ผมได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศนิวซีแลนด์ เป็นเวลา 21 วัน ในช่วงเดือนเมษายน ปี2559 ซึ่งทริปนี้เป็นทริปฉลองการเรียนจบของผม เดินทางไปกับเพื่อนรวม4คน ใช้บริการของรถบ้าน นอนในรถบริเวณ Camp site จองกันวันต่อวันเพราะแพลนที่วางไว้ค่อนข้างหลวมๆ เผื่อไว้อยู่แล้ว โดยเราจะเดินทางไปลงยังเมือง Auckland เมืองทางตอนเหนือของเกาะเหนือ ขับรถบ้านเที่ยวลงไปเรื่อยๆ นั่งเรือข้ามฟากไปยังเกาะใต้ และ สิ้นสุดที่เมือง Queenstown

อุปกรณ์ในการถ่ายภาพของทริปนี้

กล้อง Nikon D750

Lens --> nikon 24-70 f2.8 , nikon 85 f1.8 , Tamron 70-300

ประกอบกับฟิลเตอร์ CPL BW และ GND LEE filter

ขาตั้งกล้อง ของ Fotopro

Memory Card ของ Sandisk เอาไป 4 ครับ 32 32 16 16 (ขนาดเอาไปขนาดนี้ยังจะไม่พอครับ)

Auckland

วันแรก Landing ที่ Auckland ของเกาะเหนือ แค่นี้ก็สัมผัสได้ถึงความงดงามของ Landscape ประเทศนี้แล้ว

อากาศกำลังสบายๆครับ สิบปลายๆ แต่มีฝนตกหน่อยๆ ขึ้นชื่อเรื่องฝนตกจริงๆครับสำหรับประเทศนี้

เป็นที่ทราบกันดีนะครับว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่ใช้ถ่ายทำภาพยนต์ Hollywood อย่าง the lord of the ring และ The hobbit ที่สนามบินนี้จึงมีรูปปั้นของภาพยนต์เรื่องนี้ด้วย


วันแรกไปรับรถบ้านไม่ทัน เนื่องจากความดีเลย์ของเครื่องบินจากไทยครับ จึงนั่งรถตู้จากสนามบินไปที่พักแทน โดยเราก็ไม่ได้จองที่พักกันมาซะด้วยในคืนแรก คิดว่าจะนอนรถบ้านกัน แต่ยังดีที่เราจองตอนเปลี่ยน connecting flight ทันครับ


วันต่อมาหลังจากรับรถบ้านแล้วเราก็เดินทางไปบริเวณ westhaven ซึ่งเป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของอะไรนี่แหละ ผมลืมไปละ ซึ่งก่อนถึงท่าเรือก็วิวทะเลใกล้ๆ แต่อากาศทึมๆมาก

ที่เป็นท่าเรือ westhaven มีเรือจอดนับพัน แต่เดินเข้าไปไม่ได้นะครับมันล๊อก เรือแต่ละลำเจ้าของไฮโซๆ ทั้งนั้น

ต่อจากท่าเรือ เราก็ขับไปชม war memorial museum แต่ไม่ได้เข้าไปนะครับ ถ่ายแต่บริเวณรอบๆ เป็นสถานที่ฆ่าเวลาเพื่อรอไปที่ Mt.eden ถ่ายแสง Twilight ต้องมาลุ้นว่าฟ้าจะเปิดหรือป่าว เพราะตั้งแต่มานี่ยังไม่เปิดเลย

ที่นี่คือ Mt.eden ครับ เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว ซึ่งเป็นภูเขาในตัวเมืองเลยมีทางขับขึ้นมาอย่างดี เดินต่อนิดหน่อย เป็นสถานที่ๆชาวเมืองและนักท่องเที่ยวมาชมวิวยามเย็นและออกกำลังกายกัน(คนวิ่งและปั่นจักรยานเยอะมากครับ) และเราก็ไม่ผิดหวัง ฟ้ามาระเบิดในวันนี้พอดี

ภาพนี้คือผมมาคิดได้ตอนขึ้นไปเจอและหามุมถ่ายสวยๆอยู่ มุมที่คิดไว้ตอนแรกคืออยากได้ crater(ปากปล่องภูเขาไฟ) สวยๆ เห็นวิวเมือง แล้วก็เจอมุมนี้จริงๆ ซึ่งไม่ได้เห็นภาพนี้ไปก่อน บริเวณสีเขียวๆ ด้านล่างคือ crater ที่ดับแล้วครับ เดินชมได้รอบๆ วิวด้านหลังคือเมือง Auckland นั่นแหละครับ จะเห็นTower อยู่ไกลๆด้านซ้าย

2ภาพด้านบน เป็นภาพที่ได้แรงบรรดาลใจมาจากหนังสือ Lonely planet ครับ ซี่งทำให่ผมอยากไปที่นี่มาก เพราะอยากได้ แสงBokehสวยๆ แล้วก็ได้จริงๆครับ วิธีการถ่ายวิวนี้คือ ใช้ F1.8 ดัน ISOขึ้นให้มือเราถือได้ ภาพไม่สั่น เปิดแสงจากโทรศัพท์ไปที่ตัวแบบ แล้วกดโฟกัสก่อนครับ แล้วล๊อกโฟกัสไว้ ทีนี้เราก็จะได้ตัวแบบที่ชัดพร้อมBokehแล้วครับ


หลังจากที่เราลงจาก Mt.eden ในตอนหัวค่ำนั้น แพลนของเราคือวันรุ่งขึ้นเราจะขับไปบ้าน Hobbit ครับ ซึ่งอยู่Matamata

ห่างจาก Auckland ประมาณ 2-3 ชม เราจึงขับออกจากเมืองมาหา camp site บริเวณด้านนอกเมืองซึ่งตื่นเต้นมากเพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้ลองใช้รถบ้านจริงๆประกอบกับไม่เคยใช้บริการ Camp site มาก่อน ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดี รายละเอียดเรื่อง Camp site ไว้เขียนตอนจบนะครับ


Hobbiton movie set

วันต่อมาเราก็ขับกันไปที่ Hobbiton movie set ที่ Matamata ครับ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ถ่ายทำ Shrine หรือบ้าน Hobbit จากในหนังจริงๆ โดยทีมงานเป็นผู้หา Location และสร้างขึ้นมาเอง โดนการเข้าชมนั้น จะมีเป็นรอบๆครับ แต่ละรอบต้องมีไกด์พาทัวเสมอ ไม่สามารถเข้าไปเองได้ ซึ่งไกด์ก็พูดภาษาอังกฤษเร็วมาก ฟังไม่ทัน555 ส่วนทางด้านนอกก็เป็น Shop มีขายชุดฮ๊อบบิท สินค้าที่ระลึกมากมาย เช่น เสื้อกันหนาว เสื้อยืด หนังสือ โปสเตอร์ บลาๆๆ

หลังจากที่เสียเงินไปเยอะกับค่าเข้าชมและของที่ระลึกนั้น ฝนก็ตกพอดี เราก็เลยขับรถจาก Matamata ไปที่เมือง Rotorua เพื่อไปยังที่เที่ยวต่อไปกัน

นอกจาก Hobbiton movei set วิวรอบๆ Matamata ก็เป็นฟาร์มแกะ เยอะแยะมากมาย

Red wood

The red wood แถวๆเมือง Rotorua ครับ เป็นป่าไม้แดงที่อุมสมบูรณ์มากๆๆๆ ขับออกมาจากเมืองไม่ไกลมาก ไม่ถึง 1 km ด้วยซ้ำ

หลังจากเยี่ยมชมป่าไม้แดงเสร็จก็ค่ำๆพอดีครับ จริงๆคือแพลนว่าวันนี้ต้องไปบ่อน้ำพุร้อน Wai-o-tapu ให้ทัน แต่ก็ไม่ทันเนื่องจากสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจ ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปหา Camp site แถบๆนั้น ตื่นมาจะได้รีบไปกัน ก็เลยได้ที่พักนึกมา จำชื่อไม่ได้ครับ แต่มีสระว่ายน้ำร้อนๆให้เล่น มีบ่อให้แช่ ราคาไม่แพงมากครับ


Wai-o-tapu

บ่อน้ำพุร้อน กลิ่นกำมะถันค่อนข้างแรง แต่สวยดีครับ มีหลายบ่อมากๆ

มีคนตั้งชื่อสระนี้ว่า Devil pool ซึ่งก็ได้อารมณ์นั้นจริงๆ

Taupo

หลังจากชื่นชม Wai-o-tapu เสร็จแล้วก็ขับลงมาเรื่อยๆครับ มาแวะที่ Taupo lake ซึ่งไม่ได้อยูในแพลนเลย แต่หลังจากหาอ่านรีวิวเกี่ยวกับ Tongariro trekking มาก็เห็นคนเอ่ยถึงชื่อที่นี่เยอะเลย แวะมาหน่อย เผื่อได้ข้อมูล เมืองนี้เป็นเมืองคึกคักระดับนึงเลยครับ มีร้านช๊อปปิ้งราคาถูกเยอะ สิ่งที่ผมซื้อก็เป็นพวกเสื้อยืดที่เป็นลายเฟิร์นสีเงิน กระบอกน้ำไว้ trekking ครับ

อาหารไทยในต่างแดน First time อิอิ คือหลังจากอยู่มานานเกือบอาทิตย์ก็เริ่มเบื่อกับอาหารฝรั่งและมาม่าครับ และเราก็ไปเจอร้านนี้โดยบังเอิญ ซึ่งจริงๆแล้วนั้นเรากะว่าจะเข้าไปทานเพื่อถามข้อมูลของการ Trekking tongariro ในวันรุ่งขึ้นว่าเราควรนอนที่ไหนขึ้นรถจอดรถอะไร ที่ไหน รองเท้าแบบที่เราใส่ๆกันนี่พอได้ไหม บลาๆๆ สารพัดคำถามมากมาย แต่ก็ไม่ได้ถามครับ ทานอย่างเดียว เจ้าของก็เป็นคนไทยครับ พูดคุยสนุกสนาน ผมจำชื่อร้านไม่ได้เหมือนกันแต่อยู่ในเมืองนี้น่าจะมีร้านเดียว อย่างในภาพด้านบนก็เป็นผัดกระเพราครับ อร่อยดีนะครับ ราคาก็ประมาณ300บาท ตามค่าครองชีพแหละครับ น้ำเปล่าเติมฟรีตลอด แต่ไม่รู้ทำไมผมว่าพริกน้ำปลาเค้าทำออกมาอร่อยกว่าเมืองไทยอีก


Tongariro alpine crossing

หลังจากที่ฟ้าปิดมาแทบทุกวัน วันนี้เราตื่นเช้ามาสังเกตุฟ้าครับ คือไม่รู้เมฆมันหายไปไหนหมด ถือเป็นโอกาสอันนี้ที่จะได้เดิน Trekking tongariro จริงๆ

โดย Tongariro trekking นั้น ได้ชื่อว่าเป็น The best one day walk ของ New zealand เลยครับ ระยะทางรวมทั้งหมด19km ใช้เวลาประมาณ 6-8 ชม แล้วแต่คนครับ ทางเดินในช่วงแรกก็เป็นแบบภาพด้านบนครับ เดินสบายๆชิวๆ ไม่ชันมาก

มองย้อนกลับไปไกลๆนู่นคือที่จอดรถครับ เดินมาไกลมาก แต่ไม่ถึง 1ใน4 เลย เริ่มปลดเสื้อกันหนาวออกเหลือแต่ เสื้อยืดชั้นในสุด เพราะจะเป็นลมครับ

ภาพนี้คือเราเดินมายังไม่ถึงครึ่งทางนะครับ แต่ว่าเป็นจุดสูงสุดแล้ว วิวเข้าขั้นฟินขั้นสุด เหนื่อยสุดๆเช่นกัน

ภูเขาหัวแดงๆที่เห็นนั่นคือ ดวงตาแห่งซารอนครับ ในเรื่อง The lord of the ring ชื่อจริงๆของมันคือ Mt.doom ครับ ดูในภาพนี้เหมือนอยู่ในหนังเลยจริงๆ

หลังจากเดินมาตั้งนานไม่เจอทะเลสาปซะที คิดว่าคงแห้งไปแล้วน่าเสียดาย แต่พอมาถึงทางลงครับ ก็พบ Emerald lake ทั้ง4 แห่ง บริเวณทางลงเป็นดินทรายเลยครับ เหยียบทียวบๆ ด้านข้างไม่มีอะไรกั้นทั้งสิ้น ต้องค่อยๆเดิน

ตรงนี้คือจุดชมวิวท้ายๆละครับก่อนทางลงยาวๆ เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่จะเก็บกล้อง เพราะไม่ไหวละครับ ล้ามากๆ ระยะที่บอกไปตอนต้นคือ 19km แต่เพื่อนผมใช้แอพพลิเคชั่นบันทึกระยะทางไว้ จับได้ที่22km ใช้เวลา 7 ชม โดยช่วงท้ายจะเป็นช่วงลงอย่างเดียวยิ่งปวดเท้าครับ แต่ก็ต้องรีบเพราะถ้าเกินเวลาจะไม่มีรถกลับที่พัก


หลังจากเราไป trekking tongariro กันมา เย็นวันนั้นเราก็ขับรถกันให้ถึงครึ่งทางระหว่าง tongariro และ Wellington เพื่อประหยัดเวลาในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะได้เดินทางไปยังเกาะใต้กันแล้ว

Te papa museum

วันสุดท้ายผมเฟลนิดหน่อยครับ เพราะเวลาค่อยข้างจำกัดเลือกไปที่เที่ยวได้แค่ที่เดียวในเมือง Wellington ซึ่งก็ลังเลว่าจะเลือกไปชมวิว Cable car กับตัวเมืองดี หรือ พิพิธภัณฑ์ Te papa ดี สุดท้ายก็เลือกพิพิธภัณฑ์ครับ เพราะใน Lonely planet book บอกว่าที่นี่ "ต้องมา" ซึ่งพิพิธภัณฑ์ก็โอเคมากๆ มีหลากหลายส่วนจริงๆ ส่วนที่พวกเราไปดูก็จะมีส่วนของสงครามประวัติศาสตร์ของประเทศนี้

สองภาพด้านบนเป็นหุ่นยักษ์นะครับ เป็นส่วนของการโชว์เรื่องสงครามประวัติความเป็นมาของประเทศนี้


Interislander

และแล้วก็ถึงเวลาอำลาเกาะเหนือกันแล้ว พวกเราเลือกเรือข้ามฟากของบริษัท interislander ดังในภาพด้านบน ซึ่งบริษัทเรือข้ามฟากเจ้าใหญ่มีให้บริการอยู่ 2 บริษัท คือ Interislander และ Bluebridge ซึ่งราคาก็จะคิดทั้งคนและรถด้วย ราคาก็จะต่างกันทั้ง 2 บริษัท ขึ้นอยู่กับว่ามีโปรโมชั่นอะไร อย่างพวกเราเลือก interislander เพราะ มีบัตรลดจากหนังสือที่หยิบมาจากสนามบิน คิดแล้วมันถูกกว่าก็เลยเลือกครับ

บรรยากาศภายในเรือก็หรูหราครับ มีทั้งโซนภายใน และ ภายนอกให้ชมวิว ด้านในมีบริการอาหารเครื่องดื่มมากมายครับ

วิวพระอาทิตย์ตกขณะตัวเรือกำลังเคลื่อนออกจากเกาะเหนือ

ภาพของเกาะเหนือครับ ภาพนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังอย่าง Jurassic park ยังไงบอกไม่ถูก

พระอาทิตย์เริ่มตกดิน เข้าไปในเรือดีกว่า หนาวลมแรงมาก

โกโก้ร้อน เสิร์ฟพร้อมกับ มัชเมลโล่ มีบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยนะครับ


Picton

และแล้วเราก็มาถึงสถานที่แรกของเกาะใต้ที่เมือง Picton เราเลือกจะมาเดิน trekking เล็กๆน้อย ไปกลับ 9km กันที่

snout track ซึ่งผมว่าจริงๆก็ไม่ค่อยฟินเท่าไร วิวต้นทาง(ดังภาพบน) สวยมากกว่า เป็นบริเวณที่ชื่อว่า queen chalotte sound

หลังจากเดิน Snout track แล้วนั้นเราก็มายัง Picton เมืองที่เป็นประตูสู่เกาะใต้ มาเดินเล่นริมหาด แวะเข้าห้องน้ำ แต่อาหารเช้านั้นยังไม่ได้ทานครับ กะว่าจะไปจัดชุดใหญ่ที่ Mussel pot ร้านหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ร้านดัง ซึ่งต้องขับออกมาจากเมืองเล็กน้อย

หน้าร้านหน้าตาจะประมาณนี้ครับ มีหอยเต็มไปหมด มีที่จอดรถหน้าร้าน

ไม่มีไรมากครับ ให้คะแนนไป 10กระโหลก ทั้งสด ทั้งมัน อร่อย มีหอยอบแกงเขียวหวานไทยด้วยนะครับ ซึ่งพวกผมได้ลองกัน แต่ไม่ค่อยเวิค อย่าเลย รอกลับมากินบ้านเราดีกว่า

Nelson

ขับรถเลียบชาติฝั่งทางด้านตะวันตกไปเรื่อย ก็มาถึงจุดหมายสุดท้ายของวัน ซึ่งก็คือโบสถ์ที่เมือง Nelson


West port

ขับลัดเลาะริมชายฝั่งจะมาพบกับ west port เป็นริมทะเลมีทางเดินริมผาไป แต่ทะเลบ้านเราสวยกว่าเยอะครับ

Pancake rock

ก่อนจะถึง Pancake rock หิวมากเลยหาร้านอาหารข้างทางกิน ก็มาเจอร้านนี้ครับ เข้าไปเจ้าของร้านก็ตกแต่งร้านโดยใช้แบงก์ต่างๆมาติดไว้


ขับลงมาต่อมาจาก West port จะพบกับ Pancake rock ครับ

อันนี้ Pancake rock นะครับขับลงใต้มาเรื่อยๆ สังเกตุไม่ยากครับ ป้ายค่อนข้างใหญ่ เดินเข้ามาอีกประมาณ100เมตรครับ จะเห็นหินเรียงซ้อนๆกันเหมือนกับ Pancake

เมื่อสถานที่ชื่อ Pancake ก็เป็นไปไม่ได้ครับ ที่จะไม่มีการตีตลาดเอา Pancake จริงๆมาขาย มีอยู่เจ้าเดียวครับ ถ้าไม่กินก็เหมือนมาไม่ถึง 555

Hokitika

เมืองเล็กๆ ชื่อว่า Hokitika เป็นเมืองที่เราแค่ผ่านมาเท่านั้น แล้วบังเอิญมาเจอกับพิพิธภัณฑ์ ดังรูปบน เลยแวะถ่ายรูปซะหน่อย จบด้วยการกิน Subway และขับต่อไปนอนบริเวณ camp site ที่ Franz josef


Franz Josef and Fox glacier

Helicopter first timeeee ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ไม่ได้เตรียมแพลนและเงินมาก่อนว่าจะขึ้น Helicopter แต่พอเห็นโบร์ชัวแล้วมันอดใจไม่ไหว นานๆครั้งในชีวิต เลยตกลงกับเพื่อนๆว่าโอเคเอาอันนี้แหละ

ตื่นเต้นมากๆครับ เสียวก็เสียว แต่วิวมันสวยมากๆๆๆ วันนั้นโชคดีกันด้วยครับที่ไม่มีเมฆเลย




และแล้วก็ไป Landing ยังจุดที่เค้าจัดไว้ให้ เค้าจะให้เวลาเราประมาณ 5-10 นาทีเพื่อถ่ายรูปครับ อาจจะดูน้อยนะครับ แต่ก็ฟินมากๆจนบอกไม่ถูกเลย

วิวตอนขากลับครับ จะมีให้เลือกหลายแบบครับ ว่าจะเอาแบบไหน landing หรือไม่ จะวนชมวิว Glacier ไหนบ้าง ซึ่งมีแบบที่ไปวนรอบ Mt.cook เลยก็มีนะครับ แต่พวกเราเลือก วนแค่ Fox และ Franz josef แล้วก็ Landing ครับ

จะขาดไม่ได้กับการเดิน Trekking ตาม track ต่างๆ สำหรับผมเลือกเดินตรง Franz josef นี่แหละครับ แล้วกะว่า Fox glacier ค่อยไปเดินถ้ำน้ำแข็ง แต่ก็ต้องล้มเลิกการเดินน้ำแข็งไปเนื่องจากดูสภาพอากาศล่วงหน้าแล้ว ถ้าอยากเห็น Mt.cookชัดเราต้องถึงวันที่เท่านี้ๆ จึงเวลาไม่พอ เพราะจากถ่ายวิวสวยๆมากกว่าแทนที่จะไปเดินน้ำแข็ง



Matheson Lake

วันนี้เราเล็งกันว่าจะไปถ่าย Reflecion ของ Matheson lake ให้ได้ แหกขี้ตาตื่นกันตั้งแต่ตี5 กว่า รีบวิ่งมาจุดที่สามารถชมได้ใกล้ที่สุด

ไม่ผิดหวังครับ หมอกจางๆเหนือทเะลสาป วิวด้านหลังที่เป็น Mt.ccok แล้ววิว Reflecion คุ้มจริงๆที่แหกขี้ตาขึ้นมา

อีกภาพครับ ถ้ามาเดือนประมาณ พย น่าจะสวยกว่านี้ครับ ภูเขาทางด้านหลังบนหัวคงเต็มไปด้วยหิมะ จริงๆในทะเลสาปจะมีนกเป็ดน้ำด้วยจะครับจะเป็นตัวทำภาพสะท้อนเสีย 555

อันนี้หลังจากเดินออกมาจาก Lake นะครับ เป็นบริเวณด้านหน้า หมอกลงสวยพอดี ด้านหลังเป็น Mt.ccok


Salmon Farm

Farm salmon แรกที่เราพบ แถวบริเวณ Haart pass ครับ ขับมาตามทางจะอยู่บริเวณขวามือมองป้ายดีๆ แต่แซลมอลซาชิมิของที่นี่จะเป็นดังภาพบนครับ รสชาติก็โอเค แต่จุ๋มจิ๋มไปหน่อย กินไม่มัน

Blue pool


Blue pool แถว Haart pass ครับ สระน้ำสีเขียวใส จริงๆมีกิจกรรมล่องเรือเจ็ทด้วยนะครับ ใครสนใจก็สามารถหาบริษัทแถวนั้นได้

Lake Hawea


Lake Hawea ถ้าขับมาตามเส้นทางแบบผมก็จะถึงก่อน wanaka ครับ อยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งผมว่ามันเป็น Lake ที่สวยที่สุดใน tripนี้นะ ด้วยน้ำที่เขียวใส ประกอบกับเวลาที่ผมไปเป็นแสงสะท้อน Reflecion พอดีแต่ด้วยความไม่รู้ในความสวยนี้ Lake นี้เลยเป็นแค่ทางผ่านครับ

Wanaka!!

ภาพๆนี้ ผมเล็งไว้ตั้งแต่เห็นต้นไม้ต้นนี้จากรีวิวต่างๆแล้วครับ พอดีเป็นคนชอบถ่ายรูปต้นไม้เดี่ยวกับวิวสวยๆ ถ้าใครอยากจะมานะครับเดินตามเข็มนาฬิกาของทะเลสาปได้เลย หรือสังเกตุจะเห็นนักท่องเที่ยวบริเวณนั้นจะเยอะครับ โดยเฉพาะคนจีนเยอะมาก

Lonely tree with Lake wanaka ผมนั่งอยู่ประมาณ 1ชม ครับ ดีที่ฟ้าระเบิดในวันนี้


วันต่อมาเรามาเดินกันอีกแล้วครับ กับ track roys peak ที่ได้ชื่อว่า Easy to walk ต้องมาลองดูกันว่ามัน Easy จริงป่าว

คือ track นี้มันง่ายจริงนะครับ คือเดินขึ้นมาได้เรื่อยๆ ทางไม่ยาก แต่มันเดินแบบขึ้นเรื่อยๆๆๆ ไม่มีจุดที่อยู่ในร่ม ไม่มีทางลง มีแต่ขึ้นๆๆ อย่างเดียว คือพักกันบ่อยมากครับ แต่ระหว่างทางนั้นเราจะเห็น เมืองWanaka และ Lake อยู่ตลอดเวลา คือว่าฟินในจุดนี้

นี่ครับระหว่างทาง

จุดนี้ของ Roys peak สุดๆไปเลยครับ เป็นจุดที่ทุกคนจะมานอนพักกัน บางคนก็เดินไปนู่นหละครับ ปลายทาง แต่จุดนี้ยังไม่ใช่จุดที่สูงที่สุดนะครับยังมีทางขึ้นไปอีก แต่ผมว่าจุดนี้สวยสุดละครับ ขึ้นไปไม่ค่อยมีไร แต่ท้าทายเราเฉยๆ

อีกมุมนึงจะเห็นเมือง Wanaka

ไหนๆก็มาละครับ ผมกับเพื่อนก็เดินไปให้สุดเลย ซึ่งจุดนี้จะเห็นวิวทั้งหมด 360 องศาเลย ที่เห็นดังภาพบนคือ วิวมุมนึงที่สามารถมองเห็น Mt.cook ครับ

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเราตัดสินใจพักที่ wanaka อีกซักคืน กะว่าคืนนี้จะไป Drink กับกินอาหารหรูกันซะหน่อย หลังกินมาม่ามาหลายวัน ภาพด้านบนเป็น Camp site ที่อยู่นอกเมือง Wanaka ครับ ขับเลยจุดที่จะขึ้น Roys peak ไปอีก จะอยู่ทางขวามือครับ เป็นที่พักราคาไม่สูงครับ ติดกับ Lake เลย แต่ข้อเสียคือ อาบน้ำอุ่นต้องเสียเงินหยอดครับ แล้วมีนับเวลาด้วย

มื้อหรูมือแรกครับ ตัดสินใจมาถึงประเทศนี้จะไม่กินเนื้อแกะก็แปลกๆ เลยจัดเลยครับ สุดท้าย ไม่ปลื้ม 5555 ซี่โครงหมูอร่อยกว่าเยอะ


วันต่อมาเราขับจาก Wanaka ผ่าน Lindis pass เข้าสู่ทางเข้า Mt.cook แล้วเลยไปที่ Lake Tekapo

Farm salmon ดังภาพบนเป็นที่พบโดยบังเอิญครับ เนื้อแซลมอนใหญ่กว่า Farm แรกเยอะ อร่อยกว่าครับ แนะนำที่นี่ครับ

Road to Mt.cook

เราเห็นว่าอากาศดีจึงขับรถเข้ามายังเส้นที่จะไป Mt.ccok ครับ เผื่อถ่ายวิวๆนี้ ผมไปเห็นวิวนี้จากเพจๆ นึง ครับ เลยคิดว่าต้องมาถ่ายวิวนี้ได้ให้

Lake Pukaki

ถ้าใครมาเห็นจะงงกับสีน้ำของทะเลสาปนี้ คือมันฟ้ามากๆๆๆ เหมือนสีน้ำหยอดลงไปเลย ถ้าไม่เชื่อต้องมาลองเองครับ

Lake pukaki วิวด้านหลังเป็น Mt.ccok

Tekapo

น่าเสียดายอย่างครับ เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงฟ้าสว่างมากๆ ทำให้อดถ่ายช้างกับโบสถ์นี้มาเลย เห็นภาพนี้อย่าคิดว่าได้ถ่ายภาพแบบสงบๆนะครับ คนจีนโดยรอบเยอะมากกกก คนแทบจะตลอดทั้งคืนเลยครับ

Church of the good shephard ในตอนกลางวัน

Selfie กับกระจกของโบสถ์

ความคาดหวังอีกอย่างนึงเมื่อมา Tekapo lake คืออยากจะเห็นดอก Lupines แต่มันก็เหลือนิดหน่อยเองครับ ที่เหลือเฉาหมด

หลังจากถ่ายโบสถ์ตอนเช้าเสร็จเราก็ขับรถขึ้นไปยัง Mt.jone กันครับ มีร้านกาแฟเล็กๆร้านนึงให้หลบหนาวได้ วิวก็สวยอลังการครับ ภาพด้านบนจะเป็นสถานีใช้ดูดาวนะครับ

วิวหน้าร้านกาแฟ มองลงไปเห็นเมือง Tekapo

บรรยากาศภายในร้านกาแฟครับ มี cake ขายด้วย ตอนที่พวกผมไปร้านพึ่งเปิดเลยครับ ขับรถติดกับพนักงานคนที่มาเปิดร้านเลย

Salmon farm at pukaki lake

ผมทานไม่หมดนะครับกล่องนี้เหลือเอาไว้ครึ่งนึงไว้ทานต่อ เอาไปผสมกับเครื่องยำที่ซื้อจาก Supermarket ครับ ทำเป็น ยำแซลมอลไทย

Mt.cook

กลับมาถนนเส้นนี้อีกครั้ง วันนี้เมฆเรียงตัวสวยมาก

แล้วก็มาเดินกันอีกแล้วกับ Hooker valley track ซึ่ง Track นี้เดินง่ายมากครับ เดินตามทางไม่มีขึ้นเขาลงห้วยไรทั้งนั้น

จะเดินไปให้สุดท้ายต้องผ่าน 3 สะพานแขวนนะครับ ซึ่งหวาดเสียวใช่เล่น มันโยกจริงๆ

สุดทางก็จะเป็นแบบดังภาพบนครับ ด้านหน้าเป็น Mt.cook น้ำแข็งละลายลงมาเป็น Hooker river ถ้ามาหน้าหนาวกว่านี้จะเห็น Ice berg เยอะด้วยครับ แต่ตอนนี้มีน้อยนิด

Lindis pass มีจุดแวะให้ถ่ายรูปครับ สวยอยู่ครับ ระวังน้ำมันหมดนะครับ เพราะไม่มีปั๊ม ควรเติมก่อนเข้าไปครับ


Autumn festival @ Arrow town

วันนี้จะขับไปที่ Arrow town กันเข้าร่วม Autumn festival แต่สภาพอากาศดูไม่ค่อยเป็นใจเท่าไร


นี่คือถนนด้านหน้า ร้านป้า Jone ขายผลไม้ แนะนำกีวี่นะครับ อร่อยมาก

ลงมาจากรถเดินชม arrow town นี่คือพบแต่ Maple เปลี่ยนสีเลยครับ เหลืองส้มแดง สพรั่งเลย

บังเอิญจริงๆที่เรามาพอดีในช่วง Festival ซึ่งไม่รู้มาก่อนเลย มีการแสดงมากมายครับ อาหารมาขายเยอะแยะ แล้วก็มีตลาดนัดด้วยครับ

อันนี้ผมเห็นว่าคนต่อแถวซื้อเยอะดีครับ เลยลองซะหน่อย รสชาติโอเคครับแต่สรุปแล้วมันก็คือไข่เจียวที่เอามาโปะขนมปังนั่นแหละ


บริเวณด้านหลัง Arrow town นั้น จะมีลานเล่นสเกตและจักรยานอยู่ ซึ่งมันจะติดกับแม่น้ำสายหลักเลยครับ บริเวณข้างแม่น้ำก็จะมีแต่ต้นไม้สีเหลืองเพียบ

อุโมงต้นไม้เปลี่ยนสี

คงจะพลาดไม่ได้เลยกับเจลาโต้ของ Arrow town อันเลื่องชื่อ

Queenstown

แวะ Queenstown ครับ หาอะไรทาน ตอนแรกในแพลนกะว่าจะขึ้นไปทานบุฟเฟ่บนภูเขาครับที่ต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป แต่สรุปคือเต็ม อดครับ เลยทานร้านอาหารไทยในเมืองนี่แหละ

ภาพนี้ให้อารมณ์ middle earth มาก

เจลาโต้อีกครั้ง อร่อยใช้ได้เลยครับ ร้านนี้อย่ติดกับร้านBurger ชื่อดังครับ ซึ่งผมไม่ได้ชอบกินHamburger อยู่แล้วเลยไม่ได้ไปต่อแถวยาวๆกับเขา


Milford sound

หลังจาก Queenstown เราก็ขับรถกันไปที่ Te anua ครบ ผมคาดหวังกับที่นี่ไว้เยอะเพราะเห็นรูปมาค่อนข้างสวย แต่พอไปถึงฟ้าปิด เมืองก็เป็นเมืองเล็กๆ ทะเลสาปที่คาดหวัง

ภาพ Mitre peak นี้ แทบจะเป็นภาพเดียวที่มุมนี้ฟ้าเปิดครับ เพราะถัดมาแค่ไม่กี่นาทีฟ้ามุมนี้ปิดไปเลยครับ

น้ำตกลดหลั่นกันมาเป็นขั้นๆ สวยงามมาก เรือจะขับเข้าไป

ธรรมชาติที่นี่เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก หน้าฝานี้มีต้นไม้ขึ้นเยอะ มีน้ำตกเล็กๆ รวมกันมาเป็นน้ำตกใหญ่

นกเยอะแยะมากมาย ไม่ใช่แค่นกเท่านั้น สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือปลาโลมาครับ มันจะชอบว่ายมาใกล้ๆเรือ ใครโชคดีก็จะเจอมันกระโดด เก็บภาพเด็ดๆได้เลย ซึ่งไกด์ประจำเรือจะตาไวมากเห็นโลมาไวมากๆต้องฟังดีๆ

นี่ไงรับพูดถึงก็มาเลย เจ้าโลมา

เห็นฟ้าปิดไหมครับ อันนี้ขากลับแล้วครับ บนเรือจะมีชาและกาแฟบริการฟรีครับ ส่วนใครหิวมีแซนวิชขาย

ถนนเส้นที่เข้าออกจาก Milford sound นั้นสวยมากๆครับ ให้บรรยากาศไปอีกภาพ อย่าลืมจอดรถแชะภาพด้วย แล้วก็เติมน้ำมันก่อนเข้ามาให้เต็มนะครับ ด้านในไม่มีปั๊ม แล้วไม่มีสัญญาณโทรศัพท์


Dunedin

หลังออกจาก Milford sound แล้วนั้น เราก็รู้สึกว่าเวลามันเหลือเกินครับ ไม่รู้จะไปไหนแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะขับข้ามฝั่งไปเมือง Dunedin เมืองแห่งสถาปัตยกรรมเลย โดยไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเมืองนี้ รู้แค่ว่าโบสถ์เยอะ มีรูปปั้นไรประมาณนี้

พอไปถึงก็เดินไปหาโบสถ์เลยครับสวยดี

อันนี้รูปปั้นและโบสถ์ที่บอก (คนละโบสถ์กับภาพด้านบนนะครับ)

อันนี้เป็นสถานีรถไฟครับ เสียดายที่ทำขาตั้งกล้องพังไปแล้ว เลยต้องถือถ่าย ดันisoสูงๆเอา เลยไม่ค่อยได้ดั่งใจเท่าไร จริงๆตอนแรกที่เห็นสถานีนี้ทำให้อยากถ่ายแนวStreet เลยครับ ลากไฟรถยาวๆ แต่ดันไม่มีขาตั้งแล้ว

Otago peninsula

ขับเลยออกมาจาก Dunedin ครับ จะเป็นวิวทะเล

Otago peninsular

ตั้งใจจะมาหานกครับ แต่นกชนิดที่หาดันไม่เจอ


Glenorchy

หลังจากไป Dunedin แล้วเวลาเหลือประมาณ 3 วันก่อนกลับครับ เราก็ขับกลับ Queenstown เพื่อจะไป Glenorchy เมืองเล็กๆที่อยู่แถว Queenstown

เป้าหมายหลักที่จะมาที่นี่ก็คือมาถ่ายบ้านหลังนี้แหละ เห็นรีวิวต่างๆแล้วก็อยากไปที่นี่ แต่อย่างอื่นที่ไม่มีอะไรเลยนะครับ

ทะเลสาปที่ต่อมาจาก Queenstown

อีกรูปแต่อันนี้กลับมาตอนแสง Twilight นะครับ จะให้แสงคนละอารมณ์กับภาพด้านบน

ทุกๆคนต้องเดินผ่านสะพานนี้เพื่อไปถ่ายวิวทะเลสาปครับ


Routeburn track

Trake สุดท้ายที่เราเลือก เราตัดสินใจเลือก Routeburn track แบบ one day เพราะได้ยินชื่อเสีงเรียงนามของ Track นี้มาพอสมควร แต่ถ้าใครฟิตพอและมีเวลาเหลือ แนะนำแบบ 3วัน 2คืน ไปเลยครับ คุ้มแน่นอน

ให้บรรยากาศ Middle earth จริงๆ ป่าอุมสมบูรณ์มากๆ

ภาพาวิวที่สวยสุดของ Route burn track ทางฝั่ง Glenochy ถ้าเป็นช่วงที่มีหิมะอาจจะสวยกว่านี้

ภาพสุดท้าย เป็นรถบ้านที่พวกเราใช้บริการครับ จองกันประมาณ3-4เดือน ก่อนออกเดินทางจริง ภาพนี้ถ่ายบริเวณ Camp site ที Glenorchy ครับ แล้วก็เป็นภาพเดียวที่ถ่ายได้ช้างมาครับ


สรุป Trip ครับ

- ขับรถรวมทั้งหมด 4300 km

- ถ่ายภาพมาทั้งหมด 3200 ใบ

- เดินกันทั้งหมด 10 track ซึ่งอาจไม่ได้ลงในนี้ครบ อันที่ไม่ลงคือไม่แนะนำให้ไปครับ เหนื่อยไม่คุ้มวิว

- Track ที่ชอบสุดคือ Tongariro alpine crossing

- ใช้เงินไปเยอะมาก ชั่งมันเหอะ

- แซลมอน ซาซิมิ มี 3 ร้าน 1.แถว Haart 2.ก่อนถึงทางแยกเข้า Mt.cook อยู่ทางขวามือถ้าขับมาจาก Wanaka 3.บริเวณ Lake pukaki ชอบสุดคือร้านบริเวณ Lake pukaki ครับ

- อาหารที่กินส่วนใหญ่เป็นพวกมาม่าที่เตรียมไปครับ พวกแมคโดนัล เคเอฟซี ประปราย ร้านอาหารไทย 3-4ครั้ง

- จอง Camp site กัน วันต่อวัน โดยใช้ Apllication ของ "Britz roadtrip" ในการหาครับ สามารถโหลดได้จาก App store ในนั้นจะมีรีวิวจากผู้ที่เคยพักมาก่อนด้วยครับ

-หนังสือท่องเที่ยวผมใช้ของ Lonely planet เล่มเดียวครับ

-อย่าลืมหยิบหนังสือบริเวณสนามบินมาด้วย มีคูปองลดหลายอย่างในประเทศครับ

-ถนนระหว่างเมืองที่นี่มืดมากครับ ไม่มีไฟระหว่างทาง ดังนั้นควรขับระวังๆครับ และขับตามความเร็วที่กำหนด จะมีป้ายบอกครับ

First time

-ขับรถเมืองนอก first time

-นอนรถบ้าน first time

-กินอาหารไทยที่เมืองนอก first time

-Helicopter first time


ขอบคุณที่ติดตามชมครับ ไว้มาเจอกันใหม่รีวิวหน้าครับ มีเก็บไว้เยอะแยะมาก





ความคิดเห็น