สวัสดีกลับมาพบกันอีกแล้วครับ ขอบคุณมากๆที่เข้าชมรีวิวครั้งก่อน North to south island the Road trip 21 day in New zealand ครั้งนี้จะขอรีวิวการเดินทางไปประเทศอินเดียครับ ซึ่งทริปนี้ก็เกิดตามหลังติดๆกับทริปนิวซีแลนด์เลย โดยทริปนี้เกิดจากที่ผมได้อ่านรีวิวของเมืองเลห์ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนและไม่เคยคิดว่าประเทศนี้จะมีเมืองสวยๆแบบนี้ ความคิดเดิมๆนี่หายหมด กลายเป็นอยากจะเดินทางไปมากๆ แต่ไหนๆก็จะไปอินเดียละ ถ้าพูดถึงอินเดียจริงๆส่วนใหญ่แน่นอนก็ต้องรู้จักกับอนุสรณ์สถานแห่งความรัก "ทัช มาฮาล" กันอยู่แล้ว แต่จะมีกี่คนที่รู้จักเมืองเลห์ ผมก็ไม่รู้จักครัับ จนไปอ่านรีวิวของคุณปั้น walking backpack ทำให้ผมอยากไปมากกกก จริงๆผมอยาก trekking ที่นี่ครับ แต่มาช่วง พค เขายังไม่เปิดเพราะสภาพอากาศยังหนาว ยังมีหิมะเยอะอยู่ เลยได้เท่าที่มีในรีวิวนี้มา


Delhi

วันแรก Landing ที่กรุงเดลีห์ เมืองหลวงของอินเดีย สนามบินสะอาดดูดีครับ แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าเข้าเมือง ลงสถานี Delhi station พอขึ้นมาจากรถไฟฟ้าเท่านั้นแหละ พบความจริง 555 ความวุ่นวายมาเพียบ Hello my friend กันให้บรึม แต่เราก็ไม่สนใจครับ ก็เดินข้ามสถานีรถไฟ (คล้ายๆ หัวลำโพงประมาณนั้น) หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้ว เป้าหมายเราก็กะว่าจะไป3ที่ครับ คือ พิพิธภัณฑ์ของมหาตะมะคานธี , red fort และ มัสยิดจามา

จ้างรถตุ๊กๆได้อารมณ์ดีครับ การจราจรในเดลีห์วุ่นวายมากกกกก มีแต่เสียงแตร อากาศเท่าๆกับที่ไทยครับ

ไม่นานเราก็ถึงพิพิธภัณฑ์ครับ (ตอนตกลงราคาคุยดีดีครับ เขาบอกมาว่า100 ทวนชัดๆว่า 100นี่คือ รวมกัน100นะ ไม่ใช่คนละ100 ผมโดนมุขนี้ไป ตอนถึง จบเลย เสียค่าโง่)

พิพิธภัณฑ์ก็จะโชว์ประวัติความเป็นมาของท่าน หลายๆอย่าง ผมว่าดีสุดในทุกสถานที่ในเดลีห์นะครับ

Red fort

สถานที่ต่อมาเป็นป้อมปราการ Red fort เหมือนๆประตูเมืองนั่นแหละครับ

อากาศที่นี่ก็คล้ายๆกันทั้งเมือง อึมครึม ทรายเต็มไม่หมด อากาศหายใจไม่ค่อยสดชื่นเท่าไร ฟ้าไม่มีทางเป็นสีฟ้าแน่นอน เพราะตอนมองลงมาจากเครื่องบินก็ครึมตลอด

ด้านหน้า Red fort ครับ คนมายืนถ่ายรูปมากมาย ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่นี่ถึงมักมาขอถ่ายรูปเรา(ชาวต่างชาติ) เหมือนเป็นตัวประหลาดตลอด คือมองกันตลอดอะครับ เหมือนของแปลกจริงๆ แล้วเวลาถ่ายรูปคือเป็น10คน นานมากกว่าจะหลุดมาได้

หลังจากRed fort เราก็เดินต่อไปยังมัสยิดจามา แต่เนื่องจากมีคนจะมาขอเก็บเงินทั้งๆที่เป็นใครไม่รู้ ผมเลยไม่เอา เดินหารถ กลับที่พักเลย เพราะรู้สึกไม่ค่อยถูกโฉลกกับเมืองนี้เท่าไร สงสารแฟนผมด้วยไม่ค่อยสบายครับ เดินๆไปมีกลิ่นฉี่แทบตลอดเมือง


Agra

วันนี้เราจะเดินทางไปยัง Agra ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Taj mahal อนุสรณ์สถานแห่งความรักครับ คาดหวังไว้มากๆ วิธีการเดินทางคือเราตื่นแต่เช้ามืด ไปรถไฟชาตะบอดีซึ่งจองจากเมืองไทยไป ไม่สามารถไปจองหน้างานได้นะครับ เพราะรถเต็มแล้วก็วิธีการจองมันค่อนข้างยุ่งยาก เลยหาagentให้เขาจองใหเขาคิดค่าหัวใบละ150บาท ก็ชั่งมันเหอะ

อาหารบนรถไฟชาตะบอดีครับอันนี้พอทานได้ แต่ขากลับเป็นแกงกระหรี่ทิ้งเลยครับ กลิ่นเครื่องเทศมันแรงไป รถไฟขบวนนี้ค่อนข้างตรงเวลานะครับ และใช้เวลาไม่มากในการเดินทางประมาณ2-3ชม บรรยากาศภายในก็เหมือนๆตู้แอร์ของรถไฟไทยอะครับ ต่างกันแค่ที่นี่ตรงเวลามาก

Taj mahal

หลังจากถึงสถานี Agra cant ก็เดินออกจากสถานีไปหารถครับ ตามรีวิวต่างๆนั่นแหละ แต่พลาดตรงที่มีไกด์ท้องถิ่นขึ้นรถเรามาเฉย ซึ่งไม่ได้ต้องการเลยยยย เค้าบอกว่าเค้าสามารถพาเราเข้า Taj mahal ได้ฟรี ซึ่งก็ฟรีจริงๆ แต่จริงๆแล้วนั้นวันที่ผมไปเป็นวันเทศกาลของเขาครับ เข้าฟรีอยู่แล้ว เงิบไป

2ภาพด้านบนเป็นภาพเดียวกันครับ แต่ผมทำให้เป็น2โทนดู เป็นวิวที่ทุกคนมักจะหยุดถ่ายครับ

Taj mahal ผมว่ามันสวยงามสมคำร่ำลือนะ แต่ไกด์รู้มากของผมก็เร่งจัง เร่งตลอดไม่น่าไปเสียรู้เขาเลย

ยิ่งมองใกล้ๆก็ยิ่งสวยครับ หินอ่อนทั้งนั้น

วิวด้านหลัง เป็นแม่น้ำครับ

จาก Agra fort มองผ่านกำแพงไปจะเห็น Taj mahal ครับ เขาบอกว่าเป็นวิวเดียวกับที่จักรพรรดิชาห์ชะฮันเห็นขณะถูกจำคุก

ข้อเสียของวันนี้มีเรื่องไกด์ครับ คือเราพลาดจริงๆที่ให้เขาขึ้นรถมา ถ้าใครจะไปบอกตรงเคาเตอร์แท็กซี่ดีดีนะครับว่าไม่เอาไกด์ ตลอดการนำทางของไกด์จะพูดถึงเรื่อง shopping และของฝากตลอด โน้มน้าวเรามากๆ

พอชม Taj mahal เสร็จเราก็เดินทางกลับสถานีเลยครับ รอรถไฟกลับเดลีห์


Flight to Leh

เช้าวันต่อมาเราก็ให้พนักงาน รร จองรถไว้ให้ เพื่อไปสนามบินครับ เนื่องจากรถไฟยังไม่เปิด ไฟล์ทที่เราไปนั้นเวลาออกคือ 5.50 จึงต้องรีบไปครับ

ใครที่นั่งเครื่องไปเลห์นั้นสิ่งที่ไม่่ควรพลาดคือวิวระหว่างทางครับ สวยมากๆๆๆ ถ้าหลับไปนี่เสียดายแย่ จริงๆไม่ต้องเลือกฝั่งก็ได้นะครับ เห็นทั้ง2ฝั่งนั่นแหละ แต่ก็ต้องลุ้นเรื่องสภาพอากาศด้วยนะครับ ถ้าฟ้าปิดนี่จบเลย

landing กันเรียบร้อยที่สนามบินเลห์ เวลาถ่ายภาพระวังๆหน่อยครับ เพราะเป็นบริเวณค่ายทหารด้วย หลังจากผมถ่ายภาพนี้เค้าก็มาห้ามถ่ายครับ แต่ดูนักท่องเที่ยวทุกคนก็ถ่ายกันอย่างสนุกสนาน ตัวสนามบินเป็นสนามบินเล็กมากๆครับ มีอาคารผู้โดยสารเดียวซึ่งต้องนั่งรถบัสจากบริเวณที่landingเข้าไปค่อนข้างเสียเวลา พอเข้าไปถึงมีสายพานกระเป๋า 2 อัน ก็แซงคิวกันตลอดครับ แทรกๆกัน กว่าจะได้ค่อนข้างนาน พอออกจาก ตม. มาได้ จะมีบริการแท็กซี่ครับ บอกชื่อ รร ไปได้เลย ที่มีเรทค่ารถตายตัวครับไม่มีโกง พอไปส่งถึงที่คนขับจะถามเสมอว่าจะจ้างเขาต่อไหมในวันรุ่งขึ้น ซึ่งผมแนะนำให้ไปหารถจากที่พักครับ ให้ที่พักติดต่อให้

Main bazaar

หลังจากเราเข้าที่พักแล้วก็นอนพักครับเพื่อการปรับตัวเป็นเวลา 3ชม แล้วค่อยออกมาเดิน Main bazaar เป็นตลาดใจกลางตัวเมืองเลห์ครับ มีขายของมากมายเช่นอาหารสด เครื่องใช้ ร้านโชว์ห่วย ร้านขายเสื้อผ้า บริษัททัวร์ ร้านอาหาร ร้านinternet ซึ่งเรามาเพื่อเอา passport มาทำครับ เพื่อขอนุญาติไปนอกเมืองเลห์ จริงๆแล้วที่พักเราก็ทำให้ครับแต่เพราะไม่ทราบ เลยเสียค่าโง่ไป(อีกแล้ว)

ธงมนต์มีขายหลายๆขนาดเลยครับ ไม่แพงครับ อันละประมาณ 25-50รูปี

Leh palace

หลังจากเดินตลาดเสร็จเราก็หารถเพื่อไปเที่ยว Leh palace และ Shanti stupa ครับ

จากบริเวณ Leh palace ที่เราอยู่นั้น มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็น Shanti stupa ครับ ซึ่งเป็นสถานที่ถัดไปของเรา

ธงมนต์มีอยู่ทุกหนแห่งครับ

แชะๆๆ

Shanti stupa

Shanti stupa หรือ เจดีย์สันติภาพ (shanti แปลว่า สันติภาพครับ) ต้องรอนานมากๆกว่าจะได้วิวที่ไม่มีคนเลย ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะรีบกลับก่อนพระอาทิตย์ตกเย็นครับ แต่ผมรอแสง twilight อยู่ ลุงแท็กซี่แกก็ปล่อยครับ ให้รอได้

นักบวชครับ ผมชอบภาพนี้มากทีสุดในทริปนี้ละ

เด็กน้อย ทักทายได้ครับ Julleyyyy (คำทักทายของคนที่นี่ อ่านว่า จุลเล่) คิดไรไม่ออกบอกจุลเล่

มองไปเห็น Leh palace ที่เราพึ่งไปมา

วิวแสงสุดท้ายของเมืองเลห์ครับ


Siala guest house

อาหารเช้าของที่พักครับ สั่งได้หมดครับไข่ดาว ไข่เจียว ฟรีรวมกับค่าที่พักเรียบร้อย ชาก็อร่อยมากๆ มาพูดถึงเรื่องที่พักเล็กน้อยนะครับ เป็นที่พักที่ผมประทับใจมาก เจ้าของใจดีครับ พนักงานเทคแคร์ตลอด ชื่อที่พักว่า Siala guest house ซึ่งมีรีวิวมากมายตามเว็ปต่างๆ เจ้าของที่นี่เป็นญาติกับพนักงานในบริษัทแท็กซี่ครับ จะได้ลดค่าบริการแท๊กซี่ลง 10% ผมถึงแนะนำให้มาหาที่นี่ดีกว่า รวมถึงการทำpassport ออกนอกเมืองด้วย เอ้อลืมไปครับใบอนุญาติออกนอกเมืองที่เราได้มาอย่าลืมไป xerox ไว้นะครับ เพราะมันมีหลายด่านมากๆ ใช้แล้วเขาจะเก็บไว้เลย copy ซัก 10 ชุดก็ได้ครับ (ร้าน Xerox มีที่ Main bazaar)

Lamayuru

วันต่อมาเราแพลนเที่ยวรอบนอกเมืองเลห์ครับ เป้าหมายปลายทางคือวัด Lamayuru แต่ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะมากมาย เอาเป็นว่าใครไม่เคยไปชื่อสถานที่ต่างๆคง งง ไม่รู้จักกัน เอาประมาณว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางชม โบราณสถานก็แล้วกัน

จุดตัดของแม่น้ำ2สาย จะเห็นสีแยกกันชัดเจน ลืมชื่อแม่น้ำไปละครับ 555

Basgo ครับ โบราณสถานผมว่าก็ดูคล้ายๆกันหมด

หมุนระฆังก่อนเข้าวัด Lamayuru

บริเวณวัด Lamayuru ครับ มีบ้านพักต่างๆอยู่ตามไหล่เขา ใครต้องการมาพักก็มีบริการ Guest house อยู่นะครับ

หลังจากชมวัดไรกันไปแล้วก็ถึงเวลากลับครับ ขากลับพวกเราว่าจะไปแวะชมเจ้าแม่กวนอิม ที่ Likir monastery

ด้านหลังของ Likir monastery สถานที่สุดท้ายของวันนี้ เพื่อชมเจ้าแม่กวนอิม

เจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่มากๆครับ

ชมได้ไม่นานก็กลับครับ วิวมันซ้ำๆกัน ขากลับผมอยากแวะจุดที่ชื่อว่า Magnetic hillไม่รู้มันคืออะไร เห็นคนชอบแวะกัน

ที่ๆรถจอดอยู่นี้คือ Magnetic hill ครับ เมื่อจอดรถปุ๊ปแล้วปล่อยเกียร์ว่าง รถจะไหลขึ้นเนินครับเหมือนโดนแม่เหล็กดูดเลย เพราะงั้นนี่คงเป็นสาเหตุละมั้งครับที่เขาถึงเรียกว่า Magnetic hill


Nubra valley

วันต่อมาเราจะเดินทางไกล3วัน2คืนครับ แพลนคือไป Nubra valley และPangong lake อย่างละ 1 คืนแล้วค่อยกลับเมืองเลห์ครับ เส้นทางนี้จะเน้น Landscape เป็นหลัก โบราณสถานน้อยลง

วิวแรกครับ จะเห็นถนนวิ่งตามไหล่เขามาเรื่อย วิวด้านหลังเป็นเทือกเขาหิมาลัย ด้านล่างก็เป็นเมืองเลห์ครับ(ไกลๆนู่นน)

มองไปฝั่งตรงข้ามจะพบรถบรรทุกต่างๆวิ่งตามไหล่เขา

และแล้วเราก็มาถึงถนนที่สูงที่สุดในโลก Khardungla pass ไม่แนะนำให้อยู่นานเกิน15นาทีนะครับ เพราะอาจปวดศีรษะได้ แนะนำให้รีบแชะภาพแล้วก็รีบไปครับ

เริ่มเข้าสู่ Nubra valley ครับ ชื่อก็บอกว่า Valley ซึ่งแปลว่าหุบเขา จากภาพด้านบนจะเห็นว่ามีหมู่บ้านอยู่บริเวณหุบเขา มีหลายหมู่บ้านมากๆ เห็นแบบนี้เหมือนใกล้แต่กว่าจะขับรถไปได้ อ้วกแทบแตก

รถที่พาเรามาถึงนี่

Diskit monastery ครับ

สถานที่ถัดมาคือ Hunder ครับ กะว่าจะไปขี่อูฐซะหน่อย แต่ผมไปเร็วเกินไป เค้าบอกว่าจะขี่ได้ถ้าไปช่วงเวลา 17.00 แต่ผมไปถึงบ่ายๆ เลยอด ได้แต่ถ่ายรูปมาแทน

มองหน้าอูฐ อูฐมองหน้าเรา

พ่อ พี่ชาย น้องชาย มั่วครับ 555 หลังจากดูอูฐเสร็จเราก็กลับที่พักกันครับ

นี่คือที่พักของเราครับ ชื่อ Nubra ecolodge จองไปจาก Booking.com บริเวณรอบๆที่พักค่อนข้างกว้างครับ วิวสวย มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปถ่ายดาวได้ครับ ที่นี่บริการดีระดับ 5ดาว ค่าที่พักสูงหน่อยครับ ที่ 5000รูปี

อาหารของบริเวณที่พักครับ รวมกับค่าที่พักแล้วเรียบร้อย มีทั้งผัดหมี่แล้วก็ข้าวผัดครับ อร่อยมากๆ

3 ภาพด้านบนเป็นมุมเดียวกันครับ ถ่ายจากบริเวณที่พัก แต่ต่างเวลากัน ภาพดาวหมุนผมใช้2ภาพมาซ้อนกันครับ แล้วใช้ Photoshop ทำeffect เอา ยังไม่ค่อยเนียนเท่าไร


Pangong lake


ระหว่างทางไป Pangong lake จะพบสัตว์ต่างๆ มากมายครับ จริงๆวิวสวยกว่านี้เยอะครับ แต่ผมเมารถ ไม่มีรมถ่าย555

วันที่ถือว่าเป็นสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ครับ คาดหวังไว้ค่อนข้างเยอะกับ Pangong lake ทะเลสาปที่สูงที่สุดในโลก สวยมากครับ แสงสะท้อนกับน้ำเป็นทะเลสาปสีฟ้า อากาศเย็นมากๆ มีแดดกำลังดี ช่วงที่ผมไปนั้นเป็นหลังจากที่น้ำแข็งในทะเลสาปละลายหมดแล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็น มีรุ่นน้องผมไปทะเลสาปนี้ตอนเป็นน้ำแข็งหมด ลงไปวิ่งเล่นได้เลยครับ อิจมากๆ

น้ำใสมากๆครับ ที่เห็นเป็นสีฟ้าคือ แสงสะท้อนกับฟ้าครับ

ตะวันเริ่มตกดินครับ รอแสงนี้อยู่เลย

หลังจากที่ถ่ายบริเวณต้นๆของทะเลสาปไปแล้วก็นั่งรถมาที่พักครับ อันนี้คือวิวจากหน้าที่พัก ที่พักก็จะเป็นเต๊นอะครับ เต๊นผ้าใบใหญ่ๆ ด้านในมีห้องน้ำ1ห้อง ไม่ค่อยสะอาดเท่าไร พอใช้ได้ แต่ผมไม่ปลื้ม เพราะราคาแพงกว่าที่อื่นมาก ทั้งๆที่เหมือนกัน คือผมจองไปจาก booking.com ก่อนด้วยซ้ำ แต่พอไปหน้างานราคาที่คนอื่นได้กลับถูกกว่าครึ่งนึง

หลวงพี่องค์นี้เป็นคนไทยครับ ชอบถ่ายภาพ หลวงพี่เค้าพาพระ องค์อื่นๆในวัดที่เมืองไทยมาเรียนภาษาอังกฤษหนะครับ อยู่เป็นเดือนๆ หลวงพ่อนี่แหละที่เป็นคนบอกผมว่าท่านได้ราคาที่พักเท่าไร คือที่พักที่นี่มี2แบบครับ แบบเป็นเต๊นกับแบบบ้าน บ้านก็จะเป็นHomestay ครับ พักรวมกับคนอื่นๆ แบบเต๊นก็จะส่วนตัวหน่อย แต่กลางคืนนี่กอดกันกลมดิ๊ก (หนาวมาก)

นั่นแหละครับที่พัก เป็นเต๊นๆ

เช้าวันต่อมาเราก็นั่งรถกลับครับ ซึ่งจะกลับคนละทางกับที่มานะครับ อันนี้จะผ่าน Changla pass ถนนที่สูงอันดับ3ของโลก

ที่นี่คือ Changla pass ครับ พอถึงตรงนี้ก็จะแวะพักกัน มีห้องน้ำ ห้องขายขนม แต่ห้องน้ำนี่กลิ่นสุดๆครับ ไม่ปวดจริงๆไม่แนะนำอย่างแรง

ขับรถก็สวนกันบนทางแบบนี้นี่แหละ แต่คนขับรถเก่งๆกันทั้งนั้นครับ

วิวสุดท้ายที่ถ่ายครับ ก่อนจะถึงเมืองเลห์ จะเห็นถนนริมเหว เป็นรูปตัว Z ด้านข้างคือไม่มีรั้วไรเลย

หลังจากกลับถึงตัวเมืองเลห์เราก็ไปทานอาหารที่ตลาดกันแวะซื้อธงมนต์และเสื้อลายเลห์นิดหน่อย เก็บกระเป๋าพร้อมบินตอนเช้า แต่ก็มีไรเกิดขึ้นได้ตลอดครับ เครื่องบิน Air india ที่จะมาเลห์ ดีเลครับ ทำให้ไฟล์ทของผมก็ดีเลห์ตาม จนตกเครื่องที่จะไปกทม ซึ่งผมมีธุระตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เลยต้องซื้อตั๋วการบินไทยใหม่เซงสุดๆ


สรุป+แนะนำ

จะขอแยกเป็นเลห์ กับอินเดียส่วนอื่นละกันครับ

Delhi + Agra

-ใครจะไปอินเดียในแถบที่ไม่ใช่เลห์ แนะนำอ่านรีวิวเยอะๆครับ กลโกงมีเยอะแยะมาก เช่นนั่งรถตุ๊กๆตกลงราคาที่ 100 รูปี พอไปถึงกลับบอกว่า 100ต่อหนึ่งคน อันนี้ต้องเอาให้เคลีย

-มุขพาไปเรา Information center นี่เจอบ่อยมาก เขาจะบอกว่าตั๋วเราใช้ไม่ได้ บลาๆๆ ต้องซื้อใหม่ อย่าไปเชื่อ

-ไอ่ที่อยู่เดินมาคุยดีด้วยนี่ต้องระวังครับ ประโยค Hello my friend นี่เจอบ่อย

-ระวังกระเป๋าดีดีครับ ทุกคนเล็งเราเยอะมาก

-จอง รร ไปก่อนครับ หาได้ตามรีวิวทั่วไป อย่าไปหาหน้างาน

-ควรเอาอาหารสำเร็จรูปจากไทยไปบ้างครับ เผื่อกินของอินเดียไม่ได้ ผมนี่ปกติทานได้ทุกอย่าง แต่ขอยอมแพ้ให้กับเครื่องเทศอินเดียครับ

-จะเข้าไปในสถานที่ใดถ้ามีคนเดินมาเก็บเงินนี่ไม่ต้องให้ครับ หาที่ซื้อตั๋วจริงๆเลยครับ

-ถ้ารถหรือไกด์ถามว่าชอบช๊อปปิ้งไหม ตอบไปเลยไม่ชอบ เขาจะตื้อพาเราไปร้านของที่ระลึก

-อ่านรีวิวการเดินทางดีดีครับ โหลดไว้ในมือถือ ไม่ต้องใช้ไกด์ ถ้าไกด์ขึ้นรถมาเราบอกไปเลยไม่เอา

-อากาศในเดลีห์ อักรา ไม่คลีนเท่าไร ใครแพ้ฝุ่นแพ้ควัน แนะนำผ้าปิดจมูก

-ทากันแดดด้วยครับ ผมนี่ไม่ทาวันเดียวเกรียมเลย

-Air india สำหรับผมและแฟนครั้งเดียวพอครับ ใครอยากรู้เพราะอะไรถามได้ครับ

-สนามบินที่อินเดียไม่มี wi-fi ให้ครับ ร้านอาหารตรงcounter check in มีแต่แซนวิช ขนมปัง ต้องเข้าไปด้านในก่อนถึงจะมีร้านอาหารให้

Leh

-ก่อนจะไปเลห์ กินยา Diamox ก่อนไป2วัน ครับ ป้องกันโรคแพ้ที่สูง

-ไปถึงเลห์ปุ๊ปอย่าห้าววิ่งหรือทำอะไรเร็วๆครับ ค่อยๆเดิน ถึงที่พักก็นอนซะ เพื่อการปรับตัว

-เลห์ต่างจากอินเดียแถบอื่นโดยสิ้นเชิง ทั้งหน้าตา ลักษณะนิสัย และสภาพบ้านเมือง คล้ายๆทิเบตมากกว่า

-ร้านอาหารที่แนะนำคือร้านที่ Main bazaar ตรง

-นั่งรถในเลห์ถ้าไปนูบร้าหรือทะเลสาป แนะนำครับถ้าเมารถ กินยาแก้เมาก่อน ผมเป็นคนเมารถมากมีวันนึงกินช้าไป เสร็จเลยครับ มึนมากจะอ้วก

-Wifi ที่เลห์ ถ้าเสียคือเสียทั้งเมือง ไม่ต้องไปลุ้น ไม่เกี่ยวกับสภาพอากาศแต่อย่างใด คำที่ไม่อยากได้ยินเลยคือ Internet is not working

-แนะนำให้ซื้อ ธงมนต์ครับ แปลกดีไม่มีที่ไหน

-ไฟล์ทกลับจากเลห์มาเดลีนั้นไม่ควรเอาของ air india ครับ เพราะถ้าดีเลห์นี่จบเลย เราจะไม่ทันไฟล์ทกลับไทย เขาจะชดเชยให้โดย ให้เรานั่งไปมุมไบ แล้วจากมุมไบกลับ กทม ช้าไปอีกครึ่งวัน เพราะเครื่องที่เลห์ ดีเลย์ง่ายครับ


สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชมรูปหรือเข้ามาอ่านครับ ข้อมูลผิดพลาดประการใดบอกผมได้ ไว้เจอกันใหม่รีวิวหน้า

ขอบคุณครับ


ความคิดเห็น