นั่งรถไฟไปอยุธยา 1 วัน กับงบ 500 บาท

เอาละ ! วันหยุดแล้ว ได้เวลาออกทริปสักที เพราะไม่ได้เป็นวันหยุดยาว เลยเลือกสถานที่เที่ยวใกล้ๆ กับการเดินทางที่สะดวกๆ อย่างเช่น นั่งรถไฟไปเที่ยวอยุธยา พอวางเแพลนไว้แล้ว นัดหมายกับเพื่อนเป็นที่เรียบร้อย ไปวันเดินทางจริงก็มาถึง และ ชาเร้นจ์ของเราวันนี้ จะใช้งบ กินเที่ยว ในราคาเพียง 500 บาท

วันหยุดสุดขีดทั้งที ชีพจรก็ลงเท้าอีกแล้วจ้า ทิ้งกุญแจมอเตอร์ไซค์ไว้ที่บ้าน เดินจ้ำอ้าวไปโบกพี่วินเลยค่า จากท้ายซอยไปหน้าปากซอจัดไป 10 บาท

     ลงจากที่ซ้อนท้ายพี่วินมาลงหน้าปากซอยบ้านแล้ว ก็เดินข้ามสะพานลอย เพื่อมาต่อรถตู้ไปสถานีรถไฟดอนเมือง กันก่อน และเป็นการรอรถที่นานมาก วันหยุดแบบนี้ไม่มีรถเลย กว่าจะมีรถตู้ที่ตรงสาย ใช้เวลานานถึง 15 นาทีเลยครับผม ช่วงสายๆ 7:30 แต่ลมแรงและแดดร้อนมากเลยจะแม่

ได้นั่งรถตู้แล้วนะ ค่าโดยสารจากบ้านไปสถานีรถไฟดอนเมือง พี่โชเฟอร์คิดราคา 20 บาท ตามระยะทาง

     เอาล่ะมาถึงแล้ว เซลฟี่กับรางรถไฟซะหน่อย พร้อมส่งไลน์บอกเพื่อนให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ ก่อนที่มันจะหยุมหัวเราเพราะนางมาถึงก่อนตั้ง 30 นาทีแล้ว ประเทศไทยรถมันติดต้องทำใจนะสู

     เจอเพื่อนแล้วจ้า ยืนรอหน้าชานชาลาแล้ว จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วรถไฟกัน ขั้นตอนง่ายๆแค่ ใช้แค่บัตรประชนใบเดียว แล้ว บอกสถานีปลายทางที่จะไป นายสถานีก็จะทำการจ่ายตั๋วให้ รอบนี้มีค่าเดินทาง แค่ 11 บาทโดยที่เราขึ้น รถไฟขบวนที่ 201 ที่นั่งธรรมดา ชั้น 3 บชส 76 ขบวนรถจะมาถึงในเวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง และถึงสถานี้ปลายทาง ประมาณ 1 ชั่วโมง เห็นมั้ย เที่ยวใกล้กรุง อยู่แค่นี้เอง ชิวๆๆ

     ก่อนที่ขบวนรถไฟจะมา เลยเอาเวลามาถ่ายรูปกับเจ้าถิ่นประจำชานชาลาก่อนนะ น้องน่ารัก ยิ้มตลอด แต่สายตาแอบมองที่มือเราว่ามีของกินอยู่มั้ย ข้างฝั่งไปรอที่ชานชาลาขาออก รอรถไฟมากันเถอะ

     การเดินทางได้เริ่มขึ้นแล้ว ทิวทัศน์ข้างทาง ทุ่งนา ธรรมชาติ สายลม และ เสียงแม่ค้าแม่ขายที่เดินขึ้นมาขายของต่างๆบนรถไฟ เป็นซิกเนเจอร์เลยก็ได้กับบรรยากาศ ที่แม่ค้าเดินมาถามรับอะไรมั้ย บางครั้งถ้าเดินทางไกลๆ ผ่านหลายๆจังหวัด เราจะได้เห็นของกินประจำถิ่นนั้นๆด้วยนะ หรือบางครั้งเดินทางมาหลายอำเภอ ไม่รู้ที่ตั้งว่าผ่านจังหวัดไหนมาแล้ว ให้สังเกตุที่แม่ค้านี่ละ รู้เลย ถือว่าเป็นสีสันอีกอย่างของการนั่งรถไฟเลยนะ 


      ถึงแล้วจ้า การเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงจากดอนเมืองโดยรถไฟ ก็มาถึง จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นที่เรียบร้อยนั่งแบบชิวๆ ถึงแม้ว่าจะได้นั่งบ้างยืนบ้าง เพราะเป็นโบกี้รถชั้น 3 ถ้าเราเน้นเสพบรรยากาศ ทุกอย่างก็จะชิว และที่สำคัญ การมาเที่ยวในช่วงที่ยังคงมีภาวะเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 เรายังคงใส่แมส พกเจลแอลกอฮอล์ เพื่อความสบายใจของตัวเองและคนรอบข้าง ปลอดภัยหายห่วง


     เกือบจะเที่ยงแล้ว แดดเริ่มแรงขึ้น เรากับเพื่อนเลือกที่จะไม่ใช้บริการรถโดยสารต่างๆที่จอดรอผู้คนที่เดินทางมา แต่เลือกที่จะเดินไปนั่งเรือข้ามฟากจากโป๊ะเรือที่อยู่ท้ายซอยหลังชานชาลาแทน

     พอเดินมาถึงโป๊ะแล้ว พี่คนขับเตรียมสตาร์ทเครื่องเดินเรือ จ่ายค่านั่งข้ามฝากในราคาเพียง 3 บาท ลงไปนั่งรอเพื่อนร่วมทางคนอื่นอีกสักพัก เรือก็เริ่มเคลื่อนที่ไปตามแม่น้ำ ข้ามไปยังเกาะอยุธยา แสงแดดช่วงเวลาเกือบเที่ยงตรง กับสายลมที่พัดโดนหน้า และท้องฟ้าที่สดใส ความสนุกจะเริ่มขึ้นแล้ว

     ไหนๆก็เที่ยงแล้ว แวะตลาดเติมพลังกันก่อน แต่เหมือนว่าบางร้านในช่วงเวลานั้น กฏหมายยังไม่อนุญาตให้ลูกค้านั่งกินที่ร้านได้ หรือเปิดได้แค่บางโซนเท่านั้น และอากาศที่ร้อนด้วย จึงแวะเข้าร้านไก่ผู้พัน สอบถามน้องพนักงานว่า โซนที่นั่งในร้านนั่งได้มั้ย พอเค้าตอบว่าได้ ก็สั่งข้าว พร้อมหาที่นั่งเตรียมชาร์จแบตให้พร้อม ทั้งคนทั้งแบตสำรอง รอบเที่ยงนี้ มีค่าข้าวอีก 85 บาท ไม่รวมกับข้าวโพดปิ้งที่เพื่อนซื้อกับคุณป้าข้างทางมาน้า แต่หอมอร่อยเหมือนกัน เพราะแอบกินของเพื่อน

     เมื่ออิ่มท้องแล้ว ก็ต้องไปต่อจ้า แปบๆบ่ายๆโมงแล้ว เรากับเพื่อนมาที่ร้านเช่าจักรยาน ของร้าน Desember ในร้านมีจักรยานให้เช่าหลายคันมาก นอกจากจักรยานแล้วยังมี มอเตอร์ไซค์ให้เช่าด้วยและร้านยังขายพวกของฝากอย่างเช่น โปสเตอร์ และ หมวกอีกหลายรูปแบบ หลังจากพี่เจ้าของที่คุยนัดแนะเรื่องการเช่าของร้านแล้ว ก็ให้กุญแจล๊อคล้อเป็นแบบรหัสล๊อคมา และกำชับว่าต้องเอารถมาคืนร้านก่อนเวลา 5 โมงเย็นของวัน ตกลงกันเรียบร้อย จ่ายค่าเสียหายไปคนละ 50 บาทต่อการเช่าทั้งวัน

แม้แดดจะร้อนเราก็ไม่หวั่น ไม่หวั่นที่ไหนละ รีบปั่นอย่างไว เลยจ้า แม้บรรยากาศจะน่าชม แต่หนูสู้แดดไม่ค่อยได้ค่า ขอหาที่พักหลบร้อนกันก่อนนะ

     เมื่อปั่นจักรยานมาถึงที่เที่ยวแห่งแรก ก่อนอื่นเราจะเข้าไปกราบพระพุทธรูปปางประธาน ซึ่งเป็นหลวงพ่อองค์ใหญ่ ประทับประจำวิหารมงคลบพิตร ให้เป็นศิริมงคลแก่ตัวเองก่อน และความสบายใจ ไหนๆก็มาเที่ยวโบราณสถานเก่าแก่แล้ว ซึ่ง วิหารมงคลบพิตร ตั้งอยู่ใกล้กับ วัดพระศรีสรรเพชญ์ หนึ่งในมรดกโลก อดีตวัดหลวงประจำพระราชวังโบราณอยุธยา

ก่อนเข้าไปยังเขตอุทยานที่เป็นพื้นที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ จะมีค่าบริการเข้าชมสถานที่ คนไทยคนละ 10 บาท ชาวต่างชาติคนละ 50 บาท เรากับเพื่อนชำระเรียบร้อยก็เข้าไปเดินชมสถานที่ได้ ถึงแม้แดดจะร้อนมากในช่วงบ่าย แต่เพราะความสวยงาม และ มนต์ขลังของประวัติศาสตร์ที่ยังคงเหลือให้ลูกหลานและชาวต่างชาติได้มาเยี่ยมชม

มีข้อสงสัยเต็มไปหมด สมัยก่อนเค้าใช้อะไรในการก่อสร้างได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งที่นวัตกรรมต่างๆยังไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน แล้วทำไมบางส่วนยังคงแข็งแรงและตั้งอยู่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ พื้นที่ภายในวัดกว้างขวาง และงดงามด้วยโบราณสถาน พระพุทธรูปเก่าแก่ บางองค์เหลือแต่ตัว เศียรที่ถูกตัดไปตั้งแต่สมัยเสียกรุง และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ความสวยงานของสถาปัตยกรรมยังคงตั้งอยู่แม้จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม

     แวะพักเหนื่อยใต้ร่มไม้กันก่อน ค่อยไปต่อ ระหว่างที่นั่งใต้ร่มไม้ และแชะภาพไปหลายช๊อต ก็มาพบกับเจ้าถิ่นประจำวัดพระศรีสรรเพชญ์ทั้งสองตัว ต่างก็หามุมมาหลบร้อนเหมือนกัน น้องดูนิสัยดี ดูเป็นมิตร ไม่ดุนะ อีกตัวคือนอนชิวเพลียแดดกับหลุมทรายที่ขุดไว้เลย ธรรมชาติรังสรรค์กับสถาปัตยกรรมมักสวยงามเสมอ

      แดดร่มลมตกแล้ว ก็เดินชมโบราณสถานต่างๆ รอบวัดอีกสักพัก แล้วปั่นจักรยานไปกันต่ออีกสถานที่นึง แม้ว่าแดดจะแรงแต่ยังดีที่มีลมโชยมาเป็นระยะๆ ทำให้ไม่ค่อยเพลียแดดสักเท่าไหร่ ระหว่างทางที่ปั่นจักรยานเที่ยว แวะซื้อน้ำชงแก้วใหญ่จากร้านรถเข็นข้างทาง ดูดให้หายชื่นจายยย จ่ายค่าน้ำไปอีก 25 บาท

      ไปต่อกันที่ วัดมหาธาตุ และเช่นเคยจ่ายค่าเข้าชมสถานที่ คนละ 10 บาท ก็เดินชมบริเวณต่างๆของวัดไปเรื่อยๆ และที่เป็นจุดโดดเด่นที่สุดของวัดมหาธาตุ คือ เศียรพระพุทธรูปกว่าร้อยปีในรากไม้ เป็นเศียรพระพุทธรูปเป็น ศิลปะอยุธยา วางอยู่ในรากโพธิ์ข้างวิหาร ดูมนต์ขลังและเป็นจุดที่นักท่องเที่ยงต่างพากันมารุมถ่ายภาพมากที่สุด บรรยากาศในวัดมหาธาตุจะมีต้นไม้ที่หนาแน่นกว่าวัดพระศรีสรรเพชญ์ มีพื้นที่น้อยกว่า และตั้งอยู่ติดถนนสายหลักของเกาะอยุธยา ทำให้ผู็คนสะดวกเดินทางเข้ามาได้ง่ายและมีจำนวนมาก

    นั่งพักใต้ร่มไม้ในวัดมหาธาตุจนหายเหนื่อยแล้ว เวลาก็ล่วงไปถึงบ่าย 4 โมงเย็นกว่าๆแล้ว ได้เวลากลับเพราะต้องเอารถจักรยานไปคืนร้านเช่าตามเวลาที่นัดไว้ คือไม่เกิน 5 โมงเย็น แต่ยังพอมีเวลาไม่รีบมาค่อยๆปั่นไป เพราะระหว่างเส้นทางนี้เป็นถนนชุมชน มีรถผ่านไปมาเยอะ และทางแยกก็เยอะ ในการปั่นจักรยานก็ต้องมองทางรถด้วย เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายนะ

หลังจากคืนจักรยานให้ร้านเช่าแล้ว น้่งพักดื่มน้ำเย็นๆให้หายร้อน ก่อนจะนั่งเรือข้ามฟากกลับ เห็นร้านหาบเร่เดินผ่านไปพอดี ในกระบุงหาบของป้ามีขนมผิง ของชอบของหม่อมย่าด้วยสิ จัดไป 1 ถุง พร้อมกับ #ย่าฉันต้องได้กินขนมผิง ก่อนกับจ่ายไปค่าขนมผิงไป 50 บาท และค่าน้ำ 10 บาท นั่งเรือข้ามฟากกลับอีก 3 บาท

หลังจากที่นั่งเรือมาลงโป๊ะแล้ว ก็เดินกลับมาถึงสถานีรถไฟอีกครั้ง ทำการซื้อตั๋วเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ รอบนี้กลับกับ รถไฟขบวนที่ 210 ชั้น 3 กซช 74 เวลารถไฟเข้าชานชาลา 18:48 น. และใช้เวลาเดินทางเหมือนเดิม ประมาณ 1 ชั่วโมงถึงกรุงเทพ และค่าใช้จ่ายครั้งนี้ อีก 11 บาท ลืมไปว่ามีค่าโรตีสายไหมไปฝากทุกคนอีก 100 บาท

การมาเที่ยวครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่และได้ความเพลิดเพลินไปด้วย และแน่นอนค่ะ ตามชาเลนจ์ที่ตั้งไว้ มาเที่ยวอยุธยา 1 วัน ใน 500 บาท ทำได้หรือไม่ มาคำณวนกันเลย

ค่าวินจากปากซอยบ้าน ไป-กลับ 20 บาท 
ค่ารถตู้ ไป-กลับ 50 บาท ค่ารถตั๋วรถไฟ ไป-กลับ 22 บาท
ค่านั่งเรือข้ามฟาก ไป-กลับ 6 บาท 
ค่าเช่าจักรยาน 50 บาท
ค่าข้าวกลางวัน 99 บาท
ค่าน้ำชง 25 บาท
ค่าเข้าชม ไป 2 วัด 20 บาท
ค่าน้ำดื่ม 10 บาท
ค่าขนมผิงของย่า 50 บาท
ค่าขนมสายไหม 100 บาท
รวมค่าใช้จ่ายที่ใช้ไป 452 บาท

ถือว่าเป็นการรีแลคจากการทำงานที่ตึงเคลียดมาปลดปล่อยความสบายใจให้ตัวเราบ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นการเที่ยวเพียงแค่ 1 วัน แต่ก็ถือว่าเป็นการเติมเต็มความสุขให้ดูเอง พาตัวเองมาอยู่กับธรรมชาติและสายลมบ้าง บางครั้งอาจจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น สดใสขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ และอย่าลืมนะ รักตัวเองให้มากๆ เพราะมีเราแค่คนเดียวในโลกนี้นะ


ถ้าใครสายแคมป์ปิ้ง หรือหาหมวกไว้ใช้เที่ยว จะชี้เป้าให้ เอาไปเลยยย (AFFlink)

Shopee : https://shope.ee/6A5EKsIAIj

Lazada : https://s.lazada.co.th/s.kN0oT...

ขอบคุณค่าาาาาาา



ฟฟ.สตอรี่

 วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 17.50 น.

ความคิดเห็น