อืมมม.. ไม่ต้องตกใจกับชื่อเรื่องนะครับ รีวิวนี้ไม่มีฆาตกรโรคจิตออกตามล่าเหยื่อแล้วเชือดเลือดสาดแดงท่วมจอแน่ มีแต่ตากล้องออกตามล่าใบไม้เหลืองแดงๆ มาฝาก … อ่านรีวิวจบรู้เลยว่า autumn ที่ผ่านมาผมไปทำอะไรมาบ้างที่ “นิกโก้" (ถ้าเขียนตามการท่องเที่ยวญี่ปุ่นจะใช้ นิกโก ครับ)


รีวิวนี้เป็นภาค 2 ของทริป สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่ได้อ่านภาคแรกก็ตาม link นี้ไปได้เลยครับ … ความเดิมจากตอนที่แล้ว ผมใช้ JR East Pass นั่งรถไฟจากคารุอิซาว่า (Karuizawa) ไปยัง นิกโก้ (Nikko) … โดยช่วงแรกนั่ง Shinkansen 2 ต่อไปลงสถานี Omiya และ Utsunomiya ตามลำดับจากนั้นจึงต่อ JR สาย Nikko line เพื่อเดินทางไปยังนิกโก้ .. ซึ่งรถไฟสายนิกโก้นี้จะเป็นขบวนธรรมดา ไม่ใช่ Shinkansen จึงไม่สามารถจองที่ได้ ถ้าไปถึงสถานีเร็วก็ควรรีบไปจองที่เพราะหากขึ้นรถช้าอาจได้ยืนกันยาวๆ 45 นาทีเลยทีเดียว

ก่อนขึ้นรถไฟฝากช่องทางติดตามผลงานของ #นายมด ด้วยครับ

มาต่อขบวนนี้ครับ อายุอานามน่าจะเยอะแล้วแต่ก็ยังสะอาดสะอ้านตามมาตรฐานญี่ปุ่นเค้า

นิกโก้ เป็นเมืองชนบทตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่ได้เป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เหมือนที่ผมจินตนาการไว้ แต่นิกโก้มีชื่อเสียงเรียงนามเพราะเป็นเมืองมรดกโลก และมีอุทยานทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่สวยงาม และผมกำลังจะได้พิสูจน์ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า


ผมเดินทางถึงสถานีรถไฟเล็กๆ ที่ชื่อ Nikko Station ที่ดำเนินการโดย JR อยู่ไม่ไกลจากอีกสถานีที่ชื่อ Tobu-Nikko Station ซึ่งเป็นของบริษัท Tobu ให้บริการมาก่อนและสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกจากโตเกียว เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ JR Pass เพราะสามารถซื้อ Tobu Nikko Pass ที่ครอบคลุมการใช้งานรถไฟจากโตเกียวและรถบัสภายในเมืองนิกโก้ด้วย แต่สำหรับผมซึ่งลงทุนซื้อ JR Pass ไปแล้วก็ไม่ค่อยคุ้มนัก แผนการเดินทางของผมที่นี่จึงเป็นการซื้อ day pass สำหรับเที่ยวในส่วนเมืองมรดกโลกของนิกโก้ และอีกวันจะเช่ารถขับขึ้นไปเที่ยวในเขตอุทยานซึ่งอยู่บนภูเขา

ถึงแล้วครับสถานี JR Nikko เล็กกว่าที่คิดเยอะเลย อิอิ

เป็นเมืองที่ไม่วุ่นวายอย่างที่ผมคิดไว้แม้แต่น้อย

ากสถานี JR Nikko ผมลากกระเป๋าเดินไปยังห้องพักที่จองไว้กับ airbnb ห่างจากสถานี JR Nikko ราว 600 เมตร แต่ถ้านั่งรถไฟของ Tobu จะห่างราว 300 เมตรเท่านั้น ที่พักแห่งนี้เพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นานชื่อว่า NIKKO – VIS Guest house เป็นบ้านที่แบ่งให้เช่าห้องใต้หลังคาซึ่งแบ่งเป็น 3 ห้องเล็กๆ ต้องปีนบันได้ขึ้นไป สำหรับชาว backpack ก็คงจะเคยชินกับที่พักลักษณะนี้ แต่ถ้าใครพักแต่โรงแรมนี่เป็นอีกประสบการณ์ที่น่าจะลองสัมผัสดู ที่สำคัญเจ้าของบ้านที่ชื่อ Nikko เธอน่ารักมากทีเดียว หากใครยังไม่เป็นสมาชิก airbnb ก็สมัครได้ที่นี่เลย มีเครดิตให้ด้วย 950 บาทครับสามารถใช้ได้ทันที


โปรแกรมวันนี้ไม่มีอะไรมาก ผมมีนัดเจอกับน้องสาวและน้องชายที่มาถึงก่อนล่วงหน้า 1 วัน และจะเที่ยวโซนมรดกโลกด้วยกัน … เจอปุ๊ปก็ทานข้าวเที่ยงกันก่อนเลย 555

หลังอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารหน้าสถานีรถไฟแล้วก็ซื้อตั๋วรถบัสแบบเหมาหนึ่งวันราคา 500 เยน จากนั้นก็มายืนต่อคิวที่ค่อนข้างยาวพอสมควร … พอรถบัสมาถึงก็ต้องเบียดกันขึ้นไม่ต่างกับขึ้นรถไฟในโตเกียว เพราะช่วงนี้นักท่องเที่ยวเยอะเหลือเกิน … โดยจุดแรกที่ผมลงคือป้าย 83 : Omotesando เพื่อชมศาลเจ้าโทโชกุ จากป้ายรถบัส เราเดินผ่านทางเข้าที่กว้างขวาง ขนาบด้วยแนวสนขนาดใหญ่ที่อายุน่าจะเป็นร้อยปี มุ่งหน้าสู่โทริอิขนาดใหญ่ที่เป็นประตูเข้าสู่ศาลเจ้า


ไม่น่าแปลกใจเลยที่พื้นที่ส่วนนี้ของนิกโก้ได้รับการบรรจุเป็นมรดกโลก เพราะสิ่งปลูกสร้างนั้นดูยิ่งใหญ่สวยงามและยังอยู่ในสภาพดีทีเดียว แม้ค่าเข้าชม 1300 เยนจะสูงไม่น้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการเข้าชมครับ

อันที่จริงผมตั้งใจว่าครึ่งวันที่มีอยู่จะเยี่ยมชมจุดต่างๆ ในโซนมรดกโลกได้หลายแห่ง จึงซื้อตั๋วรถบัสแบบเหมา แต่ที่ไหนได้ จุดสำคัญต่างๆ กระจุกตัวอยู่ใกล้กันและสามารถเดินถึงกันได้ อย่างเช่นเมื่อเดินชมศาลเข้าโทโชกุแล้ว ตรงทางเข้าของศาลเจ้านี้ก็คือวัดรินโนจินั่นเอง แต่เสียดายที่อยู่ระหว่างการบูรณะผมจึงไม่ได้เข้าไปชมด้านใน และตรงข้ามกับวัดรินโนจิเป็นสวนญี่ปุ่นสวนโซโยเอ็นที่ดูเหมือนใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนสีมากที่สุดแล้วสำหรับโซนมรดกโลกของนิกโก้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมแบบนี้



วัดรินโนจิกำลังบูรณะ ใช้ไวนิลปิดด้านหน้า เลยต้องถ่ายแบบเบลอๆ



สวนโชโยเอ็น

เดินต่อไปยังสะพานชินเคียว

จากสวนโชโยเอ็น เดินลัดเลาตามเส้นทางลงเนินเขามาก็จะโผล่ที่สะพานชินเคียว แลนด์มาร์กสำคัญของเมืองนิกโก้ ซึ่งใครมาแล้วก็ห้ามพลาดที่จะมาเก็บภาพตรงนี้



สะพานชินเคียว

อันที่จริงจากจุดนี้เราสามารถเดินกินลมชมเมืองไปจนถึงที่พักก็ได้ แต่มาคิดดูอีกทียังใช้ตั๋วบัสไม่คุ้มเลย จึงนั่งรถบัสกลับไปยังที่พักแทน 555 สรุปแล้ววันนี้ใช้ตั๋วรถบัสไม่คุ้มเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะสำหรับผมแล้ว highlight อยู่ในวันรุ่งขึ้นที่จะถึงนี่แหละ ได้เวลาที่ฆาตกรเอ้ยช่างภาพจะได้เก็บภาพที่ฝันไว้ซะทีเช้าวันถัดมาที่นิกโก้อากาศสดใสตรงตามพยากรณ์ ผมเดินจากที่พักไปรับรถที่ Nissan Rent a Car ซึ่งอยู่หน้าสถานีรถไฟ Tobu … รถเช่าวันนี้เป็น Nissan March คันเล็กๆ นั่ง 4 คนแบบพอดีๆ มี GPS มาให้ด้วยแต่ผมใช้มือถือเพราะสะดวกกว่า และสัญญาณ internet ของ wifibank ก็ยังใช้งานได้ดีไม่มีปัญหา


โปรแกรมวันนี้เราจะเดินทางขึ้นไปชมโซนอุทยานของนิกโก้ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปบนเทือกเขา … ผมค่อยๆ ขับผ่านเส้นทางที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ ยิ่งรถไต่ระดับมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งเห็นใบไม้เปลี่ยนสีริมทางหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ … เส้นทางเริ่มคดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อยเพื่อไม่ให้ถนนชันเกินไป เกิดเป็นเส้นสายสวยงามจนเป็นที่มาของชื่อถนนสายโรแมนติกที่ชื่ออิโรฮาซากะ (Irohazaka Route) ที่ชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากมาสัมผัสโดยเฉพาะช่วงฤดูกาลแห่งใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้

ถนนเส้นนี้เป็นแบบเดินรถทางเดียว ขึ้นและลงคนละเส้นทางกันเพื่อความปลอดภัย โดยขาขึ้นมีจุดชมวิวที่น่าแวะสองจุด จุดแรกอยู่ที่พิกัด 36.727963,139.521224 มีไหล่ทางให้จอดรถได้ 5-6 คัน และถ้ามารถบัสจะไม่สามารถลงชมที่จุดนี้ได้

ที่จอดรถริมทางสำหรับชมวิว

ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีได้ที่เลย

จุดถัดมาเป็นจุดสำหรับขึ้น Ropeway ชมทิวทัศน์ทะเลสาบชูเซนจิ (Chuzenji) กับน้ำตกเคกอน (Kegon falls) ตั้งอยู่ที่พิกัด 36.73718, 139.51771 ซึ่งจุดนี้จะมีลานจอดรถขนาดใหญ่และมีป้ายรถบัสด้วย และมาแล้วอยากนแนะนำให้ขึ้นกระเช้า Akechi-daira เพราะค่านั่งไปกลับ 730 เยนนั้นคุ้มค่ามากกับทิวทัศน์ที่สวยแบบสุดๆ ด้านบน อย่างไรก็ตามควรเผื่อเวลาดีๆ เพราะคิวมักกจะยาว โดยเฉพาะวันหยุดคงต้องรอกันเมื่อเลยทีเดียว


จุดนี้สังเกตุง่ายครับ รถจอดเพียบ และอาจเห็นคิวยาวๆ แบบนี้

ระหว่างรอคิวก็ถ่ายภาพไปพลางๆ

บรรยากาศด้านบน ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง

ตอนอยู่บน Ropeway ถ้าได้ที่ดีๆ ก็มีโอกาสเก็บภาพสวยๆ ครับ

ผมใช้เวลาบันทึกภาพประทับใจบนจุดชมวิวอยู่นานพอสมควรจึงนั่ง Ropeway กลับลงมาและเดินทางต่อทะเลสาบชูเซนจิ …รรยากาศช่วงสายของวันที่ทะเลสาบสวยงามมาก ๆ โดยเฉพาะในวันที่อากาศดีแบบนี้ แต่ผมแวะถ่ายภาพแค่ช่วงสั้นๆ เพราะอยากเดินทางไปที่น้ำตกริวซู (Ryuzu falls ) ก่อน

ตลอดทางที่ขับรถเลียบทะเลสาบชูเซนจิ เป็นช่วงเวลาที่จะไม่ลืมเลย เพราะใบไม้สองฝั่งถนนกำลังเปลี่ยนสีสวยสดงดงามมากจริง …

ที่น้ำตกริวซูใบเมเปิ้ลสีเหลืองๆ แดงๆ บริเวณน้ำตกไม่เหลือแล้วทำให้ความสวยงามน้อยไปมากมาย แต่นี่ก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของนิกโก้ เพราะความที่จุดต่างๆ มีระดับความสูงและสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันไป ทำให้ฤดูกาลเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสียาวนานตั้งแต่ราวกลางเดือนตุลาคมที่ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีในเขตภูเขาสูงรวมถึงบริเวณน้ำตกริวซูแห่งนี้ และค่อยๆ ทยอยเปลี่ยนสีในบริเวณทะเลสาบช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายนและโซนมรดกโลกจะเปลี่ยนสีสวยงามเกือบๆ กลางเดือนของพฤศจิกายน ดังนั้นใครมานิกโก้ในช่วงเวลานี้ค่อนข้างมั่นใจได้ว่ามีโอกาสเห็นใบไม้เปลี่ยนสี เพียงแต่ว่าจะเห็นในจุดใดเท่านั้นเอง

จากน้ำตกริวซู ผมขับรถไต่ระดับสูงขึ้นไปผ่านแนวป่าสนแบบโปร่งที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเช่นกัน และบางส่วนเริ่มทิ้งใบแล้ว ไม่นานนักก็ถึงจุดชมวิวเซนโจกะฮาระซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำของนิกโก้ แต่ผมเลยไปก่อนเพื่อไปจุดชมวิวหมู่บ้านออนเซ็นยูโมโตะที่ห่างออกไปไม่ไกล

ก่อนถึงหมู่บ้านเล็กน้อย เป็นจุดชมวิวเล็กๆ บริเวณริมทะเลสาบยูโน (Yuno lake) … ทีแรกก็ว่าจะจอดรถเก็บภาพแป๊ปๆ แต่วิวจุดนี้สวยมากจนทำให้ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง

นอกจากทะเลสาบแล้วตรงนี้ยังถือเป็นต้นน้ำของน้ำตกยูดากิด้วย (Yudaki Falls)

หลังจากเก็บภาพจนอิ่มแล้ว ผมขับเลยต่อไปเลยทางเข้าหมู่บ้านยูโมโตะเล็กน้อย ไต่ระดับขึ้นไปบนภูเขาจนเจอกับสะพานเล็กๆ ที่เป็นจุดชมวิว … ผมจอดรถที่ไหล่ทางเลยสะพานไปเล็กน้อยแล้วเดินกลับมาเพื่อเก็บภาพของหมู่บ้านออนเซ็นยูโมโตะและทะเลสาบยูโน

ขาลงแวะถ่ายภาพเมเปิ้ลริมทะเลสาบที่กำลังเปลี่ยนสีสวยงาม


เลยเวลาเที่ยงมาพอสมควร ผมขับรถกลับไปยังจุดชมวิวเซนโจกะฮาระ เพราะจุดนี้นอกจากเป็นป้ายรถบัสแล้วยังมีร้านอาหารและห้องน้ำบริการด้วย … เราทานอาหารเที่ยงกันแบบง่ายๆ ที่ร้านขายของที่ระลึก จากนั้นก็เก็บภาพทิวสนที่ใบเปลี่ยนเป็นสีทองโดยมีภูเขาเนียวโฮ (Mt. Nyoho) ตั้งตระหง่านเป็น background

ฝั่งตรงข้ามถนนคือพื้นที่ชุ่มน้ำ เซนโจกะฮาระ ผมว่ามันดูแห้งแล้งไปหน่อยสำหรับฤดูกาลนี้



ถนนบริเวณนี้สวยมากจริงๆ

ผมขับรถกลับบนเส้นทางเดิมมุ่งหน้าสู่ทะเลสาบชูเซนจิ และแวะถ่ายภาพต้นเมเปิ้ลที่กำลังเปลี่ยนสีสวยงามบริเวณทางเข้า Chuzenji Kanaya Hotel พิกัด 36.7534573,139.4618562 เป็นอีกจุดที่น่ามากๆ เพราะสามารถเดินลงไปถ่ายภาพริมทะเลสาบได้ด้วย สำหรับคนที่นั่งรถบัสจุดนี้จะอยู่ใกล้กับป้ายหมายเลข 32 ครับ


อันที่จริงแล้ววันนี้ผมอยากเก็บภาพที่ริมทะเลสาบชูเซนจิให้มากกว่านี้และอยากขึ้นไปชมวิวมุมสูงที่ภูเขาภูเขาฮันเกะสึยามะ (Mt. Hangetsuyama) ก่อนปิดโปรแกรมที่เข้าชมน้ำตกคีกอนแบบใกล้ๆ …. แต่เนื่องด้วยเริ่มสังเกตุเห็นรถติดบริเวณเส้นทางลงเขา ผมจึงจำใจต้องตัดให้เหลือเพียงการชมน้ำตกคีกอนเท่านั้น …


ระหว่างรถติดก็ถ่ายภาพไปพลางๆ

การชมน้ำตกคีกอนสามารถนั่งลิฟท์ลงไปสัมผัสตัวน้ำตกแบบใกล้ๆ ด้านล่างหุบเขาได้ แต่เนื่องจากเวลาไม่อำนวยและสภาพแสงช่วงบ่ายไม่เหมาะกับการถ่ายภาพนักเพราะย้อนแสงแบบเต็มๆ ผมจึงชมตัวน้ำตกจากบริเวณด้านบนเท่านั้น


หลังจากชมน้ำตกแล้วก็ขับรถลงเขา ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่แม้รถจะเยอะแต่ก็ไม่ถึงกับติดหนึบ ทำให้มาถึงเมืองนิกโก้ไม่ช้าเกินไปสามารถคืนรถและขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังโตเกียวได้ตามแผนที่วางไว้ … นับเป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีๆ ในญี่ปุ่นสำหรับผมเลยทีเดียวจากนิกโก้สู่โตเกียว ผมใช้ JR pass เช่นเดิม โดยวันนี้ผมจะเดินทางไปยังสถานี JR Shinagawa เพื่อเข้าพักที่โรงแรม Grand Prince Hotel New Takanawa ซึ่งอยูไม่ไกลจากสถานีรถไฟ โดยมีโปรแกรมช็อปปิ้งในโตเกียววันรุ่งขึ้น … สำหรับโรงแรม Grand Prince Hotel New Takanawa นั้นเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ หรูหรา สวยงาม มีสวนขนาดใหญ่ที่ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีราวปลายเดือนพฤศจิกายนจะเต็มไปด้วยเมเปิ้ลสีแดง และฤดูใบไม้ผลิจะมีต้นซากุระออกดอกสวยงามโดยไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ห้องกว้างขวางมากเมื่อเทียบกับโรงแรมอื่นๆ ในโตเกียว แถมมีระเบียงชมวิวด้วย อีกทั้งราคาก็ไม่แพงเมื่อเทียบกับสิ่งอำนวยความสะดวก ที่สำคัญมีรถ shuttle บริการรับส่งระหว่างโรงแรมกับสถานีรถไฟ เรียกได้ว่าครบเครื่องเลยทีเดียว

Lobby หรูหราสวยงาม

มองเห็นวิวหอคอยโตเกียวด้วย


ห้องพักกว้างขวางมากเมื่อเทียบกับโรงแรมราคาใกล้เคียงกันในโตเกียว


มีระเบียงชมวิวด้วย


วันถัดมาผมใช้รถ Shuttle bus ของ Grand Prince Hotel New Takanawa เพื่อไปยังสถานี Shinagawa จากนั้นก็ใช้ JR pass ขึ้นรถไฟสาย Yamanote line ไปลง Ueno เพื่อช็อปปิ้งเป็นการปิดท้ายโปรแกรม เย็นวันนั้นเราเดินทางไปยังนาริตะและเข้าพักที่ Narita Gateway Hotel อีกครั้งเพราะ flight ของเราเป็นช่วงเช้า หากเดินทางออกจากโตเกียวจะต้องตื่นเช้ามากแถมมีโอกาสตกเครื่องด้วย



ขากลับผู้คนต่อคิวเข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองเยอะมาก ทำให้แผนการช็อปปิ้งขนมของฝากที่สนามบินต้องยกเลิกไปเพราะเกรงจะไปที่เกตไม่ทัน …


ยังโชคดีครับที่เราบินกับ Hong Kong Airlines จึงต้องไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง ได้โอกาสช็อปปิ้งในสนามบิน ชิมชานมสูตรฮ่องกงของโปรดกับเกี๊ยวกุ้งชามโต และไม่ลืมที่จะซื้อขนมติดไม้ติดมือเป็นของฝาก (เที่ยวญี่ปุ่นแต่ซื้อขนมจากฮ่องกง เก๋ไหมล่ะ 555) … อันที่จริงถ้าอยากช็อปปิ้งปิดท้าย การบินกับ Hong Kong Airlines นี่ก็เหมาะนะ เพราะสามารถออกจากสนามบินเดินทางไป outlet ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเลือก flight ดี ๆ ให้มีเวลาที่ฮ่องกงนานหน่อยก็ได้ช็อปกันแบบจุใจเลยทีเดียว

ที่สนามบินนาริตะ ช่อง check in ของHong Kong airline จะอยู่แยกจากโซนตรงกลางไปอยู่ในมุมพิเศษใกล้ๆ ร้าน Uniqlo

ถึงฮ่องกงแล้วก็หาอะไรทาน ช็อปปิ้งในสนามบินแล้วรอต่อเครื่องกลับกรุงเทพฯ


ที่ฮ่องกงได้มีโอกาสเห็นสะพานใหม่ที่เชื่อฮ่องกงกับมาเก๊าด้วย อลังการมาาาก


สุดท้ายนี้ขอลากันด้วยภาพของฟูจิจากมุมสูงตอนที่เราบินออกจากสนามบินนาริตะได้สักครู่นะครับ คุณกัปตันของ Hong Kong Airlines เหมือนจะรู้ใจประกาศให้รู้ก่อน 2-3 นาทีให้มีเวลาเตรียมตัวทันสำหรับการถ่ายภาพภูเขาไฟฟูจิที่จะโผล่มาให้เห็นในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แล้วพบกันใหม่ทริปหน้าครับ


สุดท้ายฝากติดตามผลงานของ #นายมด ด้วยนะครั
ความคิดเห็น