ถ้าในวันนี้เรี่ยวแรงยังเหลือ ก็ยังต้องฝัน...ต้องก้าวไป

สวัสดีเดือนแห่งความรักและเพื่อนๆ ชาว Read me ทุกคนด้วย รีวิวนี้เป็นฉบับที่ 4 แล้ว ทริปนี้เราออกเดินทางตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เนื่องจากเราเดินสายเที่ยวช่วงปลายปีติดกันหลายทริป มีเวลาเหมาะๆก็เลยมาเขียนเล่าประสบการณ์ที่ "ครั้งหนึ่งเราคือผู้พิชิตภูกระดึง" จะเป็นครั้งสุดท้ายรึเปล่า (อันนี้ไม่แน่ใจ) เอาจริงๆเราวางแพลนกันนานมาก ดูมีความพร้อม ? ป่าวเลย ฮ่าาาาๆ เนื่องจากอ่านรีวิวเตรียมตัวก่อนไปค่อนข้างเยอะพอสมควร ทริปนี้เราเลยมีผองเพื่อนร่วมชะตากรรมไปพิชิตด้วยกันทั้งหมด 5 ชีวิต เปลี่ยนแนวเป็นพี่ติ๊ก เนวิเกเตอร์หน่อย มันจะใช่ทางของเราจริงหรือ ? ยังไงก็ลองดูละกัน ไม่ไปตอนนี้ แก่กว่านี้ไฟคงหมอดแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลังด้วยว่าทำไมตอนที่ยังมีแรงเหลือๆ นี่แหละหน่าาา....พอได้ออกเที่ยวสักครั้งนึงมันจะติดลมบนแบบนี้บอกเลย



- 19/11/59 - DAY 1 วันขึ้นภูกระดึง กับ ระยะทาง 9 กม. 🌲👟 🎒 🌄

ช่วงหัวค่ำของวันที่ 18 พ.ย.59 คืนวันศุกร์มีรถหนาแน่นพอสมควร เรานัดรวมตัวกันที่สถานีหมอชิต 2 โบกพี่แท๊กซี่ไปลงที่นั่นเลย ขับได้ใจมาก ปาดซะใจพี่นี่ตกลงไปอยู่ตาตุ่ม โดนรถคันอื่นบีบแตรไปหลายที โอ่ยยยย อยากให้ถึงไวไว จนแล้วจนรอดก็มาถึง



เราเลือกโดยสารรถทัวร์ของซันบัส (Sun bus) จองผ่านเว็บเอาได้คันที่เป็น VIP24 มี 24 ที่นั่ง ปรึกษาหารือก่อนจองทุกคนอยากนอนแบบสบายๆ และไม่ค่อยแวะจอดระหว่างทาง ยิงยาวถึงเลย เรื่องห้องน้ำห้องท่าหายห่วง มีห้องน้ำอยู่ด้านในสุด เป็นห้องเล็กๆไว้ปลดทุกข์ได้เบาๆ รวมราคาต่อคนเที่ยวละ 582 บาท

เนื่องจาก เป็นการนั่งรถทัวร์ไป-กลับครั้งแรกของทุกคนที่ไปด้วยกัน มีความตื่นเต้น บวกกับกลัวหน่อยๆ เนื่องจากเห็นข่าวรถทัวร์พลิกคว่ำอยู่บ่อยๆ แต่จะให้ขับรถไปกันเองมันก็จะเป็นการเอาเปรียบคนขับไปหน่อย เนื่องจากก่อนเดินขึ้นภูกระดึง ทุกคนต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงเดินขึ้น รถออกเวลา 22.00 น. เรามาถึงก็สามทุ่มหน่อยๆ

กว่าจะรวมตัวกันครบก็เกือบๆจะสี่ทุ่มละ รีบจ้ำๆๆๆๆเดินหารถกันค่าาา

หาไม่ยากเลย นี่ไงเจอแว้ว

รถทัวร์ของซันบัส (Sun bus) เพิ่งจะเปิดตัวได้ไม่นาน สภาพรถเลยยังใหม่เอี่ยม เราเลยอยากมาสัมผัสความใหม่ เบาะปรับเอนนอนได้ สบายจุง

นอกจากนี้ยังมีจอ LCD ทีวีส่วนตั๊ว ส่วนตัว เปิดดูไว้แก้เบื่อแก้เหงาด้วย มีทั้งภาพยนตร์ เกมส์ เพราะเราเดินทางหลายชั่วโมง ฟังก์ชั่นที่เขามีมาให้ก็ประมาณนี้คะ

ก่อนออกเดินทางมีแจกผ้าห่ม ขนม และน้ำดื่มไว้เผื่อหิวมื้อดึกกันด้วย


มีแยกเบาะไว้สำหรับผู้ที่เดินทางมาคนเดียวไว้ด้วย ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่มาคนเดียวแล้วไม่อยากนั่งติดกับใคร


ถึงเวลารถออกกันแล้ว กู๊ดไนท์...กรุงเทพฯ เบาะปรับเอนนอนได้สบายดีไม่มีปัญหา บางคนก็นั่งเล่นมือถือ บางคนก็นอนดูหนัง ลืมบอกเลยว่าบนรถมีเต้าเสียบสาย USB ไว้ชาตแบตกันด้วย เอาใจชาวโซเชียล ยุคไอทีกันหน่อย ระหว่างทางแอบมีสะดุ้งบ้าง ไม่ใช่อะไรนะ สะดุ้งเพราะเสียงกรนนังแฟนตัวดี โอ่ยยย...เรือแล่นผ่านไม่รู้กี่รอบ หลับลึกเกินหยั่งถึง ณ จุดนี้ๆปล่อยนางไปเฝ้าพระอินทร์ละ นางคงเพลียจริง Zzz

เวลาตี 5 เราก็ถึงร้านเจ๊กิมแว้ว..จัดแจงเอากระเป๋าใต้ท้องรถ แล้วหามุมนั่งรอขึ้นรถสองแถว เพื่อไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง

ที่นี่มีบริการครบ ของฝากครบครัน อีกทั้งยังเป็นจุดรอขึ้นรถทั้งไปและกลับ บริการใช้ห้องน้ำฟรีนะไม่เสียตังค์ ใครจะทำธุระส่วนตัว หรือ หาข้าวกินรองท้องไปก่อนก็รีบๆทำเวลาหน่อยละ

จะขึ้นสองแถวแล้ว ฟ้าใกล้สว่าง ขอแชะรูปคู่กับผานกเค้าซะหน่อย เดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึงร้านเจ๊กิม

ค่าบริการรถสองแถวคนละ 30 บาท นั่งได้ 10 คน (ถ้าไม่มีคนร่วมต้องเหมาคันละ 300 บาท)

บรรยากาศตอนเช้ามีหมอกลงบางๆ อากาศเย็นหน่อยๆ มีคนตื่นมาปั่นจักรยานแล้วอะ ฟิตเว่อร์ !!!!!

ถึงแล้วที่ทำการ เปิดให้บริการ 7 โมงนะจ๊ะ เรากระจายตัวต่อแถวซื้อบัตรกัน มีจ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บ./คน ค่าเช่าพื้นที่กางเต๊นท์ และจองบ้านพัก/เต๊นท์ เจ้าหน้าที่บอกให้ไปติดต่อข้างบน...เต๊นท์ไหนว่างๆก็โยนเป้จองเลยน้อง ค่าเต้นท์อยู่ที่หลังละ 225บาท/คืน เต๊นท์ใหญ่อยู่ นอนได้มากสุดสามคน ปล.แนะนำว่าไปถึงศูนย์เร็วหน่อยจะดีกว่า เพราะมีขั้นตอนที่ต้องทำรออยู่ข้างหน้าอีกเยอะ และในวันปกติ ไม่ต้องจองเลยคะมาติดต่อเจ้าหน้าที่ขอเช่าเต้นท์ได้เลย

ใกล้ๆกันนั้นจะมีบอร์ด เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของในหลวง มีรูปตอนในหลวงเสด็จมาประพาสที่ภูกระดึงกับพระราชินีด้วย

ได้มาแล้วบัตร 5 ใบ หลังจากได้บัตรมาแล้ว เราก็เตรียมตัวเอากระเป๋าชั่งเพื่อจ้างลูกหาบแบกสัมภาระของเราขึ้นไปคะ

ซื้อบัตรสัมภาระติดกระเป๋ากันก่อน ถ้ามาเป็นกลุ่มให้ส่งตัวแทนมาแล้วกรอกชื่อคนที่เป็นตัวแทนกลุ่ม ให้เขียนชื่อเดียวกันทุกใบ เพื่อกระเป๋าเราและเพื่อนจะได้ไปด้วยกัน กรอกวันที่ เบอร์โทรศัพท์ แล้วค่อยต่อแถวชั่งน้ำหนักกระเป๋า เจ้าหน้าที่จะกรอกรายละเอียดน้ำหนักลงบนบัตรสัมภาระ ทั้ง 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 จะติดกับสัมภาระของเรา

ส่วนที่ 2 เจ้าหน้าที่เก็บไว้เป็นหลักฐาน

ส่วนที่ 3 บัตรแลกสัมภาระกับลูกหาบ ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง

ราคาอยู่ที่กิโลละ 30 บาทก็คูณไป กระเป๋าเราคนเดียวก็ปาไป 6 กิโลละ ขุ่นพระ !!!! แบกอะไรมาเยอะแยะ เฮ้อ นี่เอาที่จำเป็นจัดแจงอะไรเรียบร้อย เดินขึ้นเขาไปได้เลย ส่วนสัมภาระ ลูกหาบจะเดินตามขึ้นไปให้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง บนยอดภูกระดึง

ใครที่แบกไหวก็ไม่ต้องจ้างลูกหาบคะ ประหยัดเงินด้วย 55555 หลงเหลือแต่กระเป๋าเป้เล็กๆเอาแต่ของที่จำเป็นไว้ เช่น มือถือ พัดลม ยาดม ยาหม่อง น้ำดื่มขวดพกพา ผ้าเช็ดหน้าบลาบลาบลา เอาที่เราคิดว่ามันต้องได้ใช้แน่ๆอะ แยกไว้เลย

จากจุดนี้เราเดินไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนออกเดินทาง เอาฤกษ์เอาชัยกันหน่อย

เตรียมตัวเข่าอ่อน...พร้อมนะเพื่อนๆ ดูหน้านี่รู้เลยพร้อมสุด สดใสซาบซ่า เจ้าหน้าที่จะขอให้ส่งตัวแทนกลุ่มเขียนลงทะเบียนชื่อคนที่เดินขึ้นไปกับเรา

คนเดินขึ้นพร้อมเราเยอะอยู่ เดินทีนี่หน้าแทบจะทิ่มตรูดคนข้างหน้า 55555 และดูอบอุ่นดีออก

ตอนเดินขึ้นนี่กำลังกล้ามขามันก็ยังมีไฟอยู่นะ หลังจากนั้นละ...ไม่อยากจะบรรยาย

ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดทางซะเมื่อไหร่ เพราะช่วงก่อนที่จะถึงซำแฮ่ก เราจะเจอเเต่ทางโหดๆ เจอหินชันที่ต้องปีนป่าย

เล่นเอาหอบแฮ่กๆไปตามๆกัน ใจนี่เต้นเป็นจังหวะสามช่าเลยฮะ โดยเฉพาะคนนี้ vvv นางเริ่มถอดใจ ถามว่าแถวนี้มีรีสอร์ทไหม ไม่ไหวแล้วโว่ยย เธอทิ้งเราไว้ตรงนี้เถอะ 555555 หมูเอ้ยหมู นี่ไม่ใช่พี่ปั๊ปโปเตโต้นะ ที่จะทิ้งไว้กลางทางอะ โห่ไรอะ แค่นี้ก็ท้อซะแล้ว แมนๆคุยกันหน่อย เตือนก่อนมาแล้วใช่ไหมว่าอย่าใส่ยีนส์มันก้าวลำบาก กินแรงไปอีก เทศน์นางยาวไปอีก หึหึ อีกหลายซำ ง่ายๆเลยไม่ต้องนับดีกว่า จะได้ไม่บั่นทอนหัวใจ

ระหว่างนั่งพักก็แอบมีมุมสวีทของคู่อื่นๆ น่ารักดีจังเลยย

ถึงแล้วคะ ซำแฮ่ก เหมือนสวรรค์มาโปรดเลยอะ หอบแฮ่ก ลิ้นห้อยเป็นมะหมาเลย 55555555

พุ่งเข้าหาอะไรเย็นๆก่อนเลย มีร้านอาหารตามสั่งให้เราได้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แตงโมเย็นๆ ไอศกรีม น้ำปั่น ข้าวเหนียว-ไก่ย่าง-ส้มตำ ขนมจุกจิกและเครื่องดื่มทุกชนิด เรียกได้ว่า แค่มีตังค์ก็รอดอะ เพราะของกินทุกอย่างจะมีราคาสูงกว่าข้างล่างนะยู เพราะเขาต้องจ้างลูกหาบแบกขึ้นมาเหมือนกัน โดน Vat ไปหลายเปอร์เซนอยู่

แป๊ปซี่หรอ..จัดมา ได้หมดถ้าสดชื่น 555 สั่งข้าวตามสั่ง คือทุกซำมีของกินตลอด ไม่อดตายแน่น๊อน !!!!!!

คุณชายขอเปลี่ยนกางเกงทันทีก่อนเดินทางต่อ ซื้อมาในราคา 150 บ. ตลกความไม่แมตซ์กันของชุดนาง ลายเสื้อกับกางเกงนี่ตีกันตายอะ ตั้งแต่หัวจรดเท้า มีเชือกรองเท้าก็เปรี้ยวจี้ดเข็ดฟันมากอะ แฟนใครวะเนี้ยะ ฮ่าาาาาาา

พอพ้นซำแฮ่กมาได้ จะเป็นทางราบเรียบ และเป็นทางเนินขึ้นเขาตลอด มีบันไดบ้าง ไม่มีบันไดบ้าง

เดินไต่ระดับความสูงกันขึ้นมาเรื่อยๆ ตอนนี้เราแวะพักที่ ซำกกไผ่ กันให้หายเหนื่อยก่อน

เจอทางที่มีบันไดเป็นทางยาวบ้าง บางทีมันก็ท้อ หยุดยืดเส้นยืดสายกันหน่อย

มีความหอบและเหนื่อยล้าอย่างแรง แต่ดีกว่าตอนก่อนขึ้นซำแฮ่กเยอะ อันนั้นไม่ไหวจริง

ใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที ถึงอีกซำแล้วจ้า ซำกกโดน ซำนี้วิวดีมากมาย ของขายก็เยอะ จุดนี้เราพักกันนานพอสมควรไม่ใช่อะไรเลือกของฝากกันอยู่

ซำนี้มีห้องน้ำเป็นสัดส่วนหน่อย แวะปล่อยทุกข์ซะเลย ฮี่ฮี่

พักนานไปแหละ ดูพระอาทิตย์สิ ใกล้จะหล่นลงมาทุกที เป็นสัญญาณเตือนได้ดีทีเดียว

เดินไปเดินมาเป็นตะคริวที่ขาอยู่คนเดียวสามครั้ง ใช่เวลามั้ย เกลียดอะ มันทรมานจริงๆนะ แต่ทำไมทุกคนดูขำอะ อีนี่ไม่ขำนะ

นี่ขนาดอยู่ที่สูงขนาดนี้เราก็พกบุรุษพยาบาลมาคอยดูแลเป็นการส่วนตัว นับเป็นบุญตรีนของพี่เหลือเกิน คลายเส้นทีมีร้องอะ 555

สู้กันต่อไป ดูพี่ลูกหาบเป็นกำลังใจแล้วก้มมองตัวเองแปป เอ่อ แบบว่า คือออออ......

แอบหันไปทันชอตที่นางกำลังสงสัยอะไรใครก็ไม่รู้ หน้าดูอยากเผือกจริงๆ ขำขำนะยู ไม่โกรธเนอะ อิอิ


เรื่องเวลาแก๊งค์เราชิลล์มากไปหน่อย แวะแมร่งทุกซำ ถึงก็ชั่งไม่ถึงก็ชั่ง ไม่พักเหนื่อย กินขนม ก็ช้อปปิ้ง ผลคือ ณ ตอนนี้ไม่มีใครเดินตามหลังเราแล้ว หึ่ยย....รั้งท้ายได้งาย

ซำสุดท้ายแล้วนะ ซำแคร่ ตักตวงของกินเข้าท้องไว้ ก่อนเจอด่านสุดท้าย

จากซำแคร่มา ทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ และมีบันไดให้ได้ปีนป่ายกันอยู่หลายระดับ

มีตั้งแต่ ระดับประถม

เดี๋ยวนะ !!! จะแมนไปละ ยุคนี้ผู้หญิงต้องสตรองคะ แบกไปอย่าบ่นให้คุณชายถือถุงหิ้วพอ เป็นไงละเป็นแฟนพี่นี่สบายมาก

ไต่มาที่ ระดับมัธยม

เจอแล้วระดับมหาลัย บันไดระดับที่สูงชันที่สุด อย่าได้มองกลับหลัง โคตรเสียวเลยว๊อยยยยยยยยย !!!!

เจอคุณลุงท่านนี้ แกบอกมาภูกระดึงหลายครั้งแล้ว คือใจสู้มากจริงๆ ยอมรับเลยว่าเราอะ "อ่อน"

บอกแล้วเราไม่ใช่สายเดินป่า แต่ที่มาเพราะอยากพิสูจน์ตัวเองเหมือนกันว่าเราทำได้

เรามีความเชื่อ เรามีความฝันเดียวกันถึงมายืนในจุดนี้ได้ จนแล้วจนรอดเราก็เดินขึ้นมาถึงหลังแป สำเร็จ !!!! ยืนมองวิว...สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสลัดความเหนื่อยทิ้งไป

ถ้าเดินเลยป้ายนี้ไปก็เหมือนจะมาไม่ถึงนะ ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง วลีเด็ดเลย

จากจุดนี้เราต้องเดินเท้าต่อไปยังศูนย์วังกวางอีก 3 กม.

หมู่นกพิราบพร้อมออกเดินทางต่อแล้ว แฮร่ ~

บนทางที่เส้นแสนยาวไกล ค้นให้เจออีกครึ่งในใจ

โชคดีที่เป็นทางเดินเรียบแล้ว แต่รู้สึกว่าจะเป็น 3 กม.ที่รู้สึกไกลมาก ลักษณะเป็นทางเรียบแบบหินดินทรายอะ

หากใจเธอไม่มีธุระ ก็เดินเคียงข้างกันตลอดไป นะนะเธอ แอร๊ยยยย...มุมหวานเราก็มี

เดินไปเรื่อยๆ จะเจอต้นไม้ต้นนี้ค่ะ ตั้งตระหง่าอยู่กลางทาง เด่นอยู่ต้นเดียว


แสงสุดท้าย ส่องมาให้เห็นอยู่รำไร หึ่ยยย...ไม่น่าสโลวไลฟ์เลย มันเย็นมากๆแล้ว รีบจ้ำให้ไวเลยครัช

แล้วเราก็เดินมาจนถึงศูนย์บริการนักเที่ยววังกวาง ขออวดเวลาหน่อยนะ แท่น แท้น แท๊นนนน เวลา 17.27 น. คือออออ?!!! มัวไปทำอะไรกันอยู่ห๊าาาา นี่มันกี่โมงจ๊ะหนู 5 โมงกว่าแล้วแหกตาดูซะ

ไม่รู้จะอธิบายยังไง อับอายจัง เห็นคนอื่นเขาออกมานั่งรับลมเย็นๆ ละสายตามองมาที่เรา โคตรอายอะบอกเลย นี่ถ้ามีถังปี้ปอยู่ข้างๆที่เอาคลุมหน้าแล้วนะ

และก่อนอื่นเลยเมื่อมาถึง เราต้องเข้าไปติดต่อเต็นท์และที่นอนก่อนค่ะ ค่อยไปเอาของจากพี่ลูกหาบ ที่อายหนักกว่านั้นคือ ลูกหาบขึ้นมาถึงตั้งแต่เที่ยงแล้วเขาต้องรอเอาตังค์ที่เรา คือ รู้สึกผิดหนักมากอะ นี่ไปแวะไหนมาฟร่ะเนี้ยะ (ยังๆๆๆไม่รู้ตัวอีก)

ถึงแล้วก็เดินเปิดเต๊นท์เอาเลยจ๊ะ เต๊นท์ไหนว่าง โยนกระเป๋าจองเลย โชคดีมากนะที่ยังพอเหลืออยู่บ้าง แล้วเราเดินไปติดต่อเช่าเครื่องนอน จุดนี้ก็เล่นตังค์เราไปหลายบาทอยู่นะ หมอน 10 บ. ที่รองนอน 20 บ. ถุงนอน 30 บ. ผ้าห่ม 30 บ. ผ้านวม 50 บ. ตกคนละร้อยกว่าบาท เสียขนาดนี้คือต้องหลับสบายแน่อะเอาจริงๆ กว่าจะจัดแจงเอาเครื่องนอน จัดแจงสัมภาระให้เข้าที่เข้าทาง ข้านอนมุมนี้ เอ๊งนอนมุมโน้นนน พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจ้าาาาา

" ออกไปหาไรกินกันเถอะ........."

ร้านอาหารที่นี่จะแบ่งเป็นสองฝั่งคะ วันนี้เรากินฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับศูนย์วังกวาง เดินส่องๆเอาตามสั่งละกันง่ายๆดี เพื่อนอยากกินไรร้อนๆเลยเลือกร้านที่ขายก๋วยเตี๋ยวด้วยเลย จัดไป

มาแล้วอาหารมื้อค่ำของเราในวันนี้ !!!! ที่ร้านมีบริการให้ชาตแบตฟรีไม่เสียตังด้วย แต่มันก็ได้แปปเดียวแหละ เราไม่ได้กินนานขนาดนั้น

กินเสร็จเราก็เดินสอดส่องดู หาร้านเผื่อวันพรุ่งนี้เลย จะได้ไม่ต้องมาเดินหาเสียเวลาไปอีก !!!!!!!!

เจอแล้ว...เจ้ากวางเจ้าถิ่น เห็นเดินดุ่มๆ อยู่ 2 ตัว คงจะเดินตามกลิ่นอาหารมา ไม่ดุด้วย แต่ขออย่างเดียวเวลาถ่ายรูปมัน อย่าเปิดแฟลช์น้า น้องตกใจ บางคนไม่รู้ถ่ายเปิดแฟลชน้องกระโจนหนีเลย


เราเดินข้ามสนามหญ้าไปดูร้านอาหารฝั่งขวากันบ้าง เห้ย ฝั่งนี่คนพลุกพล่านจังอะ ฝั่งที่เรากินเงียบมาก โห้ยและมีแต่ของน่ากินๆทั้งนั้น เล็งเอาไว้หลายร้านเลย พรุ่งนี้จะกินร้านนี้ ร้านนั่น ร้านโน่น 555 เสียใจจุงที่ไม่เดินมาดูฝั่งนี้ก่อน ใครมาแนะนำฝั่งนี้เลยค่าาา

เดินกลับเข้าเต๊นท์ ได้เวลาเตรียมตัวอาบน้ำกันละฮะ เป็นช่วงเวลาที่ยากจะบรรยายความรู้สึกตอนที่น้ำกระทบลงบนตัวเรา คือมันเย็นจนชาไปเลยว๊อยยย ก่อนมาก็หาอ่านรีวิวเขาก็บอกอยู่แหละว่าน้ำเย็นมาก บางคนไม่อาบเลยก็มี แต่เราขอพิสูจน์ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ถึงภูกระดึง /// ลองแล้วพูดเลย เย็นเฮียเฮีย อ๊ะ...พูดกับเขารู้เรื่องแน่นอน !!!!!!

อาบเสร็จเดินเข้าเต๊นท์ จัดเสื้อผ้าเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้เลย จะได้ไม่หลก จนแฟนจะหลับแล้ววันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของนาง พานางมาตกระกำลำบากไปอีก ตั้งแต่ก่อนซำแฮ่กละ สงสารนาง 555 เซอร์ไพร์ส !!!!! ปลุกนางมาเป่าเค้ก ดูหน้าสิ .... สะลึมสะลือไปอีกพ่อคู๊นนน

นี่หอบเค้กก้อนน้อยๆขึ้นมาเพื่อเธอเลยนะหมู




- 20/11/59 - DAY 2 Bike for me ปั่นเพื่อตัวเองไงจะใครหล่ะ 🌄 🍁

เวลาตี 4 ครึ่งได้ยินเสียงเขาประกาศเรียกให้มาตั้งแถวเพื่อเดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ผานกแอ่น เอาจริงๆตาลืมแทบไม่ขึ้น พูดเลยว่าน๊อคมาก ดีที่เพื่อนมันตะโกนเรียกเสียงนี่ชัดแจ๋วยิ่งกว่าเขาประกาศอีก ตื่นเตรียมไฟฉายพร้อมแล้วเดินรวมกลุ่มตามๆเขาไป ทั้งหนาวทั้งล้าทั้งง่วง ผสมตีกันไปหมด ก็บอกแล้วว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เส้นทางมาควรมีเจ้าหน้าที่นำทางในการเดินเท้ามาผานกแอ่นด้วยเพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินของช้างป่า และแล้วเราก็มาถึง ผานกแอ่น จับจองที่นั่งไว้เลย

มาแล้ว....เริ่มโผล่ขึ้นมาทักทายแล้ว เช้านี้มีหมอกบางตา

แสงแดดที่แยงตา หรือจะสู้สายตาที่แยงใจ ป๊าดดดดดด....เสี่ยวไปนั่น

อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ โมเมนท์สวีทก็มาาา...

เมื่อแสงแดดขับไล่หมอกให้จางลงแล้วเราจะเห็นทิวทัศน์ของบ้านผานกเค้าด้วยแหละ บรรยากาศตอนนี้หาเครื่องดื่มร้อนๆนั่งจิบ พร้อมกับแดดอุ่นๆยามเช้า เข้ากันดีกับที่หัวใจบอกไว้

หมดเวลา...ร่างกายกำลังอุ่นได้ที่เลย เราก็ต้องเดินกลับไปยังศูนย์วังกวางต่อ

เดินมาถึงองค์พระพุทธเมตตา มีลักษณะเป็นลานหินกว้าง มีทิวสนขึ้นอยู่โดยรอบ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืน ยกมือไหว้ขอพร ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตลอดการเดินทาง

ทางเดินกลับศูนย์มีความเป็นป่าสนดงไพรมาก อากาศเย็นๆ มีน้ำค้างเกาะตามยอดหญ้าในยามเช้า และมีหมอกจางๆปกคลุมอยู่ตลอดทาง

เดินมาถึง 8 โมงพอดี เคารพธงชาติเลย เสร็จจากนี้เราก็เดินกลับเต๊นท์แยกย้ายไปแปรงฟัน ล้างหน้า แต่งตัว เตรียมเที่ยวบนภูกระดึงกัน

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มื้อเช้าขอเบาๆ โจ๊กหมูไข่ลวก แต่ราคาไม่เบานาจา ที่นี่ขายอยู่ที่ชามละ 60 บ. ถ้าเพิ่มไข่ก็เพิ่มเงินไปอีก 5-10 บ.

ตอนนั่งกินโจ๊กเลยลองปรึกษาหารือลงมติกันว่า วันนี้เราจะปั่นแทนการเดิน เนื่องจากเมื่อวานเล่นเอาบอบช้ำ รวดร้าวไปทั้งตัว 555 เลยลองเดินไปสอบถามราคาปั่นจักรยานดูว่าพอสู้ไหวมั้ย

พี่ๆเขาจะแนะนำการใช้งานของจักรยาน พร้อมกับถุงมือและหมวกกันเราล้มไว้ Safty ตัวเราเองด้วย แต่กลุ่มเราไม่ใส่จ้า แน่นอนมากจริงๆ 555555

ราคาคันปกติทั่วไปอยู่ที่คันละ 350 บ. สำหรับคนที่น้ำหนักไม่เกิน 80 กิโล ส่วนถ้าใครมีน้ำหนักตัวเยอะเกินกว่านี้จะได้คันใหญ่ไปขี่เลย ตกอยู่ที่คันละ 430 บ. แพงใช่เล่น...แต่ก็คุ้มเพราะเราเอามาปั่นได้ทั้งวัน แล้วจักรยานเขาก็ไม่ใช่จักรยานทั่วไป เป็นจักรยานวิบากมีเกียร์ เหมือนขับรถนั่นแหละดูไซส์จักรยานตามภาพล่างนี้ สังเกตุช่วงล้อจะใหญ่ตามขนาดตัวของผู้ปั่น มีแฟนฉันคนเดียวได้ขี่คันนี้ นังหมูเลยจ่ายแพงกว่าเพื่อน

จุดแรกเราอยู่ใกล้ๆกับศูนย์วังกวาง คือ ลานพระศรีนครรินทร์ แวะกราบไหว้ขอพรให้วันนี้เดินทางได้อย่างราบรื่น

Bike foe me ปั่นเพื่อตัวเองไงจะใครละ คนละคันเรียงแถวตามๆกันไป ช่วงนี้เจอทางเรียบๆไปก่อน

ห่างจากลานพระศรีนครรินทร์มานั้นจะเป็น น้ำตกเพ็ญพบใหม่ หวังเหลือเกินว่าจะได้เจอใบเมเปิ้ลกับเขาบ้าง

ใกล้เข้าสู่หน้าหนาว น้ำเริ่มน้อยลง มองเห็นใบเมเปิ้ลอยู่ไกลๆ ยังไม่มีร่วงลงสู่พื้นสักใบ เก็บภาพมานะ แต่ต้นอยู่สูงเกินเลนส์ซูมไม่ถึง 5555555

ถ้าไม่ติดว่าต้องไปต่อนี่อยากจะนั่งชิลล์ รับอากาศเย็นๆแบบนี้ มันสบายเหลือเกิน

หมดเวลาสดชื่นแล้วซิ เราต้องปั่นกันต่อไป ช่วงนี้ทางจะเริ่มมีแต่โขดหินและดินทราย ปั่นแล้วโคตรปวดน่อง เพราะมีบางช่วงที่ขึ้นเนินและลงเนิน บางช่วงเละเป็นโคลนและมีน้ำตกไหลผ่าน ทำให้เราต้องจูงจักรยานแทนการปั่น นี่เช่ามาให้ตัวเองสบายขึ้นหรือลำบากกว่าเก่ากันแน่ 555 ยังสงสัยอยู่

แต่มันดีตรงที่เราสามารถทำเวลาได้มากกว่าการเดิน ไปได้เร็วกว่า อันนี้ก็เป็นข้อดีนะ ปั่นจนมาถึงสระอโนดาตแล้ว แวะพักกินข้าวกลางวันที่นี่เลย เราตุนของกินเล็กๆน้อยๆตอนไปกินข้าวเช้า เอาละ !! หามุมนั่งพักเป็นกลุ่มๆ ตามร่มเงาของทิวสน

ระยะทางเกือบๆ 3 กม.จากวังกวาง ลักษณะสระอโนดาตจะเป็นสระน้ำขังคล้ายบึงขนาดย่อมๆ มีธารน้ำไหลผ่านไปตามร่องหิน

จากจุดนี้เราจะปั่นต่อไปยังผาเหยียบเมฆ เส้นทางโหดสุดแล้วมั้งตั้งแต่เจอมา ทางเละเป็นโคลน เกือบตลอดเส้น รู้เรื่องเลย

จูงจักรยานกันต่อไป นี่เช่ามาจูงช่ายปะ 55555 เฉอะแฉะกันมากจริงๆ ณ จุดจุดนี้

ถึงแล้ว ผาเหยียบเมฆ พักเหนื่อยหาไรกินให้ชื่นใจหน่อย กระหายน้ำเหลือเกิน

แตงโม แตงโม่ แตงโม่ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก

ผานี้สวยงามดั่งภาพวาด เหมือนตัวเราลอยอยู่เสมอเมฆ ยังไงยังงั้น

เกาะให้แน่นๆนะน้องนะ จะตกเขาอยู่แหละ 5555555555555

ระหว่างทางเราพบเจอความสวยงามของต้นกระดุมเงิน ธรรมชาตินั้นสวยงามเสมอ

ถึงแล้ว ผาแดง แวะหายใจหายคอ สูดอากาศบริสุทธิ์

การไปเที่ยวกับเพื่อนมันสนุกตรงที่ระหว่างทางมักจะมีเหตุการณ์อะไรต่างๆ มากมายทำให้เราได้เรียนรู้กันและกัน วิธีการช่วยเหลือ การเอาตัวรอด ถ้ามาคนเดียวมีหวังตายหยังเขียด 55555555

จุดสุดท้ายของวัน ผาหล่มสัก ได้เจอกันสักทีนะ ขณะนี้เวลา 4 โมงกว่าแล้ว

จอดจักรยานเสร็จเราก็เดินไปหาอะไรเย็นๆ มากระแทกปากกันสักหน่อย สูญเสียพลังงานไปเยอะจริงๆ

เจอกับคุณลุงคนเดิมเพิ่มเติมเดี๋ยวบอก 5555 เจอตอนขึ้นบันไดก่อนที่จะถึงหลังแป ลุงสุดยอดมาก

ทางร้านใจดีฟรีเสื่อให้เอาไปปูนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักด้วย น่ารักสุดๆอะ

ดอกสนหล่นร่วง เรียงรายเต็มพื้นไปหมด เป็นความงดงามบวกกับความเป็นธรรมชาติ

ทุกคนต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือ รอชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ ตั้งกล้องรอเลยครับโผ้มมม เป็นผายอดนิยมและเป็นอีกหนึ่ง Highlight ของภูกระดึงเลยก็ว่าได้

และอีกหนึ่งเป้าหมายคือ นักท่องเที่ยวที่ได้ไปเยือนผาหล่มสักต่างก็อยากมีรูปเก็บไว้เป็นที่ระทึกกันทั้งนั้น เนื่องจากเราจะต้องไปนั่งถ่ายบนชะง่อนหินที่ยื่นออกไปจากหน้าผาโดยมีสนต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านแล้วมีปลายสนห้อยติดพระอาทิตย์มาด้วยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หวาดเสียวเหลือเกินแต่ก็ยอม อยากให้ได้เห็นเบื้องหลังกันจริงๆว่ากว่าที่ทุกคนจะได้รูปที่แสงสวยๆแบบนี้ คือต้องต่อแถวเข้าคิวแล้วเตี๋ยมนัดเพื่อนที่อยู่อีกฝั่งนึงไว้ให้ดี จะเอากี่รูป ลั่นชัตเตอร์มาเลยให้เต็มที่ เก็บให้ได้มากที่สุด เห็นแค่เงานะ ไม่ต้องเก็กหน้า อาร์ตดี 55555555

แสงจริงสวยมาก ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆแล้ว

เเสงสีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนแล้ว เป็นสีส้มอมชมพูตัดกับภูเขาสีฟ้าด้านล่าง

พระอาทิตย์ตกดิน ความมืดเข้าปกคลุมทุกพื้นที่ สิ่งที่จำเป็นและควรติดมาด้วยหลังจากกลับผาหล่มสักก็คือเสื้อกันหนาว เพราะสองข้างทางที่เราต้องขี่ฝ่าความมืดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นต้นไม้หลายหลายสายพันธุ์ ซึ่งก็แน่นอนขากลับเจ้าหน้าที่จะคอยคุมเราตลอดการเดินทางจากผาหล่มสักจนถึงศูนย์วังกวาง เขาจะแจกไฟฉายให้เราคาดไว้ที่หัว เผื่อสะดวกในการปั่นจักรยานกลับ ความสนุกและท้าทายเริ่มต้นที่ตอนนี้แหละ...

ไม่มีรูปหรือวิดีโอตอนปั่นกลับมาให้ชม เพราะต้องใช้การทรงตัว และมันอันตรายกว่าตอนกลางวัน ตรงที่เรามองไม่เห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจนและทั่วถึง แต่ตอนกลับเรามีเพื่อนกลับเป็นกลุ่มเยอะแยะเลย เราปั่นกันเป็นแถวตอนเดียว คนที่เป็นคนนำทางที่อยู่หน้าสุดจะตะโกนไหล่หลังต่อๆกันมา เช่น "ข้างหน้าเป็นดินทรายนะ" "ข้างหน้าเป็นเนินนะ" "ข้างหน้ามีหินมีหลุมใหญ่ให้หลบขี่ไปทางซ้ายนะ" ฯลฯ และอีกหลายๆประโยค บอกต่อกันเป็นทอด มีความลุ้น ตื่นเต้นและท้าทาย บางทีเจอเนินลงลึก เบรคกระทันหันกระแทกเจ็บจิมิไปที 55555555 สารพัดความบอบช้ำถาโถมเข้าใส่ ไม่มีอะไรจะเสียแล้วตอนนี้

มีพักหายใจหายคอกันหน่อยตามผาต่างๆๆที่เราขี่ผ่านกัน มัวแต่ก้มหน้าดูทาง อย่าลืมมองฟ้านะ ดาวนับล้านลอยอยู่ตรงหน้า ราวกับว่าห่างแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น ไม่มีพื้นที่ว่างที่ไม่มีดาวอยู่เลย

ปั่นฝ่าความหนาวและความมืดจนมาถึงศูนย์วังกวาง ขณะนี้เวลาสองทุ่มครึ่งแล้วจ้า กลับไปคืนรถแล้วก็รีบจ้ำๆมาหาร้านนั่งให้รางวัลตัวเองกันหน่อย วันนี้เป็นคืนวันอาทิตย์ คนบางตากว่าคืนวันเสาร์เป็นไหนๆ บางคนก็ขึ้นมานอนแค่คืนเดียว ยอมใจเลย

เดินซุ่มเลือกเอาร้านนี้แล้วกัน ร้านนงลักษณ์ มีอาหารให้เลือกมากมาย อาทิเช่น ส้มตำไก่ย่าง+ข้าวเหนียว ไข่กะทะ โจ๊กหมู อาหารตามสั่ง และจิ้มจุ่มหมูกะทะ คือ ช้อยด์ที่เราเลือก

ที่ร้านมีบริการชาตแบตฟรี ไม่รีรอหยิบขึ้นมาชาตเลย อย่างน้อยๆชั่วโมงนึงที่นั่งอยู่ร้านอะ เอาให้เต็มที่ดีกว่าเสียตังค์ชาตแบต

มาแล้ว...อาหารอันแสนอร่อยของเราในค่ำคืนนี้ ชุดไม่อิ่มคุ้ม สำหรับ 5 คน ไม่พออะ คือระ ? สั่งชุดหมูเพิ่มมาอีกชุด ถือว่าอิ่มกำลังพอดี

ชิ้นนี้ของข้า ใครแตะตายยยยยยยยยย 55555555 เสนอตอน ชุลมุน วุ่นหิว หมูกะทะไม่เคยปราณีใครเลยจริงๆนาทีนี้

หมูหมักนุ่มรสชาติอร่อย น้ำซุปก็เริ่ด อาจจะเป็นเพราะความโหยด้วยมั้ง มันมักจะมีเส้นบางๆกั้นอยู่ แต่อร่อยจริงแนะนำเลย ลุงป้าบริการดีค่ะ มีน้ำชาร้อนให้ทานฟรีด้วย

ดูสิ...ตั้งหน้าตั้งตากินไม่คุยกันหน่อยหรอ

อิ่มแล้วตบของหวานล้างปากหน่อย ก็แหม...หน้าร้านมีเครปขาย มีให้เลือกทั้งแป้งปกติและแบบชาโคล สองไส้ 40 บาทจ้าาาา ราคานี้เอาก็เอาก็มันอยากกินนี่หน่าาา

นี่ของหวานหรือคาวกันแน่เอาดีๆๆ คือเป็นคนชอบกินเครปไส้คาวมากกว่าหวานไง พริกเผาไข่ไส้กรอก จัดว่าเด็ดเลย แต่แป้งเหี่ยวไวไปหน่อย อาจเป็นเพราะอากาศหนาวด้วยมั้ง

เจอกันอีกแล้ว แม่กวางน้อย ออกมาหาอะไรกินละเซ้ !!!!!! หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็รีบเดินกลับเข้าเต๊นท์คะ เพราะใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว เขาจะดับไฟต้องรีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ




- 21/11/59 - DAY 3 บ๊ายบาย...ขุนเขารูปหัวใจ

สะดุ้งตื่นมาอีกที 7 โมงแล้ว รีบเก็บข้าวของยัดใส่เป๋าแล้วเอาไปให้พี่ลูกหาบแบกลงไป เราต้องเอาไปให้พี่ๆเขาแถวๆหน้าศูนย์วังกวาง แล้วเอาพวกหมอน ผ้าห่ม เดินกลับไปคืน ณ จุดเช่าด้วย

แวะเอาแบตกล้องที่ศูนย์วังกวางสักหน่อย เมื่อคืนที่ร้านยังชาตไม่เต็มที่ เสียเงินจนได้

ภายในศูนย์วังกวางเขาจัดเหมือนเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับชีวประวัติของภูกระดึง

11 องศาของเมื่อเช้านี้ ดีนะตื่นสายไม่งั้นคงแข็งตายไปแหละ

ทุกอย่างพร้อม เราก็เริ่มออกเดินทางกันได้แล้วละ ขณะนี้เป็นเวลา 9 โมงเช้า หน้าศูนย์วังกวางมีใบเมเปิ้ลที่แห้งเหี่ยวแล้ว ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกหน่อยละกัน ไม่ได้เจอแบบร่วงสดๆ เจอแบบนี้ก็ดีใจละ

เดิน เดิน เดิน ความรู้สึกเหมือนขากลับไวกว่าขาขึ้นมาสะงั้น แปปเดียวเท่านั้นเราก็เดินถึงป้ายผู้พิชิตแล้ว

อีกสักรอบละกัน ไม่อยากผ่านเลยไป เก็บความทรงจำเป็นรูปถ่ายแทน

ขาลงไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว รีบจ้ำลงอยากทำเวลาบ้าง แต่รองเท้าตัวดีไม่เป็นใจเอาซะเลย ขาลงแนะนำให้หาเป็นรองเท้าแบบเปิดหัวแล้วหุ้มส้น หรือจะเป็นแตะช้างดาวไปเลยน่าจะดีกว่าคะ เพราะเราต้องใช้เท้าจิกลงอยู่ตลอดเวลา เสียเวลาไปอีกทีนี้ พอเท้าจิกลงมากเรื่อยๆทำให้ระบมหัวแม่โป้งมาก

พี่ลูกหาบท่าทางแข็งแรงดีคะ เดินต่อแบบไม่มีถอย เป็นกำลังใจให้พี่เขาสู้สู้

แวะกินข้าวมื้อกลางวันเลยละกันใกล้จะเที่ยงละ พักกินกันที่ซำแคร่เลย

กินเสร็จเราก็เดินลงกันต่อแบบ Non-stop บางช่วงไม่ไหวจริง เท้าระบมมากแล้ว เขามีแต่ถอยหลังลงคลอง อีนี่ถอยหลังลงเขา 555555555

ช่วงนี้เราทิ้งห่างเพื่อนๆอีกสามคน ให้นำไปก่อนเลย เพราะเราคือจุดอ่อนของทีม ให้เหลือบุรุษพยาบาลของฉันไว้อีกคน

ความเป็นธรรมชาติและวงจรชีวิตของสัตว์สองข้างทาง บังเกิดเป็นความสวยงาม

" มันเกือบจะล้ม มันเหนื่อยมันล้า เหมือนแทบขาดใจ " ท่อนนี้มันใช่มากจริงๆ

จนแล้วจนรอดก็กระดึ้บมาจนถึงซำแฮ่ก ขาขึ้นมานางไม่ได้ถ่ายกับป้ายซำที่ทำให้นางเกือบถอดใจก่อนจะถึง

ตอนลงเราสวนกับพี่ลูกหาบ มีคนจ้างแบกตัวเองด้วย ไม่รู้ราคาเขาคิดกันเท่าไหร่ เพิ่งได้เห็นเลยเคยแต่ได้ยินเขาพูดกัน

Finally สำเร็จ !!!! หลังๆๆมาเริ่มถอดรองเท้าเดินเอาง่ายกว่า ดีนะที่สวมถุงเท้าหนาๆไว้ โง่เดินใส่รองเท้าอยู่ได้ตั้งนาน ต้องขอบคุณพี่ลูกหาบผู้หญิงคนนั้น คงเห็นเรากระดึ้บ เดินได้ทีละสองสามก้าว ไอ้เราก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าแต่นับจากนี้คงสุขภาพแข็งแรงตลอดปีแน่นอนคะ

อย่างที่เขาได้บอกไว้ว่า เราจะไม่นำอะไรออกไป นอกจากภาพถ่าย ความทรงจำ

เพื่อนๆที่ลงมาก่อนจ่ายเงินค่าลูกหาบให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็อาบน้ำ-แต่งตัวให้เสร็จที่อุทยานเลย ห้องอาบน้ำสะอาดดีนะคะ แนะนำถ้าใครไม่อยากไปอาบที่ร้านเจ๊กิม

เตรียมตัวขึ้นรถแดงกันได้แล้วพักพวก

โบกมือลา...ขุนเขารูปหัวใจ ภูกระดึง ครั้งหนึ่งเราเคยพบกัน

พอถึงร้านเจ๊กิมก็หาที่นั่งรอรถเลยจ้าา...รถเราตามเวลาจะมาถึงร้านเจ๊กิมสองทุ่ม ระหว่างรอเราก็กินข้าว เล่นมือถือ อัพเดตข่าวสารบลาบลา ก่อนกลับใครจะแวะซื้อของฝากญาติที่ร้านเจ๊กิมมีครบ ตรงข้ามฝั่งถนนก็มีให้ได้เลือกสรรมากมาย

จวนจะใกล้เวลารถทัวร์จะมาแหละ เปลี่ยนมารอหน้าร้านเจ็กิมเลยจะได้เห็นง่ายหน่อย

รถมารับเราตามเวลาเป๊ะ ... หลังจากขึ้นรถก็สลบคาเบาะเลยจนถึงกรุงเทพฯประมาณ ตี 2 เราก็แยกย้ายนั่งรถต่อและถึงบ้านโดยสวัสดิภาพกันทุกคน



สรุปค่าใช้จ่าย

  • เต็นท์นอน 2 คน 450 บ. / 2 คืน
  • ผ้าห่มผืนใหญ่ผืนละ 50 บ. / 2 คน
  • หมอนใบละ 10 บ.
  • แผ่นรองนอนผืนละ 20 บ.
  • ค่าลูกหาบกิโลละ 30 บ.ทั้งลงและขึ้น (หนักร่วม 7 กิโล เสียไป 210 บ.)
  • ค่าชาร์จแบตครั้งละ 20 บ. 3 ครั้ง , ชาร์จแบตสำรองครั้งละ 40 บ. 1 ครั้ง)
  • รถแดงไปกลับ 60 บ.
  • ค่าเข้าอุทยาน 40 บ.
  • ค่าชั่งนน.กระเป๋า 10 บ. (ขึ้นลงรวมกัน)
  • ค่าเช่าจักรยาน 350 บ.
  • ค่ารถทัวร์ซันบัส VIP24 ไป-กลับ 1,164 บ./คน

รวมเป็นเงินคนละ 2,634 บาท

**** ปล.ยังไม่นับค่ากิน ค่าของฝาก ยิบย่อยเยอะเกิ๊นเลยขอไม่นับดีกว่า เอาเป็นว่าพกเงินไปเยอะๆ****

ภูกระดึงจ๋า...พี่ลาก่อน 3 วัน 2 คืนที่ได้ใช้เวลาบนขุนเขารูปหัวใจแห่งนี้ และเป็นการเดินขึ้นเขาครั้งแรกของพวกเราด้วย ตื่นเต้นและท้าทายสุดๆ เหนื่อยสุดๆ ล้าสุดๆ สัมผัสได้ถึงความงดงามของธรรมชาติที่นี่ การเป็นอยู่และวงจรชีวิตของสัตว์ และนับว่าเป็นโชคดีที่ไม่โดนน้องทากสูบเลือด 555555 แค่เห็นตัวมันก็สยองแล้ว เข้าใจกับวลีเด็ดที่ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง เป็นความทรงจำที่ไม่ว่าจะเขียนเล่าบรรยายยังไงก็คงเก็บมาเขียนไม่หมดต้องลองขึ้นมาสัมผัสเองแล้วจะเข้าใจกับประโยคนี้ และขอบคุณเพื่อนๆที่ไปร่วมตกระกำลำบากมาด้วยกัน สัญญาว่าจะพาไปใหม่

ทริปหน้าเราจะไปไหนต่อ รอติดตามกันด้วยน๊า อาจจะช้าหน่อยแต่อร่อยแน่นอน แฮร่ ~♪

ความคิดเห็น