วันเริ่มต้นของการเดินทาง

Day1

จากดอนเมือง สู่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ณ เวลา 12.00 น. ฉันอยู่หาดใหญ่แล้ว

บรรยากาศที่นี่ฝนตกปรอยๆ เพื่อนชาวหาดใหญ่ผู้น่ารักแว๊นซ์รถมอเตอร์ไซด์ลุยฝนมารับ มุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟหาดใหญ่ เพื่อไปปาดังเบซาร์

สวัสดีหาดใหญ่ เราเจอกันแล้วนะ

ครั้งนี้ออกเดินทางจากหาดใหญ่มาปาดังเบซาร์ด้วยรถไฟพร้อมด้วยไก่ทอดหาดใหญ่สูตรอร่อย มือหนึ่งถือข้าวเหนียวไก่ พร้อมด้วย ฝนตกปรอย ชวนให้ใจชุ่มฉ่ำ ผู้คนที่หาดใหญ่น่ารัก ได้มองเห็นรอยยิ้มที่สดใสของคนใต้ แวะชิมชาเย็นหน้าสถานีรถไฟ ชาแดนใต้ที่หวาน มัน อร่อย จังฮู้วววว

เวลา 14.00 น. ขึ้นรถไฟ

ระหว่างนั่งรถไฟ ได้มองเห็นทุ่งหญ้า ต้นไม้ ที่เขียวแบบใต้ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ดูมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เคยเห็น ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ลงมาใต้ที่สุดของประเทศไทยเท่าที่เคยมา

คุณนกผู้น่ารักบินมาจากไหน เจ้าบินมาทักทาย ส่งฉันไปมาเลเซียแน่ๆ

เข้าสู่ปาดังเบซาร์ ฝั่งมาเลเซีย กาลเวลาเปลี่ยน แต่คนไม่เปลี่ยน เวลาที่นี่เวลาจะเร็วกว่าที่ไทย 1 ชม. จึงต้องรีบปรับเวลาให้เท่ากับประเทศมาเลเซีย เพื่อไม่ให้ลืมหรือคลาดตารางต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตารางรถไฟที่จะต้องนั่งเข้าเมือง

เป้ 1 ใบ กับการใช้ชีวิตใน 6 วัน อะไรที่มันไม่จำเป็นก็ไม่ต้องพกมานะ

การผ่านเข้า-ออก ด่าน ตม. ณ ปาดังเบซาร์ ไม่ค่อยมีอะไรที่ชวนให้ใจตุ้มๆต่อมๆ คุณเจ้าหน้าที่น่ารัก ถึงแม้จะสื่อสารกันด้วยภาษาที่ไม่คุ้นเคย แต่เราคงได้ใช้ใจสื่อสารกันให้ตรงประเด็น แปลได้ว่า “คุณครับๆ เก็บมือถือด้วยครับ” ฉันนี่รีบเก็บเลยจ้า กลัวโดนเรียกเข้าห้องเย็น ฮ่าๆ

เวลา 16.25 น.

นั่งรถไฟไปกันต่อ

ขบวนรถไฟจาก Padaeng Besar สู่ Butterworth จากต้นสายสู่ปลายสาย รวม 13 สถานีกว่าจะถึง ฉันมาทันเวลาพอดี โชคดีจริงๆ ขึ้นรถไฟปุ๊ป รถไฟออกปั๊ป ยืนๆนั่งๆ แต่ส่วนมากจะยืนเสียมากกว่า รวมเวลาแล้วประมาณ 2 ชม.

ผู้คนในขบวนนี้มีความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ทั้งภาษา ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วตลอดขบวน ชวนให้ได้มองเห็นวิถีชีวิตของชาวมาเลเซียที่ถ่ายทอดให้เห็น

ข้างทางจากท้องฟ้าสดใส เริ่มครึ้มมืดเป็นบางระยะ เพราะดูแล้วเหมือนฝนจะตก แต่แล้วก็กลับมาสดใส ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างของรถไฟ มองเห็นภูเขาที่เราสามารถมองเห็นมาจากไทยได้ มองเห็นทุ่งนา ป่าหญ้า ต้นไม้หลากหลาย โดยเฉพาะต้นมะพร้าวที่มีลูกดกมากๆ เห็นแล้วอยากกินมะพร้าวเลย ดูเหมือนว่าน้ำจะท่วมในบางส่วนของพื้นที่แห่งนี้ มองเห็นเด็กน้อยสองคนกำลังวิ่งเล่นในพื้นที่น้ำท่วม ถึงฉันจะอยู่ในขบวนรถไฟ แต่ใจสัมผัสถึงความสนุกของพวกเขาได้

รถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ผู้คนบนรถไฟเริ่มเยอะมากขึ้น ตอนนี้เป็นเวลา 17.25 น. น่าจะเป็นเวลาที่ผู้คนมาเลเซียเลิกงานกันแล้ว และตั้งหน้าตั้งตากลับบ้านกัน สวนทางกับตัวฉันที่กำลังออกมาไกลบ้าน เริ่มไกลมากขึ้น และมากขึ้น เพราะนี่เป็นเวลาของการออกไปเพื่อเรียนรู้วิชาชีวิตผ่านการเดินทาง

ฉันได้ยินมาว่าที่มาเลเซียนั้นมีของกิน ของใช้ราคาถูก เพราะ ณ ดินแดนแห่งนี้ไม่มีการเรียกเก็บภาษี เนื่องจากประเทศนี้ประกาศใช้กฏหมายอิสลาม ของทุกอย่าง ณ ดินแดนแห่งนี้จึงเป็นของปลอดภาษี ความรู้ใหม่ๆก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆตลอดการเดินทางด้วย

ฉันต้องยืนบนรถไฟนานราวๆเกือบ 2 ชั่วโมง อีกไม่กี่นาทีก็ใกล้จะถึงที่หมายของนี้แล้ว เวลา 19.00 น. ฉันถึงสถานี Butterworth มาเลเซีย และเดินทางข้ามฟากไปยังเกาะปีนังโดยเรือ ใช้เวลาเดินทางข้ามไปยังเกาะประมาณ 15 นาที วันนี้เป็นวันที่ดี โชคดี เพราะมาทันเวลาทั้งรถไฟและเรือแบบพอดิบพอดี แบบว่ามาปุ๊ปทั้งรถไฟ และเรือก็ออกปั๊ป การซื้อตั๋วเรือไปปีนังตอนนี้ไม่รับเงินสด ถ้าใครจะมาต้องพกบัตรเดบิต บัตรวีซ่า หรือบัตรมาสเตอร์การ์ดมาด้วยนะ ราคาค่าเรือข้ามฟาก 2 RM (ประมาณ 15 บาท)

ถึงปีนัง ประเทศมาเลเซียแล้วจ้า

ถึงท่าเรือ ก็เดินไปยังที่พักอีกประมาณ 800 เมตร ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันจองที่พักแบบ Hostel ที่เป็น Dormitory ห้องนอนรวมแบบ mixed ทั้งหญิงและชาย แอบลุ้นอยู่ว่าจะเป็นยังไง จะได้ยินเสียงกรนไหม นอนหลับหรือเปล่า อันตรายไหมนะ ของจะหายมั้ย รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต่อขอลอง…

ถึงที่พัก Check in เรียบร้อย

เดินเข้าห้อง ที่นี่เตียงนอนเป็นเตียง 2 ชั้น จุคนในห้องได้ 4 คน

ฉันได้นอนเตียงข้างบน ที่สำคัญคือไม่มีที่กั้นจ้า นอนแล้วจะตกเตียงไหมนะ แอบหวั่นๆ เข้าไปในห้องมีกระเป๋าเดินทางวางอยู่บนพื้น บ่งบอกได้ว่ามีผู้มาเยือน และเป็นสมบัติของเพื่อนร่วมห้อง ซึ่งฉันก็ยังไม่ได้เจอใคร แล้วเขาคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย มาลุ้นกัน

เก็บของได้สักพัก ก็ออกเดินทางไปหาอะไรทานสักหน่อย ครั้งนี้เดินจากโรงแรมไปถนน Chulia street food และ Kimberly street food บรรยากาศดูคล้ายเยาวราชผสมกับถนนข้าวสารบ้านเรา มองเห็นร้านหมี่ฮกเกี้ยนแล้วนึกถึงภาพบิวกิ้นกินหมี่ฮกเกี้ยนในหนังแปลรักฉันด้วยใจเธอ เลยต้องแวะชิมเสียหน่อย บะหมี่ฮกเกี้ยนวันนี้มันอร่อยมากๆจริงๆ เดินชมตลาดกลางคืนได้สักพัก ก็เริ่มวางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร จะเที่ยวที่ไหน เดินทางยังไง ตกลงกันสักพักได้ข้อสรุปว่า เช่ารถมอเตอร์ไซค์ทัวร์ปีนังน่าจะคุ้มว่า เพราะว่าที่นี่รถเยอะ รถติด กลัวจะได้เที่ยวปีนังไม่คุ้ ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์ประมาณ 30 RM หรือ 240 บาทไทย พอได้เช่าแล้วก็ถึงเวลาแว๊นชมเมืองปีนังยามค่ำคืนเสียหน่อย

ธงชาติที่มาเลเซีย และธงประจำรัฐปีนัง ที่นี่ต้นมะพร้าวเขาเยอะจริงๆ ควรค่าแก่การประดับรูปต้นมะพร้าวในธงประจำรัฐ

บรรยากาศ แสง สี เสียง ยามค่ำคืน ณ ปีนัง

เวลา 22.30 น. กลับที่พัก อาบน้ำ เตรียมตัวนอน เปิดประตูเข้าห้องพัก มองเห็นชายผิวเข้ม หน้าคม กำลังนั่งอยู่ที่เตียงชั้นล่าง เราคุยกันได้สักพัก ฉันก็เลยได้เพื่อนใหม่ชาวปากีสถานมาหนึ่งคน เพื่อนแวะมาทำธุรกิจที่มาเลเซียได้สักพักใหญ่แล้ว แล้วก็ยังบอกอีกว่าถ้ามาปากีสถานให้เพื่อนพาเที่ยวนะ ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนฉันก็รับหน้าเป็นไกด์เหมือนกันหากเพื่อนต้องการมาเที่ยวไทย มิตรภาพต่างแดน ต่างเพศ ต่างวัย ต่างเชื้อชาติได้เกิดขึ้นแล้ว สรุปว่าในห้องพักรวมนั้นมีเพียงแค่ฉันและเพื่อนชาวปากีสถานพักกันอยู่ 2 คน ฉันนอนพลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบกว่าจะหลับได้ สงสัยว่ากลัวจะนอนดิ้นแล้วตกเตียงลงไปหลังหัก จะอดเที่ยวเอา

Day2 ณ ดินแดนปีนัง ตังนิง อะชะเอิงเอ่ยเอย

เช้าวันรุ่งขึ้น

ขอมอบเวลานี้ให้กับคุณปีนัง

ฉันออกเดินทางแต่เช้ามุ่งหน้าสู่ Penang Hill วันนี้ฟ้าฝนเป็นใจ อากาศสดชื่นไม่มีฝน ใช้เวลาแว๊นมอเตอร์ไซค์จากที่พักประมาณ 20 นาที แวะทานข้าวมันไก่ฉบับปีนังซะหน่อย อร่อยแบบปีนัง ชวนให้คิดถึงข้าวมันไก่ไทยไปด้วย

วิวบน Penang Hill ยามเช้า
เรามันก็เท่ห์ซะด้วย ฮ่าๆ

ถึงแล้ว Penang Hill เสียค่าเข้า 30 RM (210 บาท) ราคานี้รวมค่ารถไฟที่จะนั่งไปด้านบนแล้ว ฉันไปถึงด้านบนของ Penang Hill ได้สักพักก็เดินชมบรรยากาศรอบๆ ได้มีโอกาสไปเจอคุณลุงชาวมาเซียคนหนึ่ง คุณลุงขึ้นมาออกกำลังบน Penang Hill เป็นประจำทุกอาทิตย์ ครั้งนี้ก็เช่นกัน คุณลุงพูดภาษาไทยได้ชัดมากๆ ท่านเลยอาสาพาเดินชมบรรยากาศรอบๆพร้อมกับเล่าเรื่องราวของ Penang Hill ให้ฟัง เดินชมบรรยากาศรอบๆ Connect กับธรรมชาติที่มีรอบตัว 

ฉันผู้หลงรัก "พืชอมยิ้มหรือดอก Pachystachys Lutea"


คุณ Dusky แวะมาทักทาย

ฉันเดินไปเรื่อยๆ สักพักก็เดินไปถึง The Habitat Penang เป็นสถานที่ที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่จะไปในวันนี้ ค่าเข้าค่อนข้างแพงประมาณ 60 RM (420 บาท) แต่ก็คุ้มค่ามากๆในการเข้าไปเยี่ยมชม บรรยากาศข้างในเย็นสบายสดชื่น อยู่นั่นได้สักพักก็ถึงเวลาต้องกลับแล้ว เพราะยังมีสถานที่ให้ได้เที่ยวต่อ ขาลงเจอกับพี่คนไทยที่เป็นไกด์ปีนัง เลยได้มีโอกาสสอบถามที่เที่ยวพี่เขาซะเลย ได้ที่เที่ยวเพิ่มมาคือ Chewy Jetty ลักษณะที่เที่ยวคล้ายๆตลาดที่ท่าเรือพี่ไกด์บอกว่าให้ฟีลลิ่งเหมือนกับหมู่บ้านไร้แผ่นดิน ต้องลองไปดูนะ

วิวที่ The Habitat Penang
มุมนี้จากรถไฟขาลง Penang Hill เนื่องจากใช้กล้องมือหมุน ประกอบกับความพร่าของสายตา จึงได้รูปนี้มาเก็บไว้

หลังแยกย้ายจากกรุ๊ปทัวร์ของไทย ฉันไปต่อที่วัดก๊กลกซี่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Penang Hill เท่าไรนัก ขับมอเตอร์ไซค์ไปประมาณ 2 นาที บรรยากาศที่นั่นเป็นวัดจีน ด้านบนสวยมาก ต้องใช้เวลาในการเดินนานอยู่พอควร เพราะข้างในกว้างขวาง

เคยอ่านในหนังสือเจอมาว่า วัดในรูปแบบสถาปัตยกรรมของจีน
จะทำหลังคาด้วยสีเหลืองทอง “สีเหลืองสร้างหยินและหยาง
สีเหลืองเป็นองค์ประกอบของทุกสรรพสิ่ง
สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นกลางและความโชคดี


ไปกันต่อที่ Chewy jetty ที่พี่ไกด์แนะนำซะหน่อย เนื่องจากฉันมาวันธรรมดา ร้านค้ามีเปิดเป็นบางร้าน แต่ก็ยังพอให้ได้ชมบรรยากาศ ตลาดแห่งนี้ติดกับท่าเรือ มีขายของฝาก เช่นพวกกระเป๋า พวงกุญแจ ราคาไม่แพงมาก

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว ฉันเดินทางไปต่อที่ Armanian street และ Penang street art อากาศร้อนมาก แทบแผดเผา ใช้เวลาอยู่ที่นั่นได้สักพัก ก็ไปทานข้าว อาหารกลางวันมื้อนี้ได้กินข้าวกับไก่หมักเครื่องเทศ เป็นอาหารของชาวมุสลิมโดยแท้ อาหารรสชาติอร่อยดี ทำให้คิดถึงบรรยากาศในอินเดียที่อยากไปสัมผัส

ถ่ายรูปตรงนี้ซะหน่อย เพื่อไปที่ระลึกการได้มาเยือนถิ่นปีนัง
ผู้คนในดินแดนปีนัง
เมนูแกงกะหรี่ไก่ เมนูแนะนำพี่เขาเลยล่ะ

เวลา 14.15 น. หลังจากที่คืนรถมอเตอร์ไซค์ ครั้งนี้ไม่เสียค่าน้ำมันเลยสักบาท (ร้านให้เช่าใจดีด้วยล่ะ) ถึงเวลาต้องโบกมือลาปีนังแล้ว ต้องเดินทางสู่ท่าเรือเฟอรารี่ข้ามฟากไปยังบัตเตอร์เวิร์ธอีกครั้ง เพราะฉันจะไปต่อ…

แล้วเจอกันนะ “กัวลาลัมเปอร์

ถึงเวลามุ่งหน้าสู่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

Day2 เวลา 16.05 

ฉันนั่งรถไฟ KTM จากบัตเตอร์เวิร์ธ กำลังมุ่งหน้าสู่ KL Sentral กัวลาลัมเปอร์ ราคาค่าตั๋ว 78 RM (546 บาท) จองแบบออนไลน์มาจากไทย ขนาดจองออนไลน์ตั๋วรถยังเต็มเลย แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้จองตั๋วแบบออนไลน์มาจะดีกว่า

รถไฟที่นี่เขาดูนุ่มนิ่มมากๆ และก็ดูเงียบดี ไม่มีเสียงกระทบของล้อกับรางรถไฟ ผู้โดยสารส่วนมากในขบวนนี้เป็นคนจีน เลยได้ฟังภาษาจีนไปด้วย มีเสียงประกาศบอกชื่อสถานีเป็นภาษามาเลเซีย และภาษาอังกฤษเป็นระยะๆ

บรรยากาศในรถไฟดูคึกคัก มีการขายอาหารที่อยู่ที่โบกี้ด้านหน้าด้วยนะ

รถไฟที่นี่เขาตรงเวลา

20.20 น. ถึง KL sentral ตามเวลาในตารางรถไฟ

ตอนนี้ฉันอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์แล้ว ครั้งนี้เลือกที่จะจองที่พักบริเวณแถวๆ Chinatown เพราะน่าจะเป็นสถานที่ที่หาของทานได้ง่าย ใกล้แหล่งช้อปปิ้งที่คงช้อปไม่ได้ เพราะกระเป๋าไม่มีที่จะใส่แล้ว ให้แบกมากกว่านี้คงไม่ไหว หลังอาจจะพังได้ เพราะฉะนั้นอะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป แล้วก็ไม่ต้องซื้อมาเพิ่ม ฮ่าๆ

ฉันเดินทางฝ่าด่านย่าน Chinatown มายังที่พัก ครั้งนี้ฉันเลือกพักเป็นแบบ Capsule เพราะเหมาะแก่การนอนคนเดียว สะดวกสบาย แถมยังดูปลอดภัย สามารถนอนกลิ้งได้ในที่ที่แคบจำกัด แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องตกเตียง ครั้งนี้มาพักที่ Space hotel chinatown ราคาไม่แพงมาก ตกคืนละประมาณ 600 บาท บรรยากาศในโรงแรมเหมาะแก่ผู้ที่แบ็คแพคเที่ยว มองเห็นคนหลากหลายเชื้อชาติมาพักที่นี่ ที่พักเงียบ สงบ สะอาด แต่ละแวกแถวๆโรงแรมจะมีคนไร้บ้าน หรือ Homeless อยู่ตามข้างทาง ถ้าเดินตอนกลางคืนอาจต้องระวัง

เมื่อเก็บข้าวของที่ รร. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางยามค่ำคืนอีกสักหน่อย เพราะอยากไปชมวิวตึกแฝดยามค่ำคืน เรียก Grab ไปส่งยัง Petronas twin tower ในราคา 8 RM หรือคิดเป็น 64 บาทไทย ตามจริงแล้วเราสามารถเดินทางไปด้วยรถไฟฟ้า ลงสถานี KLCC ก็ได้ หรืออาจจะนั่งรถเมล์ฟรีของรัฐบาลมาเลเซีย แต่ก็อาจจะอ้อมไปหน่อย ครั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เพราะเริ่มง่วงแล้ว จึงขอใช้บริการ Grab ก่อนแล้วกัน ที่นี่เรียก Grab ง่าย ราคามิตรภาพ ดูปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยนะ

เมื่อถึงตึกแฝด ผู้คนล้นหลาม มาถ่ายรูปเต็มไปหมด ได้มองเห็นแสงสีของตึกแฝด รวมทั้งเสียงผู้คนเจื้อยแจ้ว โดยเฉพาะผู้คนที่มารอเป็นคนถ่ายรูป ย้ำ!!! รอถ่ายรูป เพราะนี่คือหนึ่งในบริการที่เป็นธุรกิจของที่นี่ ค่าถ่ายรูปราคา 10 RM (70 บาท) ได้ 3 รูป แต่อุปกรณ์เขาครบครันจริงๆ ใครอยากได้รูปสวยๆก็อย่าลืมขอใช้บริการพี่ๆเขาได้นะ

วิวตึกแฝด Petronas twin tower ยามค่ำคืน

จากวิวตึกแฝด เราสามารถเดินไปต่อที่ Pintasan sloma bridge ได้ แสงสีได้ถูกประดับประดารอให้เราได้ไปเยี่ยมชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่แห่งนี้จะปิดไฟตอนเที่ยงคืนนะ ถ้าใครอยากไปชมก็ควรจะวางแผนเวลาดีดี

Pintasan sloma bridge

23.30 น. กลับที่พัก โดย Grab อีกครั้ง เลยได้มีโอกาสถามคุณพี่คนขับรถเกี่ยวกับสถานที่น่าเที่ยวในเมืองกัวลาลัมเปอร์ และอาหารการกินที่ควรได้ลิ้มลองรสชาติ พี่คนขับใจดี List รายชื่อ สถานที่ ซึ่งก็นับรวมอยู่ใน List รายการที่ได้วางแผนไว้ ส่วนอาหารที่แนะนำก็จะมี Bak kut teh, Nasi lemak, Nasi kandar ฉันต้องได้ไปลอง ว่าแล้วก็กล่าวขอบคุณพี่คนขับ ถึงเวลาของการได้พักขาเสียที ราตรีสวัสดิ์

เริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง

Day3 ฉันยังคงอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์

7.30 น. Check out แต่ยังมีความลังเลว่าจะนำกระเป๋าเป้ใบใหญ่หอบหิ้วไปด้วยเลยหรือไม่ จึงต้องวางแผน และสอบถามเจ้าหน้าที่โรงแรมเกี่ยวกับการเดินทาง เพื่อวางแผนในการเที่ยวชมเมืองกัวลาลัมเปอร์ให้คุ้มค่า แบบไม่ต้องแบกภาระไว้บนบ่า ผลสรุปของการตัดสินใจในครั้งนี้คือ ฉันเลือกที่จะฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม เมื่อเที่ยวเสร็จค่อยกลับมารับ แล้วนั่ง Grab ไปยังท่ารถ TMS (คล้ายกับสถานีขนส่งสายใต้บ้านเรา) ไปยังเมืองมะละกาต่อไป เปิดดูระยะทางแล้วจากที่พักไปท่ารถไม่ไกลกันมาก ใช้เวลาเดินทางเพียง 25-30 นาที ค่าโดยสาร 18 RM (126 บาท) ถือได้ว่าเป็นการวางแผนล่วงหน้า เพื่อให้สามารถท่องเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ยามเช้าได้อย่างคุ้มค่า

ฉันเริ่มต้นสถานที่ที่จะต้องไปเยือนในเช้าวันใหม่ของวันนี้คือ Sulatan Abdul มีความหวังอยากข้ามไปถ่ายรูปฝั่ง Merdeka square แต่ก็ผิดหวัง เพราะบริเวณนั้นจัดงาน ทำให้ไม่สามารถข้ามฝั่งไปถ่ายรูปได้ เลยได้รูปแบบไม่คาดหวัง มันก็สวยไปอีกแบบนะ

ณ Sulatan Abdul

เดินไปเรื่อยๆ ท้องเริ่มร้องทักบอก ฉันหิว ฉันหิว มื้อแรกของวันนี้จึงตามหาเมนู Nasi lemak (Nasi แปลว่าข้าว ส่วน lemak แปลว่า แกง) คงอารมณ์เดียวกับข้าวราดแกงที่บ้านเรา พอได้ชิมแล้ว มันก็อร่อยดี หายข้อสงสัย 555

นี่งัยเมนู Nasi lemak ข้าวแกงบ้านเขา

พออิ่มแล้วก็เดินทางต่อ ไปต่อที่ KLCC park เพื่อไปดูวิวตึกแฝดในบรรยากาศสวนบ้าง ที่นี่เป็นสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นไม้ล้อมรอบผู้คน ฉันเดินไปถึงก็สายมากแล้ว เวลาประมาณ 9 โมงกว่าๆได้ แต่ผู้คนก็ยังตั้งหน้าตั้งวิ่งกันอยู่ ที่แห่งนี้มีลานที่เป็นสระน้ำเปิดให้เด็กๆได้ลงไปเล่นได้ด้วย บางคนมาปูเสื่อนั่งอ่านหนังสือ บางคนรวมทั้งตัวฉันมาเก็บภาพบรรยากาศสวยๆ และเสพบรรยากาศได้สักพักก็เดินทางกลับ

วิวสวนและวิวตึกแฝด

ได้เวลาลองเปลี่ยนเส้นทาง เรียนรู้ทางใหม่บ้าง

ฉันลองนั่งรถไฟฟ้าของมาเลเซียสักหน่อย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงมาเลเซีย เพื่อที่จะกลับที่พัก

จึงเริ่มซื้อตั๋วที่เครื่องอัตโนมัติ ยืนงงในดงเครื่องซื้อตั๋วอยู่นานแสนนาน เพราะเป้าหมายที่จะไปมันไม่ได้มีอยู่ในเส้นทาง เมื่อไม่รู้จึงต้องถาม ครั้งนี้เลยถามทางกับเจ้าหน้าที่ สรุปว่าแผนที่รถไฟฟ้าที่ฉันบันทึกมาจากอินเตอร์เน็ตมันเป็นแผนที่ไม่อัพเดต ทางเจ้าหน้าที่เลยให้แผนที่ใหม่มาอีกครั้ง มีเรื่องให้ปรับและเปลี่ยนตามกระบวนการอีกแล้วล่ะสิ มันก็สนุกดีนะ ^^'

ได้แผนทีรถไฟมาใหม่ แผนที่ที่เตรียมมามันไม่อัพเดตจ้า

รถไฟฟ้าที่นี่เขามีช่องทางสำหรับ Women Only Coach ด้วยนะ มันเจ๋งมาก

ชอบไอเดียเขา เลยต้องถ่ายรูปมาเก็บไว้

ได้เวลาขึ้นรถไฟฟ้าของมาเลเซีย

มีเรื่องสนุกแบบให้ลุ้นอีกแล้วจ้า อิฉันซื้อตั๋วผิด เพราะซื้อลงแค่ 2 สถานี ตามจริงแล้วต้องไปเปลี่ยนสายรถไฟฟ้า แล้วไปต่ออีก 3 สถานี (รถไฟฟ้าที่นี่เชื่อมต่อกันทั้งหมด ไม่ต้องออกจากอีกสถานีนึงเพื่อจ่ายเงินก่อน แล้วไปอีกสถานีนึงก็จ่ายเงินอีกทีแบบบ้านเรา) เมื่อเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าและถึงจุดหมายปลายทาง จึงได้ขอให้คุณเจ้าหน้าที่ประจำรถไฟฟ้าได้ปรับเปลี่ยนราคาตั๋วให้ และจ่ายเงินเพิ่มตามระยะทาง อุปสรรคเขามีเอาไว้ให้ก้าวข้ามจริงๆนะ

ระหว่างทางแวะ BookXcess RexKL จากโรงหนังคลาสสิคที่รีโนเวทเป็นร้านหนังสือสุดเจ๋ง ที่นี่มีหนังสือให้เลือกเยอะมาก แถมราคาไม่แพง หลังจากนั้นแวะเดินตลาดย่าน Chinatown สักพัก แวะชิมชาเย็นสไตล์มาเลเซียสุด Cool พร้อมเพื่อนใหม่อีก 2 คน ชวนให้ได้เรียนรู้ความหลากหลายและความแตกต่าง

แวะ BookXcess RexKL ร้านหนังสือสุดฮิป อยากซื้อกลับเพราะราคาไม่แพง แต่ก็เกรงใจน้ำหนักกระเป๋า

ฺBeing different give the world color

หลังจากนั้นฉันก็เดินต่ออีกสักหน่อยก็ถึง Space hostel Chinatown โรงแรมที่ฉันได้ฝากกระเป๋าไว้แล้ว ถึงเวลาของการเก็บกระเป๋า แล้วเดินทางต่อไปที่ “มะละกา”

ครั้งนี้ฉันเดินทางโดยรถบัส ขึ้นรถเวลา 13.45 น. 

มะละกาจ๋า... ฉันมาแล้วจ้า

Day3 ฉันมาถึงมะละกา 

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 17.00 น. ใช้เวลาในการเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์สู่มะละกาประมาณ 3 ชั่วโมง ฉันรีบนำกระเป๋าไปเก็บที่พัก แล้วก็ออกเดินทางท่องเที่ยวในดินแดนมะละกายามเย็นเสียหน่อย อากาศที่นี่ค่อนข้างร้อน แต่ผู้คนที่นี่ก็ยังออกเดินทาง

เมืองมะละกาเป็นเมืองเก่าแก่ ถือเป็นเมืองมรดกโลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย ผสมผสานกันอย่างลงตัว มองเห็นรถสามล้อข้างทางเต็มไปหมด เสียงเพลงดัง ผู้คนดูคึกคัก ตอนนี้ฉันเดินเที่ยวเล่นในละแวกช่องแคบของมะละกาที่ข้ามไปอีกนิดก็เป็นเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซียเชียวนะ แค่ฟังดูมันก็เจ๋งสุดๆไปเลย 

ภาพ Wallart ที่แสดงถึงวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ณ Christ Church Melaka มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาเลเซียมารับน้องกันที่บริเวณนี้ด้วย


ฉันได้สวมบทบาทเป็นนักสำรวจดินแดนแห่งนี้อย่างเต็มที่ประมาณ 2 ชั่วโมง

Jonker street ถนนคนเดินที่จะเปิดทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ฉันมาวันพฤหัสบดี ก็ยังพอจะมีร้านค้าเปิดอยู่บ้าง

สิ่งสำคัญการท่องเที่ยวครั้งนี้ยังต้องใช้ ทักษะการจดจำเส้นทางเป็นอย่างมาก เพราะฉันไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ ไม่อย่างนั้นคงจะกลับที่พักไม่ถูกแน่ๆ หากกลับดึกมากไปกว่านี้ ก็อาจจะหลงทางได้ สุดท้ายแล้ว ฉันก็ไม่หลงจ้า เดินทางกลับที่พักโดยปลอดภัย หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เดินลงไปหาอะไรทานใกล้ๆกับที่พักเสียหน่อย

บรรยากาศมะละกายามเย็น

เมื่อออกเดินทางยามค่ำคืน ฉันก็เลยมีเรื่องเล่า...

เรื่องเล่ายามค่ำคืน

ยินดีที่ได้รู้จัก Marina เธอยิ้มรับ

ฉันเดินเข้าไปหาเธอ เพื่อถามอาหารเมนูอาหารที่อยากกินบักกุ้ดเต๋ แต่เสียดาย Marina บอกว่าไม่มี อาจลองเดินออกไปหาที่ด้านนอก ตอนนี้น่าจะมีร้านที่เปิดอยู่ เดินหาแล้วเดินเดินหาเล่า ก็ไม่เจอบักกุ๊ดเต๋ที่อยากกิน ก็เลยเดินกลับเข้ามาที่ Food court ของ Malacca อีกครั้ง Marina ยิ้มให้ ฉันเลยเดินเข้าไปหาเธออีกครั้งนี้คงต้องได้ทานฝีมือของ Marina ซะแล้ว

Marina ชวนให้ฉันได้กิน Bakso Biasa ฉันเลยได้มีโอกาสถ่ายทำขั้นตอนของ Marina ไปด้วย Marina Review ให้ชุดใหญ่ไฟกระพริบ

Bakso Biasa เป็นเมนูที่คล้ายกับก๋วยเตี๋ยวที่ไทย รสชาติอร่อยถูกปาก

ระหว่างพูดคุยกับ Marina ฉันสัมผัสประสบการณ์ของการได้ใช้ภาษาอังกฤษด้วยความสนุก ไร้ความกังวล ไร้การตัดสิน มันเป็นการพูดคุยที่สนุกมากๆ ฉันมีความสงสัยเกี่ยวกับเมืองมะละกา ว่าทำไมรูปแบบการเขียนถึงมีความแตกต่างกัน เพราะที่ฉันเห็นนั้นคำว่า มะละกา มีทั้งคำว่า Malacca, Melaca, Malaka สรุปแล้วเขาใช้คำไหนกันแน่ Marina ชวนให้ฉันได้เรียนรู้จากความเป็นเมืองมรดกโลก มีการผสมผสานกันระหว่างความเป็นมลายู ดัตถ์ และโปรตุเกส อีกทั้งที่นี่ยังเคยเป็นเมืองท่าสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของเมืองเศรษฐกิจ เมื่อมีหลากหลายเชื้อชาติเข้ามา ณ ที่แห่งนี้ ภาษาก็ย่อมมีความผิดเพี้ยนไปเป็นธรรมดา Marina อาสาพาฉันไปทัวร์เมืองมะละกายามค่ำคืน แต่เสียดายที่ฉันต้องออกจากมะละกาแต่เช้า ถึงเวลาของการพักร่างกาย จึงต้องขอปฏิเสธความหวังดีจาก Marina ไป ขอบคุณในมิตรภาพช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยินดีที่ได้รู้จัก Marina

เช้าวันใหม่

Day4 ณ เมืองมะละกา 
เวลา 6.30 น. บรรยากาศยามเช้าของมะละกาดู Slow life มองเห็นผู้คนออกวิ่ง เด็กน้อยเสียงเจื้อยแจ้ว บรรยากาศเมืองเก่าที่มี Street art ที่ชวนหลงใหล ฉันสัมผัสบรรยากาศของสถานที่ ผู้คน สิ่งแวดล้อม ณ ที่แห่งนี้อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะเดินทางสู่ "ยะโฮร์บาห์รู" ในวันนี้

มองเห็นสีของท้องฟ้า สี Margenta ต้อนรับวันใหม่ เงียบ สงบ สว่าง ในใจ

อกเดินทางสู่ "ยะโฮร์บาห์รู" ประเทศมาเลเซีย

9.00 น. รถบัสล้อหมุน มุ่งหน้าสู่ JB Larkin ซึ่งเป็นสถานีขนส่งของยะโฮร์บาห์รู รถบัสที่นี้จะเป็นขนส่งของเอกชน ฉันสังเกตเห็นว่าลักษณะของรถบัสแต่ละคันมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน ไม่เหมือนกันรถ บขส.บ้านเราขอชื่นชมรถบัสของที่นี่คือ เขาออกตรงเวลามากๆ 

ตารางเวลาที่ชัดเจน ก็ทำให้เรามั่นคงในใจเราได้เหมือนกันนะ ขอบคุณความตรงต่อเวลา

ถึงแม้ว่าจะมีคนขึ้นรถครั้งนี้เพียงแค่ 4 คน เขาก็ออกรถตามกำหนดเวลา ครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางนานมากกว่า 5 ชั่วโมง รถติดเป็นบางช่วง รถบัสไม่แวะพักเลย ที่สำคัญของเป็นรถบัสที่ไม่มีห้องน้ำจ้า และสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดคือ ดิฉันปวดปัสสาวะค่า ต้องอดทน อดทน และอดทนเท่านั้น พอถึงสถานี JB Larkin เท่านั้นล่ะ วิ่งแทบไม่ทัน ฮ่าๆ

เมื่อเดินทางถึงสถานีขนส่ง JB Larkin ฉันยังคงต้องนั่ง Grab ไปต่อยังสถานีขนส่ง JB Sentral แวะทานอาหารเติมพลัง ก่อนที่จะเดินทางข้ามไปยังประเทศสิงคโปร์

ใช่จ้า...วันนี้ฉันจะข้ามไปประเทศสิงคโปร์แล้ว เฮ้ๆ

เราสามารถกรอกข้อมูล SG Arrival card ตม.ของสิงค์โปร์ ผ่านระบบออนไลน์ ได้ล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทาง ครั้งนี้ฉันเลือกที่จะกรอกข้อมูลในระบบออนไลน์มาก่อน ทำให้สามารถผ่านช่องทางของ ตม. สิงคโปร์ระบบอัตโนมัติได้อย่างง่ายดาย

Day4 ฉันคือผู้มาถึง "สิงคโปร์"
เวลาประมาณ 14.30 น. 

ฉันถึงสิงคโปร์แล้วจ้า การเดินทางในสิงคโปร์นั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เริ่มต้นจากอุปสรรคของการขึ้นรถไฟฟ้าเข้าตัวเมือง การซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟฟ้าของสิงคโปร์ไม่สามารถใช้เงินสดได้ ต้องใช้แค่บัตรเท่านั้น ฉันผู้ถือบัตรมาสเตอร์การ์ดของธนาคารแห่งหนึ่งในประเทศไทย ยื่นบัตรให้เจ้าหน้าที่ขายตั๋วด้วยความมั่นใจ แต่ที่ไหนได้ "บัตรใช้ไม่ได้โว้ยยยยย" งื้อๆๆๆ ทำไมใช้ไม่ได้กันนะ ทั้งๆๆที่ก่อนหน้านี้ยื่นบัตรที่ประเทศมาเลเซียยังตัดบัตรได้เลย ยืนงงในดงสถานีรถไฟฟ้าอีกแล้ว หมุนซ้าย หมุนขวา เอ๊ะ! หรือจะเลือกนั่งรถบัสไปดี แต่สุดท้ายจึงเอ่ยปากขอคำแนะนำจากคุณเจ้าหน้าที่ ได้ความมาว่า เขาให้ฉันไปซื้อบัตรที่สถานีรถไฟฟ้าที่เป็นสถานีหลัก โดยให้นั่งย้อนกลับไปที่สถานี Woodland เพราะฉันวางแผนว่าจะซื้อบัตรแบบ 2 days pass หรือว่าบัตรแบบเหมาจ่ายใน 2 วัน เจ้าหน้าที่จึงให้ความช่วยเหลือ และประสานไปยังเจ้าหน้าที่ปลายทาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ฉันสามารถไปซื้อบัตรที่สถานี Woodland ได้ตามเป้าหมาย อิลุกขลุกขลัก แต่ก็ผ่านมาได้อยู่นะ

พอได้บัตรรถไฟฟ้ามาแล้วก็ถึงคราวตะลุยดินแดนสิงคโปร์แล้วจ้า...

16.00 น. เดินทางนำกระเป๋าไปไว้ยังที่พักย่าน Chinatown ในดินแดนสิงคโปร์

ครั้งนี้เลือกพักที่พักแบบห้องพักรวมหญิง บรรยากาศที่นี่เงียบสงบ สะอาด ที่นี่เป็นเตียง 2 ชั้น ฉันนอนชั้นล่าง ส่วนชั้นบนเป็นเพื่อนที่มาจากสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนเริ่มเดินทางจาก route ที่ตรงข้ามกับฉัน เขาเริ่มจากสิงคโปร์แล้วจะย้อนไปมาเลเซีย และเข้าสู่ประเทศไทย เราคุยกันได้สักพัก ฉันก็ออกเดินทางแวะชมสิงคโปร์ยามค่ำคืนเสียหน่อย

เริ่มต้นที่ The old police station สถานีตำรวจแห่งความสดใส บรรยากาศที่นี้ดูตะมุตะมิเข้ากับเสื้อผ้าที่ฉันใส่ดีนะ ฮ่าๆ เลยต้องมาเยือนเสียหน่อย

ทริปนี้เป็นทริปหน้าท้าแดดมากจ้า หน้าแดงจนจะดำแล้ว ฮ่าๆ แจกความสดใส ณ The old police station, Singapore

ตกเย็นก็แวะไปเดินที่ Fort Canning Park สัมผัสบรรยากาศความเป็นป่าในเมือง

เมืองในป่า หรือว่า ป่าในเมือง

ฉันเดินทางต่อไป Garden by the Bay เพื่อไปชมบรรยากาศที่เป็นจุดเช็ค Point ของการได้มาสิงคโปร์เสียหน่อย บรรยากาศเริ่มมืด ที่แห่งนี้เริ่มประดับประดาด้วยแสงสีที่สดใส เดินไปสักพักก็เห็นกลุ่มคนจำนวนมากกำลังนั่งรวมตัวกัน จึงได้มีโอกาสถามถึง event ที่จะเกิดขึ้น ได้ความว่า จะมีการแสดงโชว์ดอกไม้ไฟในตรีม Mid-Autumn Festival ฉันก็เลยได้นั่งดูอยู่กับกลุ่มพวกเขาไปด้วย ท่ามกลางผู้คนมากมาย ฉันก็หันมองดูพระจันทร์เต็มดวง ต้อนรับวันไหว้พระจันทร์ในค่ำคืนนี้ ปีนี้ฉันก็เลยได้ไหว้พระจันทร์ที่สิงคโปร์ 

วิวเมืองยามเย็น
สถานที่ถูกประดับประดาไปด้วยไฟโคม
วันนี้หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าได้พบกันแล้ว เพราะวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์
ลั่นชัตเตอร์แบบเบลอๆ แต่ภาพจำนั้นชัดเจน การแสดงไฟในวันไหว้พระจันทร์มันพิเศษจริงๆ

วันนี้ถือเป็นอีก 1 วันที่น่าจดจำเลยล่ะ ฉันนั่งอยู่ที่นี่สักพัก ถึงเวลาประมาณเกือบๆ สี่ทุ่มก็เดินทางกลับที่พัก

บรรยากาศที่พัก พร้อมการวางแผนการเดินทางในแต่ละวัน

เงียบ สงบ ไร้เสียงกรนจากเพื่อนร่วมห้อง

เอ๊ก อี๊ เอ๊ก เอ๊ก เช้าวันใหม่ Day5 แล้วจ้า...

7 โมงเช้า เริ่มต้นการออกเดินทางไปยังเกาะ Sentosa บรรยากาศยามเช้าฝนตกปรอยๆให้ชุ่มฉ่ำ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสำรวจโลกกว้าง แวะชม Universal studio แต่ก็ไม่ได้เข้าไป เพราะมีเวลาจำกัด เลยใช้เวลาในการเดินสำรวจรอบๆเกาะ ได้มองเห็นทะเลของสิงคโปร์ ชวนให้นึกถึงภาพทะเลของไทยที่งดงามไม่แพ้กัน (ทะเลไทยสวยกว่า)

อยากเห็นวิวของสิงคโปร์แบบมุมสูงบ้าง ก็เลยซื้อตั๋ว Skyride เพื่อขึ้นกระเช้าชมเมืองเสียหน่อย ไม่เคยขึ้นกระเช้าแบบนี้เลยแฮะ สนุกดี

แวะชิม Bak kut teh อร่อยดี ได้เยอะมาก ราคา 200 กว่าบาทไทย

เมื่อออกจากเกาะ Sentosa ก็เดินทางต่อไปยัง Little India ในดินแดนสิงคโปร์

ผู้คนใน Little India
Belief
Street of Art
Walking through the different and learning what the world is.

นั่งรถบัสชมเมืองแบบ Slow life ไปต่อยัง National Gallery Singapore

ลองนั่งรถเมล์บ้านเขาดูบ้าง ครั้งนี้ได้นั่งรถเมล์ 2 ชั้นด้วยนะ
แวะหอศิลป์ National Gallery Singapore
แวะหาคุณเมอร์ไลออน แต่คุณเมอร์ไลออนเขาต้องพักร่างกาย ฉันเลยเจอเขาได้แค่นี้

สุนทรียภาพไม่ได้มีเพียงมาสิงคโปร์เพื่อดูเมอร์ไลออนพ่นน้ำ แต่สุนทรียภาพมันมีหลายแบบ ครั้งนี้ก็ได้เปิดประสาทสัมผัสทางการได้ยิน เพื่อชื่นชมดนตรีสดริมแม่น้ำ

ดนตรียามเย็น
ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี
แสงไฟเริ่มเข้ามาแทนที่
ด้วยความมือลั่นกดชัตเตอร์ เลยได้รูปนี้มางงๆ
บรรยากาศวัดพระเขี้ยวแก้ว ตอนกลางคืน

หลังจากนั้นก็เดินทางกลับ เก็บกระเป๋าแล้วไปต่อยัง Aljunied ครั้งนี้ฉันก็ยังคงพักแบบ Capsule อีกเช่นเคย ด้วยความที่หาไดร์เป่าผม จึงได้เพื่อนใหม่ชาวฝรั่งเศสมาหนึ่งคน จากที่คุยกันได้สักพัก ก็เริ่มได้รับแรงบันดาลใจจากเพื่อนในการเดินทางเที่ยวรอบโลกแล้วล่ะ เพราะตอนนี้เพื่อนกำลังทำแบบนั้นอยู่

Capsule อีกเช่นเคย ฮ่าๆ

Day6 กลับ "บ้าน"

6 โมงเช้า ถึงเวลาของการเดินทางกลับ

ใจหาย แบบต้องหายใจ

ครั้งนี้เป็นการเดินทางยาวไกล ที่ต้องวางแผนบ้าง ไม่วางแผนบ้าง

การออกเดินทางครั้งนี้ได้เรียนรู้จากความหลากหลาย

หลายเชื้อชาติ หลายศาสนา

ความหลากหลายที่นำพามาสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

ยิ่งออกเดินทางก็ยิ่งได้สัมผัส

สัมผัสในความเป็นตัวเรา

รับรู้ในสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราพยายามที่จะแสดง

แสดงออกในความเป็นเรา อย่างไม่มีใครตัดสิน

การเดินทางครั้งนี้มันมีคุณค่าและมีความหมายต่อฉันจริงๆนะ

.

ปล. สรุปงบการเดินทางที่ใช้ใน 6 วัน

- ค่าเครื่องบินจาก ดอนเมืองไปหาดใหญ่ 1,300 บาท

- ค่าเครื่องบินจาก สิงคโปร์มาสุวรรณภูมิ 2,600 บาท

- ค่าเดินทาง รถไฟ รถบัส รถไฟฟ้า รวมๆแล้วประมาณ 2,000 บาท

- ค่าที่พัก แบบ Hostel / Capsule 5 คืน (ประมาณ 400+600+600+1,300+1,200= 4,100 บาท)

- ค่าของกิน ประมาณ 5,120 บาท

รวมประมาณ 15,120 บาท

บันทึกเอาไว้ ประสบการณ์นี้ไม่ได้หาง่ายๆนะ

ถ้าอยากรู้ก็ต้องออกเดินทาง ^^'

จาก ผ.ผึ้ง ผู้บันทึก 3 ประเทศ

Bee Reflective Journal

 วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เวลา 21.30 น.

ความคิดเห็น