Let's go south เที่ยวภาคใต้กันเถอะ



สวัสดีครับ วันนี้ Tummeng Travelจะพา ทุกท่านไปเที่ยว ภาคใต้ อีกครั้งนะครับ รีวิวนี้ เป้นการ พาไปเที่ยว หาดใหญ่ - พัทลุง



หากพูดถึงทั้งสองที่ นี้ ผมแทบจะบอกได้เลยว่าไม่เคยไปเที่ยว เพราะ เคยไปหาดใหญ่ครั้งนึง แต่เป็นการ ลงเครื่องเพื่อต่อรถไปสตูล เท่านั้นเอง



ครั้งนี้ ผมได้รับการเชิญชวน จาก ททท ภาคใต้ ให้ไปเที่ยว หาดใหญ่ ในเทศการบอลลูน นานาชาติ และ ต่อไปเที่ยว ทะเลน้อย ที่พัทลุง ผมจึงตกปากรับคำทันที จึงกลายมาเป็นรีวิวนี้ครับ



ครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวแบบกลุ่ม กับบล๊อกเกอร์หลายคนนะครับ จึงอาจจะ บอกรายละเอียดการเดินทาง ได้ไม่หมดละเอียกเท่าไหร่ เพราะ นั่งรถตู้ที่ทาง ททท จัดให้ ครับ แต่ก็เชื่อว่า เนื้อหาในรีวิว นี้ น่าจะทำให้หลายๆท่าน อยากไปเที่ยว หาดใหญ่ และ พัทลุง ไม่มากก็น้อย ละครับ



และหาก ท่านใดต้องการ ติดตามชมรีวิวเก่าๆของผมสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://pantip.com/profile/243129



ส่วนใครอยากติดตามผลงานแบบอัพเดตทันใจ เชิญได้ที่ แฟนเพจ https://www.facebook.com/TummengMagazine



###########################################


SR=ททท ภาคใต้ ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางทั้งหมด

###########################################



และ หากท่านพึงพอใจ ในรีวิวนี้ ฝากให้กำลังใจกันสักนิดด้วยการ ทิ้ง ข้อความ คอมเม้น ไว้ด้านล่าง สักนิดเป็นการทักทายกัน



เชิญติดตามได้ครับ



ปล. เพื่อ อรรถรสในการชมรีวิวนี้ เนื่องจากรีวิวนี้ มีรูป 100 กว่ารูป แนะนำให้ เปิดกระทู้ทิ้งไว้ แล้วค่อยกับมาชม อีกที ก็ได้ นะครับจากการเรียนวิขา สังคมศึกษา เรื่อง ประเทศของเรา ในตอนเด็ก ทำให้ผมรู้จัก พัทลุง แต่เพียงว่าเป้นจังหวัดที่ไม่ติดทะเล ของภาคใต้ และ สถานที่เที่ยวที่สำคัญคือ ทะเลน้อย เป็นทะเลสาปน้ำจืด ที่มีดอกบัวแค่นี้จริงๆ ในหัวผมก่อนเดินทางไปทริปนี้



ส่วนหาดใหญ่ ผมเห็น และรู้ข้อมูลมามากมาย แต่ คำว่า งานบอลลูน นานาชาติ เป้นแรงจูงใจ ชั้นดี สำหรับผผม



ดังนั้นทริปนี้ จึงมีกำหนดการเที่ยว หลักๆ ดังนี้



- เที่ยวหาดใหญ่ โดมหิมะ เขาตังกวน งานบอลลูน

- เที่ยวพัทลุง ทะเลน้อย ชมทะเลดอกบัว และ ควายว่ายน้ำ ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ ปากประ



ทริปนี้ผมออกเดินทางจาก ดอนเมืองไฟล์ท เช้าสุดเลยครับ เพื่อไปลง หาดใหญ่ ถ้าจำไม่ผิด 6.30 น.



ไปทำไมแต่เช้านะเหรอ ....................



นี่ไงครับ เพื่อไปให้ทัน อาหารเช้า ของคนหาดใหญ่ ที่ นิยม กันมาก



ติ่มซำ หยำฉา .......................



วันนี้เราไปทานกันที่ ร้าน กุ๊กชัย ครับ เป็นร้าน แต่เตี๊ยม ที่ขายดี ของที่นี่ นึ่งกันสดๆ เลือกเองแล้วมานึ่ง เสิร์ฟกันเห็น ๆ

และเมนู ที่ขึ้นชื่อ ก่อนที่ผมจะไป โดยได้รับการบอกจากพี่เขยผมคนหาดใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของโชคดีติ่มซำ ก็คือ ร้านกุ๊กชัย ต้องไปกินราดหน้าหัวปลา นะ อร่อยมาก



จัดไป ไม่พลาด ................

หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว โปรแกรมแรกของวันนี้ ก้คือ การไปนั่งรถราง ชมเมือง เก่า สงขลาครับ โดยเราไปขึ้นที่ พิพิธภัณฑ์ธำมะรงค์ ซึ่งเป็น บ้านเก่าของ ป๋าเปรม ครับ มีการจำลอง ไว้ให้ชม



แน่นอนขึ้นรถรางต้องมี คนบรรยาย ด้วยครับ

รถราง จะวิ่งไป ถนนนางงาม ถนนนครใน บริเวณนี้ จะมี สถาปัตยกรรมแบบ ชิโน - โปตุกีส แบบ โบราณ ให้ชม มีบ้านแบบจีน โบราณ ให้ชมครับ


จนสุดท้าย รถรางวิ่งมาจอดที่ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งเป้น โรงเรียนสอนภาษาจีน และ มีโรงงิ้วด้วย



ที่สำคัญ ที่นี่มีร้านก๋วยเตี๋ยวใต้โรงงิ้วที่ขายก๋วยเตี๋ยว กันใต้โรงงิ้วจริงๆ คนกิน ต้องมุดเข้าไปนั่งกิน ข้างใต้



ไม่เชื่อลองดูในภาพครับ มุดจริง กินจริง

หลังจากนั่งรถรางชมเมืองเสร็จ เราก็ ย้ายไปยัง Landmark ของเมืองสงขลาครับ จุดแรกที่เราไปกันคือ พญานาคพ่นน้ำ บริเวณ ชายหาดสมิหลา ตั้งอยู่บริเวณสวนสองทะเล ปลายแหลมสนอ่อน



ที่นี่จะมี เรือ ประมง และ เรือสินค้า วิ่งเข้าออกเยอะ เลย สร้างพระนาคพ่นน้ำไว้ ให้เป้นจุดสังเกตุ และจริงๆ ก็อยากสร้างให้ เหมือน เมอไลอ้อน ที่ สิงค์โปร ด้วย
ที่หาดสมิหลา จะมีสัญลักษณ์ของเมืองสงขลาอีกหนึ่งจุด นั่นก็คือรูปปั้น นางเงือก ที่มีที่มาจากวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณี ซึ่งอันนี้ ผมเห้นมาตั้งแต่เด็ก ว่าใครมาสงขลา ต้อง ถ่ายรูปคู่กับ นางเงือกนี้ แสดงให้เห็นว่า ฉันมาถึงแล้วนะ

ที่นี่เป็นหาด ที่ คนสงขลา จะมาพักผ่อนหย่อนใจ พาลูกหลานมาเล่นน้ำทะเล หรือ แค่ มานั่งดูวิวทะเล รับลม รับแดด เป็นสถานที่ สำหรับครอบครัว อีกแห่งหนึ่งเลย ครับ


ออกจาก หาดสมิหลา แวะทานข้าวเที่ยงแล้ว ก็ไปต่อกันที่ ยอดเขาตังกวน เป็นเนินเขาสูงที่มองเห็นวิวโดยรอบตัวเมืองสงขลา มองเห็นเกาะหนู เกาะแมว


ตรงนี้ เรานั่งรถกระเช้า ขึ้นไปกันนะครับ เพื่อไปชมวิว เมืองสงขลา และ เกาะหนู เกาะแมว บางทีก็งง ว่า ทำไม เกาะหนู ใหญ่ กว่า เกาะแมว


ความเป็นมาของเขาตังกวน ก็มาจากนิทานเรื่องเกาะหนู เกาะแมว ที่เล่าว่า "มีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งคุมเรือสำเภาเดินทางมาค้าขายระหว่างจีนกับสงขลาเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้า ผู้นี้ได้ซื้อหมากับแมวลงเรือไปเมืองจีนด้วย หมากับแมวอยู่บนเรือนานๆเกิดความเบื่อหน่ายจึงปรึกษา หาวิธีการที่จะกลับบ้าน หมากับแมวได้ทราบว่าพ่อค้ามีดวงแก้ววิเศษที่ทำให้ไม่จมน้ำ แมวจึงคิดอุบาย โดยให้หนูไปขโมยแก้ววิเศษของพ่อค้ามา และหนูขอหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ทั้งสามว่ายน้ำหนีลงจากเรือ โดยที่หนูอมดวงแก้วเอาไว้ในปาก ขณะนั้นหนู นึกขึ้นได้ว่าถ้าถึงฝั่ง หมากับแมวคงจะแย่งเอาดวงแก้ว ไปจึงคิดที่จะหนี ฝ่ายแมวซึ่งว่ายตามหลังมาก็คิดเช่นกัน จึงว่ายน้ำรี่ไปหาหนู หนูตกใจว่ายน้ำหนีไม่ทัน ระวังตัว ดวงแก้ววิเศษที่อมไว้จึงตกลงจมหายไปในน้ำ หนูและแมว ต่างก็หมดแรงจมน้ำตายกลายเป็น เกาะหนูเกาะแมวอยู่ที่อ่าวหน้าเมือง ส่วนหมาตะเกียกตะกาย ว่ายน้ำไปจนถึงฝั่ง และสิ้นใจตายด้วย ความเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นหินเขาตังกวนอยู่ริมอ่าวสงขลา ดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูแตก ละเอียดกลายเป็นหาดทรายแก้วอยู่ทางด้านเหนือของแหลมสน"



หลังจากนั้นเราก็เดินไปอีกด้านของยอดเขา จะมี จุดหนึ่ง ที่ เป็นทางแยกออกไป เพื่อไปชม สถาปัตยกรรม อันหนึ่ง เรียกว่า ศาลาพระวิหารแดง

ประวัติการก่อสร้างศาลาพระวิหารแดง พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้สร้างพลับพลาที่ประทับนี้แต่ยังคงสร้างค้างอยู่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสแหลมมลายูถึงเมืองสงขลา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นนมัสการพระเจดีย์บนยอดเขาตังกวน มีพระราชศรัทธาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างศาลาพระวิหารจนสำเร็จในเวลาต่อมา แล้วยังทรงพระราชดำริให้สร้างบันไดนาคขึ้นจาก พลับพลา สำเร็จเรียบร้อยในปี พ.ศ. 2440 วิวสวยหน้าศาลาพระวิหารแดง พลับพลาที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หันหน้าพลับพลาไปด้านเชิงเขาด้านหนึ่งของเขาตังกวน เป็นบริเวณที่วิวเปิดเห็นทิวทัศน์ได้ไกล และสวยงามมากภายในศาลาพระวิหารแดง ลักษณะการก่อสร้างภายใน เป็นเสามีช่องทางเดินทะลุถึงกันแต่ละช่องมีขนาดเท่ากัน และเป็นแบบเดียวกันทั้งหมดอย่างที่เห็นในภาพนี้เลยครับมองจากด้านหน้า จะทะลุไปจนถึงด้านหลัง มองจากด้านข้างด้านหนึ่งจะ ทะลุไปจนถึงอีกด้านหนึ่ง ช่องทางด้านหน้าและด้านหลัง ช่องทางเดินเข้าออกศาลาพระวิหารแดง คงไม่เรียกว่าประตูเพราะไม่มี ทั้งบานประตูและบานหน้าต่าง ด้านหลังเป็นทางไปบันไดนาคขึ้นยอดเขาตังกวนและพระเจดีย์หลวง ช่องด้านหน้าเป็นทางเดินลงไป เชิงเขาทางบันได


เจดีย์พระธาตุ


พระเจดีย์หลวง พระเจดีย์หลวงเป็นอีกหนึ่งในโบราณสถานที่สำคัญของเขาตังกวน พระเจดีย์ก่ออิฐถือปูนทรงระฆัง สันนิษฐานว่าเป็น พระเจดีย์โบราณที่มีมานาน แต่ไม่ปรากฎหลักฐานความเป็นมาที่ชัดเจน จนต่อมาในปี พ.ศ.2402 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองสงขลา หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2409 จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินหลวง 37 ชั่ง ให้เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น) ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ให้สูงใหญ่กว่าของเก่า และในครั้งนั้น เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น)ได้ สร้างคฤห์ไว้ที่ฐานพระเจดีย์ และต่อเติมเก๋งที่มุมกำแพง พระเจดีย์หลวงเป็นพระเจดีย์คู่บ้านคู่เมือง ของสงขลาจึงมีการบูรณะซ่อม แซมมาโดยตลอด ในปีพ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าพระราชทาน พระบรมสารีริกธาตุ และเครื่องสักการะบูชาประดิษฐานไว้ ณ พระเจดีย์หลวง เพื่อไว้เป็นที่สักการะบูชาของชาวเมืองสงขลาสืบต่อไป



ด้านหลังของเจดีย์ จะมี กิจกรรมอีกอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่าใครเป้นคนเริ่มคนแรก แต่ กลายเป้นกิจกรรม ที่ หลายๆคน มาที่นี่แล้ว ต้องทำ นั่นคือ เอากุญแจ คู่รักมาคล้องไว้ ที่ราวกั้น ฝั่งลานชมวิวเมืองสงขลา

อยู่บนเขาตังกวน อากาศร้อนมาก ถึงมากที่สุด



หลังจากลงมา เราเดินทาง กลับมาที่หาดใหญ่ เพื่อเข้าชม Hatyai Ice Dome คลายร้อนกันดีกว่าครับ

"หาดใหญ่ ไอซ์โดม" ที่เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่างเทศบาลนครหาดใหญ่ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในโดมจะมีอยู่ 2 ส่วนคือ ส่วนการแสดงประติมากรรมน้ำแข็ง ภายใต้อุณหภูมิ ติดลบ 15 องศาเซลเซียส กับลานหิมะที่ อุณหภูมิ ติดลบ 20 องศาเซลเซียส


เข้าไปก็เช่า ชุดกันหนาวกันเลยครับ มีเสื้อ กับ ถุงมือ ให้เช่า ครับ เพราะ ในนี้ อุณหภูมิ -20 องศา เซลเซียส นะครับ ส่วนใครมีกล้องเข้าไปจัดการห่อให้มิดชิดนะครับ ไม่งั้นกล้อง ขึ้นฝ้า ถ่ายไม่ได้



ข้างในแบ่งเป็นสองโซนนะครับ โซนแรกปค่ -5 เป้นห้อง ประติมากรรม น้ำแข็ง จะมีการเอาน้ำแข็ง มาแกะสลักเป้นรูปต่างให้ชม มีสไลด์เดอร์ น้ำแข็งให้เล่นด้วย


ส่วนอีกโซน เป็นห้อง เล่น หิมะ -20องศา หนาวมา ห้องนี้ อยู่ได้ไม่นานนะครับ


แน่นอน มีให้เล่น ไถลหิมะ ด้วย ห่วงยางมรให้ ใครอยากเล่น ไปขี่ ลงมาเลย ครับ สำหรับผม หนาวจน ขาแข็ง ไม่ขอเล่นดีกว่า


ถึงแม้จะหนาวแค่ใหน แต่ก้มักจะมีคนอยากทดลองความอึดของตัวเองครับ


ออกจาก ไอซ์โดม เราก้กลับมา เข้างาน เทศกาลบอลลูน ที่จัดขึ้นที่ สนามกีฬาจิระนคร หาดใหญ่ ครับ เพื่อชม การแสดง และพิธี เปิด ในช่วงเย็น โดยในวันแรกนี้ ยังไม่มีการปล่อย บอลลูนครับ มีแค่เอาบอลลูน มา ขึ้นลง โชว์ให้ ผู้คนที่เข้ามาร่วมงานพิธีเปิด ได้ ทดลอง ขึ้นลง ในระยะ 5 m ครับ



ซึ่งงานนี้ จัดเป้นปีแรก ก็ได้รับความสนใจ จาก พี่น้องชาวหาดใหญ่ และไกล้เคียงอย่างล้นหลามพ่อแม่ ผู้ปกครองพาลูกพาหลานมาดูกันเต็มไปหมด

แต่การแสดงและพิธีเปิด เริ่ม 1 ทุ่ม ผมจึงทักท้วง ทีมงาน ว่า งั้นเรา ค่อยกลับมาดูทีหลังได้ใหม เพราะ ผมมีที่ๆหนึ่ง ที่อยากไปและ เล็งไว้นานแล้ว ว่าถ้าได้มาต้องไปเก็บภาพยามเย้น สถานที่นั้นให้ได้


แน่นอนครับ หากคุณเป้นตากล้องแล้ว การมาสงขลา คุณจะต้องไม่พลาดที่จะไปเก็บแสงเย็น ที่"มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม สงขลา" หรือเรียกกันว่า มัสยิดกลางสงขลา เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิม ในสงขลา เป็นมัสยิดที่ใหญ่และอลังการมาก เรียกได้ว่าเป็น "ทัชมาฮาลเมืองไทย" ได้เลย



เรามาถึง ช่วงพระอาทิตย์กำลัง จะตกพอดี ถือว่าโชคดีมากๆ เพราะตอนแรก มีรถ บัส และ รถตู้จอดบัง อยู่ แต่สักพักรถก็ไป



ทำให้เราสามารถ นั่งเก็บภาพตรงนี้จนหมดแสงเลยครับ

และโชคดีอีกนิดคือ วันนี้ ฟ้าเปิด มีเมฆ เล็กน้อย


ถ่ายเป้นร้อยรูปเลย ครับ เปลี่ยน โหมด เปลี่ยนไวท์บลาลานซ์กันไป จนเต็มอิ่ม


จริงๆ หากมีเวลา อีกสักนิด เราสามารถ เดินไปถ่ายมุมอื่นๆ ของ มัสยิด ได้ครับ จะได้ ไม่ต้อง มีมุมนี้มุมเดียว


ถ่ายจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เหลือแต่แสงสีแดงไว้ จย่างเข้าสู้ช่วงแสงทไวไลท์


หลังจากนั้น เราก็รีบกลับมาให้ทัน ชมการแสดง แสงสีเสียง ในงาน บอลลูนนานาชาติ ครับ มาถึง กำลัง เริ่มการแสดง พอดี


เช้าวันถัดมาเราต้องตื่น จั้งแต่ตี 5เพื่อ มาฟังบรรยาย และ เตรียมพร้อม ในการ ที่จะขึ้นบอลลูน ไปกับ นักบอลลูน ต่างชาติ ที่มาในงานนี้ ถือ ว่าเป็นโอกาส ที่ดีมากๆครับ เพราะ บอลลูล 1 ลูก ขึ้นได้ แค่ ไม่กี่คนเองครับ 4-6 คนเท่านั้น



นี่คือภาพที่ กำลังย่างก้าวไปสู้บอลลุน ที่ แต่ละคน โดนจับแยกไป บอลลูน ละ 1 -2 คนครับ

เมื่อถึงเวลา นักบอลลูน และทีมงานก้เอาบอลลุน มาเติมแก๊ส เพื่อที่จะลอยขึ้นไป ตามกำหนดการครับ


ตามกำหนด บอลลูนที่ผมขึ้น จะลอยขึ้นเป้นลูกท้ายๆ เลยครับ ได้แต่อิจฉา คนที่ขึ้นไปก่อน



และ ตื่นเต้น ว่าเมื่อไหร่ ของผม จะขึ้นซะที

มีบอลลูนมาร่วมงาน จากหลายประเทศเลยครับ ทั้ง ไทย ไต้หวัน ฮอลแลนด์ และ อีกหลายประเทศ เลย


เมื่อถึงเวลาผมก็ถูกเรียกให้ขึ้นกระเช้าครับ ตื่นเต้นมากจนบอลลูน ลอยขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่รู้ หันไปอีกที ก็เห้นภาพนี้แล้ว


เมื่อบอลลุนลอยขึ้นไป สูงแล้ว ก้ต้อง อาศัย ทิศทางลม ละครับ ว่า จะพัดพาไปทางได้


บอลลุนใช้เวลาบินชมเมืองหาดใหญ่ ประมาณ 40 นาที ครับ ก็ ร่อนลง ทางทุ่ง ไกล้ๆ หมู้บ้าน ห่างจากตัวเมือง ออกมา เกือบ 20 โล



เมื่อบอลลูนลงจอด ก็จะได้ รับ ความสนใจ จาก ชาวบ้านในละแวกนั้นครับ

นักบอลลูน ที่ผมไปด้วย แกมาจาก ไต้หวัน แกคงรู้ว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ เลยเตรียม ลูกอมไว้ ด้วย เพื่อเอามาแจกเด็กๆ ระหว่างรอ รถของทึมงานมาเก็บบอลลูนครับ


หลังจากลงจากบอลลูน เราเดินทางไปยังอ.สิงหนคร ไปศึกษาวิถีชีวิตชาวบ้าน ชมวิถีชีวิต โหนด นา ไผ่ คน ชมการสาธิตทำน้ำตาลมะพร้าว ชิมน้ำตาลสด และผลิตภัณฑ์จากลูกตาลครับ



ด้วยการต้อนรับของท่าน นายก อบต. รำแดง ท่าน อุดม ทักระ ได้อธิบายถึงวิถึชีวิตของชาวบ้านที่นี่ รวมไปถึงทฤษฏี โหนด นา ไผ่ คน ที่อยู่ในศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง บ้านทักษิณาธาร ที่สร้างตามแบบบ้านเคหะชนบทแบบบูรณาการ



และเยี่ยมชมการสาธิต วีธีการทำน้ำตาลโตนด ครับ

โดยสามารถ เอามา ประยุกต์ ทำเป้น สินค้า OTOP ขายเป้นของฝากได้ด้วย เช่นทำพายลูกตาล อันนี้ อร่อยมาก เลยครับ



ท่านนายก เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์มากครับ สามารถ ที่จะทำให้ ทุ่งนา ธรรมดา ที่มีต้นตาลโตนดอยู่คันนา กลายมาเป็นDream Destinations เส้นทางสายดอกไม้ ที่ลงในหนังสือ ของ ททท ในนามDream Destinations2

จากแบบนี้ กลายเป้นแบบนี้


หลังจากทานอาหารเที่ยงที่เลท มาเกือบจะ บ่ายสอง เสร็จ แล้ว เราก็เดินทางไปต่อ ยัง วัดพะโคะ เพื่อ นมัสการ รูปหล่อ และ บ่อน้ำซักจีวร ของ หลวงปู่ทวดครับ

ตกเย็นเราเดินทาง ยังตลาดคลองแดน เพื่อเดินเล่น ชมตลาดน้ำ"คลองแดน สามคลอง สองเมือง" โดยลำคลอง 3 สายได้แก่ คลองระโนด คลองชะอวด และคลองปากพนัง เชื่อมต่อบรรจบกัน ณ จุดนี้ เป็นเส้นแบ่งเขตแดน 2 จังหวัด คือ ตำบลคลองแดน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา กับตำบลรามแก้ว อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช


มีผู้คนมาเดินจับจ่ายใช้สอย เป้นจำนวนมาก บ้างก้ซื้อกลับไปบ้าน บ้างก็นั่งกินริมคลองนั่นเลย


สินค้าก้จะเป้น อาหารพื้นเมือง ขนมโบราณ และ ของฝากเล็กๆน้อย


มีการแสดงเล็กๆน้อย เพื่อเพิ่มอรรถรส ให้แก่ผู้ที่ นั่งทานอาหารบริเวณนั้น และผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอย



เป็นการแสดง รำโนรา ดดยนักเรียน แถวนั้น

เราใช้เวลา เดินเล่น แวะชิม นั่นนี่ สักพัก จนถึง มืด


ก่อนจะเดินทางไป ทานอาหารเย็น ที่พัทลุงต่อไปเป็นการจบภาระกิจในวันที่ สอง ครับ


เช้าวันที่ 3 วันนี้เราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืดประมาณ 4.30 น. เพื่อมาเก็บแสงแรกยามเช้าที่ ปากคลองปากประ ซึ่งที่ปากประนี้จะมี "ยอยักษ์" ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านแถวนั้น และที่นี่ยังเป้นอีกหนึ่ง Destination ของตากล้องทั้งหลาย ที่ต้องมาสักครั้งให้ได้ ว่ากันว่าเป้นจุดชมพระอาทิตยืขึ้นที่สวยสุดๆแห่งหนึ่งในประเทศไทยเลยก้ว่าได้ครับ



จุดที่เราตั้งกล้องถ่ายจะเป็นสะพานปูนที่อยู่ตรงปากคลองพอดีทำให้สามารถมองเห็นวิวของ ยอได้หรือใครจะนั่งเรืออกไป ถ่ายก็ได้ ครับ เหมาเรือชาวบ้าน หรือ เรือ ของรีสอร์ท แถวๆนั้นไปครับ

แต่ก็อย่างที่บอกครับ ผมไปที่ไหน เมฆมักจะตามไปให้กำลังใจผมเสมอๆ วันนี้ก้เช่นกัน เมฆเยอะจนบังพระอาทิตย์ขึ้น ไม่เห้นสักนิดเลย


และแน่นอนครับ ที่ปากประ นี่ คงไม่ใช่ ครั้งแรก และครั้งเดียวของผมแน่นอนครับ สำหรับ ทางเดิน สายตากล้อง และท่องเที่ยว ของผม



ด้วยอุปกรณืที่ไม่อำนวย ม่านใบพัด ปิดเลนส์ 70-300 ของผม มัน รวนๆ ปิดเปิดไม่สนิท ทำให้ ภาพ ไม่ค่อยดี สักเท่าไหร่ ในทริปนี้


สายๆของวันเราเดินทางไปยังแหล่งกบดานของผุ้ก่อการร้ายครับ เอ้ยยย ไม่ใช่ เพื่อนร่วมทริปแต่งตัวซะเหมือนเชียว



เราเดินทางไปยัง "ถ้ำวังมัจฉา" ที่ใกล้อยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาปู่เขาย่า ภายในถ้ำมี หินงอกหินย้อย ทางเดินด้านในไม่มีแหล่งกำเนิดไฟนะครับ ถ้าจะเข้ามาต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนจะเข้าไปครับ เพื่อความปลอดภัย

ภายในจะมี น้ำไหลผ่าน และมีหินงอกหินย้อย ให้ชม แต่จะมืดมาก ต้องเตรียมไฟฉายไปด้วยนะครับ

ช่วงบ่าย เราเดินทางจาก ที่พักในตัวเมืองพัทลุง ไปยังที่พักในคืนที่3 ที่ ทะเลน้อยพัทลุง ครับ



จุดนึงที่อยากให้แวะมาลองกันคือ "ร้านขนมหวานป้ากี้" เป็นร้านขนมหวานไทย ๆ ที่อร่อยและราคาไม่แพงครับ มีขนมหวานให้เลือกชิมกันหลายแบบ จะเปิดร้านเวลาประมาณ 11.00 - 17.00 เวลาปิดนี่จากที่ถามคือถ้าขายดีของหมดเร็วก็ปิดเร็วครับ และเมนู แนะนำ คือ สาคูแดง ครับ อร่อยสุดๆ

เราเดินทางมาถึงทะเลน้อย ช่วงบ่าย เข้าที่พัก และเดินเล่น ชมความงาม ของทะเลสาปน้ำจืด ที่เป็นสถานที่ขึ้นชื่อของพัทลุง ครับ



ในทะเลน้อย นอกจากจะมีดอกบัวเป็นล้านๆดอก ยังมี นกนานาพันธ์ ที่มาอาศัย พักพิง หาอาหาร บริเวณ นี้อีกด้วย


นอกจากนี้ยังเป็นปหล่งพักผ่อนหย่อนใจของผู้มาเยือน ทะเลน้อยแห่งนี้


เดินเล่นพักผ่อนจนถึงช่วงเย็น ก่อนจะไปยังจุดหมายต่อไป ของพัทลุง


จุดหมายในเย็นวันที่ 3 ก็คือ "ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" เป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในประเทศไทย สร้างตามแนวระหว่างทะเลน้อยจังหวัดพัทลุงกับทะเลหลวงของจังหวัดสงขลา เดิมชื่อถนนสายบ้านไสกลิ้ง – บ้านหัวป่าภายหลังสร้างเสร็จได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ถนนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550" เพื่อให้เหมาะสมกับปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


เป็นจุดถ่ายพระอาทิตยืตก ที่สวยสุดๆอีกที่หนึ่งครับ


วันที่ไป รถไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ยังพอ ถ่ายกันแบบนี้ได้ นะครับ หากรถเยอะๆ อย่าเลียนแบบนะครับ อันตราย เพราะ รถวิ่งมาเร้ว เหมือนกัน แถวนี้


อยู่จน พระอาทิตย์ แต่เมฆมาบัง เช่นเดิมครับ


มื้อค่ำวันนี้ เราเดินทางไป ทานกันที่ ศรีปากประ รีสอรืท เป้น อีกสถานที่หนึ่ง ที่ จะสามารถ ถ่าย ยอยักษ์ ได้ ครับ ใครพักที่นี่ ตื่นเช้ามาก็เดินออกไปถ่ายได้ เลยครับ


ตกดึกคืนนั้น เนื่องจาก ฟ้าใส มีเมฆเพียงเล็กน้อย จึงชวนกันออกมาถ่าย ดาว กันครับ


จิบเบียร์ นั่งรับลมเย็นๆ ที่พัดมาเอื่อยๆ ก่อนเข้านอนครับ

เช้าของวันที่ 4 เรามีภารกิจ ต้องนั่งเรือออกไปชม ล้านบัวแดง ที่ทะเลน้อย พร้อมกับชม ฝูงควายน้ำกันครับ


ต้องออกกันตั้งแต่เช้ามืดครับ เพราะ เราจะทำการจ้างเรือหางยาวไปยัง สะพาน ที่เราไปเมื่อเย้นวานครับ ไกลเหมือนกัน นั่งเรือไปประมาณ 40 นาที


ระหว่างทาง ก้จะเจอ วิถีชีวิต ของคนในท้องถิ่น ที่ต้อง ทำมาหากิน กับ ทะเลน้อยครับ


แต่เมื่อนั่งเรือไปสักพัก ผมเห้น พระอาทิตย์ขึ้นมาแบบนี้ ผมนึกถึง จุดชมวิวตรงปากประเลย คงจะสวยน่าดู


เมื่อเห้นแบบนี้ ก้เลยบอกพี่คนขับเรือ ให้ชลอความเร้ว เพื่อ จอดถ่ายพระอาทิตย์กันก่อน


กลายเป้นภารกิจ ตามหาดวงตะวันกันไป



ไข่แดง มาให้เห้นแบบเต็มๆ ดวงกลมสีแดงสด สวยงามมาก ณ เวลา นั้น


ดั่งต้องมนตืสะกด เรือ ของ คณะเราทั้ง 4 ลำจอดกันหมดเพื่อเก็บภาพ นั้น


ถ่ายพระอาทิตย์ กันเพลินๆ ก็ได้ ยินเสียง น้ำกระเซ้น ตูมตามๆ หันไปดู อ้าว...กลายเป้นจุดหมายแรกที่เราจะมาถ่าย นั่น คือ ฝูงควายน้ำ หรือ ฝุงควาย ที่ลงมาว่ายน้ำ เพื่อหาหญ้า ในน้ำกิน ครับ



มากันเยอะทีเดียว ฝูงใหญ่


จริงๆ น้ำในทะเลน้อย ตรงนี้มันไม่ลึก นะครับ ควายเลย ลงมา เดินเล่นในน้ำ ได้ นั่นเอง


มีทั้ง ตัวใหญ่ ตัวเล็ก ในฝูงนี้


จริงๆ ควายฝูงนี้มีเจ้าของ นะครับ เขาปล่อย ออกมาเพื่อให้ ควายมากินหญ้า กินน้ำแถวๆนี้ ก่อนจะกลับเข้าคอก ในตอนสายๆ


ถัดจากส่งควายแล้ว ก้หันมา ส่องนกกันครับ นก ที่ ทะเลน้อยนี้ มีมากมายหลายพันธุ์ ทั้งนกเป็ดน้ำ นกนางนวล นกอีล้ำ นกอีลุ้ม นกนางแอ่น นกยางเฟีย นกเหยี่ยว และนกต่าง ๆ อีกเยอะ จากที่รู้มาถ้าเป็นตอนต้น ๆ ฤดูกาลจะมีจำนวนนกเยอะกว่านี้ เพราะเป็นช่วงที่เริ่มจะเข้าหน้าหนาว


ในขากลับ เมื่อแสงสว่างมากขึ้น ก้ทำให้ ทะเลน้อยแห่งนี้ ถูกย้อมไปด้วย สีชมพู ของดอกบัวแดง นับล้านดอกๆ สมคำร่ำลือ



บัวอาจไม่ถื่ และหนาแน่นมากเท่าไหร่ เพราะ เรือต้องสัญจรไปมา ในทะเลน้อยแห่งนี้


ในกลุ่มดอกบัวสีชมพู ก้จะมี ดอกบัวสีขาว แทรกขึ้นมา กอหนึ่ง ครับ ดูแล้ว แปลกดีเหมือนกัน


ไม่ว่าจะขาวหรือแดง ก็อยู่ร่วมกันได้ ไม่เบียดเบียนกันครับ


ออกมาตั้งแต่ เกือบหกโมง เป้นเวลา กว่าสองชั่วโมง ที่เรา นั่งบนเรือ ชมความงาม ในรูปแบบต่างๆ ของทะเลน้อย ในสนนราคา เช่าเหมาลำ แค่ 450 บาท นั่งได้ 4-6 คน แต่แนะนำว่า อย่าเกิน 4 คนเพราะ ในส่วนชมนกบางที น้ำตื่น เรือ เข้าไปไม่ได้


หลังจากเก็บภาพที่ทะเลน้อยเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับไปหาดใหญ่ครับ แต่ก่อนกลับเข้าตัวเมืองหาดใหญ่ เราขอไปแวะกันที่นึงก่อนครับ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร "สวนสะละลุงถัน"ครับ


เผื่อใคร อยากซื้อสะละ กลับมาฝากคนทางบ้านครับ

ที่นี่ยังมีกิจกรรม ให้ คนที่มาเที่ยวชม ผสมพันธ์สะละแล้วเขียนชื่อ และเบอรืโทรไว้ หากมัน ออกผล มาแล้ว ก้จะให้ กลับมาตัด มันไปกินครับ



และมื้อ สุดท้ายของทริปนี้ ในที่สุด ผมก็ได้ มากิน ไก่ทอดหาดใหญ่ ต้นตำหรับ ที่มีสาขา ไปทั่วประเทศ เพราะ ไก้ทอดเจ้าใหนอร่อยๆ ไม่ว่าจังหวัดใหนๆ ก้จะบอกว่าเป้นไก่ทอดหาดใหญ่ ครับ



ครั้งนี้ได้ มากินถึงที่ซะที รสชาด ก้อร่อยสมคำร่ำลือ แน่นอน ครับ กับ เจ้านี้

ก่อนกลับ สุดท้าย ใครอยากซื้อของฝากอะไรไปให้ใคร สามารถแวะไปซื้อได้ ที่ ตลาดกิมหยง ที่มีขายพวก สินค้านำเข้า ส่งออก ต่างๆ



ใครชอบ เม็ดมะม่วงหินมพาน หรือ พวก ผลไม้ แช่อิ่มทั้งหลายหรือ จะเป้น ช็อกโกแลต เชิญ เลยครับ

และแล้ว ก็จบทริป ครับ บินกลับด้วยสายการบินนกแอร์ อีกครั้ง



จากทริปนี้ ทำให้ มุมมองการเที่ยว ของผม ต่อ สงขลา หาดใหญ่ พัทลุง เปลี่ยนไปจากที่คิดว่าไม่น่ามีอะไร แต่ก็ผิดคาด กลายเป้นมี เยอะจนต้อง มาอีกครั้งให้ได้ ครับ

สุดท้ายนี้ สำหรับทริป หาดใหญ่ - พัทลุง ต้องขอขอบคุณอีกครั้งกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กองตลาดภาคใต้, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดสงขลาที่ ชวนผมไปร่วมทริปนี้ครับ



ขอบคุณเพื่อร่วมทริปทุกคน ที่ สนุกสนานเฮฮา บางคนเพิ่งเจอกันครั้งแรก บางคนเจอกันหลายครั้ง แต่สิ่งที่ ได้ร่วมกัน และแลกเปลี่ยนกัน คือ มุมมองในการท่องเที่ยว ของแต่ละคน



และที่ลืมไม่ได้ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชม กระทู้รีวิว นี้ หากไม่มีท่าน ก้ไม่มี นักรีวิว หรือ บล๊อกเกอร์ ที่ ชื่อ Tummeng Travel คนนี้ครับ ผมสัญญาว่า จะนำเสนอ ทริปการท่องเที่ยวดีๆ ในมุมมองผม ให้ทุกท่าน ได้รับชมในโอกาส ต่อไปครับ



ขอบคุณครับ



แบกเป้เท่ทั่วโลก

 วันพฤหัสที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.39 น.

ความคิดเห็น