วัดเขาใหญ่เป็นวัดใกล้บ้านเราเอง จริงๆแล้วเราขับรถผ่านหน้าวัดออกจะบ่อย มองผ่านๆ ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร หารีวิวก็ไม่ค่อยจะมี แต่สามีผู้ซึ่งเป็นคนพื้นที่บอกว่าวัดนี้มีทางเดินเขาไปไหว้พระธาตุนะ ลูกสาวผู้ซึ่งมีแพชชั่นอยากจะขึ้นเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ร้องอยากไปๆ ให้ได้ ก็เลยตัดสินใจ อะไปก็ไป ลองไปกันดู GO GO!
เมื่อเลี้ยวรถผ่านประตูทางเข้าวัด สิ่งแรกที่เห็นโดดเด่นเป็นสง่าสะดุดตาเลยก็คือ รูปปั้นของพระสีวลีองค์ใหญ่สีทอง พระอรหันต์ผู้มีลาภมาก ส่วนด้านข้างเป็นรูปปั้นของปู่พญามุจลินทร์นาคราชองค์สีเขียว 5 เศียร
ขับรถเลี้ยวไปทางด้านซ้ายขององค์พระสีวลี ก็จะเจอกับซุ้มประตูชัย ลานบุญ ลานธรรม แห่งเมืองลับแล สามารถขับรถขึ้นไปจอดยังลานจอดรถด้านบนได้
ขับรถขึ้นมาไม่ไกลมาก ก็ถึงลานจอดรถแล้ว ที่จอดรถไม่กว้างนัก แต่วัดนี้คนยังไม่ค่อยรู้จัก คนไปเที่ยวน้อยจึงมีที่ให้เราจอดรถได้อยู่ แต่ถ้าหากคนเยอะแนะนำให้จอดรถข้างล่างจะดีกว่า เพราะจอดด้านบน จะกลับรถค่อนข้างยาก และถนนแคบ รถสวนกันไม่ได้
มองกลับไปยังถนน ที่เราขับขึ้นมา
จอดรถเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินสำรวจกันเลย จุดแรกที่อยู่บริเวณลานจอดรถ ทางด้านขวามือ คือ พลับพลาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และท้าวศรีสรรเพ็ชรเทวราช เทวดาผู้ดูแลลานบุญลานธรรม
เดินขึ้นบันไดทางด้านซ้ายมือไปไหว้พระกันค่ะ
หลวงปู่เทพโลกอุดร "บรมครูผู้ทรงคุณออกเดินเที่ยวโปรดสัตวโลกท่ามกลางดงกิเลส" พระอริยะผู้อยู่เหนือกาลเวลา ไปมาว่องไวไร้ร่องรอย
ด้านข้างจะเป็นศาลปู่ขาว พูลทรัพย์ และ แม่ย่าสำเภาแก้ว
เดินจากจุดนี้ไปก็จะเป็นที่ประดิษฐาน "หลวงพ่อทองคำ" หรือ "พระพุทธสุวรรณมหามงคลบรรพต"
จุดถัดมาคือพระธาตุเจย์ดีน้อย เมืองลับแล
ด้านข้างเป็นทางขึ้นไปนมัสการพระศรีรัตนเจดีย์ธาตุ
ขึ้นไปไหว้พระธาตุกันค่ะ
มองจากด้านบนพระธาตุ จะเห็นวิวทุ่งนา ทิวเขาสีเขียว สดชื่นมากเลย
ลูกสาวมีกล้องส่วนตัว ซ้อมถ่ายรูป ท่าได้มาก แต่แม่ถ่ายไม่ทัน
ลงมาจากพระธาตุ ก็เดินไปต่อค่ะ 3 คนพ่อแม่ลูกก็เดินสำรวจเส้นทางกันไปเรื่อยๆ ไม่คิดเหมือนกันว่าด้านในวัด จะร่มรื่นและมีสถาปัตยกรรม น่าสนใจขนาดนี้ เด็กน้อยชอบมากเลย อาจะเป็นเพราะวันที่ไปครึ้มฟ้าครึ้มฝน ไม่มีแดด แต่ฝนก็ไม่ตก เลยไม่ร้อน และลมพัดเย็นสบาย
เราเดินตรงไปนะคะ ไม่ได้เดินเลี้ยวตรงป้ายที่เป็นทางลง ก็จะเจอกับศาลาสำหรับนั่งวิปัสนา ชื่อศาลาภูแก้ว
ถัดจากศาลาไป ก็จะเป็นถ้ำฤาษีดาบส
ตรงนี้ไม่มีทางให้เดินต่อแล้วค่ะ เลยหันหลังเดินย้อนกลับไปตรงป้ายทางลง
แวะไหว้ศาลพระพิฆเนศกันก่อนค่ะ
ใกล้ๆกันจะเป็นพญาช้างสามเศียรท้าวศรีเศวกกุญชร ขอพรให้สุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ พูนสุข ลาภผลพูนทวี
ไหว้เสร็จแล้วก็ไปต่อ มีป้ายเขียนไว้ว่าทางเดินไป พระธาตุจุฬามณี
เดินไป ก็คุยกันไปว่า เราต้องเดินไปถึงไหนกันนะ ไกลมั๊ยนะ มีลิงมั๊ยนะ ทางน่ากลัวมั๊ยนะ แต่ก็ไม่ได้จะล้มเลิกความตั้งใจกันเลย ลูกสาวก็พร้อมลุยมากเช่นกัน เหมือนไม่เหนื่อยเลย
อากาศไม่ร้อน ทางเดินไม่ชันมาก ก็ยังพอสู้ไหวอยู่ค่ะ
ทางเดินเป็นทางปูน ราบเรียบ และสะอาดมากเลยค่ะ เดินฟังเสียงนกร้อง สลับกับเสียงจั๊กจั่น ก็เพลินดีอยู่นะ
สองข้างทางก็จะมีต้นไม้ ดอกไม้ พืชสมุนไพร แปลกตาให้ได้เห็น ลูกสาวก็แวะถ่ายรูปไปตลอดทาง
เดินไม่ไกลมาก ก็มาถึง ผาเงาฤาษี อาศรมปู่เสือ
เจอต้นงิ้วอยู่กลางทางเลยค่ะ
ถัดมาก็เจอกับต้นเสาเรียงราย เหมือนเป็นประตูทางเข้าพุทธอุทยาน ลานนางฟ้า
มีวิหารของพระสยามเทวาธิราช ประดิษฐานอยู่บริเวณนี้ด้วย
พระธาตุเจดีย์หินภูแก้ว สีขาวโดดเด่น ท่ามกลางป่าสีเขียว
ด้านหลังพระธาตุเป็นศาลปู่บุญ ผู้ดูแลปกป้องเขาใหญ่แห่งนี้
ช่วงนี้เป็นทางเดินขึ้นเขา แต่ก็ไม่ชันมาก เดินสบายๆ ระยะทางไม่ไกลค่ะ
สองข้างทางก็มีดอกไม้ให้ชม มีผีเสื้อหลากหลายสีสัน หลายสายพันธ์ บินวนกันไปมา
ลองมองหันหลังกลับไปดู ว้าวว สวยเหมือนกันนะ
ถึงแล้วค่ะ พระพุทธมงคลศรีจุฬามณี ต้องถอดรองเท้าก่อนขึ้นไปด้านบนนะคะ
สองพ่อลูกขึ้นมาถึงก่อน ก็มานั่งพักเหนื่อยรอ
บริเวณนี้เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตองค์ใหญ่ สีขาว
บันไดขึ้นไปสู่พระธาตุเจดีย์จุฬามณี
พระธาตุเจดีย์จุฬามณี เป็นจุดสูงสุดของเขาใหญ่นี้ค่ะ
ไหว้พระด้านในพระธาตุเจดีย์
หัวใจพระธาตุ
ตั้งเหรียญในรอยพระพุทธบาท
เดินออกไปชมวิวด้านหลังพระธาตุเจดีย์
ด้านข้างของพระธาตุเจดีย์มีวิหารหลวงปู่อริย
ไหว้พระเสร็จแล้วก็นั่งพักชมวิว ให้หายเหนื่อย มองออกไปก็จะเห็นวิวท้องทุ่ง ท้องนา ลมพัดปะทะหน้า ได้พักหายเหนื่อย ฟินมากบอกเลย ยืนตากลมจนเหงื่อแห้ง แถมได้ชมวิวสวยๆ หายเหนื่อยเลยค่ะ ไม่อยากเดินกลับเลย 555
ถึงเวลากลับบ้านกันก่อนค่ะ มีโอกาส จะแวะมาอีกแน่นอน
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย
--- ที่นี่ก็ดีนะ ---
ที่นี่ก็ดีนะ 5365
วันพฤหัสที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2566 เวลา 16.55 น.