ได้ฤกษ์ซ้ากที....
ออกตัวแรงๆก่อนน๊า...ว่านี่คือการเขียนรีวิวครั้งแรกในชีวิตเลยเชียว
ตามมาชมรีวิวบ้านๆสไตล์เจี๊ยบกันได้เลยค่ะ
การเดินทางของเราเริ่มจาก...มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "อยากไปกาญจนบุรีอีกอ่ะ"
หลังจากสิ้นเสียงนั้น...ต่อมความอยากเที่ยวพุ่งปรี๊ดดดด สมองสั่งการโดยเร็ว หาข้อมูลสิคะ...จะรออะไร
แต่เดี๋ยวก่อน... แล้วเราจะไปที่ไหนของกาญจนบุรีล่ะ ???
โจทย์ของเราคือ อยากไปที่ที่ไม่เคยไปอ่ะ เพราะพวกเราไปกาญจนบุรีกันหลายครั้งแล้ว บางทีก็ไปที่เดิมๆซ้ำๆ
แต่ก็ยังเที่ยวไม่หมดทุกโซนซักที ครั้งนี้เรากำหนดยุทธศาสตร์กันว่า จะไปนอนแพ แลริมน้ำ ชิลๆ
สรุปที่พักลงตัวคือ " ทายันรีสอร์ท แอนด์ สปา "
ส่วนสถานที่แวะระหว่างทาง ก็คือ วัดถ้ำเสือ / ต้นจามจุรียักษ์ / ปราสาทเมืองสิงห์
ทั้ง 3 สถานที่ ล้วนไม่เคยไปมาก่อน ถึงเป็นรักแรกพบที่กาญนะจ๊ะบุรี งัยล่ะ
เราออกเดินทางกันเช้าวันเสาร์ที่ 1 ต.ค. สมาชิกผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 4 คน ขับรถไปกันเอง
เพราะกะว่าขับไปชิลๆแวะไปเรื่อยๆตามที่ใจอยากจะแวะ
*
*
และแล้วเราก็มาถึง รักแรกกับสถานที่แรกกันเล๊ย
วัดถ้ำเสือ
วัดถ้ำเสือตั้งอยู่บนเนินเขา ในตำบลม่วงชุม อำเภอท่าม่วง เป็นอำเภอที่อยู่ก่อนถึงตัวเมืองกาญจนบุรี เดิมเป็นเพียงสำนักสงฆ์เล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณถ้ำเสือด้านล่างริมเนินเขา ต่อมาได้แรงศรัทธาจากชาวบ้าน ร่วมกันสร้างและบูรณะ จนกลายเป็นวัดที่ใหญ่โต และมีความวิจิตรงดงาม
ข้อมูลการเข้าชม
เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน
จันทร์ - ศุกร์: เวลา 8.30 - 16.30 น.
เสาร์ - อาทิตย์: เปิดเวลา 8.00 - 16.30 น.
การเดินทางจากกรุงเทพฯ
1. จากกรุงเทพฯ ผ่านอำเภอบ้านโป่ง เข้าถนนแสงชูโต จะผ่านแยกมิราเคิล ออฟ ไลฟ์ จากนั้นพอถึงแยกท่าม่วง เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอท่าม่วง
2. ผ่านหน้าโรงพยาบาลท่าม่วง วนวงเวียนหอนาฬิกา เพื่อเลี้ยวซ้ายไปถนนเลียบคลองชลประทาน
3. เจอสามแยก เลี้ยวขวาไปอีก 2 กิโลเมตร (มีป้ายบอกทาง) ให้วิ่งไปทางเดียวกับวัดม่วงชุม พอเลยวัดม่วงชุมไปจะเห็นทางเข้าวัดถ้ำเสือ อยู่ทางซ้ายมือ
วันนี้เป็นวันเสาร์และวันพระ นักท่องเที่ยวจึงมากเป็นพิเศษ
เมื่อมาถึงวัดถ้ำเสือด้านหน้าจะเป็นลานจอดรถ และร้านขายของกิน ของฝากต่างๆ ศาลาด้านล่างติดกับบริเวณที่จอดรถ เป็นศาลาการเปรียญประดิษฐานสังขารหลวงปู่ชื่น ที่บรรจุอยู่ในโลงแก้ว มีศาลาประดิษฐานรูปหล่อเจ้าอาวาสหลวงพ่อสิงห์ หลวงพ่อชื่น ซึ่งหลวงพ่อสิงห์เป็นพระธุดงค์ที่มาพบถ้ำเสือ ส่วนหลวงพ่อชื่นเป็นผู้บูรณะปฏิสังขรวัด และยังมีส่วนที่เป็นถ้ำ ที่แบ่งออกเป็น 4 ห้อง มีห้องโถงใหญ่ประดิษฐานพระประธาน 2 ห้องสำหรับหลวงพ่อชื่นมาบำเพ็ญภาวนา และห้องประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม
หาที่จอดรถ แล้วไปต่อกันเลยค่ะ
การขึ้นไปบนเขาที่ประดิษฐานหลวงพ่อชินประทานพร และพระเจดีย์ ทำได้ทั้งเดินขึ้นบันไดนาคด้านหน้า ที่มีจำนวน 157 ขั้น ชันประมาณ 60 องศา หรือสามารถซื้อตั๋วรถรางไฟฟ้านั่งไปกลับ (ไม่ต้องเดิน) ในราคาเพียง 10 บาท เมื่อขึ้นไปถึงบนเขาบริเวณวัด ด้านซ้ายติดกับบริเวณรถรางจะเป็นพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท
หรือท่านใดอยากเก็บแรงไว้ เพื่อไปเดินชมความงามของด้านบนอีก ที่นี่เค้าก็มีรถรางไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยว
เมื่อมาถึงด้านบนแล้วให้เดินตรงไปด้านหน้าจุดเด่นจุดแรกคือ พระชินประทานพร พระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง
ด้านซ้ายขององค์พระเป็นวิหาร ส่วนด้านขวาเป็นพระอุโบสถอัฏมุข นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่วัดมักจะสักการะพระชินประทานพรก่อน แล้วค่อยขึ้นไปยังพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท เพื่อนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ
ก่อนขึ้นไปบนพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท จะมีช่องประตู ที่มีแสงลอดผ่าน เป็นอีก 1 จุดที่เป็นมุมมหาชน สำหรับนักท่องเที่ยวค่ะ
เราจะขึ้นไปกราบนมัสการพระสารีริกธาตุ บนพระเจดีย์เกศแก้วปราสาทกันค่ะ
ขึ้นบันไดวนไปค่ะ ประมาณ 6 ชั้น
ระหว่างทางเดินขึ้นไปของแต่ละชั้น จะมีช่องหน้าต่าง ที่มีองค์พระพุทธรูปปางต่างๆวางเรียงรายโดยรอบ
ณ จุดนี้เอง เป็นช่องที่จะทำให้เราได้พบกับความสวยงามของ องค์หลวงพ่อชินประทานพร ในมุงสูงซึ่งมีฉากหลังเป็นทุ่งนาสีเขียว สวยมากๆ
ระหว่างทางเดินขึ้น หากมองไปอีกฝั่งของวัดถ้ำเสือ ด้านข้างของพระเจดีย์ฯ จะมองเห็นเก๋งจีนของวัดถ้ำเขาน้อยซึ่งอยู่ติดกับวัดถ้ำเสือ สวยงามไม่แพ้กัน
ช่วงฤดูฝน จะได้เห็นทุ่งนาเขียวขจีด้านหลังวัดถ้ำเสือ ทำให้วัดถ้ำเสือยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
ไปชื่นชมความงามของวัดกันต่อค่ะ
เขียวสดชื่นกันป่ะล่ะ
"หลวงพ่อชินประทานพร" ขนาด สูง 9 วา 9 นิ้ว หน้าตัก 5 วา 3 ศอก 9 นิ้ว นับว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นอย่างยิ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ ปางประทานพร พระหัตถ์ขวายกขึ้นระดับพระอุระ ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งจรดกัน กลางฝ่ามือมีดอกไม้ พระหัตถ์ซ้่ายหงายมือวางบนพระเพลา (ตัก) ปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป้งจรดกัน กลางฝ่ามือมีรูปวงล้อธรรมจักร รอบองค์พระมีเรือนแก้วครอบลักษณะเดียวกับพระพุทธชินราช องค์พระประดับกระเบื้องสีทอง สุกอร่าม รอบนอกมีซุ้มครอบองค์พระทั้งองค์ไว้อีกชั้นหนึ่ง นับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นอย่างยิ่ง
เราใช้เวลาอยู่ที่วัดถ้ำเสือเกือบๆ 2 ชม. จริงๆยังถ่ายไม่หมดทุกจุด และยังเดินไม่ทั่วถึงเลย ยังมีถ้ำที่อยู่ด้านล่าง และพระอุโบสถอัฏมุข ที่ยังไม่ได้เข้าไปชม ขอแปะไว้ก่อนค่ะ รับรองว่าได้มาที่นี่อีกแน่นอน แล้วจะนำรูปมาฝากอีกครั้งนะคะ
เวลาก็จำกัด แต่ยังต้องไปอีกหลายที่ งั้นไปต่อกันดีกว่าเนอะ
รักแรกพบ...สถานที่ลำดับที่ 2
ต้นจามจุรี(ก้ามปู)ยักษ์
มีอายุกว่า 100 ปี ขนาด 10 คนโอบ รัศมีพุ่มเฉลี่ย 25.87 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางร่มเงาประมาณ 51.75 เมตร
ความสูงเรือนยอด 20 เมตร มีพี้นที่ของพุ่มประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 4 วา
เดินทางอย่างไร
โดยรถยนต์
การเดินทางสามารถใช้เส้นทางหมายเลข 3429 แยกจากด้านหน้า ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรีตรงไปข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลอง ผ่านป้อมตำรวจแม่กลอง จากนั้นเลี้ยวซ้ายที่ สามแยกวัดถ้ำเขาแหลมไปตามทางอีกประมาณ 5 กิโลเมตรก็จะพบทางสามแยก แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังเส้นทาง 3209 ขับต่อไปจนเข้าเขตพื้นที่กรมการสัตว์ทหารบก ซึ่งจะมีป้ายบอกเส้นทางไปยังต้นจามจุรียักษ์ตลอดเส้นทาง
จะใหญ่อะไรเบอร์นั้น
ธรรมชาติรอบๆสถานที่แห่งนี้ ก็สวยงามไม่แพ้กัน
ชื่นชมกับธรรมชาติให้พอใจ ให้มันดีต่อใจ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด กระโดดให้หนำใจ แล้วไปต่อค่ะ
หลังจากอิ่มกับมื้อเที่ยง (ไม่ได้นำรูปมาโชว์นะคะ หิวโฮก อิอิ)
เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อนทันที
ไปหากาแฟกระแทกปากกันดีฝ่า
ณ ชุมชนตลาดเก่า ถนนปากแพรก โซนถนนคนเดิน
อาคารสีเหลืองอ่อนๆ สไตล์โคโรเนียน ดัดแปลงบ้านเก่า ที่มีอายุกว่า 90 ปี
มาเป็นร้านกาแฟสุดเก๋ น่าสนใจมากค่ะ
ร้านกาแฟ บ้านสิทธิสังข์
เค้กมะพร้าวอ่อน อร่อยมากๆค่ะ
ได้เครื่องดื่มเย็นๆ แล้วมีแรงไปต่อกันเลยค่ะ
จากตัวเมือง มุ่งหน้าไปรีสอร์ทโดยใช้เส้นทางไป อ.ไทรโยค
แล้วเลี้ยวซ้าย ไปทาง ต.บ้านเก่า ไปทางเดียวกันกับทางไปปราสาทเมืองสิงห์
และระหว่างทางที่ไปรีสอร์ทนั้น ฝนฟ้าก็ไม่ปราณีกันเลย
ถึงแล้วค่ะ ทายันรีสอร์ท แอนด์ สปา (ลืมถ่ายป้ายทางเข้ารีสอร์ท =..=)
ที่พักที่นี่มีทั้งบนบน และบนแพ
แต่เราพักกันบนแพ แบบนี้
ลืมถ่ายรูปภายในห้องพักมาฝาก T_T
ภายในห้องพัก มีที่นอนขนาด 6 ฟุต 1 ที่ และที่นอนเสริมเตียงเดี่ยวอีก 1 ที่
พร้อมผ้าขนหนูหอมๆ / มีตู้เย็น และน้ำเปล่า 2 ขวด /มีสบู่เหลวและแชมพูให้ / มีเครื่องปรับอากาศ แต่ไม่มีทีวี /
เปิดไฟตลอด 24 ชม./มี wifi
เราจองที่พักผ่านทาง agoda ในราคา 1,310 บาท /ห้อง/ 2 คน/คืน รวมอาหารเช้า 1 มื้อ
พอเก็บสัมภาระเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เตรียมตัวไปร่วมกิจกรรมสนุกๆที่ทางรีสอร์ทจัดไว้ให้กันค่ะ
ตอนห้าโมงเย็น (17.00 น.) จะมีกิจกรรมลากแพไม้ไผ่
ใครใคร่เล่น หรือร่วมกิจกรรมได้ตามสะดวกค่ะ ไม่ได้มีการบังคับกัน
แพจะถูกลากด้วยเรือไปห่างจากรีสอร์ทประมาณ 1 กม. ก็นั่งชิลๆกันไป
สำหรับคนที่ไม่ได้ลงแพ ก็นั่งกินลมตากลมกันไปบนแพใหญ่
หลังจากไปได้ระยะทางประมาณ 1 กม. ช่วงที่เลี้ยวกลับที่พัก
เค้าจะปล่อยให้เพื่อนๆ ลงลอยคอกันในน้ำ แล้วไหลลอยกลับไปที่พักกันเองจร้า ^^
ด้วยขากลับเป็นทางที่กระแสน้ำไหล ย้อนกลับไปอยู่แล้ว
กลับมาจากล่องแพกับทางรีสอร์ท
สามารถสั่งอาหารเย็นที่รีสอร์ทได้ค่ะ ราคาย่อมเยา แถมอนุญาตให้นำอาหารจากข้างนอกเข้ามาทานได้ด้วย
บางห้องมีนำอาหารทะเลมาปิ้งย่าง ทางรีสอร์ทก็มีเตาย่างไว้ให้บริการด้วยนะเออ
ประทับใจกับการบริการของพนักงานที่นี่ค่ะ พนักงานส่วนใหญ่น่ารัก
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนพอสมควรแล้ว ก็ไปนอนกันเถอะ
อาหารเช้าของที่นี่ เริ่มตั้งแต่ 7.00 น.- 10.00 น.
เป็นอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ มีทั้งข้าวต้มข้าวกล้องใส่หมูสับเห็ดหอม (เมนูนี้อร่อยมากค่ะ)
ข้าวผัด ผัดซิอิ๊ว ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก สลัด ผลไม้ น้ำผลไม้ ขนมปังปิ้ง ชา กาแฟ
ทุกอย่างนี้รวมอยู่ในราคาที่พักแล้วค่ะ
ไปหม่ำๆกันเลย
หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย
ก่อนที่จะ check out ก็ขอเก็บบรรยากาศรอบๆที่พักอีกสักหน่อย
ดูรูปรัวๆไปค่ะ
นอกจากที่พักชิลๆแล้ว ที่นี่ยังมีโซนต้นไม้ ดอกไม้ร่มรืมให้เราได้ถ่ายรูปเล่นกันอีกเยอะเลยค่ะ
เก็บภาพบรรยากาศ เก็บความสบายใจกันให้เต็มที่ ก๋อนเราจะเช็คเอ้าท์
หลังจากออกมาจากรีสอร์ท
ทริปเรายังไม่จบ ขามาเห็นป้ายปราสาทเมืองสิงห์ ไปทางเดียวกันกับรีสอร์ท เลยไปอีกประมาณ 8 กม.
ไหนๆก็มาแล้ว ไม่ไกลออกไปมาก ไปแวะดูซักหน่อยดีมั๊ย
ดูเวลาแล้ว....พร้อมที่จะกลับกรุงเทพกันหรือยัง
ก็พร้อมนะ...แต่..ขอหม่ำข้าวเที่ยงก่อนได้ป่ะ
อย่ารอช้า หาร้านโดยด่วน
อยากลองร้านใหม่ๆ ก็ได้ลอง
"ร้านพริกแกง" คือที่ที่เราจะไปหม่ำมื้อเที่ยงกัน
ขับรถไปทางเดียวกันกับวัดลาดหญ้า ผ่านวัดลาดหญ้า แล้วลงสะพานนิดนุง ร้านอยู่ขวามือ
เกือบไม่ได้กินซะแล้วเรา....เพราะทุกโต๊ะมีคนจองหมดแล้วจ้า
เราไม่มีข้อมูลอะไรกันเลยว่าต้องจองก่อน ก็ดุ่มๆเข้าไปเลย แต่รอไม่นานก็ได้โต๊ะนะ
ดูร้านธรรมดาๆมากๆบ้านๆ แต่รสชาติอาหารไม่ธรรมดาเลยล่ะ
ที่นี่เค้าได้รับการการันตีจากรายการอาหาร และเชฟชื่อดังของเมืองไทยหลายคนเลย
พวกเราสั่งกับข้าวมา 3 อย่าง อร่อยมากๆทั้ง 3 อย่าง แถมตอนคิดค่าเสียหายไม่แพงอย่างที่คิดนะ
ผัดเผ็ดหมูป่า ด้วยความหิวจัด มือสั่นเลยได้รูปมาประมาณนี้ 555+
ไข่ซาลาเปา (เมนูแนะนำของทางร้าน)
จริงๆแล้วก็คือ ไข่เจียวหมูสับ กุ้งสับเนี่ยแหละ แต่เค้าทำได้ฟูกลมจนเป็นซาลาเปาเลย
ต้มโคล้งปลาคังทอด -ซดน้ำร้อนๆ เปรี้ยว แซ่บ กลมกล่อม
สรุปคือ อร่อยทุกอย่าง ราคาเป็นมิตรมาก แนะนำเลยค่ะร้านนี้
แต่จะให้ดี โทรไปจองกับทางร้านหน่อยก็ดีนะคะ จะได้ไม่รอนาน
สุดท้ายแล้ว ได้เที่ยวตามที่ต้องการ และได้กินอย่างอิ่มท้องและอร่อย ก็พร้อมที่จะกลับกรุงเทพกันแล้วค่ะ
สิ้นสุดบันทึกการเดินทางทริปนี้เพียงเท่านี้นะคะ สรุปค่าใช้จ่ายตลอดทริปได้ดังนี้ค่ะ
1. ค่าที่พัก 2 วัน 1 คืน x 2 ห้อง x 1,310 = 2,620 บาท
2. ทางด่วน (เฉพาะขาไป) = 115 บาท
3. น้ำมันรถยนต์ตลอดทริป = 1,000 บาท
4. บัตรเข้าปราสาทเมืองสิงห์ = 130 บาท (ผู้ใหญ่คนละ 25 บาท x 4 คน + รถยนต์ 30 บาท)
5. อาหารและเครื่องดื่ม = 2,500 บาท
รวมทั้งสิ้น 6,365 บาท
หาร 4 คน เฉลี่ยค่าใช้จ่ายต่อคนๆละ 1,591.25 บาท
จบแล้วค่ะสำหรับรีวิวแรกในชีวิต (รูปจะเยอะไปไหน 555+)
ภาพถ่ายสำหรับทริปนี้ถ่ายด้วยกล้อง NIKON1 J1 และมือถือ Samsung Galaxy J7
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและติดตามด้วยนะคะ
แชร์ได้ ไลค์ได้ เม้นท์ได้ แต่อย่าด่าเค้าน๊า จุ๊บๆ
สัญญาว่า...หากมีคนติดตามจะรีวิวทริปต่อๆไปแน่นอนค่ะ
Tiewplearn By Jeab
วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.24 น.