตร์วิถีชีวิตหรือแม้แต่ศิลปะผ่านทางสิ่งนี้ คนสมัยก่อนนี้น่าทิ่งเพราะขนาดเวลาผ่านมาเป็นร้อยเป็นพันปี พวกเขายังฝากสิ่งดีๆมาให้คนปัจจุบันได้ชื่นชม นี้คงจะเป็นความหมายของคำว่า Amazaing แน่เลย
Part:3
ใกล้ๆ วัดอุโมงค์ ยังมี "โครงการบ้านข้างวัด" ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของสาย hippy
โครงการบ้านข้างวัด เป็นแหล่งรวมของ hand made (ทำมือ) และ crafting (งานฝีมือ) มากมาย ให้ feel แบบ hippy แต่ "จะหยุดทุกวันจันทร์" เปิด 10 โมงเช้า ปิด 6 โมงเย็น
บรรยากาศแบบอยู่ท่ามกลาง Peace and love มีงานศิลปะและดนตรีให้เลือกชมเลือกเสพมากมาย อาคารและบ้านเรือนต่างๆถูกออกแบบให้มีสไตล์เก่าๆ อาร์ทๆ ให้อารมณ์แบบมานั่งทำกิจกรรมบ้านเพื่อน มีงานฝีมือให้กับท่านที่สนใจได้ฝึกทำด้วย มีอาหารและเครื่องดื่มขายตลอดไม่ต้องกลัวว่าท้องจะหิว ราคาก็ไม่แพง ต้องขออภัยที่ถ่ายรูปมาไม่เยอะครับเพราะมัวแต่เพลินไปหน่อย ท่านใดที่ชื่นชอบความเป็นศิลปะและงานฝีมือบอกเลยว่าห้ามพลาด
ในความสนุกสนานก็แฝงไปด้วยความเหงาเล็กน้อยเพราะผมมาคนเดียว เดินจนเหนื่อยก็นั่งพักฟังเพลงและมองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ผมเคยสงสัยว่าทำไมศิลปะและดนตรีสามารถทำให้คนหยุดนิ่งได้ เราอาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ได้แต่ต้องมาหยุดฟังเพลงหรือชมงานศิลปะเหมือนกัน พอมองแล้วก็สวยงามดี ผมมองว่ามันคือสิ่งที่เป็นตัวเชื่อมให้คนเราได้รู้จักกันง่ายขึ้น ผ่านทางการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ไม่มีถูกหรือผิดมีแค่เราคิดยังไงกับสิ่งที่เราได้ยินและได้เห็น ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าสิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนในการสื่อใจของมนุษย์นั้นเอง ผมใช้เวลาอยู่นานเลยทีเดียวสำหรับการเสพบรรยากาศ พอถึง 16.00 น. ผมก็กลับ
Part4:
ตอนนี้ 16.40 น. ผมอาบน้ำและเตรียมออกลุยต่อช่วงเย็นแต่ยังไม่มีแผนว่าจะไปไหน พี่เจ้าของที่พักแนะนำว่าวันนี้มีตลาดวัวลายลองไปเดินเล่นดู
มือเย็นของผมคือนี้ครับ ขนมจีนน้ำเงี้ยวและใส้อั๋ว มือนี้ค่าเสียหาย คือ 60 บาท ขนมจีน(พิเศษ) 40 บาทใส้อั๋ว 20 บาท อิ่มเกือบตาย จริงๆร้านนี้มีข้าวซอยขายด้วยแต่ผมรู้สึกเบื่อแล้วเลยเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นบ้าง
เวลาจะเดินตลาดนัดหรือถนนคนเดินที่มีของกินมากมาย ผมจะหาอะไรกินให้อิ่มก่อน เพื่อตัดความอยากอาหาร และจะซื้อกินเฉพาะอาหารหรือขนมที่อยากกินจริงๆเท่านั้น เป็นการ save budget ไปในตัว HAHAHA
"ถนนคนเดินวัวลายจะมีทุกวันเสาร์" ผมรู้สึกตื่นตากับซุ้มนี้มากครับเพราะเป็นร้านขายเนื้อจระเข้ ผมเคยลองอยู่ครั้งหนึ่งตอน อยู่ "ประเทศ Kenya" เหมือนกำลังกินเนื้อไก่ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและรสชาติที่แปลก ส่วนตัวชอบเลยครับ แต่รอบนี้ผมไม่ได้ซื้อ
ถ้าเราเดินตามทางมาเรื่อยๆจะพบกับ "วัดศรีสุพรรณ" ความพิเศษของวัดแห่งนี้คืออุโบสถที่ถูกสร้างด้วยเงินและดีบุกทั้งหลัง ด้วยสไตล์ศิลปะแบบล้านนา บวกกับความงามที่เป็นเอกลักษ์ ผมตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นเลย อุโบสถหลังนี้มีข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไปข้างใน แต่สามารถเดินชมบริเวณรอบๆได้ คุณผู้หญิงก็ไม่ต้องเสียใจนะครับเพราะรอบๆก็มีรูปปั้นและสิ่งสวยงามมากมายให้ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกไม่แพ้กัน ทุกๆวันเสาร์ที่ตรงกับถนนคนเดินวัวลาย ทางวัดจะมีการทำพิธีมงคลด้วยใครที่เป็นสายมูสามารถไปขอพรเพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิตได้ครับ
ผมเดินเล่นอยู่นานเลยทีเดียว เวลาตอนนี้ก็ 21.00 น. เริ่มเมื่อยขาแล้วจึงตัดสินใจเดินกลับ จากที่ผมเกลิ่นไปเมื่อตอนที่แล้ว Lelight hostel มี roof top ให้ได้นั่งเล่นและชมบรรยากาศเมืองเชียงใหม่ได้อย่างดี
ผมพบกับเพื่อนใหม่ที่นี้ Jack (เป็นชาวจีน) Muarisa (เป็นคนออสเตเรีย) พวกเราพูดคุยกันสนุกสนานและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันอย่างเมามัน ผมได้แบ่งปันเรื่องราวของชีวิตอาสาสมัค 1 ปี 7 เดือน ที่ประเทศ Tanzania แอฟริกาให้กับพวกเขาได้ฟัง มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมากถึงแม้ว่าจะเหนื่อย ยากลำบาก ท้อแท้ อยากกลับบ้าน แต่ทุกอย่างที่รวมกัน มันกลับลงตัวและสวยงาม Muarisa พูดว่าเยี่ยมมากเลยฉันก็อยากทำอะไรแบบนี้บ้าง อยู่ดีๆเธอก็ถามผมว่า "พรุ่งนี้คุณมีแผนไปไหนหรือยังถ้ายังพวกเราอยากชวนคุณไปที่งานดนตรี Shambal in your heart" งานนี้เป็นแบบ hippy peace and love เราคิดว่าคุณน่าจะชอบ
จริงๆแล้วผมมีแผนแล้วว่าจะไป ห้วยน้ำดัง เพื่อจะไปแช่น้ำพุร้อนสักหน่อย ในใจก็ลังเลว่าจะไปดีไหมจนสุดท้ายเพื่อนๆก็บิ้วว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ไหนๆคุณก็มาเที่ยวแล้วลองไปดูก็ไม่เสียหายนิ ผมจึงก็ตัดสินใจจนได้ว่าจะไป เส้นทางต่อไปที่ผมจะเดินคืองานดนตรี Hippy ที่ผมก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่ามันเป็นยังไงแต่ผมเชื่อว่ามันต้องมันแน่นอน วันนี้สนุกมากและได้พบกับมิตรภาพที่สวยงาม ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ผมมาจนถึงตรงนี้ หลับอย่างมีความสุขและตื่นอย่างมีความหวัง ฝันดีครับ
Mr.Electric
วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2566 เวลา 23.29 น.