Eighth day
ผมตัดสินใจออกจากงานและมาทำตามสิ่งที่ใจบ้าๆเรียกร้อง
Part1:
หลังจากที่ผมได้ใช้ช่วงเวลา 2 วัน 1 คืนที่เทศกาลดนตรี "Shumbala in your heart" แบบเต็มที่เต็มหน่วย ก็ถึงเวลาต้องล่ำลาเพื่อนๆกันแล้ว ณ ตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกแต่รู้สึกว่างๆเหงาๆยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันล่ำลา ต่างคนต่างมีหน้าที่และภารกิจของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบเพราะฉนั้นผมต้องเดินทางต่อ จุดหมายถัดไปคือ "สันป่าเกี๊ยะ" พูดตามตรงวันนี้ผมไม่มีแผนอะไรเลยแค่อยากหาที่พักชิวๆเสพบรรยากาศเพลินๆก็แค่นั้น search google ได้ว่าที่ไหนใกล้ฉัน ก็ออกลุยเลยครับ
ผมออกจาก shumbala ประมาณเที่ยงกว่าๆได้ ตอนนั้นหิวมากไม่รู้จะกินไรแต่ก็ไม่อยากกินข้าวซอยแล้วเพราะพักหลังนี้ผมกินแต่ข้าวซอยถ้านับรวมกันได้มีเป็น 10 แน่ ขี่รถมาเรื่อยๆก็พบกับร้านข้างทางที่คนโคตรเยอะผมไม่รอช้าจอดรถทันที วันนี้ผมสั่งเป็นกระเพราเนื้อไข่ดาวพิเศษซึ่งรสชาติบอกเลยว่าจัดจ้านเลยทีเดียว ถ้ามีโอกาสผ่านมาผมต้องซัดมันอีกแน่ ร้านนี้อยู่ติดกับถนนหลักเส้นที่จะวิ่งเข้าไป "บ้านยางปูโต๊ะ" ค่าเสียหายสำหรับจานนี้ 60 บาท อิ่มอร่อยยันชาติหน้าครับ
ผมตาม GPS ไปเรื่อยๆจนพบกับด่านเก็บค่าผ่านทางแรกซึ่งตรงจุดนี้พี่เจ้าหน้า (พี่จ่อย) บอกว่าค่าเสียหายทั้งหมด 60 บาท แต่ด้วยความหน้ามึนที่มีเงินสดติดตัวแค่ 50 ผมจึงพูดคุยและขอความเมตตาจากพี่เขาจนสุดท้ายพี่เขาคิดผมแค่ 20 บาท (ประเทศไทยไม่สิ้นคนดี) พี่จ่อยถามว่าจะไปไหนบอกจะไปกางเต้นท์ฟรีครับพี่ "แกตอบกลับผมแบบทันควันว่าไม่มีน้องแถวนี้เสียเงินหมด!!!!! ผมก็ดื้อดึงไม่ยอม เล้าหรือพี่แกและก็ถามวกไปวนมาว่าแถวไหนบ้างครับที่ฟรีๆ จนสุดท้ายพี่แกใจอ่อนบอกให้ผมไปพักที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ตะมาน" (ประเทศไทยไม่สิ้นคนดีจริงๆ)
ที่นี้ไม่มีใครนอกจากป้าแม่บ้านกับเจ้าหน้าที่สองคนที่กำลังจะกลับบ้าน พวกเขาใจดีมากให้ผมใช้ของส่วนกลางด้วย ครัว,ห้อง,น้ำปลั๊คไฟ และไฟฟ้า เวลาตอนนั้นคือ 16.20 น. มันรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเพราะผมมาคนเดียวบวกกับระหว่างทางที่ขี่มาก็โคตรน่ากลัว ถ้าสติไม่ดีมีไปคุยกับรากมะม่วงแน่นอน ตอนแรกในใจจะเลี้ยวกลับแล้วเพราะสองข้างทางที่ผ่านมาไม่พบผู้คนแม้แต่คนเดียวนอกจากดินทรายและต้นไม้ที่กำลังพลัดใบ ให้ความรู้สึกเสียวสันหลังยังไงก็ไม่รู้ ระยะทางจากตีนดอยไปถึงลานกางเต้นท์แม่ตะมานผมให้เป็น No1. เรื่องความชันและอันตรายสำหรับทริปนี้เลยครับ อย่างบ้า!!!!!!
ผมไม่รอช้าเข้าจับจองพื้นที่กางเต้นท์ทันที แต่ในรอบนี้ไม่ต้องแย่งกับใครเพราะที่นี้มีผมคนเดียว ความรู้สึกเหงาเข้ามาอีกครั้งมันเป็นอะไรที่โดดเดี่ยวสุดๆแต่อย่างน้อย ภูเขาที่ชื่อว่าหลวงเชียงดาวก็ไม่ทิ้งผมไปไหนมันแสดงตัวให้ผมเห็นอย่างไม่อาย ทำให้ผมคลายความเหงาในใจได้มากเลยทีเดียว หลังจากกางเต้นท์เสร็จความหิวก็เข้าโจมตี ผมรีบวิ่งไปหาป้าแม่บ้านและถามแกว่า แถวนี้มีอะไรกินไหมครับผมหิวจนกินภูเขาทั้งลูกได้เลย!!!!! (อย่างบ้า) ป้าบอกว่าตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วถ้าจะกินต้องขับไปต่ออีก 3 กิโลเมตร จะมีหมู่บ้านของชาวเขาอยู่ โอเคครับป้าจัดไป ธรรมชาติที่สวยงามกับบรรยากาศที่โคตรสดชื่น มันเหมาะกับการมาพักผ่อนและเสพธรรมชาติแบบเต็มปอดแต่เราไม่สามารถมองเห็นภูเขาหลวงเชียงดาวแบบเต็มใบได้
ผมก็นั่งคิดอยู่แปปหนึ่งตังค์ก็มีแค่ 30 จะไปสั่งอะไรกินได้ทันใดนั้นก็นึกได้ว่ามีข้าวเหนียวเหลือ 1 ถุงจากเมื่อวาน ผมไปซื้อไข่มา 4 ใบในราคา 20 และนำกลับมาทอดกินกับข้าวเหนียวอย่างเพลิดเพลิน กินไปคิดไปดูวิวพระอาทิตย์ตกไป มันเป็นอะไรที่สวยงามมากแต่ก็แอบแฝงความเหงาเหมือนกัน ผมนั่งอยู่จนพนะอาทิตย์ลับฟ้า ผมกลับมาที่เต็นท์เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับที่นอนในคืนนี้ ความโดดเดี่ยวและความมืดจู่โจมผมอย่างกระทันหัน "มันรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที แต่พอคิดอีกทีมันก็มีค่าเหมือนกันนะเนี่ยความรู้สึกนี้"
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาว่าจะคุยกับเพื่อนให้หายเหงาสักหน่อย โทรเสร็จก็ปาไปสามทุ่ม อยู่ดีๆก็ปวดฉี่จึกออกจากเต้นท์ ผมมองอะไรไม่เห็นเลยเพราะมันมืดมาก การแหงนมองไปบนฟ้าทำให้ผมได้เห็น ว่าท่องฟ้าในคืนนี้มันเหมือนถูกแต้มด้วยผู่กันของศิลปินที่ดีดสีขาวลงบนแผ่นผ้าใบสีดำ ใช่ครับท้องฟ้าคืนนี้สวยมากเพราะมันเต็มด้วยดาวดับล้าน ผมหยิบกล้องทันทีแต่ถ่ายไม่ได้เพราะเทคโนโลยีไปไม่ถึง ผมจึงได้แค่นอนดูเฉยๆ ผมคิดในใจว่าพระเจ้าอาจจะอยากให้แค่ดูและจดจำไว้เป็นสิ่งดีๆในชีวิตก็ได้ ผมรู้แล้วว่าทำไมถึงเชียงดาวเพราะดาวมันเยอะแบบนี้นี้เอง
ความเหงาและความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษนั้นสั่นไหวได้อย่างดี เมื่อคืนตอนที่นอนดูดาว อยู่ดีๆความกลัวก็เข้ามาแบบกระทันหัน ผมรู้สึกระแวงและคิดไม่ตกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในความมืดบ้าง จริงๆผมไม่ได้กลัวสิ่งต่างมิติหรืออะไรแต่แค่รู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อมองไม่เห็น "ผมคิดว่าคนเรากลัวความมืดเพราะมันมองไม่เห็นเราเลยจินตนาการไปต่างๆนาๆว่าจะเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้มีอะไรแบบที่เราจินตนาการ" ผมได้คิดทบทวนว่า การที่มนุษย์อยู่คนเดียวแล้วต้องเพชิญหน้ากับความรู้สึกนี้เพียงลำพังมันเป็นอะไรที่ไม่ดีเลย ส่วนตัวผมมองว่าในใจลึกๆเรากลัวการอยู่คนเดียว ผ่านทางเรื่องนี้ผมได้มีโอกาสมองเห็นถึงคุณค่าของผู้คนที่อยู่รอบข้างว่าเมื่อเรารู้สึกแย่โดดเดี่ยวและในตอนสุดท้ายมีใครสักคนอยู่ข้างๆมันทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและสบายใจได้
เช้านี้เป็นเช้าที่สดชื่น แต่ความหิวนี้สิไม่เป็นมิตรเอาสะเลย ผมตื่น 7.00 น. ของเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 ผมรีบไปที่ห้องครัว การค้นหาสิ่งที่เรียกว่าอาหารอย่างเอาเป็นเอาตายบังเกิดขึ้น ผมหาไปเรื่อยๆจนในที่สุดผมก็พบกับข้าวหม้อถนัดที่ป้าแม่บ้านลืมไว้ "ประโยคที่ป้าบอกว่าเอาเต็มที่ตามสบายเลยหนูยังวนเวียนอยู่ในหัว" ไม่รอช้าผมคว้ากระทะตะหลิวทันที ข้าวที่อยู่ในหม้อและไข่ที่เหลืออยู่ 2 ใบผมเอามาผัดกันแบบมืออาชืพ ซอส,น้ำตาล,ซีอิ๋ว ผมจัดเต็มแบบไม่เกรงใจป้า (อย่างบ้า!!!) แล้วมันก็ออกมาเป็นข้าวผัดไข่หอมๆนั้นเอง มือนี้ 20 บาท อร่อยสบายกาย สบายกระเป๋า
เมื่อคืนตอนที่โทรหาเพื่อน "สอง" แนะนำว่าทั้งทริปนี้มึงยังไม่เคยไปพัก home stay เลยใช่ไหมลองไปเลยนะเรียนรู้วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นมึงน่าจะได้เจออะไรดีๆ เมื่อผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนผมก็ไม่ลังเลที่จะออกลุย แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหนแต่จุดหมายถัดไปคือ Home stay ชิวๆดีๆสักที่ ช่วงเวลาที่ผ่านมา 8 วันมีทั้งสนุก เหงา โดดเดี่ยวและก็เหนื่อย แต่มันกลายเป็นเรื่องที่ดีๆและความทรงจำที่มีค่า ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม หลังจากนี้ต้องมันกว่านี้แน่นอน (ขอออภัยที่ภายถ่ายของผมไม่ค่อยสวยครับ)
Mr.Electric
วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลา 19.43 น.