ด้วยสังคมในเมืองหลวงที่วุ่นวาย และด้วยอากาศเริ่มหนาวแล้ว เราก็เป็นอีกหนึ่งมนุษย์เงินเดือนที่อยากพักพ่อน สัมผัสลมหนาว ดูทะเลหมอก ให้ธรรมชาติบำบัด และที่สำคัญอยากชาร์จแบตฯ เพิ่มพลังให้ชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง ทิ้งความวุ่นวาย ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้จักเราสักพัก การเดินทางเพิ่มความทรงจำของเรา ในแบบ Slow Life จึงเกิดขึ้น ลองไปดูนะคะ ว่า..เราจะไปใช้ชีวิตในแบบฉบับของเราอย่างมีความสุขและความทรงจำดีๆ มากมาย ได้อย่างไร
เราเลือกที่จะไปเชียงคาน อำเภอหนึ่งในจังหวัดเลย.. เมืองที่ใครก็บอกว่าเงียบสงบ คงความเป็นธรรมชาติ ริมแม่น้ำโขง เหมือนเมืองที่ทุกคนใฝ่ฝันจะได้ไปใช้ชีวิตกันสักครั้งในแบบ Slow Life ใช้ชีวิตแบบช้า...ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องทำอะไรตามแบบแผน หรือกำหนดกฎเกณฑ์ใดๆ มากมาย อยากทำอะไรก็ทำ อยากกินอะไรก็กิน ใช้ชีวิตแบบนอกกรอบ...สัมผัสธรรมชาติ บรรยากาศรอบๆ อากาศดีๆ วิถีชีวิตของคนที่นั่น..และคนข้างกายสักคน..เท่านี้ความสุขก็อยู่กับเราแล้วล่ะค่ะ
เราเดินทางออกจากกทม.กันตั้งแต่เช้าตรู่ด้วยเครื่องบินไปลงที่สนามบินจังหวัดเลย แล้วต่อรถตู้ไปที่เชียงคาน และก็เข้าเช็คอินที่พัก แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่จะเช็คอินได้ เราก็ต้องไปหาอะไรทำ เลยไปทานอาหารกันก่อน แน่นอนอาหารพื้นบ้านแปลกๆ ต้องมาก เราจัดส้มตำ ไก่ย่างและตำซั่วทะเลเส้นด๊องแด๊ง..แบบว่าอย่างเยอะ..ทานเสร็จก็ได้เวลาเช็คอินพอดี
กว่าจะได้เข้าพักก็เกือบบ่าย 2 โมงล่ะ เมื่อเปิดประตูห้องพักเข้าไป..สิ่งแรกที่ดึงดูดเรา คือ การออกไปที่ระเบียงก่อนเลย วิวสายน้ำที่ทอดยาวสวยงามและสดชื่น ทั้งๆที่เป็นช่วงเวลาบ่ายๆ ของวัน...พื้นน้ำที่พาดระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งดูแล้วไม่ไกลกัน มองไปฝั่งตรงข้ามนั่นประเทศเพื่อนบ้าน..มันไม่ได้รู้สึกว่านั่นคือลำน้ำโขงเลย
เราก็พักผ่อนนอนเล่น พอตกเย็นด้วยอากาศช่วงนั้นยังพอมีลมหนาวพัดผ่าน ออกมายืนรับอากาศบริสิทธิ์ที่ริมระเบียงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราเห็นฝูงนกสีขาวบินผ่านไปมาเหนือน้ำโขง ซึ่งหาดูได้ยากนะคะ ดื่มด่ำสัมผัสธรรมชาติอยู่พักใหญ่ ก็ได้เวลาที่พระอาทิตย์จะขอลากลับบ้านบ้างแล้ว ท้องฟ้าก็จะเริ่มเป็นสีชมพูจางไปเรื่อยๆจนมืด อากาศก็ยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ ถึงขั้นหนาวกันเลยทีเดียว
เวลาแห่งแสงสี ณ ถนนคนเดินเชียงคาน ถนนที่ทอดยาวในเตัวเมืองเชียงคาน สองฝั่งถนนมีทั้งรีสอร์ท เกสต์เฮ้าส์ ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร กิจกรรมของคนท้องถิ่น ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ศิลปินเปิดหมวก หรือศิลปินที่แต่งตัวในแบบของเขา และที่ขาดไม่ได้คือ ของกินระหว่างทางบนถนนคนเดินเนี่ยแหล่ะค่ะ เราก็เดินไปกินไปตลอดทาง อย่างกุ้งแม่น้ำเสียบไม้ย่าง ข้าวจี่ ปาท่องโก๋ยัดไส้ หมูยอแสนอร่อย ฯลฯ แบบว่าอิ่มกันตลอดคืนเลยทีเดียว
แต่สำหรับคนที่ชอบของมึนเมา พอให้ร่างกายอบอุ่น ก็มีเบียร์วุ้น และร้านค็อกเทลด้านหลังติดริมโขง บรรยากาศชิล ฟังเพลงเบา จิบไปมองลำน้ำโขงไป ดาวเต็มฟ้า พอให้แอลกอฮอล์อยู่ในร่างกาย ก็มีนะคะ แต่อยากจะบอกว่า เชียงคานเป็นเมืองที่เงียบสงบ ปลอดภัย สามารถเดินกลับอย่างสบายใจกันแบบไม่มีใครทำได้ด้วยค่ะ เสมือนเป็นเมืองของเรา รู้สึกดีจังเลยค่ะ คืนนี้ก็หลับพักผ่อนได้อย่างสบายใจไปพร้อมกับลมหนาวและผ้าห่มอุ่นๆค่ะ
เช้าวันที่สอง ตืนมาพร้อมกับฟ้าที่ยังมืดสนิท ลมหนาวที่พัดผ่านกันเป็นระลอก กับการนั่งรถสกายแลป (รถตุ๊ก-ตุ๊กของเชียงคาน) ที่ไม่มีช่องปิดลมหนาวใดๆ เพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์และทะเลหมอกที่ภูทอกกัน ก่อนจะถึงบนภูทอก รถสกายแลปก็จะไปจอดตรงทางขึ้นภู แล้วรอรถกระบะของอบต.ที่ด้านหลังมีที่เบาะนั่งสองแถว นั่งไปหน้าของเราก็สู้ลมหนาวไป แถมมือก็ต้องหาที่จับกันไหลเอน เพราะเส้นทางชันพอสมควรแถมขรุขระอีกต่างหาก พอถึงบนภูเล่นเอาหน้าชากันเลยทีเดียว จุดแรกที่เห็นคือหลักกิโลเมตรบอกว่าเราถึงภูทอกแล้วค่ะ และเราก็ขึ้นไปรอดูพระอาทิตย์ที่จุดชมวิว ท้องฟ้าที่ใกล้รุ่งสาง เริ่มจากเป็นสีชมพู และค่อยๆ เห็นแสงสีส้ม สีแดงจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่จากขอบฟ้า จนมาถึงขอบภูเขาสวยงาม แล้วค่อยเต็มดวงโผล่พ้นขอบฟ้า ขอบภูเขา แต่เสียดายที่ทะเลหมอก มีไม่มากมายอย่างที่เคยเห็นในรูปรีวิวอื่นๆ แต่ก็ยังมีความงดงามอยู่บ้าง จริงๆ แล้วการยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นนั้น ที่ไหนๆ ก็อาจจะมีความงดงามไม่ต่างกัน ต่างกันที่สถานที่ วัน เวลา และคนที่เรายืนดูด้วยต่างหากนะคะ ขอบคุณที่ทำให้วันนี้เราตื่นมาพบพระอาทิตย์ที่งดงามพร้อมๆ กันค่ะ
หลังจากชมความงามของพระอาทิตย์แล้วเราก็ลงจากภูทอกมา แล้วหาอะไรอุ่นๆ ดื่มกันสักนิด ก่อนที่เราจะต้องนั่งรถสกายแลปไปเที่ยวต่อท่ามกลางลมหนาวอีก เราก็ไปเที่ยวกันต่อที่วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน ซึ่งรถสกายแลปก็เข้าไปได้แค่ทางเข้า แล้วจะมีรถกระบะมารับอีกต่อหนึ่งเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้รถระบะไม่มีที่นั่งต้องนั่งบนพื้นกระบะแล้วเอาหลังพิงกระจก ยืดขาตามสบาย มือจับให้แน่นกันลื่นเท่านั้น แต่มันก็ทำให้เราได้ชมวิวไปได้แบบไม่ต้องกังวลเท่าไหร่ค่ะ สักระยะก็จะถึง..เราจะเห็นอุโบสถสีทองอร่าม เราเข้าไปกราบสักการะรอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐานอยู่ด้านในนั้น ซึ่งที่นี่ถือว่าเป็น ศาสนสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเชียงคานกันเลยทีเดียว และยังมีตำนานที่เล่าขานเกี่ยวกับพระพุทธบาทภูควายเงิน เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรให้อ่านกันด้วยนะคะ และบริเวณนอกอุโบสถก็มีฝูงกระต่ายน้อยใหญ่ให้เราเข้าไปให้อาหาร เล่น ถ่ายรูปได้แบบใกล้ชิด โดยมีการกั้นพื้นที่ให้เข้าไปอยู่ในนั้นได้เลย แต่เรื่องความสะอาดก็ต้องระวังกันด้วย เนื่องจากมันเป็นกระต่ายป่า หรือกระต่ายวัด มันอยู่อย่างธรรมชาติของมันคงไม่ได้สะอาดมากเท่ากับกระต่ายที่เลี้ยงดูทั่วไป แล้วหลังจากนั้นเราก็ขึ้นไปจุดชมวิวด้านบน ซึ่งมีแสงอาทิตย์ที่ทอแสงลงมายังหมู่บ้านด้านล่าง มองผ่านไปมันช่างงดงามเหลือเกิน ชีวิตที่เหมือนเราอยู่เหนือใครๆ มันช่างสวยงามอย่างนี้นี่เอง ชื่นชมสักพักแล้วเราก็ได้เวลากลับ ซึ่งก็ต้องนั่งรถกระบะแบบเดิมลงมา เพื่อไปขึ้นรถสกายแลปแล้วเราก็ไปเที่ยวกันต่อ
ออกจากวัดพระพุทธบาทภูควายเราก็นั่งรับลมหนาวกันต่อมาอีก แม้จะเริ่มสายก็ตาม จนมาถึงแก่งคุดคู้ ซึ่งที่นี่ก็มีตำนาน การมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ เราจะเห็นแก่งชัดเพราะน้ำลง แก่งคุดคู้ เป็นแก่งขนาดใหญ่ ทอดตัวไปในน้ำ กว้างเกือบจรดสองฝั่งแม่น้ำโขง มีกระแสน้ำไหลผ่านเพียงช่องแคบ ใกล้ฝั่งไทยเท่านั้นเอง พื้นที่ด้านล่างเป็นหาดทราย มีหินก้อนเล็กใหญ่มากมาย และมีเต็นท์ร้านขายอาหาร และที่นี่ก็ยังมีปลาให้เราปล่อยด้วย ซึ่งก็ถือว่าเราได้ให้ชีวิตใหม่แก่พวกมัน แต่ก็ไม่รู้หรอกว่า ต่อไปมันจะถูกจับมาเป็นอาหารของชาวบ้านหรือไม่ เพราะมองเลยไปอีกนิดแถวนั้นเขามีจับปลากันด้วย แต่เราก็ถือว่าเราได้ทำบุญแล้วล่ะค่ะ ทุกอย่างเราทำไปด้วยความตั้งใจ จะเกิดอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของทุกสิ่งก็แล้วกันนะคะ
จากแก่งคุดคู้..คนขับขี่สกายแลปก็พาเราไปไร่สตอเบอร์รี่...ซึ่งไม่คิดว่า เชียงคานจะมีด้วยเหรอ พอถึงไร่ เราก็มองแล้วเหมือนมันไม่มีอะไร แต่สักพักเจ้าของไร่ บอกว่าให้ลงมาชมก่อน แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนซื้อก็บอกว่า หวานนะคะ เท่านั้นล่ะค่ะ...เราก็รีบลงไปแล้วถามว่าเก็บเองได้ไหม ซึ่งเจ้าของไร่ก็ให้อาวุธมาคือ ถังพลาสติกเล็กๆ พร้อมกรรไกร เพื่อนำไปเดินตัดตามสบาย...เราได้เห็นสตอเบอร์รี่ลูกใหญ่มากมาย สีสันสวยน่ากินมากเลย สักพักฝนก็ตกปรอยๆ เหมือนบอกเราว่า...พอแล้วอย่าเสียเงินเยอะ เราก็ต้องรีบกลับ ซึ่งก็ตัดได้มากล่องหนึ่งเกือบกิโลค่ะ..งานนี้ถือว่า...ฟินค่ะ
เที่ยวมาหลายที่ก็เริ่มหิว เพราะอาหารเช้าก็ดื่มแค่ของอุ่นๆ ไปนิดเดียว และก็ใกล้เที่ยงพอดี เราเลยแวะทานชื่อดังของเชียงคาน อย่าง ข้าวเปียกเส้น ไข่กระทะ ซึ่งถ้าไม่ได้ทานนี่ถือว่ามาไม่ถึงเชียงคานนะคะ แล้วก็กลับเข้าไปพักที่โรงแรม
เราเข้ามาพักผ่อนได้สักพัก ก็ต้องเช่าจักรยานออกไปขี่เล่น เพื่อชมบรรยากาศโดยรอบของเชียงคาน งานนี้ได้สารถีขี่พาเที่ยวทั่วเชียงคาน แวะร้านโน้น ออกร้านนี้ ไปซอยนั้น ออกซอยนี้ แล้วมาจิบกาแฟและชาชิลล์ พร้อมด้วยขนมเค้กขึ้นชื่อ อย่าง ฮอกไกโดชีสเค้ก เค้กมะพร้าว ที่ร้าน Toffee-Coffee บ้านสุพิชญา นั่งมองสายน้ำโขง จิบชา-กาแฟ ไปเรื่อยๆ กินเค้กอร่อยๆ ชีวิตก็มีความสุขมากมายแล้วค่ะ
และแล้วก็ถึงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มเหนื่อยล้าอีกครั้ง...แต่วันนี้เราได้มาปั่นจักรยาน และยืนดูอยู่ที่จุดชมวิว ริมฝั่งโขง ในเมืองเชียงคาน มันเป็นอีกความสวยงามหนึ่งที่อยากจะบอกว่า..คนทุกคนควรหาเวลามาสัมผัส การยืนพระอาทิตย์ขึ้นและตกในมุม สถานที่ต่างกัน ความงดงามก็ต่างกัน แม้จะเป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกันก็ตาม และสิ่งสำคัญอีกอย่าง..คือ เรายืนมองความงดงามนั้น..กับใคร
คืนที่สองกับถนนคนเดิน ซึ่งคืนนี้อาจดูผู้คนน้อยลง เราก็เดินเล่นเรื่อยๆ เก็บภาพและหาอะไรทานเหมือนเดิม แต่คืนนี้ เรามีเพื่อนแนะนำให้นั่งชิลในร้าน ฟังเพลงจนร้านปิด แล้วเดินดูดาวสัมผัสลมหนาวไปเรื่อยๆ ก่อนที่เราจะกลับไปนอนหลับฝันดีในคืนแห่งความสุขอีกหนึ่งคืน
เช้าวันใหม่วันที่ 3 กับกิจกรรมที่ชาวเชียงคานถือปฏิบัติกันมายาวนาน เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต การตักบาตรข้าวเหนียว...ซึ่งในอดีต ชาวบ้านที่เชียงคานจะใส่แต่ข้าวเหนียว แล้วพอสายๆ จึงค่อยนำกับข้าวใส่ปิ่นโตไปถวายพระที่วัด เสมือนเป็นกุศโลบายให้คนเข้าวัดด้วยอีกอย่างหนึ่ง วัฒนธรรมเหล่านี้ถูกถ่ายทอดกันมานาน แต่ในปัจจุบันก็เริ่มเลือนรางกลายเป็นแบบสะดวกตักบาตรทุกอย่างแต่แค่มีข้าวเหนียวด้วย ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่มาเป็นนักท่องเที่ยวอาจไม่มีเวลามากพอก็เลยต้องใส่ในแบบฉบับที่สะดวกที่สุด แต่ก็ถือความตั้งใจเป็นหลัก การทำบุญ ทุกอย่างอยู่ที่ใจเป็นสำคัญค่ะ
ใส่บาตรข้าวเหนียวเสร็จ ยังเช้าอยู่ หนาวด้วยก็เลยกลับเข้ามาพัก แล้วรอเวลาไปทานอาหารเช้า ซึ่งทางโรงแรมมีข้าวต้มเห็ดหอม และไข่กระทะ ของขึ้นชื่อของเชียงคาน นั่งทานไปมองสายน้ำโขงไป อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้จัง ความสุขของคนทำงาน คือวันจันทร์ที่ไม่ต้องทำงานและได้พักแบบไม่ต้องเร่งรีบค่ะ
พอถึงเวลาเช็คเอ้าท์ เราก็ฝากกระเป๋าไว้ก่อน เพราะใกล้เที่ยงแล้วก็ต้องไปหาของอร่อยๆ กินกัน ซึ่งที่เชียงคานมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ชิม เราเลือกไปร้านในตำนานของเชียงคาน 70 ปี ร้านจุ่มนัว ยายพัด ซึ่งจุ่มนัวก็จะคล้ายๆ สุกี้ในเมืองกรุงแต่ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวแทนนั่นเอง
พอกินเสร็จก็ยังพอมีเวลา ก็ขี่จักรยานไปเที่ยวในแบบกลางวันกันอีกรอบ เสมือนเก็บตกร้านต่างๆ ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนกลับ เราเริ่มกันจากไหว้พระ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้าวัดกันบ้าง เริ่มจากวัดวัดศรีคุณเมือง เป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองเชียงแห่งนี้ ตั้งอยู่ซอย 7 ประดิษฐานพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทองปางประทานอภัยแบบล้านช้าง และสิ่งหนึ่งที่แปลกคือ ผู้หญิงเราทำได้เพียงแค่ก้มกราบอยู่ตรงบริเวณด้านล่างของอาสนะสงฆ์เท่านั้น
และเราก็ไปไหว้พระกันต่ออีกหนึ่งวัด เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิตของเรากันนะคะ คือ วัดมหาธาตุ อยู่ซอย 14 เป็นวัดเก่าที่สุดของเมืองเชียงคาน ภายในเป็นอุโบสถไม้เก่าแก่รูปแบบล้านช้าง บริเวณหน้าจั่วมีภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวประวัติเมืองเชียงคาน เจดีย์อิฐที่เชื่อกันว่าสร้างทับรูพญานาค
หลังจากนั้นก็เริ่มจะไปหาร้านนั่งชิลล์ก่อนกลับ แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะร้านโปสการ์ด ของที่ระลึกในความทรงจำ ซึ่งเราไม่เคยพลาด ร้านชื่อน่ารักอย่าง ไอเดียดีดี ซึ่งมีทั้งโปสการ์ด สมุดโน้ต และของที่ระลึกน่ารัก เราเลือกโปสการ์ด เพราะมันจะเป็นการเขียนเรื่องราวจากสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ แล้วส่งกลับหาเราอีกครั้ง เสมือนเตือนความทรงจำและบอกเราว่า...เราเคยไปทำอะไรที่นั่นและทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น ณ จุดนั้น
และก็เริ่มหาร้านนั่งเล่นกัน ไปเจอร้านชื่อ สองผัวเมีย ร้านชื่อนี้จริงๆ นะคะ เป็นเกสต์เฮ้าส์ด้วย..ร้านตกแต่งน่ารักดี แถมมีเครื่องดื่มอร่อยๆด้วย เราก็จัดคลายร้อนไป...มัทฉะ อัฟโฟกาโต...ชาเชียวใส่ไอศกรีมวานิลา...อร่อยดีนะคะ ดับร้อนได้ชั่วขณะ และก็ได้นั่งเขียนโปสการ์ดที่ซื้อมาก่อนที่จะเอาไปส่ง จริงๆ ร้านนี้ก็มีโปสการ์ดขายอีกด้วยนะคะ
แต่ด้วยบรรยากาศของเชียงคาน...มันต้องหาที่ริมน้ำ นังชิลล์ก่อนกลับสิค่ะ ก็เลยขี่จักรยานตามคำบอกเล่าไปเรื่อยๆ สุดท้ายมาจบที่ร้าน Make a view…สมชื่อเลยค่ะ สั่งเครื่องดื่มเย็นๆ นั่งชมวิวริมน้ำโขงก่อนกลับไปเจอความวุ่นวาย แต่เราก็มีเมนูที่น่าสนใจอย่าง โยเกิร์ตมะนาวน้ำผึ้ง..จิบไปเรื่อย ชมวิวไป..บอกตรงๆ อารมณ์นั้นไม่อยากกลับเมืองกรุงเลยทีเดียว
แต่เวลาแห่งความสุขมักหมดเร็วเสมอ ต้องเดินทางกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้วสินะ ในช่วงระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ที่เชียงคานแห่งนี้ มันเหมือนช่วงเวลาแห่งความฝันจริงๆ นะคะ ชีวิตที่ได้ใช้ธรรมชาติบำบัด การใช้ชีวิตแบบช้าๆ ไม่ต้องเร่งรีบ ทำทุกอย่างโดยไม่ต้องมีใครกำหนดใดๆ มากมาย ให้เวลาพาเราไปตามสถานที่ท่องเที่ยว สร้างความประทับใจ ความทรงจำและความรู้สึกดีๆ ให้เกิดขึ้น และความสุขก็อยู่กับเราโดยไม่รู้ตัว...ขอบคุณธรรมชาติที่ทำให้ชีวิตมีของเรามีความหมาย ขอบคุณคนข้างๆ ที่ทำให้เราได้มีความฝันที่เป็นจริง ทำให้ทุกๆเรื่องราวในชีวิตมีความทรงจำที่สวยงาม ขอบคุณการเดินทาง การได้หยุดพักท่องเที่ยว เพื่อให้รู้ว่า...ชีวิตคนเราเมื่อมันต้องใช้ โลกมันกว้างเราต้องเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเอง และที่สำคัญเมืองไทยมีที่เที่ยวและน่าไปค้นหาเพื่อสร้างความทรงจำดีๆ อีกมาก..ลองออกจากกรอบชีวิต หยุดพักการทำงานกันสักนิด แล้วเดินทางท่องเที่ยวกันบ้าง แล้วจะรู้ว่า...ความสุขอยู่ไม่ไกล แค่เราสร้างมันด้วยการท่องเที่ยวตามธรรมชาติเท่านั้นเองนะคะ
Once Chill Life
วันพฤหัสที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 16.05 น.