เมื่อชีวิตคนเราต้องการพักผ่อนในแบบสบายๆ ต้องการธรรมชาติบำบัด เราก็เจอที่แห่งหนึ่ง บางกะเจ้า..มันเป็นเสมือนปอดของกรุงเทพฯ อยู่ไม่ไกล แต่มีรูปร่างคล้ายกระเพาหมู แต่ฟอกอากาศที่สดชื่นให้กรุงเทพฯ แต่อยู่ในพื้นที่สมุทรปราการ...โอ๊ย! อยากไป อยากไป แต่ก็ไม่รู้จะมีใครไปกับเราไหม ที่สำคัญเราก็ไม่ใช่นักปั่นด้วยสิ เราจะไปได้ไหม จะได้ไปตอนไหนล่ะค่ะ...คำถามเกิดขึ้นมากมาย แต่เราก็มีความตั้งใจที่จะไป มันต้องได้ไปสิค่ะ
จากรีวิวอื่นๆ อาจไปกันแต่เช้า..เพื่อรับอากาสบริสุทธิ์ แต่สำหรับเรา..เริ่มออกมาก็สายแล้วล่ะค่ะ เริ่มต้นไปที่วัดคลองเตยนอก ซึ่งมีท่าเรือข้ามฟากอยู่ตรงนั้น เราต้องนั่งเรือข้ามไปอีกฝั่ง ความรู้สึกแรก คิดว่าว่าท่าเรือเล็กๆ จะมีเรือข้ามฟากด้วยเหรอ คนคงเยอะ แต่พอไปถึง ซื้อตั๋วเสร็จรอเรือ...พอเรือมาถึง..เราตกใจ เรือหางยาวลำเล็กมาก เลยไม่ทันได้ถ่ายรูป แต่พอลงไปนั่ง..ความรู้สึกชิลล์มากมายเลยค่ะ..และโชคดีที่นั่งกันแค่สองคนด้วย
ความรู้สึกชิลล์มากมาย ลมเย็นสบาย สายน้ำกระเด็นบ้างเล็กน้อย แต่ความรู้สึกที่ได้รับมันมากมายจนเราคิดว่าทุกคนน่าไปสัมผัสด้วยตัวเองกันนะคะ นั่งไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงอีกฝั่ง..ท่าเรือกำนันขาว..เราก็งง..ถึงบางกะเจ้าแล้วเหรอ พอเห็นป้าย Welcome ใช่เลย..เราถึงบางกะเจ้าแล้วจริงๆค่ะ
แล้วเราก็เจอจักรยานมากมายจอดอยู่ ให้เช่าราคาไม่แพง พร้อมแผนที่ท่องเที่ยวในบางกะเจ้า...บอกตรงๆ เราไม่ได้ปั่นจักรยานมานานมาก ถามว่าจะปั่นได้ไหม จะซ้อนหรือจะปั่นดีล่ะ...คำถามเกิดขึ้น??? แต่พอดูแผนที่..ก็ดูไม่ไกลกันเท่าไหร่ น่าจะไหวนะ..ด้วยความซ่าและอยากชิลล์ด้วยตัวเอง
เมื่อจักรยาน 2 คันพร้อม ก็ไปกันเลยค่ะ เรานำทางนั่นล่ะ...จะหลงไหม..แผนที่มีอย่าไปกลัว.. ปั่นไปแรกก็สนุกดีค่ะ อากาศสบายๆ แม้จะไปใกล้เที่ยง แต่พอปั่นไปเรื่อยๆ เหงื่อเริ่มออก..หยิบแผนที่มาดูทำไมตลาดบางน้ำผึ้งถึงไกลขนาดนี้ จากที่ตอนแรกไม่หิว ตอนนี้อยากเหมาทั้งตลาดเลยล่ะค่ะ
เป้าหมายต่อก็มีมากมาย ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง บ้านธูปหอมสมุนไพร บ้านที่ทำผ้ามัดย้อม ร้านกาแฟในสวน พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย สวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์ และที่สำคัญ Bangkok Tree House….เราก็ปั่นไปเรื่อยๆๆ นำทางตลอด เสียงจากคนข้างหลังจะคอยบอกว่า ระวังรถ อย่าปั่นกลางถนน ชิดริมหน่อย อย่าเบรกตอนขึ้นเนิน...55555 มันคงรู้สึกดีตรงนี้แหล่ะค่ะ...นอกเรื่องไปนิดนึง
และแล้วเราก็ถึงตลาดบางน้ำผึ้ง ด้วยเสียงเพลง ที่เหมือนเรียกผู้คนในละแวกนั้น และเราด้วยให้เข้ามาฟัง พอเข้ามาก็เห็นผู้สูงอายุนั่งฟังดนตรีกันเต็ม ณ ลานดนตรีบางน้ำผึ้งแห่งนี้.. ตลาดนี้ขึ้นชื่อเรื่องของกินมากมาย มีหลากหลาย จนไม่รู้จะทานอะไร เราเลือกทานก๋วยเตี๋ยวเรือกับแคปหมู..แล้วค่อยเดินไปหาอย่างอื่นทานต่อไป ก็ละลานตามากมาย แล้วไปจบที่ไข่หมึกย่างใบตอง..อร่อยมากมาย เดินเล่นไปเรื่อยๆ แวะเข้าห้องน้ำและก็เตรียมน้ำดื่มเพื่อเดินทางกันต่อ
เส้นทางตามแผนที่ ป้าย หรือไปตามความรู้สึก มันเกิดขึ้นพร้อมกันจนเราต้องปรับเส้นทางที่จะไปเอง เพราะพอปั่นจริงๆ มันก็ไกลพอสมควร ด้วยอากาศที่ร้อนแต่ก็พอมีลมบ้าง และเราก็ไม่ได้ปั่นจักรยานมานานมาก แถมไม่ใช่คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วย แต่เราก็สู้นะคะ เพราะคิดว่าเมื่อเราอยากมาสัมผัสธรรมชาติและสถานที่ต่างๆ ที่จะไปถึงมันคงสวยงาม แต่กว่าจะถึงสถานที่ต่างๆ ก็เราก็ไม่พลาดที่จะซึมซับบรรยากาศ ธรรมชาติ หรือบ้านเรือนผู้คนระหว่างทาง เพราะมันเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้เราไม่รู้สึกเหนื่อยมากเท่าไหร่
เราปั่นจนเพลินเลยและหลงตามระเบียบ จึงเปลี่ยนแผนไป Bangkok Tree House เลยล่ะกัน ซึ่งทางที่ไปมันเป็นเส้นทางเล็กและแคบไปเรื่อยๆ แถมยังมีผู้คนเดินกันเป็นระยะๆ อีกด้วย จึงต้องอาศัยการทรงตัวเข้ามาช่วยพร้อมกับสองขาที่คอยค้ำไม่ให้ล้ม กว่าจะถึงก็เล่นเอาลุ้นอยู่เหมือนกัน และเราก็มาถึงร้านสวยน่ารักน่านั่งมาก แต่คนก็เยอะมากเช่นกัน เลยเดินไปอีกนิดก็เห็นป้ายร้านพบรัก ณ บางน้ำ เราก็เลยลองเดินไปดูซึ่งมันก็ไม่ไกลกันมาก ร้านน่ารักเหมือนกันติดริมน้ำ แต่คนก็เยอะไม่ต่างกัน เราจึงตัดสินใจย้อนกลับมาที่ Bangkok Tree House อีกครั้ง เพื่อดูที่นั่งและพักร่างในห้องแอร์ ด้วยการหม่ำขนมและเครื่องดื่มให้ชื่นใจก่อนที่จะเดินทางต่อ
และเราก็เดินทางต่อ เพราะกลัวว่าจะไม่ทันเที่ยวอีกหลายที่ ขากลับเรารีบปั่นจนเลยทางเข้าอีกตามเคย ทำให้เราอดไปบ้านธูปหอมสมุนไพร และบ้านผ้ามัดย้อม เพราะถ้าย้อนกลับไปก็กลัวจะเสียเวลา เราเลยคิดว่ามันต้องมีครั้งต่อไป เราก็เลยมุ่งหน้าไปที่พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ซึ่งมันจะเป็นเส้นเดียวกับสวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์ แต่เราเลยไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันก่อนเพราะกลัวว่าจะปิด
พิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย ก็แหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องปลากัด ที่น่าจะหาดูได้ยาก เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ เลี้ยงดู ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ที่เราไม่เคยเห็น มันก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ในยุคสมัยนี้หาชมได้ยากมาก และสิ่งหนึ่งเราเกิดข้อสงสัย คือ ทำไมต้องเอาก้อนอิฐมากั้นระหว่างขวดโหล ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่า คงเหมือนคำพูดที่เขาว่า จ้องตากันเหมือนปลากัดเดี๋ยวก็ท้อง มันไม่ใช่เลย ปลากัดถ้ามันเห็นหน้ากันมันจะสู้กันต่างหาก แล้วมันก็จะเหนื่อย เขาเลยอยากให้มันมีชีวิตที่สบายๆ ในที่ของตัวเองจึงนำก้อนอิฐมาวางคั่นระหว่างขวดโหล และในบริเวณพิพิธภัณฑ์นี้ก็ร่มรื่นมากๆ มีร้านกาแฟ ขายของที่ระลึก มีบ้านเรือนไทยสวยงาม มีป้ายบอกประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ ประวัติของพื้นที่บางกะเจ้านี้ และเหมือนจะมีจุดที่ให้เช่าถ่าย Pre wedding ด้วยนะคะ
ออกจากพิพิธภัณฑ์ปลากัดไทย เราก็ย้อนกลับไปที่สวนสาธารณะศรีนครเขื่อนขันธ์ ที่มีคิดว่ามันน่าจะร่มรื่นที่สุดในช่วงเย็นนี้ แต่ก่อนจะเข้าไป เราก็เจอกับสะพานข้ามที่ขอบอกว่า..ต้องใช้แรงปั่นอย่างมากมาย เพราะมันสูงชันมากสำหรับมือใหม่หัดปั่นอย่างเรา แต่พอเข้าไปในสวน เราก็ไม่ผิดหวัง มันร่มรื่นมาก เส้นทางน่าปั่นมาก สวยงามในทุกๆ มุม มีผู้คนมากมาย เข้ามาเดิน วิ่ง ปั่นจักรยานกันหลากหลายแบบ หลากหลายสไตล์ เราก็ปั่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดพักที่สวยงาม ตอนแรกก็แค่คิดว่า มันจะสวยตรงไหน พอเดินขึ้นไปชม แล้วถ่ายรูปลงมา มันเป็นจุดที่เข้าใจเลยว่า..ทุกคนห้ามพลาดในการพักชมและถ่ายรูป
แล้วเราก็ปั่นกันต่อไป..คราวนี้สิมีผู้ร่วมปั่นมากมาย ก็ตามๆ กันไป เพราะ ณ จุดนั้น แผนที่ก็ไม่มี ป้ายก็ไม่บอก อาศัยใครปั่นไปทางไหนเยอะ เราก็ไป มันเป็นเส้นทางเหมือนเข้าป่า ทางลูกรัง มันก้อนหินก้อนดิน รากไม้ ทางแคบมากมาย ทำให้ต้องระวังและมีสมาธิกับการปั่นพอสมควร ซึ่งปั่นไปก็แอบคิดว่า.. นี่ใช่ไหม ที่เขาว่ากันว่า ชีวิตคนเรามันต้องมีอุปสรรคบ้าง และพอปั่นไปแล้วมาเจอทางเรียบ..นั่นเหมือนสวรรค์ มันคือเส้นทางที่สวยงามจริงๆ แล้วเราก็ปั่นมาเจอทางออก แต่ด้วยมือใหม่หัดปั่นอย่างเราปั่นมาเกือบทั้งวัน และปั่นมาหลากหลายเส้นทาง กำลังขาเริ่มหมด ทำให้เราต้องหยุดพักก่อนที่จะปั่นข้ามสะพานอันสูงชันกลับออกไป โดยให้คนๆ อีกคนไปก่อน พอข้ามผ่านมาขามันก็เริ่มล้า จนเกือบล้ม แต่ด้วยความรู้สึกที่อยากพักและยังมีคนๆ หนึ่งที่รอเราอยู่ เราก็ต้องไปให้ถึง เราเริ่มปั่นช้าลง จนทิ้งห่าง แต่ก็ยังมีคนวนกลับมาหาแล้วก็รอให้เราปั่นไปข้างหน้าเหมือนอย่างเคย
จนสุดท้ายเราก็มาถึงท่าเรือด้วยเวลาที่เฉียดฉิวมาก เพราะท่าเรือก็ใกล้จะปิด แต่ขากลับนี่มีคนมารอเรือเยอะมาก กว่าจะได้ลงเรือ ไปกันทีก็เต็มลำ พอกลับขึ้นฝั่งได้..ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่อยากทำมาก ณ จุดนั้น คือ อยากพักขามากมาย แต่มันก็ทำให้เรารู้ว่า ถ้าอะไรที่เราตั้งใจ จะเหนื่อยแค่ไหน เราก็จะผ่านมันไปได้ และสถานที่ท่องเที่ยวนั้นจะสวยงามเสมอ เพราะเรามีคนข้างๆ ร่วมสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกัน งานนี้ภาพอาจมีน้อย เพราะต้องปั่นตลอดเส้นทาง ขอบคุณโปรเจ็คการท่องเที่ยวในครั้งนี้ และหวังว่าเราจะได้กลับมาใหม่ แล้วเราก็จะมาแชร์การท่องเที่ยวกันอีกนะคะ^_^
Once Chill Life
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 19.04 น.