'หลงยุคหลงสมัย บุกย่านจีนถิ่นบางกอก' #ตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์
เมื่อวันหยุดได้เวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ผมนั้นไม่ได้ออกไปต่างจังหวัดที่ไหนไกล อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเดินเตร็ดเตร่ในกรุงดูบ้าง...ว่าแล้ว ผมก็ลองนั่งหาข้อมูลดูว่าในเมืองกรุงแห่งนี้นั้น มีอะไรให้น่าออกไปเดินหลงไปหลงมาได้ไม่มีเบื่อ เเละดูมีเสน่ห์แตกต่างจากสถานที่ทั่วไป อยากไปในที่ที่มีความเก่าแต่เก๋าไม่น้อย
จนไปสะดุดตากับสถานที่แห่งนึง ที่อารมณ์เหมือน China Town ย่อมๆ แต่คนละบรรยากาศกับเยาวราชอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งสถานที่นี้ ถูกเรียกว่า 'ต ล า ด น้ อ ย' หรือ 'ต ะ ลั ค เ กี ย ะ'
นั่งคิดนั่งหากันอยู่นาน ที่นั่นก็ไม่ใช่ ที่นี่ก็ยังไม่โดน จนไปเจอภาพๆนึงจาก website แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพของสถานที่อะไรสักอย่าง ดูเก่าๆ มีกลิ่นอายความเป็นจีน อาคารรอบข้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่กลับมีสระว่ายน้ำสีฟ้าสวยสด อยู่ใจกลางสถานที่แห่งนี้ อ่านไปอ่านมาได้ใจความว่าอยู่ที่ ย่านตลาดน้อย ในเขตสัมพันธวงศ์ แต่กลับไม่มีข้อมูลอะไรมากนักว่าคืออะไร และเรียกว่าอะไร ?
มันทำให้ผมเกิดความสงสัยว่า 'สถานที่ในภาพนี้ อยู่ที่ไหน ?'
จนต้องขอออกไปตามหา และแล้วการเดินทางคนหลงทางในครั้งนี้จึงเริ่มต้นขึ้น....
--------------------------
เริ่มต้นการเดินทางในวันนี้ ด้วยที่บริเวณ รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ผมมาถึงที่นี่เวลาประมาณบ่าย 2 นิดๆเห็นจะได้ครับ แหม...นี่ขนาดมาเลยเที่ยงพอประมาณแล้ว แต่แดดประเทศไทยเผาวัวตายควายล้มได้เลยครับ ร้อนมากกกก
มาที่แรกก็เหงื่อบานแล้วครับ ยังไม่ทันจะไปไหนต่อเลย
ทริปนี้ถามว่าทำไมผมถึงเริ่มต้นที่วัดพระแก้ว ง่ายๆเลยครับ ผมนั่งรถเมล์มาจากแถวลาดพร้าว ซึ่งตอนแรกก็คิดอยู่ว่า จะไปสายไหนและเริ่มต้นไปที่ไหนก่อนดี ก็คิดได้ว่าสาย 44 ที่ผ่านมีไปลงแถวสนามหลวง ก็ขอนั่งมาลงแถวนี้ เปิดทริปกลิ่นอายความเก่ากันที่รอบเกาะรัตนโกสินทร์ ประจวบเหมาะกับว่าผมเองก็ไม่ได้เข้าวัดพระแก้วมานานแล้วเหมือนกัน ก็เริ่มต้นทริปกันด้วยสิ่งดีๆ ก็เข้าทีไม่น้อย
ลงรถเมล์มาปุ๊บที่แรกที่ผมขอเดินเเวะเข้าไปสักการะ ก็คือ
ศาลหลักเมือง
อากาศข้างนอกร้อนแดดจ้าขนาดนี้ เราเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ
แต่เอ๊ะ...ไม่รู้เข้าไปแล้ว จะร้อนยิ่งกว่าเดิมรึป่าว 55555+
แหม...ผมก็ไม่ใช่ผีสางอะไรมาจากไหนนะครับผม เล่นเองตบเองดีแล้วครับ
เจ็บน้อยกว่าคนอื่นเล่นใส่เราเยอออออะ
ต้องเรียกว่าวันนี้ ที่นี่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่โอเคเลยนะครับ บรรยากาศกำลังดี
เสร็จแล้วเราก็เดินออกมามุ่งหน้าไปวัดพระแก้วกันดีกว่าครับ ข้างศาลหลักเมืองก็จะเป็นตึกกระทรวงกลาโหมสวยเด่น
สีเหลืองอร่าม เรียกว่าเป็นอีก Landmark สำคัญของกรุงเทพฯไปแล้วเหมือนกัน
วันนี้ที่ผมมาต้องบอกว่าเป็น
เทศกาลบัณฑิต จริงๆครับ มีมาถ่ายรูปรับปริญญาแถวนี้กันเยอะมากกกกก
กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตที่เหล่าบัณฑิตจะเลือกมาถ่ายกันอันดับต้นๆเลยทีเดียว
เอาล่ะครับ...วัดพระเเก้วอยู่ตรงหน้าแล้ว มาครับ เรามาข้ามถนนเดินไปพร้อมๆกัน รถเยอะหน่อย
คนพลุกพล่านมาก ระวังๆกันนะครับ
ผ่านพ้นประตูทางเข้ากันมาแล้ว เข้าไปกันเลยยยย
วัดพระแก้วนั้น ต้องบอกว่า
มีมนต์เสน่ห์ ไม่เคยเสื่อมคลายจริงๆ เข้ามากี่ครั้งก็ยังคงความสวยงาม
ทุกซอกทุกมุมที่มีแต่สีทองอร่าม มันช่างทำให้ผมภูมิใจในความเป็นไทยยิ่งนัก
บรรยากาศวัดพระแก้ว ยังคงคึกคัก และมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวนมากจริงๆครับ ซึ่งผมคิดว่า
น่าจะมีการจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยวต่อวันบ้างน่าจะโอเคขึ้นนะครับ เพราะคนค่อนข้างเยอะมากเกินไป
จนอาจจะไม่ได้ซึมซับความสงบของความเป็นวัดไทยสักเท่าไหร่
บางมุมนี่มีแต่คนจริงๆครับ มีแต่เสียงดังๆวุ่นวาย นักท่องเที่ยว-ไกด์ ตะโกนกันไปมา มองไปแทบไม่เห็นความเป็นวัดเลย
คือแทบไม่รู้เลยครับว่าเรายืนอยู่ที่ไหน เหมือนอยู่ท่ามกลางทัวร์จีนอะไรสักอย่างรอบตัวเราไปหมด
วัดพระแก้วของผม จึงได้รูปมาไม่มากเลยครับ บางจุดก็ถ่ายอะไรไม่ได้จริงๆ TT
เก็บภาพกันได้เพียงเท่านี้ ผมก็ขอไปต่อกันที่
เสาชิงช้า ดีกว่า เลยไปอีกไม่ไกล ก็ขอแวะไปสักหน่อย
โบกรถตุ๊กๆจากหน้าวัดพระแก้วกันนี่แหละครับ
เอาละครับ ถึงแล้วววว นั่งมาแปปเดียวหายใจยังไม่ทันทั่วท้องเลย
มาแถวนี้ก็มี
เทศกาลบัณฑิต และ มหกรรมพรีเวดดิ้ง มาถ่ายกันตรึมอีกเช่นเคยครับ
นี่ไม่ได้นัดกันมาใช่มั้ยครับ เวียนกันถ่ายวนกันไปเลยทีเดียว อิอิ
ผมก็รอจังหวะไม่มีใคร ก็ขอเข้าไปแชะภาพกันสักหน่อย ไว้วันหลังต้องขอมาเก็บภาพตอนกลางคืน
กันดูบ้างแล้วสิครับแบบนี้ น่าจะได้อีกบรรยากาศนึงที่สวยเหมือนกัน
ถ่ายแบบนี้ เค้าว่า
ฮิปสะเต้ออออร์ ก็เอามั้งครับ อยากเล่นบ้างงงง 5555+
ตึกแถวนี้ เรียกว่าเก่าได้ใจมากครับ มีอารมณ์เหมือนยุโรปนิดๆ
เป็นกรุงเทพฯในมุมที่
ไม่ได้ศิวิไลซ์แต่ไฉไล อะไรแบบนี้
ออกเดินทางได้ไม่ทันไร ท้องผมก็เริ่มร้องแล้วครับ มื้อกลางวันยังไม่มีอันตกถึงท้อง ก็ขอเดินหาร้านข้าวกันหน่อย
เดินไปเดินมา ก็ไปเจอซอยนึงเข้า มองไปแว๊บๆ เห็นมีคนนั่งทานกัน กางโต๊ะอยู่ข้างทาง ก็ขอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เจอร้านนี้เลยครับ เป็นร้านข้าวหมูแดง, หมูกรอบ, บะหมี่, ต้มยำหัวปลา อะไรทำนองนี้ ชื่อร้าน
ศิริพรโภชนา
แหม..บรรยากาศร้านเข้ากับธีมในการเดินทางครั้งนี้ของผมมาก ก็จัดเลยครับแบบไม่ลังเล
สั่งข้าวหมูแดง-หมูกรอบไป 1 จานเลยครับผม
มาแล้วครับบบบ ข้าวหมูแดง-หมูกรอบ ของผมมมม อาหารง่ายๆแต่ได้รสชาติ
ท่ามกลางความคลาสสิคของร้าน แค่นี้ก็อิ่มทั้งรสชาติ อิ่มทั้งใจเเล้ว
อิ่มของคาวกันแล้ว เราไปเดินหาของหวานตบท้ายกันหน่อยดีกว่า เดินออกจากซอยร้านข้าวออกมา
ตรงหน้าถนน แลไปเห็นฝั่งตรงข้าม มีป้ายร้านโกปี้ ตัวใหญ่ๆ ก็มุ่งหน้าไปกันหน่อย
วันนี้ผมจะเอาความเก่าทุกสิ่งอย่างไปฝากกันให้สะใจไปเลยยย
ร้านโก้ปี้เฮี๊ยะไถ่กี่ ร้านนี้ผมว่าน่าจะเป็นร้านดังของย่านนี้ เพราะเข้าไปในร้านแล้วคึกคักใช้ได้เลยครับ
คนเกือบจะเต็มแทบทุกโต๊ะเลยทีเดียว ร้านสไตล์แบบนี้ น่าจะถูกใจใครหลายๆคน
บรรยากาศวินเทจๆ สบายๆ อบอุ่นๆ มานั่งชิลชมวิวพระนครกันได้ สบายอุราครับ
เข้ามาแล้วก็สั่งอาหารกันหน่อยครับ แต่ต้องบอกก่อนว่า ที่นี่เค้าจะมี concept ที่ว่า
ช่วยตัวเองนะครับ 5555+
อย่าคิดไกลไปไหนนะครับ คือลูกค้าต้องบริการตัวเอง
อยากดูเมนู เดินมาหยิบ
อยากสั่ง เดินมาตรงเคาน์เตอร์สั่งเลยครับ
อยากกิน รอครับ...รอ
เสร็จแล้วพนักงานจะเรียกให้ เราเดินมารับ
ได้ของกินแล้ว แต่ไม่มีอาวุธในการกิน เดินครับเดิน...เดินไปหยิบ
อารมณ์เหมือนเราไปที่ตาม food center ต่างๆ หรือสั่ง kfc อะไรแบบนั้นแหละครับที่เราบริการตัวเองแนวๆนั้นเลย
มาแล้วครับบบ นมเย็นสีหวานฉ่ำ อากาศร้อนๆแบบนี้ กินแล้วชื่นใจมากกกก สนนราคาอยู่ที่แก้วละ 55 บาท
เท่าที่สังเกตุดู ผมว่าเมนูส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างสูงไปนิดนึง ทั้งของคาวและของหวาน หรือแม้แต่น้ำต่างๆ น่าจะปรับลงสักหน่อย หรืออาจจะเพิ่มเป็นการบริการลูกค้าแทนการบริการตัวเอง แต่รสชาติโอเคครับ แต่ถ้าราคาอยู่ที่สักประมาณแก้วละ 30-35 บาทน่าจะสมเหตุสมผลกว่า เพราะแก้วไม่ได้ใหญ่ แต่แลกกับวิวแล้วก็ใช้ได้ ส่วนต่างถือว่าเราจะหาวิวและบรรยากาศเมืองกรุงเก่าๆแบบนี้ไม่ได้ที่ไหน
อีกหนึ่งอย่างที่ผมสั่งมาทานเล่นคู่กัน จะเป็นโรตีกรอบราดนมครับ กินเพลินๆคู่กับนมเย็น รสชาติดีทีเดียว
หิวกันหรือยังครับ ? งั้นเรามาเริ่มลงมือกันเลยดีกว่าาาา
ละเลงเลยครับ ทั้งนมทั้งน้ำตาล ราดไปให้หมดดดดด เบาหวานถามหาค่อยว่ากัน
ขอเเบบรสชาติสะใจๆไปเลย ทำเสร็จใหม่ๆแล้วกินเลย อร่อยมากก
มุมเหงาๆของชายหน้าหนวดอย่างผม ท่ามกลางความเก่าที่รายล้อมรอบตัวผมรวมทั้งตึกรามบ้านช่องต่างๆ
สิ่งแวดล้อมแบบนี้หายากขึ้น ไปทุกวันแล้วจริงๆ
อิ่มท้องทั้งของคาวของหวานกันแล้ว ตอนนี้ท้องผมไม่เหลือที่ว่างสำหรับอะไรแล้วทั้งนั้นครับ เราไปเดินย่อยกันหน่อยดีกว่า
เดินออกจาก
ร้านกาแฟโกปี้ เฮี๊ยะไถ่กี่ กันแล้ว ก็ทะลุไปยังปากซอยอีกฝั่งกันเลยดีกว่า อาคารบ้านช่องที่นี่
เหมือนพาเราย้อนยุคกลับไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน
เดินไปเดินมา จนมาทะลุปากซอย อ้าวววว!?!
ผัดไทยประตูผี นี่เอง
ผมเพิ่งรู้ว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เดินทะลุมาได้แค่นี้เอง แต่ร้านยังไม่เปิดเลย ไว้วันหลังต้องมาอุดหนุนร้านดังแห่งนี้กันตอนค่ำๆ ผมเองก็อยากจะพิสูจน์ว่าร้านเด็ดร้านดังแห่งนี้ จะพิเศษอย่างไร จนถึงขั้นกลายเป็นร้านในตำนานของชาวกรุงกันไปแล้ว
เอาครับ...ไปจุดมุ่งหมายต่อ ไปกันเลยดีกว่า โบกตุ๊กๆแล้วกระโดดขึ้นกันเลย
ตลาดน้อย ของผม...เราจะไปตามหาฝันกันที่นั่นเลย
ระหว่างทางนั่งรถตุ๊กๆไป ผมนี่ไม่แปลกใจเลยทำไมตุ๊กๆ ถึงขึ้นชื่อเรื่อง #แอดเเวนเจอร์ มากกกก 5555+
นั่งรถไปอะไรจะมันส์ปานนั้น ครับบบ ซิ่งมากกกก และซอกแซกประนึงว่ารถนั้นเล็กเท่ามอเตอร์ไซค์ นี่พี่คนขับแกเข้าใจผิดคิดว่าแกขับวินมอเตอร์ไซค์รึป่าว แหม...รูเล็กรูน้อย พี่แกก็จะไป ผมนี่เสียวเลยครับบบบ
เวลานั่งรถนี่แทบถ่ายภาพอะไรไม่ได้เลยนะ เพราะต้องเอาสองมือเกาะไว้ให้แน่นๆ ภาพนี่ที่ได้มาบรรยากาศระหว่างทาง ได้มาเพราะเป็นช่วงรถติดพอดี ก็มีอันได้จอดนิ่งๆให้พักฟื้นหัวใจกันสักครู่ เห็นในนี้มีตลาดนัดพอดี ก็ถ่ายเก็บมาสักหน่อย
ถึงตลาดน้อยด้วยความปลอดภัย ดีนะครับทุกคน อิอิ
เอาละครับได้เวลาตามหาความฝัน...สถานที่ที่เป็นแรงบันดาลใจในการออกเดินทางของผมในวันนี้ยังไม่รู้เลยว่าซ่อนตัวอยู่ในซอกหลืบไหนของตลาดน้อย ต้องขอไปออกตามหากันก่อน แต่ระหว่างทางก็มีตึกมีบ้านคน ที่ยังคงไว้ซึ่งความเก่า ที่มันสวยงามมากขึ้นตามกาลเวลา ผมว่ามันไม่ได้ดูแย่และไม่ได้ดูทรุดโทรมอะไร แต่มันกลับดูคลาสสิคลงตัวและมีเสน่ห์มาก ผมกลับรู้สึกดีเสียอีก ที่คนแถวนี้ยังคงอยู่อาศัยในอาคารโบราณแบบนี้ ใช้ชีวิตกันตามปกติดีทุกอย่าง
ถ้าพูดถึงความปลอดภัยหรืออะไร มันอาจจะเป็นอีกเรื่องนึง แต่บางอย่างที่ควรจะต้องอนุรักษ์ เราก็สามารถคงมันไว้ได้ โดยมีการดูแลซ่อมแซมปรับปรุง แต่ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงมันให้กลายเป็นของใหม่เหมือนตึกสี่เหลี่ยมๆไร้ชีวิตชีวาไปเสียหมด
เมื่อมาถึงผมเองก็ยังจับต้น ชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะต้องเดินทางไหนยังไง ก็แวะถามคนแถวนั้น พร้อมกับเอาภาพต้นเรื่องให้ดู เพื่อขอทราบพิกัดกันหน่อย ชาวบ้านแถวนั้นเองก็ยังไม่ค่อยยแน่ใจว่าตรงนั้นคือเรียกว่าอะไร แต่ก็พอจะประมาณๆการได้ว่า น่าจะอยู่แถวกรมเจ้าท่า ก็ให้เดินเลยตรงไปเรื่อยๆ จนสุดทางแล้วเลี้ยวขวาไปทางกรมเจ้าท่าดู
ผมก็เองก็เดินไปตามคำแนะนำ ระหว่างทางที่ไป ก็เหลือบไปเห็นตึกเก่าฝั่งตรงข้ามทางที่ผมเดิน สวยลืมกาลเวลาไปเลยครับ นึกไม่ออกเลยว่าสร้างมาตั้งแต่ยุคสมัยไหน
เดินเรื่อยมาจนถึงแถวหน้ากรมเจ้าท่าแล้ว ก็ลองเดินไปถามขอคำแนะนำจากพี่ๆที่ขับรถตุ๊กๆแถวนั้นกันหน่อยครับ น่าจะพอรู้ทางกันอยู่บ้าง แต่พี่ๆก็บอกมาว่า แถวนี้เท่าที่พอทราบก็จะเป็น พวก street art วาดๆเขียนๆกำแพง ที่เลยไปอีกนิด แต่อาคารจีนเก่าๆที่มีสระว่ายน้ำนั้น พี่แกยังนึกไม่ออกจริงๆ
ว่าแล้วก็เดินกันต่อเลยครับ ...งั้นเราไปตามถ่าย street art กันก่อนดีกว่า ก็เรียกว่าเป็นไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เหมือนกัน
หลังจากเดินไปตามทาง ก็ยังไม่เเน่ใจดีนักว่าพวก street art นั้นจะอยู่ตรงไหน เพราะเข้าใจว่าน่าอยู่ระหว่างทางเดินหาง่ายๆหรือเปล่า แต่สายตาหันไปเจอเจ้าป้ายนี้แขวนอยู่ไกลๆ เลยเดินเข้าไปหน่อยดีกว่า ข้างในน่าจะมีศาลเจ้าอะไรให้ดู ก็เดินเข้าซอยไปเรื่อยๆกันครับ
เมื่อเดินเข้ามาจะพบว่าทุกๆอาคาร ทุกๆบ้านเรือน ล้วนแล้วแต่มีร่องรอยของความทรงจำและกาลเวลาอยู่เต็มไปหมด
เจอแล้วครับ street art เก๋ๆที่ไม่ได้มีแค่ตามแหล่ง ท่องเที่ยวดังๆ แต่ที่นี่ก็มีและสวยงามไม่แพ้ใครเหมือนกัน
ผมทรงใหม่ไฉไลกว่าเดิมมมม นี่เลือกตัดทรงวินเทจมา เพื่อต้อนรับกับสถานที่เลยนะครับเนี่ย
แต่เอาเข้าจริงๆไม่บอกก็อาจจะไม่มีใครดูออกก็ได้นะครับ ว่าคนละทรงกับทรงเดิม 5555+
แต่ระหว่างที่ผมกำลังถ่ายรูปไปเพลินๆอยู่นั้น ก็มีพี่ผู้หญิงสองคนที่มาถ่ายรูปเล่นบริเวณนี้เหมือนกัน
แกก็แอบมากระซิปว่า
'นี่ๆน้องไปตรงนี้มารึยัง รีบไปนะก่อนเค้าจะปิด'
พูดแล้วก็ยื่น ipad ที่ไปถ่ายรูปสถานที่ดังกล่าวมาให้ผมดู
โอ้ววววโหวววววว!!! เหมือนสวรรค์มาโปรดครับผม ภาพที่พี่แกยื่นมาคือภาพของ สระน้ำที่อยู่ท่ามกลางอาคารจีนเก่าๆที่ผมกำลังตามหา คือไม่รู้จะขอบคุณพี่สองคนนั้นยังไงดี คือตอนแรกผมกะว่า เดินเข้ามาถ่าย street art เสร็จก็ว่าจะเดินออกกลับไปทางเดิมเเล้ว เพราะมองไปข้างหน้าเหมือนจะมาสุดซอยแล้วรึป่าว ?
แต่เปล่าเลยครับ!! เลี้ยวขวาไปมีทางเดินลึกเข้าไปอีก ที่ซ่อนอยู่หลืบๆแถวนั้นนั่นเอง
การงมเข็มในมหาสมุทรก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ในเมื่อโชคชะตาฟ้าเป็นใจ ก็ต้องรีบไปกันเลยยย ช้าอยู่ใยจะใคร่ปิดไม่ทันการ
นี่หรือคือสิ่งที่ผมตามหา...แค่ทางเข้า ก็มีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูกแล้วครับ เราเข้าไปชมข้างในกันเลย
เดินเข้ามาเหมือนตกหลุมรัก ความเก่าของที่นี่ มันช่างลงตัวกลมกลืนกับสีแดงๆ และกลิ่นอายของศิลปะแบบจีนๆเป็นอย่างมาก สถานที่นี้เหมือนเป็นบ้านคนเก่าคนแก่ ที่เคยมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่ (ในส่วนนั้นทางเจ้าบ้านขอสงวนสิทธิไว้ในการถ่ายรูปนะครับ) ปัจจุบันก็เปิดให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจเข้ามาถ่ายรูปกันได้ แต่ต้องให้ความเคารพสถานที่กันด้วยนะครับ
มุมนี้ที่ผมตามหาาาา มุมนี้ที่เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการออกเดินทางของผมในวันนี้เลยก็ว่าได้
ในที่สุดครับ...ในที่สุด ผมก็ตามหากันจนเจอ ดีใจกว่าเจอเนื้อคู่อีกครับเนี่ย
ส่วนสระว่ายน้ำที่สงสัยว่าทำไมถึงมามีอยู่ตรงนี้ได้ เท่าที่ผมอ่านหาข้อมูลดู เหมือนว่าจะทำเป็นที่สอนดำน้ำ
แต่ปัจจุบันยังมีอยู่มั้ยนั้นไม่แน่ใจเหมือนกันครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ที่นี่ทำ คือเป็นสถานที่เพาะพันธุ์เจ้าบีเกิ้ลนี่แหละครับ มีกันมากมายหลายสิบตัว น่ารักน่าชังเชียวครับ
หน้างี้เหมือนกันหมดดดดดดด ถ้าตั้งชื่อที ไม่รู้จะเรียกยังไงกันให้ถูกตัวเลยนะเนี่ย
ได้เวลาบอกลาสถานที่ที่ผมตามหากันแล้วครับ ประทับใจจนวินาทีสุดท้ายที่จะต้องจากไปจริงๆ
เดินเลยออกมาได้นิดนึง ก็เจอมุมนี้เลยครับ สวยงามและแทบยังไม่เคยเห็นจาก website หรือโลกออนไลน์ไหนๆ อาจจะมีบางท่านที่เคยไป แต่ยังไม่เป็นมุมที่มีการโปรโมทอะไรกันมากนัก ผมว่าสวยงามไม่แพ้มุมไหนๆในย่านเมืองเก่าแห่งนี้เลย
ไม่รู้ว่าด้วยความบังเอิญ หรือตั้งใจที่เจ้ารถเก่าคัน สีส้มนี้มาอยู่ตรงนี้พอดี แต่มันลงตัวมาก
วันนี้ผมเองก็วิ่งไปวิ่งมาจนเหงื่อชุ่มเลยครับ เหนื่อยแต่ก็มีความสุขสุดๆ
บรรยากาศเก่าๆที่อยู่รายล้อมตัวผมในวันนี้มันช่างทำให้ตลาดน้อยแห่งนี้มีเสน่ห์มาก รวมทั้งการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยและจีนที่สวยงาม
แม้กระทั่งร้านค้า - โรงแรมต่างๆที่ถูกสร้างขึ้น ใหม่ในละแวกนี้ ก็จะมีการสร้างให้มีความคลาสสิคกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมทั้งสิ้น เน้นแนวอบอุ่นๆ ไม้ๆ และใช้โทนสีเหมือนสถาปัตยกรรมโบราณ ยิ่งทำให้ละแวกนี้ดูมีคุณค่า ที่ผสมผสานความเก่าและใหม่ให้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างดี
เอาล่ะครับ ได้เวลาต้องกลับกันแล้ว นี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว ไหนๆแล้วขากลับก็ขอไปแวะตรง
วงเวียนโอเดี่ยน
เก็บภาพกันหน่อยดีกว่า วันที่ผมมานี้ บังเอิญมีงานพอดี เลยรู้สึกอยากไปเก็บภาพมุมสูงกันดูหน่อย
มุมนี้ผมเดินไปขอขึ้นถ่ายบน ที่จอดรถของตึกละแวกนั้นนะครับ เลยได้มุมสูงมาแบบนี้
แปลกตาดีทีเดียว และยังเห็นด้านหลังเป็นวิวของวัดไตรมิตรที่รับกันในองศาที่เหมาะเจาะ
จบการเดินทางหลงกรุง
หลงยุคหลงสมัย ของ ค น ห ล ง ท า ง ในครั้งนี้ลงแล้ว
1 วันกับการเดินทางในที่ที่ซึ่งอยู่ใกล้ตัวเรา แต่อาจจะมองข้ามไป
ปกติแล้วชีวิตของผมมักจะมอง หาแต่การเดินทางสู่ธรรมชาติ ออกไปไหนไกลๆ
เรียกว่าจะหาผมเจอได้ตามป่าตามเขา อิอิ
นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมได้เปิดโอกาสให้กับตัวเอง ลองมองมุมกลับกัน และหันมาลองเดินทางในที่ใกล้ๆตัวดูบ้าง เปลี่ยนจากเดินทางสู่ธรรมชาติ เป็นเดินทางเข้าหากาลเวลาดูบ้าง แม้โลกจะหมุนเร็วแค่ไหน แต่สถานที่บางสถานที่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่ไม่ได้หมุนเร็วตามกาลเวลาเลยจริงๆ
ความงามของชีวิตนั้น...แท้จ ริงเล็กแค่นิดเดียว แค่เราพอใจกับโลกเล็กๆของเราที่อยู่ตรงนี้ แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ.
------------------
ขอบคุณทุกท่าน ที่ติดตามการเดินทางของคนหลงทางเป็นอย่างมาก และพบกันใหม่เร็วๆนี้เช่นเคยครับ! ทิ้งท้ายกันไปกับภาพที่ถ่ายจากดาดฟ้าตึกบริเวณวงเวียนโอเดี่ยน ที่ผมขึ้นไปเพื่อเก็บภาพมุมสูงในวันนี้ เมืองหลวงที่เคยว่ายิ่งใหญ่ เมื่อได้มองในมุมนี้แล้ว ทุกๆอย่างกลายเป็นแค่สิ่งเล็กๆที่เรามองเห็นได้ไกลๆจากตาเปล่าเท่านั้นเอง...
พูดคุยการเดินทางเพิ่มเติมกันได้ที่ :
https://www.facebook.com/Lost.Somewhere.Together
ค น ห ล ง ท า ง
วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เวลา 23.44 น.