เปลี่ยนที่นอนกันดูมั้ย ?
ถ้าใครกำลังเบื่อ กับการเดินป่านอนเต๊นท์ หรือนอนที่พัก ลองเปลี่ยนรสชาติมาปูผ้าใบง่ายๆ และนอนบนผาสูงชันกันดูสักที พื้นแข็งๆ ที่อาจจะ
นอนไม่ได้สุขสบายกาย แต่พอได้มาแล้วกลับสบายใจ
การออกเดินป่าในวันที่มีแต่ฝน...ฝน...ฝน และฝนของผมและเพื่อนๆน้องๆในครั้งนี้ เรียกว่ามีแต่ เละ! ระยะทางกว่า 7-8 กิโล ใช้เวลากันประมาณ 5 ชั่วโมง (แวะพักไม่เยอะครับ) ย่ำดิน ย่ำโคลน ลุยน้ำตก ฝนก็ตก ทางก็ลื่น เดินยากบ้างบางช่วง และบางช่วงต้องปีน นี่นอนอยู่บ้านเฉยๆก็คงสบายดี แต่ไม่นอนออกมาลำบากซะก็ชอบมากกว่า 5555+
และเเล้วการเดินทางของ ค น ห ล ง ท า ง จึงเริ่มต้นขึ้น......
การเดินทางของผมในครั้งนี้ เริ่มขึ้นในคืนวันศุกร์สิ้นเดือนกันยายน เรียกว่าเงินเดือนออกปุ๊บ ก็เที่ยวปั๊บ! ใช้เงินกันทันใจ ไม่สิครับ...แบบนี้เค้าเรียกว่า ใช้เงินเป็น กลางเดือนเราค่อยว่ากันใหม่ มาม่า ปลากระป๋องอะไร คือเพื่อนที่รู้ใจเรา 5555+
ออกเดินทางจากกทม. ในคืนที่ฝนตกและรถติดโคตรรรร เราเลยกว่าจะมาถึงทีจันทบุรีกัน เวลาก็ปาไปตี 2 แล้ว หาที่พักอะไรกันก็ไม่มีเลยจริงๆ ขับรถวนหากันไป จะนอนที่ไหนดีน๊าาาา สุดท้ายแล้ว...นี่เลยครับ แลซ้ายแลขวาไปเจอสถานที่ราชการ ก็แวะเข้าไปถามพี่รปภ. ว่าพอจะมีที่ให้ปูผ้าใบนอนสักนิดมั้ยครับ ?
พี่แกก็เอาเลยๆๆ น้อง ตรงนี้ได้เลย ข้างๆป้อมแก โอ้วววว ฟ้ามาโปรดครับ ได้ที่พักแล้ว ก็กะว่านอนไม่นาน เพราะต้องออกแต่เช้า และเดินทางต่อ
นี่แหละครับ กินง่ายอยู่ง่ายกันทุกคน ปูๆแล้วนอนตรงนี้ หลับสบายมั้ย ดูเพื่อนผมเป็นตัวอย่างครับ มันนอนตื่นช้ากว่าเพื่อนเลย
เช้าเเล้ว ออกเดินทางกันครับผม
ผาหินกูบ จ.จันทบุรี อยู่ที่หน่วยพิทักษ์ป่าทุ่งเพล เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ต้องบอกว่า เหมาะสำหรับการเปลี่ยนที่นอนกันดูใหม่ ก้อนหินใหญ่สองก้อน ที่ประกบกันอย่างได้องศา เว้นไว้ช่องตรงกลาง สำหรับให้เราได้ไปใช้ชีวิตกันอยู่ตรงนั้น แถมอยู่ติดริมผา และวิวเบื้องหน้าคือภูเขาและทะเลหมอก นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาได้อย่างลงตัวไม่น่าเชื่อจริงๆ กับเส้นทางที่เราต้องค่อยๆก้าวไป...ก้าวไป และก้าวไป ประสบการณ์ที่ได้ ก็จะมากขึ้นตามทุกย่างก้าวของเรา
มาถึงกันเเล้ววว
การขึ้นไปผาหินกูบนั้น ถามว่าต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ก็จะมีค่าเจ้าหน้าที่นำทางครับ 1000บาท สำหรับเดินทางไม่เกิน 2 วัน และกลุ่มละไม่เกิน 5 คน ยกเว้นถ้าใครจะจ้างลูกหาบเพิ่ม ในกรณีที่มีของมาเยอะ แต่สำหรับพวกเรานั้น กระเป๋ามากันคนละใบครับ ของไม่ได้เยอะมาก เลยไม่ได้จ้างลูกหาบ เต๊นท์อะไรไม่ได้ขนมา เพราะอยากนอนตรงใต้หิน ที่อยู่ตรงหน้าผาเลย ถือคติ นอนกลางดินกินกลางทราย แต่ก็จะมีที่สำหรับกางเต๊นท์นอนแถวๆนั้นเหมือนกันนะครับ
ลูกทีมบอกพร้อมแล้วววว ไปกันสักที! หมกหมุ่นอยู่ตรงหน้าป้ายนี้นานแล้วววว 555+
ได้เวลาที่เราจะต้องออกแรงเดินกันแล้วครับ พละกำลังที่สะสมมา ออกกำลังกายกันมากี่ปีกี่ชาติ เอาออกมาใช้ให้หมดครับ อย่าไปกั๊ก
การมาที่นี่ อีกสิ่งนึงที่ต้องระวังนอกจากทาก ก็คือเจ้านี่แหละครับ...มันคือหนามมม!?!
เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือพืชพรรณชนิดใด แต่ถ้าเดินกับทางที่ลื่นๆ ชื้นๆ ดินโคลนๆแบบนี้ ล้มทีตำเอาปวดเหมือนกัน หรืออย่าเผลอไปเกาะไปจับเอามั่วๆนะครับ ก่อนหาที่ยึด ดูให้ดีๆก่อนจะยื่นมือไปจับมัน นี่ก็โดนกันถ้วนหน้าเลย 😂
ย่ำดิน ย่ำโคลนกันไปครับตลอดทาง...อีกสิ่งนึงที่แนะนำมาก คือเรื่องของรองเท้า ควรหาแบบที่ยึดเกาะดีๆหน่อยนะครับ จะได้ยึดกับดินกับหินให้มั่น ไม่งั้นเจอกงกำกงเกวียนครับ หนามร้ายรอเราอยู่
ตลอดทางเดิน ที่ไม่เพียงแต่ต้องลุยโคลนกันมาเท่านั้น บางช่วงก็ต้องลุยน้ำตก ลุยลำธารกันอีกด้วย
เดินมากันจนถึงน้ำตกแล้วครับ น้ำใสแจ๋ววววว น่าเล่นมั้ยครับ ? เอาสักหน่อยเนอะ 💦
มันคนแรก และคนเดียวของกลุ่มผมที่ลงไปเล่นน้ำจริงจัง 5555+
เพื่อนผมเป็นคนทุ่มเทครับ เล่นจริงจังตั้งใจยิ่งกว่าเวลาทำอะไรมีสาระซะอีก ยกให้มันไปครับน้ำตกนี้
ส่วนผมก็ขอแค่ล้างหน้าพอเป็นกระษัยพอแล้วครับ ส่วนน้ำที่ล้างนี้มาจากไหน ? ตอบไม่ยากเลยครับ ก็ล้างหน้าต่อจากต้นน้ำ ตรงที่เพื่อนผมมันลงไปแช่นั่นแหละครับ 5555+
น้ำใสม๊ากกกกกก มีปลาน้อยด้วย ว่ายไปว่ายมาน่ารักเชียว
ล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอะไรกันตรงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางกันต่อเลยครับ
ฝนตกแล้วววว ได้เวลาที่ต้องคว้าชุดกันฝนออกมาใส่กันละ เราจะเดินป่า ท่ามกลางสายฝนอันชุ่มฉ่ำ
เดินไปเรื่อยๆ จนเมื่อฝนเริ่มซา และหยุดลง ถึงตรงนี้โชคดีที่ฝนหยุดตก แต่พื้นดินก็ยังมีเละๆอยู่ ทางช่วงนี้เรียกว่าชันมากครับ ต้องคอยจับเชือกเพื่อดึงขึ้นไป และค่อยๆปีน หลังจากผ่านพ้นตรงนี้ไปได้ เราก็จะเข้าสู่บริเวณถ้ำ...
หลังจากปีนป่ายกันมาได้สักระยะ ก็เข้าสู่ถ้ำที่อยู่ระหว่างทางที่ไป เดินตรงนี้เพียงแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้นครับ นิดเดียวแต่ก็ควรจะพกไฟฉายติดกันมาด้วยนะครับ เพื่อความปลอดภัย เพราะข้างในค่อนข้างมืดมากครับ
เดินต่อกันมาใช้เวลาในการเดินร่วมๆ 5 ชั่วโมงจนถึงจุดเป้าหมาย ขึ้นมาถึงก็ครึ้มฟ้าครึ้มฝน พวกเราก็มองหาที่จัดวางของ และพักผ่อนกันตามอัธยาศัย
นั่งๆได้ไม่ทันไร ฝนก็มาอีกระรอกนึงครับ เพื่อนผมมันคันเนื้อคันตัว จากการเดินทาง เห็นฝนตกลงมามันก็ถอดเลยครับ! ผมนี่งง มึงจะอาบน้ำกันตรงนี้เลยใช่มั้ย 555+ ว่าแล้วก็ไม่รอช้า คว้าแชมพู คว้าสบู่ออกมาอาบน้ำไปพร้อมกับฝน
ดูมันครับดูมันนนน
ท่ายืนอาบน้ำท่านี้ มึงได้แต่ใดมามิทราบครับ ยืนกังขายึดกับหินให้มั่น แบบไม่เกรงฟ้าไม่เกรงใจฝนกันเลย วันนี้ห้องน้ำเพื่อนผมบอกเลยว่า
กว้างมาก และ วิวสวยมาก!
พอฝนเริ่มซา ปริมาณน้ำฝนก็คงไหลไม่ทันใจมัน มันเลยหาที่สระผมที่ใหม่
หืมมมม!?! นี่คือท่าสระผมมึงใช่มั้ยช่วยตอบที มีความพยายามมากกกก
ผมเองก็นั่งพักผ่อนอยู่ตามอัธยาศัยของผม ด้วยความที่ตะคริวกินนิดหน่อยตอนขึ้นมา ผมก็นั่งพัก มองเพื่อนผมมันสระผมแบบโคตรพิเรนทร์ไปได้สักพัก
มันก็เดินมาเลยมาครับ ชวนไปเล่นน้ำกับมัน ผมก็ลังเลจะเอายังไง จะอาบดีมั้ย แต่เดินมาไกลได้อาบน้ำก็คงจะสบายตัวดี คิดไปคิดมาเอาไงดี....
และเเล้ว....ตามนั้นครับ ผมก็ไปนั่งสระผมอยู่ที่เดียวกับมัน 5555+
เสียวหลังวาบๆนะครับ อาบน้ำแบบนี้ กลัวจะร่วงเหลือเกิน
หมดฝน ฟ้าก็โปร่ง ความสดใสของท้องฟ้าก็มาเยือน การมาครั้งนี้ผมว่าไม่มีผิดหวังเรื่องหมอก เพราะถึงแม้จะเป็นเวลาเย็นๆ แต่ที่นี่ก็มีหมอกปุกปุยให้ได้เห็นกันเต็มตาเต็มใจ แต่อย่าได้คิดลองยื่นมือออกไปจับหมอกกันนะครับ เด่วจะร่วงงงง
จากใต้ผาที่เราใช้เป็นที่ตั้งหลักปักฐานนั้น มองไปทางซ้ายมือ ก็จะเห็นเป็นเขาลูกที่ใกล้ๆ เดินต่อไปอีกนิดเดียวจากยอดผาประมาณไม่เกิน 100เมตรครับ ใกล้ๆกัน ใครที่พละกำลังยังเหลือก็เดินกันต่อไป!
พระอาทิตย์เริ่มลาลับสายตาเราไป ท้องฟ้าก็เริ่มจะเปลี่ยนสีเป็นสีอุ่นๆละมุนตา
ตกค่ำแล้ว ท้องก็เริ่มหิวกันแล้วครับ มากันไม่มีหม้อถังกะละมังไหอะไรสักใบ ก็เดินไปถามที่เจ้าหน้าที่ครับ ว่าพอจะมีหม้อให้ยืมบ้างมั้ย ก็ได้เป็นหม้อเก่าๆมาใบนึง เอามาต้มมาม่ากินกัน
พี่เจ้าหน้าที่บอกว่า ก่อนหน้านี้จริงๆเราจะมีหม้อใหม่อยู่แต่ว่า หมีขโมยไป อ้าววววว หมีมันขโมยไปทำอะไรนะ ผมนี่อยากรู้จัง มันทำกับข้าวมั้ย หรืออะไร 5555+
ว่าแล้วเราก็กลับมานั่งก่อไฟรอต้มมาม่ากันที่ริมผา ก่อนจะเข้านอนกัน กับห้องนอนอันแสนกว้างใหญ่และ วิวสุดลูกหูลูกตาในค่ำคืนนี้
เช้าวันที่สองของเราเริ่มต้นด้วยแสงตะวันที่ขึ้นอยู่เบื้องหน้าในองศาที่เรียกว่า
พอดีสายตา ว่าง่ายๆคือลืมตามา พระอาทิตย์ขึ้นนั้นจะเป็นสิ่งแรกที่คุณมองเห็นกันเลยครับ
เมื่อพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้น...ค่อยๆขึ้น
ก็จะมีบางคนที่เดินไปตรงผาอีกฝั่ง รอเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นจากตรงนั้น มาที่นี่ต้องรีบตื่นกันแต่เช้านะครับ จะได้ไม่พลาดเก็บเกี่ยวบรรยากาศยามเช้าที่สุดๆแบบนี้กลับไปให้เต็มใจ
คนที่เคยตื่นสายเวลาไปทำงานแต่พอมาได้เที่ยวแบบนี้ จะตื่นเช้าเองอัตโนมัติแน่นอน ผมเชื่อแบบนั้นครับ เพราะผมเองก็เป็น 5555+
วิวข้างหน้าที่เต็มไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่มากมาย เป็นภาพที่เกินจะบรรยายจริง
ก่อนออกเดินทางกลับในเช้านี้ พวกเราก็ขอเติมพลังกันหน่อยครับ ด้วย
ลูกชิ้นปิ้ง ง่ายๆ กับ กองไฟกองเดิม การนั่งกินริมผา แล้วดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ ก็ทำให้ลูกชิ้นธรรมดาๆ กลายเป็นเรื่องพิเศษๆขึ้นมาทันที
การขึ้นมาใช้ชีวิต กินๆนอนๆ อยู่บนนี้นั้น อีกสิ่งที่สำคัญมากคือการช่วยกันดูแลความสะอาด เพียงแค่คุณถืออะไรขึ้นไป แล้วคุณก็ถือมันกลับลงมา ธรรมชาติก็จะได้อยู่กับเราไปนานๆ
เเล้วเมื่อหมอกยามเช้าเริ่มมาเยือน ภาพที่เราจะเห็นก็จะเป็นอะไรสวยงามมากจริงๆ และเเล้วก็ถึงเวลาที่เราต้องบอกลา ผาหินกูบ แห่งนี้ไปกันแล้ว ได้เวลาเตรียมตัวเก็บข้าวของและเดินลงจากเขากัน
และผมเองต้องบอกทุกคนไว้ตรงนี้ก่อนว่า มาที่นี่กรุณา อย่านอนละเมอ นะครับ นอนนิ่งๆ อย่าดิ้นอย่าเต้น 5555+ ผมนี่ก็ฝาเลนส์กล้องไหลตกเขา ขนมไหลตกเขาไปเหมือนกัน
การเดินทางในครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า 'บางครั้งความสูงชั้นของยอดผาทำให้เกิดความท้าทาย แต่ถ้าเราปีนป่ายก็จะทำให้เราเข้าถึงธรรมชาติได้อย่างแท้จริง'
การที่จะพาตัวเราขึ้นมาจนถึงจุดหมายที่เราปรารถนา มันคือ ความท้าทาย ใจเราล้วนๆ ว่าจะผ่านอุปสรรคและไปถึงมันได้มั้ย ? หลายๆคนอาจจะมีบ้าง ที่มีคำถามเกิดขึ้นระหว่างทางว่า....
กูมาที่นี่ทำไมเนี่ย ?
เมื่อไหร่จะถึงวะ ?
เหนื่อยแล้วนะ ?
และเมื่อถึงจุดหมายก็อยากจะตะโกนออกมาว่า...ถึงสักทีทีทีที!!!!!
สิ่งเหล่านี้มันแค่เล่นตลกกับใจเราครับ เอาชนะมันให้ได้ แล้วไปต่อเพราะธรรมชาติที่เรากำลังจะไปหามัน สวยงามจนไม่มีคำถามใดๆว่าทำไมเราถึงจะไม่ควรไปหามัน
ซึ่งผมอยากให้ทุกคน ได้ออกไปลองสัมผัสและเข้าถึงมันกันดูสักครั้ง....
พูดคุยการเดินทางเพิ่มเติมกันได้ที่ :
https://www.facebook.com/Lost.Somewhere.Together
ค น ห ล ง ท า ง
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.30 น.