ทุกคนย่อมมีการเดินทางที่เหมือนและแตกต่างกันออกไป
ทุกๆซัมเมอร์ผมจะใช้เวลาในช่วงสองเดือนออกไปหาประสบการณ์ในต่างแดนและในประเทศไทย การเดินทางครั้งแรกของผมเริ่มขึ้นตอน 9 ขวบ พ่อแม่ให้ผมนั่งเครื่องบินมาหาอม่าที่กรุงเทพคนเดียว ต่อมาก็เริ่มออกต่างแดน ตอน ม.5 พ่อแม่ส่งเสียให้ผมออกเดินทางไปหลายๆที่ทั่วโลก เริ่มตั้งแต่ แคนาดา อเมกา สิงคโปร์ ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่การเดินทางครั้งนี้ผมเปลี่ยนใจจากการไปหาความศิวิไลในนิวยอร์ก เป็นหาสัจธรรมของชีวิตที่ เมืองดาร์จีลิ่ง,ประเทศอินเดีย
ไปทำไมอินเดีย ทำไมมึงไม่ไประเทศที่มันเจริญแล้ววะ???
ตอนที่ผมบอกกับเพื่อนว่าปิดเทอมนี้จะไปอินเดีย มันก็ถามกลับมาว่า "ทำไมมึงไม่ไปประเทศที่เจริญแล้วว่ะ?" ผมว่าไอ้ประเทศที่ยังไม่เจริญอย่างอินเดียมันคงให้อะไรกับผมเยอะเกี่ยวกับการได้ทำความรู้จักตนเอง ได้ลำบาก ได้รู้รสชาติของชีวิต และอีกอย่างอินเดียก็ใช่ว่าจะไม่เจริญเอาเสียเลยนะ เมืองที่เจริญอินเดียก็มี บางเมืองไฮโซกว่าบ้านเราซะอีก แต่เมืองที่ผมเลือกมันก็ไม่ได้มีความเจริญอะไรขนาดนั้น เผลอๆกันดานอีกต่างหาก ดาร์จีลิ่ง เมืองที่น้ำไม่ค่อยไหล ไฟไม่ค่อยมี สัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยมีอินเตอร์เน็ต3Gนี่ไม่ต้องพูดถึง มีโทรศัพท์ก็มีเอาไว้แค่ฟังเพลงกับถ่ายรูปแค่นั้นแหละ อาหารการกินก็ต้องระวัง ถ้าไม่ระวังมึงก็จะขี้จนแสบดาก(คือ...กูผ่านมาแล้ว555)
คำเตื่อนก่อนอ่าน!!!!
บทความนี้มีการใส่คำหยาบลงไปเพื่อ อรรถรสในการอ่านเยอะเเยะและมากมายหลายจุด บอกมาที่นี้เพื่อให้ทำใจก่อนอ่าน บทความ"หลบอึที่อินเดีย เมืองดาร์จีลิ่งหน้าฝน" ขอให้ทุกท่านสนุกและได้อรรถรสในการอ่านนะครับ
ติดตามการเดินทางของผมได้ที่ "ไปไหนก็ไป Journey with Zen" https://www.facebook.com/ZenNathaphat/
บินลัดฟ้าจากไทยสู่อินเดีย
สามชั่วโมงนิดๆผมก็ถึง สนามบินบันนอกล่า อากาศร้อนกว่าไทยประมาณ1เท่า ร้อนจนรันเวย์ละลาย ด่านแรกก่อนเข้าประเทศด่าน ตม.ผมก็ชิวๆคิดว่าคงไม่ถามไรมาก เพราะขนาด ต.ม. อเมกาผมยังผ่านแบบฉลุย แต่สิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นมันคนละอย่างกันครับ ตม.สำเนียงภาษาอังกฤษแขกของแท้เลยครับ "แวร ตรู ตร่ำ ตรอม???" สัสเอ๋อแดกไปสามวิ ต.เต่า ระรัวเลยทีเดียว ก่อนผมจะตอบกลับปาดเหงือที่หน้าผากไปสามรอบ พี่ ตม. ก็ยังคงยิงคำถามด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษออกเสียง ต.เต่ากระดกลิ้น เรื่อยๆ
:มาอินเดียมาทำอะไรจ๊ะ? มาเที่ยวกับเรียนภาษาครับ
:มาอยู่ที่ไหนจ๊ะ? ดาร์จีลิ่งครับ
:ทำไม่มานานจังจ๊ะ? ก็มาเรียนด้วยเที่ยวด้วยไงครับ
:มีเพื่อนอยู่ที่นี่หรอจ๊ะ? ไม่มีครับแต่มีพี่เอเจน
:มีเบอร์พี่คนนั้นป่าวขอหน่อยจ๊ะ? อะครับ
:ขอเบอร์คุณหน่อยจ๊ะ? ยังไม่ได้ซื้อซิมที่นี่ครับ เบอร์ที่ไทยแทนได้มั่ยครับ
:ใครมารับจ๊ะ? พี่เอเจนครับ
ฯลฯ
สัส ตอบแทบไม่ทัน ตม. อเมกาถามผมเเค่เอาเงินมาเท่าไหร่? รู้วิธีการเดินทางไปทีพักรึป่าว? แค่นั้นจบ แต่นี้อีห่าถามซ้ะยังกับกูจะมาก่อจราจนทำให้ประเทศมึงพังพินาศยังไงอย่างงั้นแหละ แต่แล้วผมก็ผ่านอีด่าน ตม ออกมาได้ครับ พอออกมาผมก็เจอพี่จอย นั่งรอผมอยู่ที่หน้าสนามบิน
ปล.ใครจะมาอินเดียก็เตรียมคำตอบมาหน่อยละกันนะเผื่อจะเจ๊คพอดโดนถามเยอะแบบผม
ขึ้นรถสู่ดาร์จีลิ่ง
ออกจากสนามบินสงครามเสียงเเตรก็เริ่มต้นขึ้น แป้นนน.. แป้น... เยดเข้บางคันแตรเป็นเสียงเมดเล่!!! ตื่นเต้นสัสๆก่อนมาอินเดียผมอ่านเกียวกับการบีบแตรแบบกลัวเสียศักศรีมาเยอะพอตัวแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะบีบกันจริงจังขนาดนี้ บีบแตรตลอดทาง คนขับรถพี่จอยก็เช่นกัน บีบแม่งตลอดทาง ถ้าคันอื่นบีบมาแล้วไม่บีบกลับ เหมือนเสียศักดิ์ศรีคนขับเลยบีบลากยาวแล้วขึ้นเเซงคันมะกี้ กูจะถึงดามั่ยเนี่ย โอ้โหนี่แค่ทางตรงอย่าให้พูดถึงสี่เเยกที่ไม่มีไฟแดงนะมึงเอ้ยยย...ย พ่อคุณทูนหัว หูจะแตกประสาทจะพัง แตรที่อินเดียเสียงมันแหลมแสบแก้วหูมากกกก...ก แต่นั่งไปก็ขำไปลองคิดเล่นๆดูว่าถ้าเมืองไทย บีบแตรกันอย่างงี้คงมีมวยให้ชมกันตลอดทาง รถแล่นมาเรื่อยๆจนตอนนี้ถนนสองเลนใหญ่กลายเป็นถนนสองเลนแคบๆ จากวิวบ้านเมืองแออัดก็เริ่มเปลี่ยนเป็นวิวเขาสลับกับไร่ชา จากอากาศร้อนๆเริ่มกลายเป็นอากาศเย็นๆ คนขับรถปิดแอร์ลดกระจกรับลมเย็นๆบริสุทธิ์จากข้างนอก ผมก็หยิบเสื้อกันหนาวมาคลุมตัวอากาศเปลี่ยนยังกับอยู่กันคนละทวีป ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆถนนก็แคบและโค้งก็เป็นหักสอกแทบทุกโค้ง แต่คนขับรถพี่จอยก็ยังคงความเร็วเอาไว้ประหนึ่งว่ากำลังอยู่ในรายการแข่งอะไรสักอย่าง อยากหลับก็หลับไม่ลงมองลงไปข้างหน้าต่างเห็นว่ารถกำลังวิ่งอยู่บนหน้าผา(ที่ไม่มีที่กั้นไหล่ทาง) ด้วยความหวาดเสียจนเยี่ยวจะราด เลยบอกคนขับรถว่า
"ยูๆช้าๆก็ได้ไอไม่รีบหรอก"
"ด้อนวอรี่ๆไอเอมอะโปรเฟสเชอนอว"
โห้อีสัส!!! ถ้ามึงดิปได้มึงคงดิปไปแล้วหละสิ จะรีบไปไหนคนจะนอนก็นอนไม่ได้เลี้ยวแต่ละโค้งเข็มขัดนิรภัยก็เอาไม่อยู่กูย้ายที่อัตโนมัตทุกโค้งเลย บักหำ
เลือกที่ซุกหัวนอน
ก่อนไปอินเดียผมนึกภาพบ้านโฮสที่ผมไปอยู่ไม่ออกเลยจริงๆ ขึ้นชื่อว่าอินเดียผมก็ทำใจไว้แล้วว่ามันคงจะเฮ้แน่ๆ แต่ยังไงก็เอาว่ะ บางที่ในเสนียจอาจมีเสนห์ ไปถึงดาร์จีลิ่ง พี่จอยพาไปเลือกบ้านโฮส มีสองหลังให้เลือกหลังแรกที่พี่จอยพาไปดูอยู่ในเมือง บรรยกาศบ้านหลังนี้(ผมไม่เรียกมันว่าบ้านดีกว่าผมขอเรียกมันว่าห้องเช่า) อยู่ชั้นสองเปิดประตูเข้าไปเป็นห้องนั่งเล่นด้านหน้ามีทีวีมองมาทางด้านขวาเจอโซฟาตัวใหญ่ขนาด 5 คนนั่ง เดินตรงไปทางหลังบ้านเจอห้องครัวขนาดกระทัดรัด ตรงเข้าไปอีกเจอห้องน้ำ(รกๆในใจตอนนั้นขอบายบ้านหลังนี้เพราะห้องน้ำรก555ดูเป็นเหตุผมที่เ-ี้ยไปนิดแต่ผมเป็นคนที่ละเอียดเรื่องห้องน้ำมากถึงจะมีเครื่องทำน้ำอุ่นก็เถอะ) พี่จอยพาเดินไปดูห้องนอน เอ้ออ...อ เก๋ดีเขาบอกว่าถ้าอยู่บ้านนี้ได้นอนคนเดียวมีห้องส่วนตัว....แต่ต้องเพิ่มเงิน6,000รูปี(3,000บาท) คิดคำนวนดูอะ...กูขอบายอย่างเต็มตัวเก็บตังไว้เที่ยวดีฟ่า ยังไงก็คงไม่เอาบ้านหลังนี้เลยขอพี่จอยให้พาไปดูบ้านอีกหลังหน่อย บ้านอีกหลังอยู่ห่างจากตัวเมือง เดินประมาณ15นาที เก๋ดีอยู่ชานเมือง บ้านหลังนี้เป็นตึกเหมือนกันแต่มีหลายห้อง ลีน่า(เจ้าของบ้าน) ออกมาต้อนรับ(มีความน่ารักให้ไป 1 คะเเนน โุสิ๊ว่าบ้านหลังนี้จะผ่านเกณฑ์ของผมรึป่าว) บ้านหลังนี้มีสองห้องน้ำ สามห้องนอน หนึ่งห้องครัว ลีน่าพาเดินไปชมห้องนอนเอิ่มมม...มพอได้แฮะ ห้องนอนของผมมีห้องน้ำในตัวด้วยเก๋ป้ะหละ ไฮโซอินเดียเลยทีเดียว เปิดประตูห้องน้ำผ่างงงงงง...ง เปิดห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัตมีถังน้ำสองถังอ่างล้างหน้าหนึ่งอ่างกับโถ่ส้วมแบบนั่งยองอีกถึงโถ่ โอ้สวรรค์ สะอาด+โถส้วมเป็นแบบนั่งยองอีกต่างหากสามผ่านไปเลยค้าบบบ...บปล1.เวลาผมไปต่างบ้านต่างเมือง เช่นอินเดีย ขอนั่งยองเถอะทำใจนั่งร่วมตูดใครไม่ได้จริงๆปล2.ผมลืมบอกว่าผมมีรูมเมทด้วยนะ ชื่อน้องไซม่อน(ไว้เล่าเรื่องของมัน ไอเด็กนรกนี่เรื่องมันเยอะ!!!)ไซม่อนเป็นเด็กน่ารัก(เด็กผีหนะสิ!!!)
ฝนที่ตกลงมา
ขณะนี้ดาร์จีลิ้ง อยู่ในฤดูฝน (ดีงามไปทั้งทีกูไปในฤดูฝน) หมอกลงปกคลุมเกือบทั้งวัน ฝนที่นี้ก็ตกแบบหน้ารำคาญมากๆตกทั้งวัน ตกที่นึงไม่ใช่แค่วันเดียวนะฝนที่นี่ตกที่นึงลากยาวหนึ่งถึงสามอาทิตย์ ตกแบบ non-stop ตกแบบไม่มีหยุดแต่แค่ซาๆลงไปแล้วก็กลับมาหนักอีก
การใช้ชีวิตลำพังเดินขึ้นเขาก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว นี่ทั้งเนิน ทั้งฝน ทั้งอากาศ11องศา หนาวจนปลายนิ้วหัวแม่โป้งชาไร้ความรู้สึก ยิ่งช่วงเนินไหนมีตระไคร่เขียวๆขึ้นนะผมต้องจิกหัวแม่โป้งเท้าเพื่อให้ไม่สไลด์ตกเขา จิกจนพื้นรองเท้าแทบทะลุ
เดินอยู่ในเมฆ
ตอนเด็กผมฝันว่าอยากลองขึ้นไปเดินอยู่บนเมฆ ทุกครั้งที่ขึ้นเครื่องบินผมมักมองออกนอกหน้าต่างมองเมฆก้อนปุยๆที่ลอยละล่องอยู่ ผมจินตนาการว่าถ้าไปเดินบนเมฆได้คงจะนุ่มเท้าสบายหน้าดู จนวันนี้ฝันเป็นจริงมันไม่ได้สวยงาม อย่างที่คิดไว้เลยครับวันไหนที่หมอกลงวันนั้นผมจะใช้ชีวิตได้ลำบากมาก เพราะทัศนวิสัยในการมองเห็นมันลำบากมากๆ เมืองดาร์จีลิ่งเมืองที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,024 เมตร ผมเรียกเมืองนี้ว่าเมืองในหมอกเมฆ เวลาที่ฝนเพิ่งหยุดตกหมอกจะลงมาปกคลุมเมืองระยะการมองเห็นไม่ถึง 50 เมตร เรียกได้ว่าคลุมจนรถเปิดไฟวิ่งยังมองไม่เห็นทาง
บ้านลีน่า
บ้านลีน่ามีสมาชิกทั้งหมด 4 คน(ยังไม่รวมเด็กแลกเปลี่ยนอย่างผม) ลีน่ามีสามี ชื่อ"โกปัน" ชายกลางคนอายุ47 ปี ทำงานเป็นนักงานตอนรับอยู่ในโรงแรมใกล้ๆบ้าน โกปั่นมีลูกสองคน คนโตชื่อไอยูส คนเล็กชื่อ ซูบอม บ้านของลีน่าอยู่ห่างจากตัวเมืองเดินประมาณ15นาที บ้านลีนาเป็นทำเลที่ดีมากๆโดยส่วนตัวเพราะไม่ค่อยมีเสียงแตรมารวมกวนเหมือนในเมืองสักเท่าไหร่ ในบ้านมี4ห้องนอน2ห้องน้ำ1ห้องครัวโดยก่อนถึงห้องครัวจะต้องผ่านห้องนอนลีน่าก่อน ผมว่าเขาต้องว่างแผ่นกันเด็กแลกเปลี่ยนมาขโมยของกินยามค่ำคืนแน่ๆ
ไซม่อนที่รัก(He is a boy from hell!!!)
ไซม่อนเป็นเด็กที่อยู่ห้องเดียวกับผม มันพูดเยอะมากๆๆๆพูดไม่หยุดไม่หย่อนพูดอยู่นั้นถามแม่งทุกอย่าง แรกๆก็พยายามคิดว่า เด็กฉลาดจะขี้สงสัย แต่นี้มันสงสัยมากเกินไปแล้ว!!!! ถามทุกอย่างที่ขวางหน้า มีอยู่ครั้งนึง ขณะที่ผมกำลังนั่งดูหนังที่ เพิ่งไปขอหลวงพี่มาดูในห้องอย่างสบายใจ มันถามผมขึ้นมาว่าพี่เซน "นอนกับหลับมันต่างกันยังไง? " ตอบ"ก็นอนก็คือนอนไงแบบนอนคือท่าทาง ส่วนหลับก็คือการที่ร่างกายได้พักผ่อนไง" ยังไงอะพี่ผมไม่เข้าใจ? ก็แบบนอนก็คือนอน(ทำท่านอนโชว์มัน) ส่วนหลับก็คือการหลับไงไม่รู้ตัวแล้วอะหลับไปแล้วอะ ยังไงพี่ผมไม่เข้าใจ พ่องงงงงงงงงงงงงงงงงงง! ไซม่อนแกกวนตีนปะเนี่ย!? ป่าวพี่ไม่ได้กวนตีนแต่ผมไม่เข้าใจจริงๆ งั้นลองไปถามพี่แตงโมดูพี่อธิบายไม่ถูกละ -_-
Darjeeling English Center
วันแรกหลังจากดูบ้านโฮสเสร็จพี่จอยก็พาเดินมาราธอนไปยังสถาบันสอนภาษา Darjeeling English Center ต่อเดินจากบ้านลีน่าลัดเลาะไปตามเนินเขา เลี้ยวเข้าตรอกนู้น เดินลงทางซอยนี้ เลี้ยวเข้าตึกนั้น ออกมาจากตึก เดินขึ้นบันไดซอกตึกนู้น แล้วลงบันไดจากซอกตึกนี้ เอาเป็นว่าผมขอเดินตามพี่จอยก็ละกันนะครับวันนี้สมองผมไม่สามารถจดจำเส้นทางการเดินทางทั้งหมดของวันนี้ได้จริงๆมันสลับซับซ้อนซ่อนเงื้อนมากจริงๆ และแล้วผมก็เดินตามตูดพี่จอยมาจนถึง สถาบันภาษา เป็นตึกสูงสี่ชั้นทาสีขาว ว้าวสวยได้เรื่องนะเนี่ย ขณะที่ผมกำลังยืนชมตึกอยู่นั้นพี่จอยเดินนำหน้าผมไปยืนอยู่ตรงทางลงไปชั้นใต้ดิน "เซนๆไม่ใช่ตึกนั้นของเราอยู่ตรงนี้ ข้างล่างนี้" อ่าวหรอ555 ผมเดินลงไปในใจก็คิดว่า เชี่ยที่แบบนี่เป็นที่ๆเรียนได้จริงหรอว่ะทั้งแคบทั้งอับอย่างกับรูหนู ห้องเรียนมีสองห้อง ห้องแรกเป็นห้องไว้สำหรับเรียนแบบตัวต่อตัว ส่วนอีกห้องนึงใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยไว้สำหรับเรียนรวม สามารถนั่งได้ประมาณ 7-10 คน และแล้วผมก็ได้เจอกับ มิสโรส(ครูสอนภาษา) มิสโรสเป็น สาวลูก1 อายุ 36 ผิวสี รูปร่างอวบๆกำลังสวยไม่เผละ มิสโรสเป็นลูกเซี้ยวอังกฤษ สำเนียงของมิสโรสดีๆมากโคตรพ่อโคตรแม่ บริติช มิสโรสสอบภาษาอังกฤษมามากกว่า 15 ปี ทำให้มิสโรสเข้าใจปัญหาทางภาษาในตัวผมได้ลึกซึ้งอย่างไม่เคยมีใครเข้าใจมาก่อน มิสโรสเป็นครูที่มีเรื่องเล่าอยู่ตลอดเวลาและเธอชอบให้พลัดกันเล่า มิสโรสจะแบ่งเวลาเรียนใน1ชั่วโมง30นาที ให้ได้ทุกอย่างคือ Gramma Reading and Speaking อย่างเหมาะเหม่งพอดีเป๊ะ ทำให้ใน1ชั่วโมง30นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ราบุกบ้าน
ดาร์จีลิ่งหน้าฝนกับราเป็นของคู่กัน จุดสีดำๆขึ้นแทบทุกพื้นที่ฝาผนังของบ้าน ไม่ใช่เฉพาะบ้านผมนะครับแต่มันขึ้นทุกบ้านไอ้ราเนี่ย ผมเห็นว่าหน้าต่างมันถูกปิดอยู่ตลอดเวลา มันทำให้อากาศในบ้านไม่ระบายผมเลย เปิดหน้าต่างแม่มเลยสิ่งที่ได้กลับมาคือห้องเปียกครับ หมอกข้างนอกบ้านลอยละล่องเข้ามาเป็นละอองน้ำเล็กๆ ทำให้ผมต้องจำใจปิดหน้าต่างต่อไป จากที่มันขึ้นแค่ฝาผนังบ้านมันเริ่มรามไปที่เสื้อผ้า(โดยเฉพาะ กกน. ขึ้นจนแถบจะไม่มีใส่ จากสีขาวกลายเป็นกางเกงในลายพรางไปโดนปริยาย) และยังคงรามต่อไปขึ้นที่รองเท้าเชี่ย!!! ทำใจไม่ได้เป็นคนรักรองเท้ามากๆ นี่ขนาดทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอกผมจะเอาทิชชู่เปียกเช็ดทำความสะอาดแล้วแอบเอาไดเป่าผมของไซม่อนมาเปารองเท้า(อย่าเอาไปบอกไซม่อนนะเดี่ยวมันบ่น)เปาให้แห้ง แล้วเก็บใส่ถุงซีนอย่างดี มันยังตามมาขึ้นถึงในถุงซีน ไอ้สัสรา!!!
มันไม่มีทางแก้ได้เลยครับผมเคยเอาเรื่องราไปปรึกษาหาทางไล่ราออกจากบ้านกับ มิสโรส(ครูสอบภาษาอังกฤษ ชาวอินเดีย)นางบอกผมว่า "ทำใจเถอะเซนรามันขึ้นทุกบ้าน หมดหน้าฝนเดี๋ยวมันก็จากไปเอง" ขอบคุณครับมิสโรส แต่ก่อนที่จะไปถามมิสโรส ผมก็ไปบ่นๆกับพี่จอย(เอเจนสุดน่ารัก)บ่นว่า รามันขึ้นทุกที่เลยครับพอมีทางแก้มั่ยมันจะขึ้นกางเกงในผมครบทุกตัวเเล้ว พี่จอยตอบกลับมาว่า"น้องเซนดูบ้านพี่สิ พี่ยังแก้ไม่ได้จนตอนนี้พี่ปรงแล้ว" ขอบคุณครับพี่จอย
แล้วผมก็พยายามประตัวอยู่กับราให้ได้ ประเห็นว่าราเป็นแฟนที่มาอยู่ด้วยกันแล้วเข้ากันไม่ได้จึงต้องมีการปรับทัศนคติกันนิดหน่อย...เรารักรานะ.... กางเกงในจากสีขาวตอนนี้ก็มีจุดดำๆขึ้นเต็มไปหมด
เดินไปเรียนแบบพื้นถนนแห้งๆ
วันที่รอคอยก็มาถึงวันนี้ไม่มีฝนผมสามารถใส่ยีนส์ตัวโปรดออกไปโลดแล่นตามท้องถนนได้แล้ว เปิดกระเป๋าหยิบยีนส์ขึ้นมาผึ่งออกดู เชีย!!!!! เชียจริงๆครับ ราขึ้น f*ckkk นี่ขนาดใส่ถุงซุกไว้ในเป้ ตอนนี้สิที่ทำได้คือทำใจครับ ได้แค่เอาน้ำมาลูบๆเช็ดแล้วเอาไดร์เปาผมเปาไล่ความชื้น แล้วผมก็หยิบกางเกงวอมตัวเดิมๆออกมาใส่....Bey Leena ผมออกจากบ้านมาพบกับความแจ่มใส พื้นถนนวันนี้ไม่เฉอะแฉะเหมือนทุกวัน สามารถเอารองเท้าผ้าใบมาใส่ได้อย่าไม่ต้องกลัวเลอะ อากาศวันนี้13องศา เย็นสบาย....ตีน!!!ไม่ชาเหมือนทุกวัน
ในวันที่ฟ้าไร้ฝน
วันนี้ผมตื่นขึ้นมาในวันที่ไร้เสียงฝนมากระทบกับหลังคาสังกะสีบ้านข้างๆหลังจากที่ฝนตกลงมาอย่างหนักหน่วงแบบnon-stop ติดต่อกันมาเกือบๆสองอาทิตย์วันนี้ไร้เสียงฝน เปิดหน้าต่างออกไป โอ้!!! จีซัด ฟ้าเปิดไม่ไม่มีหมอก ผมเห็นภูเขาที่มีหิมะปกคลุมยอดขาวโพลนอยู่ลิบๆหัวใจก็เต้นแรงขึ้น ความตื่นเต้นก็พลั่งพูน ออกมา ผมรีบคว้ากล้องวิ่งขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้า อากาศวันนี้ดีชะมัด เจอลีน่ากำลังนั่งซักฟ้าอยู่ Say hi ตามประสา ผมสังเกตุลีนาไม่ได้มีความตื่นเต้นกับวันฟ้าเปิดแต่อย่างใด ก็แหง่สินางโตที่นี่ คงเห็นจนเบื่อแล้ว แต่สำหรับผมแล้ววันนี้ ตรงนี้ วิวที่อยู่ตรงหน้าแม่งสวยกว่า วิวมหาณครนิวยอร์ค วิวแกรนแคนย่อน วิวภูเขาหิมะที่แคนาดา วิวทั้งหลายแม่งแพ้วิว เมืองดาร์จีลิ้งในวันฟ้าเปิดที่มีเทือกเขาคันแชงชุงกาเป็นแบ็กกราว์
....เทือกเขาคันเชงจุงก้า เป็นเทือกเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ห่างออกไปจากเมืองดาร์จีลิ้งพันกว่ากิโลอยู่ในประเทศเนปาล....
ดูหนังอินเดีย
ตั้งแต่ดูหนังมาหนังอินเดียดีที่สุดแล้ว มะก่อนตอนที่ยังไม่เคยไปเหยียบและทำความรู้จักกับประเทศอินเดีย ในสายตาของผมมองอินเดียมาในแง่ลบตลอด ถึงแม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เก่ง IT ที่สุดในโลกก็ตาม ผมมองว่าไอ้ประเทศนี้มันไม่เห็นจะหน้าไปตรงไหนสกปรก แถมล้าหลังกว่าประเทศไทยประมาณ30ปี ข่าวที่เห็นในเฟสบุคส่วนใหญ่ก็จะเป็นอะไรที่ลบๆ ยิ่งเกี่ยวกับหนังละก็ หนังอินเดียนี่มันหนังห่าอะไรวะ หนังรักพระเองกับนางเอกวิ่งเกี้ยวพาราสีกันข้ามน้ำข้ามทะเล สุริยัน จันทรา โอ้ศิวะ ยิ่งถ้าเป็นหนังบู้ พระเอกเป็นตำรวจยืนอยู่กลางดงผู้ร้ายที่มีปื่นเป็นพันๆกระบอกกราดยิ่งเข้ามาหาตัวพระเอก แต่ยังไงก็เหอะพระเอกไม่มีวันตายพระเอกหลบกระสุนได้ทุกนัดและอาวุทที่พระเอกมีอย่างเดียคือกล้วยหนึ่งลูก พ่องมึงเอ้ยยย...ย กล้วยหนึ่งลูกมึงทั้งปาดคอ ทั้งเควี้ยงไปแท้งทะลุตัวผู้ร้ายจนตายเรียบทั้งกองทัพ สัส!!! หลังจากนั้นผมก็ไม่คิดที่จะสนใจหนังอินเดียอีกเลยเพราะมันแย่กว่าหนังช่องหลายสีบ้านเราเสียอีก จนวันหนึ่งผมได้ไปอยู่อินเดียมาสองเดือนผมเจอและคุยกับคนมากมายแลกเปลี่ยนความคิดเกียวกับอินเดีย จบผนได้เจอกับคนๆนี้ครับ เขาชื่อ ชลัม เป็นนักท่องเที่ยวช่าวอินเดียที่มาพักโฮสเทลเดียวกับผมในพาราณสี ชลัม เป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพ อยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของเดลี ผมคุยกับชลัมตอนที่กำลังนั่งดูหนังอินเดียอยู่ในห้องนั่งเล่นของโฮสเทล ชลัมมานั่งข้างๆผม ผมเลยเปิดประเด็นถามชลัมว่าทำไมหนังอินเดียเกือบทุกเรื่องต้องวิ่งข้ามเขาหรือทำอะไรที่เวอร์ๆด้วย อย่างเช่นเรื่องที่เรากำลังดูอยู่ตอนนี้ ชลัมบอกว่า หนังของอินเดียเสมือนสิ่งทำให้ความฝันของคนอินเดียเป็นจริง เอาจริงหนังทุกเรื่องที่เรากำลังชมกันอยู่ไม่ว่าจะไทยหรือเทศ บท ส่วนใหญ่คนเขียนมักได้แรงบรรดาลใจมาจากสิ่งที่อยากทำแต่ไม่สามารถทำได้จริงในชีวิตจริง
....มีหนังมาแนะนำครับสามเรื่องนี้ถือว่าเป็น สามเรื่องโปรดของผมเลยก็ว่าได้
1.3idiots 2.Dangal 3.PK แถมอีกเรื่อง like stars on earth
สถานที่ละลายทรัพย์เมืองดาร์
Big Bazaar เป็นที่เดียวที่สามารถช๊อปได้อย่างอิ่มหนำสำราญที่สุด(เพราะไม่ถูกโกงและของเซลบ่อย) ห้าง Big Bazaar บรรยากาศจะคล้ายๆกับ ห้างพาต้าในเมืองไทย แต่จะดูร้างกว่านิดหน่อย
กุลี(Coolie)
"กุลี"คือแรงงานขนของ กุลีจะพบได้ตามร้านขายของต่างๆในตลาด,ห้างหรือตามหัวมุ
กุลีมีทุกเพศทุกวัยไล่ตั้งแ
ครั้งแรกที่ผมเห็นคนที่ทำอา
กุลีก็ไม่ได้เป็นกันง่ายๆนะ
ถึงพี่กุลี::ถ้ามีเวลาว่างผ
เสื้อผ้ามือสอง
เนื่องด้วยฝนที่ตกลงมาเรื่อยๆ อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เสื้อผ้าที่ใส่ไปแล้วก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ซักทีนึงตากไว้หนึ่งอาทิตย์ก็ยังไม่แห้ง ผมมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินเพื่อซื้อเสื้อผ้าเพิ่มจริงๆ ด้วยความขี้งกที่ฝึกไว้จนเป็นนิสัย(สันดาน) ผมจะไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าราคาเต็มๆในBig Barzza อย่างแน่นอน (แต่ถ้าเมื่อไหร่มีป้ายเขียนว่า SEAL หละก็วิญญาณซูราต่าน(sultan)ก็จะมาเข้าสิงผมทันที) แต่ตอนที่มันยังไม่SEAL แล้วผมต้องการเสื้อกันหนาวตัวใหม่จริงๆ ผีนักช๊อปของมือสองก็จะพาร่างผมไม่นั่งขุดคุ้ยกองเสื้อผ้ามือสองริมถนน ทางไปโรงเรียนก่อนถึงตลาดล่าง ทั้งสงครามแย่งของใหม่และวิวาทะการต่อราคาก็เริ่มขึ้น เสื้อที่ร้านนี้บางตัวเป็นของแท้และยังไม่เคยถูกใช้มาก่อนราคาก็จะสูงตามคุณภาพ ผมจำได้ว่าผมอยากได้เสื้อตัวนึงถามราคาพ่อค่า 800 รูปีครับ ไอ้ราคา 800 รูปี คือผมต้องต่ออีกครับ การซื้อของให้สนุกที่อินเดียคือการต่อราคาแบบครึ่งต่อครึ่งหรือมากกว่านั้น จาก500 รูปีผมต่อเหลือ200 รูปี พ่อค่าไม่บอกผ่าน ผมเลยควักไม้ตายการต่อราคาจากหนังสือเล่มต่างๆที่เคยอ่านมาคือ ทำเป็นไม่อยากได้แล้วทำท่าจะเดินหนีไป ผมลองใช้วิธีนี้ดูปรากฎว่าได้ผมครับ ผมหันหลังกำลังจะเดินออกไปพ่อค่าตอบตกลงทันควัน โอเคๆ 200 รูปีก็ได้ แต่เราห้ามทำท่าทางดีใจไปนะครับ เราต้องKeepอารมณ์ ความไม่อยากได้ไว้ก่อนแล้วค่อยจ่ายตังเขาไป รอไว้หันหลังออกมาก่อนค่อยแสดงอาการดีใจ
ฟินเลยครับเสื้อกันหนาวตัวละ200รูปี หรือประมาณ100บาท
ร้านกาแฟ มี Free WIFI
Darjeeling รู็ๆกันอยู่แล้วว่าเป็นเมืองแห่งขุนเขา สัญญานโทรศัพท์ก็จะขุ่นมัวตามๆกันไป wifi คงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถดูหนังผ่านLine TV และ Face Time หาที่บ้าน ได้โดยไม่กระตุก เนื่องจากบ้านลีน่านั้นไม่มี wifi ผมจึงชอบไปนั่งซื้อโกโก้ร้อนกินแล้วนั่งเล่นwifiยาวๆ5555 ร้านที่ว่าก็คือ Glenary's Bakery, Cake Shop and Café นั่งท่องเที่ยวก็ชอบมานั่งเล่น wifi ที่ร้านนี้เพราะวิวดีมากๆ สามารถทองเห็นเทือกเขาคันเชง ได้ในวันที่ฟ้าเปิด
ร้านขายไก่
เวลาเราจะซื้อไก่สดถ้าอยู่ไทยเราคงไปซื้อที่ตลาดไม่ก็ซุปเปอร์มาเก็ตที่เขามีไก่ที่ฆ่าเรียบร้อยออกมาเป็นชิ้นๆพร้อมที่จะเอาไปเข้าครัวได้เลย แต่ที่นี่อินเดียประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก การซื้อไก่ไปทอดกินจึงไม่เหมือนใครคือ เราต้องเดินไปที่ร้านขายไก่ แล้วชี้ครับว่าจะเอาไก่ตัวไหน ไก่ที่ชี้คือไก่ที่ยังเป็นๆอยู๋ที่ร้อง ปะต๊าก ปะต๊าก!!! ที่ยังคงALIFE อยู่ในกรง พ่องงง ชี้ปุกพ่อค้าจับคอไก่ขึ้นมานวดๆเหมือนไก่มันสบายไก่เริ่มเคลิมๆ พอพ่อค้าเห็นไก่กำลังเคลิ้มปุ๊บจับหักคอทันใด โถ่ อนาถจิตยิ่งนัก มันเป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจผมมากๆโถ่เจ้าไก่ จากนั้นเขาก็เริ่มทำการถอนขน แล้วหั่นเป็นชิ้นใส่ลงไปในถุง
ถ้าซื้อไก่สดที่ไทยเราก็คงจะเฉยๆไม่ได้รู้สึกผิดอะไร แต่พอมาซื้อที่อินเดียทำเอารู้สึกผิดจนไม่กล้ากินไก่อีกเลย
ปล.แต่พอเอามันไปทอดก็อร่อยดีนะ อิอิ
ลดน้ำหนักที่อินเดีย
หลายคนคงงงว่าทำไม ทำไมต้องลดน้ำหนักที่อินเดีย คือเรื่องมันเป็นอย่างงี้เรื่องมีอยู่ว่าเมืองดาร์จีลิ่งเป็นเมืองแห่งขุนเขา ถ้าจะใช้รถยนต์เพื่อการสัญจรในตัวเมืองคงไม่ใช่อะไรที่ตอบโจทย์นักเพราะ ถนนในเมืองดาร์แคบมากๆ แคบขนาดที่รถบางคันไม่สามารถสวนทางกันได้ ถ้าถามว่าแล้วจักรยานหละ แขกชอบปันจักรยานกันไม่ใช่หรอ? โถเอาแค่เดินก่อนเถอะเจอแต่ละเนินเดินจนปวดหัวเขาอะ ด้วยความที่มีเนินเยอะเมืองดาร์ ผมขอยกให้เป็นเมืองที่บันไดมากที่สุดตั้งแต่เคยไปเยือนแต่ละประเทศมาบันไดตามซอกตึกนู้นซอกตึกนี้ และแน่นอนที่ผมกำลังจะบอกก็คือไม่ว่าจะไม่ที่ไหนในเมืองดาร์เราใช้วิธีการเดียวคือการเดินครับ!!!ผมเคยใช้โปรแกรมนับการเดินทั้งวัน ผลออกมาว่าวันนึงผมเดินอย่างต่ำวันละ10กิโลเมตร!!!! ซึ้งถ้าอยู่ไทยวันละ1กิโล ไม่รู้จะถึงรึป่าวเลย แต่อยู่นี้ไม่ว่าจะไปไหนต้องเดินเท่านั้นครับ การเดินคือการลดน้ำหนักที่ดีๆมากผมพิสูจน์แล้ว จากน้ำหนัก 75กิโลกรัม ลดเหลือ 60 กิโลกรัม ลดไป15 กิโล พ่องงงงง!!! ผอมเป็นผีดิบเลยครับ
ติดตามการเดินทางของผมได้ที่ "นัด ตะ พัด Journey with Zen" https://www.facebook.com/ZenNathaphat/
เซน
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.54 น.