กำลังจะครบรอบ 1 ปี Bucket List ที่ใหญ่อีกเรื่องในชีวิต
เลยอยากเล่าเกี่ยวกับเมือง Nikko ประเทศญี่ปุ่นให้ทุกคนได้อ่านกัน เป็นจุดหมายปลายทางที่เราตั้งใจว่า
"เราจะวิ่งเทรลต่างประเทศสักครั้งให้ได้"
และเป็น 3 วัน 2 คืนใน Nikko ที่สนุกมากๆ
เราเดินทางไปญี่ปุ่นช่วงวันที่ 10-14 พฤศจิกายน 2566 จองตั๋วล่วงหน้าประมาณ 1 ปี ได้ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ Airasia X BKK-NRT (XJ600) ราคา 11,670 บาทต่อคน รวมโหลดกระเป๋า ราคาดีมากและบินตรงด้วย นี่คืออานุภาพการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้านานๆค่ะ เรามักจะแพลนแบบนี้เสมอเวลาไปต่างประเทศ
เราอยู่ที่โตเกียวก่อน 1 คืน แล้วเช้าวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 เราก็ออกเดินทางไป Nikko จากสถานี Tobu Railway Asakusa ด้วยรถไฟ Limited express Revaty Kegon Track Number 3 ราคา 1,393 เยนต่อคน จ่ายเพิ่มอีกคนละ 1,650 เยน สำหรับรถไฟแบบ Express ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ออกเดินทางตอน 9.30 น. ถึงสถานี Tobu 11.22 น. มีใบไม้เปลี่ยนสีให้เห็นประปรายตามข้างทาง
**ไปซื้อข้าวกล่องรถไฟที่สถานีด้วย น่ากินทุกเมนูเลย เราชอบกินข้าวห่อเต้าหู้หน้าต่างๆมาก ราคามีตั้งแต่ 800-1,000 เยน เราซื้อ 2 กล่อง รวม 2,130 เยน
นิกโก้ (Nikko) เป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดโทชิงิ (Tochigi) ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติมาก โด่งดังเรื่องศาลเจ้าและประวัติศาสตร์ เช่น ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) แลนด์มาร์คสำคัญของเมือง มีสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสามสะพานที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นและเรายังสามารถมาเที่ยวที่นี่แบบไปเช้า-เย็นกลับได้เช่นกัน
เมืองนี้เดินทางด้วยรถบัส ที่พักเราห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 2 กิโลเมตร แต่เราอยากแวะร้านพุดดิ้งเจ้าดังก่อน เลยตัดสินใจจะเดินไปที่พักแทน ร้านพุดดิ้งชื่อ "Nikko Pudding Tei Main Store" ทำจากไข่ไก่ออร์แกนิค วัตถุดิบท้องถิ่น และจังหวัด Tochigi ยังผลิตสตอเบอร์รี่เป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่นอีกด้วย เราซื้อรสช็อกโกแลตกับรสดั้งเดิม 2 อัน ราคา 865 เยน ทานที่ร้าน
เวลาเปิด-ปิด: 10.00 – 16.00 น.
https://www.facebook.com/nikkopudding/
ทานเสร็จเราเดินไปอีก 1 กิโลเมตรกว่าๆ ระหว่างทางสวยมาก อากาศเย็นๆ 20-21 องศา สีฟ้าใสๆ ตัดกับสีภูเขาและเมือง เดินเพลินเลย (มีประเป๋าลากใบโตๆด้วย 1 ใบ 5555
ที่พักของเราจะผ่านสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) แต่เราตัดสินใจว่าเราจะเอากระเป๋าไปฝากที่พักก่อนแล้วค่อยออกมา ซึ่งพอเดินขึ้นมาใกล้ที่พัก ทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีก็ต้อนรับเราได้สวยมาก ซึ่งน้องๆใกล้จะร่วงกันหมดแล้ว
โรงแรมเราชื่อ "hotel Seikoen Nikko" เป็นที่พักสไตล์เรียวกัง มีออนเซ็น จอง 2 คืน ราคา 74,800 เยน เป็นห้อง Japanese-style Room (Type A, Main Building) ราคานี้รวมอาหารเช้า-เย็น พนักงานในโรงแรมเป็นผู้สูงอายุระดับรุ่นพ่อแม่ สื่อสารภาษาอังกฤษค่อนข้างลำบาก 555
แต่ไม่เป็นปัญหาใดใดกับเราค่ะ ก็ภาษามือกับเซนต์ไปเล๊ยยย เพราะทุกคนน่ารักกับเรามากกก ยิ้มแย้มตลอด
ฝากกระเป๋าเสร็จเกือบบ่ายโมง ท้องเริ่มหิว เลยจะไปทานสเต๊กร้านดังของที่นี่สักหน่อย ชื่อร้าน "Myogetsubo (妙月坊) Grill Steak" แต่ปรากฎว่าต้องรอคิวเกือบ 2 ชั่วโมง รอไม่ไหวค่ะ TT หิวมาก เลยเดินจากร้านมาแบบเสียดาย
(ใครมีโอกาสไปก็ลองไปดูนะคะ อ่านรีวิวมา เค้าว่าดีกัน)
สุดท้ายเดินมาฝั่งตรงข้ามสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) มีร้านอาหาร คนรอเยอะมากแต่คิวรันไวมาก เพราะร้านมีที่นั่งประมาณ 50 โต๊ะ เป็นร้านอาหารชุด ตกลงกันว่าร้านนี้ หิวมากก เราสั่งเป็นชุดเซ็ตข้าว มีไส้กรอก มันบดทอด สลัด ไก่คาราเกะ เพิ่มข้าวแกงกะหรี่กับราเมงอีก 1 ชาม ทั้งหมด 3,050 เยน ราคาน่ารัก
หลังทานข้าวเสร็จ แวะสะพานชินเคียว (Shinkyo Bridge) เป็นสะพานไม้โบราณสีแดง ถูกกำหนดให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 ในอดีตเปิดใช้เฉพาะเจ้านายชั้นสูง แต่ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวและคนทั่วไปเข้าชมได้ ค่าเข้า 500 เยน เราอยู่ตรงนี้ประมาณ 30 นาที บรรยากาศดีมากค่ะ นักท่องเที่ยวเยอะเลย
จากนั้นไปวัดรินโนจิ (Rinnoji Temple) ซึ่งมีสถานที่สำคัญมากมาย เช่น อาคารซันบุตสึโด (Sanbutsudo) แล้วยังมีศาลเจ้าดังอย่างศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine) เป็นต้น
จุดนี้เป็นจุดที่เราต้องรับ BIB งานวิ่งเทรล!!!
จุดประสงค์ที่เดินทางมาที่นี่ คือ "Nikko Mountain Running" เป็นงานวิ่งเทรลในอุทยานแห่งชาติ ขนาด 1,100 คน เป็นงานขึ้นชื่อของนักวิ่งสายเทรลในชุมชมและใกล้เคียง งานจัดสัปดาห์ที่ 2 เดือนพฤศจิกายนตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จะมีชุมชนชาวบ้านและชมรมวิ่งร่วมเป็นเจ้าภาพ มีอาสาสมัคร
Website: https://www.facebook.com/nikkoyamarun/
Nikko Mountain Running 2023 ปีนี้เป็นครั้งที่ 8
เราสมัครระยะ 40 กิโลเมตร ปล่อยตัว 6.00 น. และ Cut Off ในเวลา 11 ชั่วโมง ความชัน 2 พันกว่าๆ ปีที่เราสมัครมีต่างชาติแค่ 5 คน เป็นคนไทย 2 คนกับคนไต้หวัน 3 คน ที่เหลือคนญี่ปุ่นล้วน เปิดโลกมาก วิ่งงาน Nature ของประเทศเค้าเลย ค่าสมัครคนละ 15,680 เยน เลข BIB คือ 3990 (ออกรางวัลเลขท้ายสามตัวของงวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2566 ด้วยค่ะ!!!!)
การรับ BIB รวดเร็วมาก ไม่ถึง 2 นาที Staff น่ารักมากๆ พยายามแนะนำเราเป็นภาษาอังกฤษ เสร็จแล้วเราก็เดินดูงาน Expo แถวนั้นอีกนิดหน่อย เราก็มั่นใจว่าเราเตรียมตัวมาค่อนข้างดีมากสำหรับงานนี้ ซ้อมวิ่งเทรลที่ไทย ลงงานไป 3 รอบ และวิ่งกับเข้ายิมเพื่อเวทอีกสัปดาห์ละ 3-4 วัน เพราะนี่คืองานเทรลต่างประเทศงานแรก ตั้งใจมาก!!!!
รับ BIB เสร็จ เกือบ 3 โมงเย็นแล้ว หน้านี้พระอาทิตย์ตกเร็ว 5 โมงคือมืดแล้ว เราเดินกลับโรงแรม ซึ่งใกล้มากกก (เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมเราเลือกโรงแรม hotel Seikoen Nikko) ไม่ถึง 500 เมตร
กลับถึงที่พัก พนักงานถามจะทานข้าวเย็นกี่โมง เราเลือก 5 โมง ทางที่พักจะไปเสิร์ฟให้ในห้อง หลังแจ้งข้าวเย็นเสร็จก็ขึ้นลิฟท์ (โรงแรมมี 3 ชั้น ห้องพักอยู่ชั้น 2-3) ห้องพักเราคือ 301 และทางโรงแรมจะมีพนักงานพาขึ้นมาที่ห้องเพื่ออธิบายห้องพักให้เราทราบ เป็นภาษาอังกฤษ 10% ที่เหลือภาษาญี่ปุ่นค่ะ 5555 แต่จะมีเอกสารอธิบายวิธีใช้งาน ข้อกำหนดการเข้าพักต่างๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนกัน ก็ใช้แอพแปลภาษาได้ค่ะ
เมื่อเข้าไปในห้องพัก ห้องน้ำอยู่ทางขวามือ ขนาดกะทัดรัด ห้องอาบน้ำ (มีอ่างอาบน้ำเล็ก) มีอุปกรณ์ครบ ชุดแปรงสีฟัน ไดร์เป่าผม ตามมาตรฐานโรงแรม เดินต่อเข้ามาเจอห้องโถงกลาง มีโต๊ะพร้องเก้าอี้นั่งพื้น ถัดไปเป็นห้องเล็กที่มีกระจกยาวติดระเบียง ซึ่งขนาดห้องนี้ใหญ่ทีเดียวสำหรับ 2 คน สมกับเป็นห้อง Japanese-style Room ส่วนที่นอน พนักงานมาปูให้หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จอีกที
พอเคลียร์กระเป๋าเสร็จก็ได้เวลาอาบน้ำ ความจริงอาบในห้องตัวเองได้ค่ะ แต่ว่าเราอยากไปห้องอาบน้ำรวม อยากแช่ออนเซ็น เวลานี้คนน่าจะไม่เยอะ 4 โมงกว่าๆเอง เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุด Yukata ลงลิฟท์ไปที่ชั้น 1 ซึ่งในลิฟท์มีอธิบาย Function แต่ละชั้นว่าประกอบด้วยอะไรบ้างสำหรับห้องอาบน้ำ ชั้น 1 มีทั้งแบบ Public Baht แยกชาย-หญิง และแบบ Private Open Air (ต้องจอง) อ้อ!! มีห้องซาวน่าด้วยนะคะ ประสบการณ์ของเรา ครั้งนี้น่าจะครั้งที่ 4 ไม่ค่อยเขินแล้ว ^^
ครั้งแรกคือเขินมาก อาบน้ำกับใครไม่รู้
**ห้องอาบน้ำถ่ายรูปไม่ได้นะคะ ไม่มีรูปให้ดู 555
หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เตรียมท้องทานข้าว 5 โมงเป๊ะพนักงานเคาะประตูเลย จะเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะ เป็นชุดเซ็ตของใครของมัน และนัดเวลาทานเสร็จเพื่อเข้ามาเก็บและปูที่นอน
วันนี้เป็นชุดเนื้อชาบู ผัก มีซอสหลากหลายชนิด มีซาชิมิ ไข่ตุ๋น ข้าวปั้น เต้าหู้ ของหวานเป็นพุดดิ้ง จำชื่อไม่ได้แล้วเมนูแต่ละอันเรียกว่าอะไรบ้าง (ทางที่พักจะให้เอกสารมาใบนึงค่ะเป็นรายละเอียดอาหารแต่ละเมนู) เป็นมื้อที่อร่อยมากกกกก เพราะอากาศหนาวข้างนอกคือเลขตัวเดียวแล้ว แช่น้ำอุ่นๆมาทานอาหารอร่อยๆ อะไรจะดีแบบนี้ 555 ชีวิตคอมพลีทท
ทานเสร็จก็เตรียมตัวนอนค่ะ พนักงานปูที่นอนให้เรียบร้อย นุ่ม อุ่น สบายมากกกกกกกก แอบไปเปิดฮีทเตอร์นิดหน่อย เพราะหนาวจริงๆ ก่อนนอนก็มาเตรียมอุปกรณ์วิ่งเทรลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้ ตอนเช้าจะได้ไม่รีบ
อุปกรณ์ที่งานวิ่งเทรลบังคับคือ ต้องมีเป้น้ำบรรจุน้ำได้อย่างน้อย 2 ลิตร ชุดปฐมพยาบาล แก้วน้ำ เสื้อคลุมกันหนาว ไฟส่องสว่าง เป็นต้น เราดูพยากรณ์อากาศว่าเลขตัวเดียว เลยเตรียมเสื้อกันลมกับถุงมือเพิ่มพร้อม Snack ไว้ด้วย
เช้าวันที่ 12 พฤศจิกายน ก็มาถึง Bucket List ของเรา
วันนี้อากาศหนาวมากกกก 4 องศา น้ำตาจะไหล แต่ก็ใจสู้เสือว่าวิ่งๆไปอุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นเอง นักวิ่งระยะ 40 กิโลเมตรมาพร้อมกันที่หน้าเส้นชัย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก 6 โมงปุ๊ป ปล่อยตัวเลย การแต่งตัวของทุกคนค่อนข้างเต็ม 100% ตั้งแต่หัวจรดเท้า 555 ยิ้มแย้มทักทายกันนิดหน่อย อายุกลางคนเยอะมาก มีหลัก 40+ ขึ้นไปก็เยอะมากเหมือนกัน
ช่วง 1-6 กิโลเมตรแรก เป็นทางคอนกรีต วิ่งผ่านอุทยานแห่งชาติเค้า และผ่านฝายน้ำล้น (เราเรียกงี้) ใบไม้เริ่มจะร่วงเกือบหมดแล้ว ทุ่งหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาล เราคือกลุ่มรั้งท้ายมาก ท้ายชนิด 10-20 คนสุดท้ายของระยะเลย ทุกคนเค้าวิ่งกันเร็วมากและทิ้งหายเราไปเลย แม้บางคนจะอายุมากกว่าเราก็ตาม 5555 จุดนี้เราค่อนข้างเซอร์ไพร์ส เพราะปกติวิ่งเทรลในไทยเราจะอยู่กลางๆค่อนไปหน้าตลอด มางานนี้คือรั้งท้ายสุดๆ 5555555 แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะไม่ได้รีบขนาดนั้น
ถัดมา กิโลเมตรที่ 7-17 เป็นช่วงขึ้นๆลงๆเขา สลับกันไป อากาศยังพอไหว สำหรับเส้นทาง จะมีบางเส้นทางเป็น “Single Track” ซึ่งก็คือทางวิ่งเรียงเดี่ยว จุดนี้ทำให้เราแปลกใจมาก เพราะไม่มีใครแซงใครเลย ต่อแถวเป็นระเบียบมาก ในขณะถ้าที่ประเทศไทย ลองมีเส้นทางแบบนี้คือไม่รอ เจอเปิดทางใหม่ไปเรียบร้อย เราเสียเวลาอยู่ 2-3 จุด รวมๆ 1 ชั่วโมงได้
มีวิ่งผ่านทุ่งหญ้าบนเขา สวยมากกกก แวะถ่ายรูปได้บ้าง
กิโลเมตรที่ 18-20km. คือพีคสุด ขึ้นภูเขาเนียวโฮ ความชัน 600m ใน 2 กิโลเมตร ชันหน้าตั้งเลย แงงง TT ภูเขานี้เป็นภูเขาที่สูง 1 ใน 3 ของเมืองนี้ เรามองไม่เห็นยอดเลยค่ะ เพราะหมอกบังตั้งแต่ตีนเขาเลย และลมแรงมาก เราต้องเดินขึ้นบันได 1,445 ขั้น แล้วต่อด้วยทางเทรลจนกว่าจะถึงยอดเขา ด้วยความหนาวแบบติดลบ ลมแรงๆพัดทีแทบปลิว รวมถึงฝนที่มาเป็นระยะ ท้อแท้มาก!! เราแวะพักบ่อยจน Staff ถามว่าเราไหวมั้ย?? เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่จะถึง ได้แต่อดทนเดินกัน ผ่านต้นไม้ที่มีน้ำแข็งเกาะ คิดดูสิ!!!! แม่คะนิ้งก็มา
พอถึงยอดเขา ดีใจมากทุกคนนน!!!!
มี Staff เซ็นที่ BIB ให้ว่าถึงแล้ว ขาลงคือชันมาก ทางเทรลล้วนๆ มันไม่เหนื่อยนะ แต่คืออะไรรู้มั้ย ทั้งมือทั้งเท้ามันชาไปหมด เราเตะรากไม้หน้าแทบทิ่ม ยังไม่เจ็บเลย 55555555 ไม่มีปัญญาจะถอดถุงมือมาถ่ายรูปด้วยซ้ำ เกินไปมาก 555555 ประสบการณ์สุดๆ
ถัดมากิโลเมตรที่ 21-30 ขึ้นๆลงๆเขาตลอด วิ่งๆเดินๆ ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บ สภาพร่างกายเริ่มดีขึ้นเพราะหนาวน้อยลง (เลขตัวเดียวอยู่ดี) มีนักวิ่งที่เราสลับกันแซงไปมาอยู่ 5-6 คน ยิ้มทักทายกันไปเรื่อย แล้วก็แวะจุด CP จุดสุดท้าย เติมน้ำตาล/พลังงานกันหน่อย มีไก่คาราเกะด้วย ^^
มีรูปจุด CP บางจุดมาให้ดูตามนี้ค่ะ
5 กิโลเมตรสุดท้ายคือทางลงอย่างเดียว เพราะคือทางเดิมที่วิ่งมา แต่มีเลี้ยวเข้าไปวิ่งในอุทยาน ขึ้นบันไดนิดหน่อย เราก็วิ่งยาวๆ จะเดินอย่างเดียวก็ไม่ได้ 5555 เพราะกลัวไม่ทัน Cutoff (ระยะ 40 กม. Cutoff 11 ชั่วโมง) คือ 5 โมงเพราะปล่อยตัว 6 โมงเช้า สุดท้ายเราเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 9 ชั่วโมง 41 นาที ความชันรวม 2,062m กับ 36km. กว่าๆ
เข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 873-874 จาก 889 คน
(บอกแล้วว่าเข้าท้ายจริงๆ 5555)
ความรู้สึกตอนนั้นคือ.. ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว จบแล้ว !!!
completed เป้าหมายไปอีก 1 อัน รับใบประกาศมาเก็บไว้
ความสำเร็จนี้กว่าจะได้มามันไม่ง่ายเลย :))
รีบเดินกลับที่พัก เพราะอากาศเย็นมาก และเริ่มมืดแล้ว กลับมาก็ไปแช่ออนเซ็นอุ่นๆ คลายกล้ามเนื้อ (เกือบหลับเหมือนกัน 5555) แล้วก็มารอทานอาหารเย็นที่เรานัดเวลาไว้ 5 โมง
มื้อเย็นวันที่ 2 เป็นเมนูชุดชาบูน้ำดำ เสิร์ฟพร้อมกับเทมปุระ และเครื่องเคียงแบบจัดเต็มเหมือนเดิม มีปลาดิบ ของหวานเป็นแคนตาลูป กับวะราบิ โมจิกับส้ม อร่อยมาก และอิ่มมากกกกกกกกกเหมือนเดิม 555
ก่อนนอนไปร้านเบียร์ แล้วหลังจากนั้นก็หลับเป็นตายเลยค่ะ วิ่งไปเกือบ 10 ชั่วโมง ใช้งานกล้ามเนื้อไปเยอะมาก เรานัดมื้อเช้ากับที่พักไว้ตอน 7 โมงเช้า (เราจองมา 3 วัน 2 คืน จะได้เป็นอาหารเช้า 2 มื้อ อาหารเย็น 2 มื้อ แต่เพราะเราต้องออกไปวิ่งเช้ามาก เลยได้ทานอาหารเช้าที่พักมื้อเดียว เราแจ้งที่พักตั้งแต่ Check-in เลย ทางที่พักลดราคาให้ 1,600 เยน)
เช้าวันที่ 3 ใน Nikko เราตื่นมาตอน 6 โมงครึ่ง ล้างหน้าแปรงฟันแล้วลงไปที่ชั้น 1 ห้องอาหารของโรงแรม (สำหรับมื้อเช้าจะเสิร์ฟที่ห้องอาหาร) เดินไปแจ้งพนักงาน พนักงานจะพาไปที่โต๊ะอาหารของเรา จะมีกระดาษแปะไว้ให้ว่าห้องอะไร
อาหารเช้าก็ยังคงอลังการเหมือนเดิม เป็นชุดปลานึ่งกับข้าว มีไข่ม้วน ไข่ตุ๋น และซุปหอย พร้อมเครื่องเคียงต่างๆ เต็มโต๊ะ อยากบอกว่าเมนูปลานึ่งบนใบไม้คืออร่อยมากกก !!!! น้ำซุปเข้มข้น ทานกับข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ ก็ดีมาก เป็นเมนูอันดับ 1 ของที่นี่สำหรับเราเลย ของหวานก็เป็นพุดดิ้งสตอเบอรี่
หลังจากทานข้าวเสร็จ ก็กลับมาอาบน้ำเก็บกระเป๋า แอบแวะถ่ายรูปกันนิดหน่อย
แล้วก็ได้เวลาโบกมือบ๊ายบาย Nikko แล้ว ขากลับสามารถนั่งรถบัส Tobu bus 2B จากหน้าโรงแรม Hotel Seikoen (ป้าย 81) ไปลง Tobu-Nikko station (ป้าย 2) นั่งทั้งหมด 6 ป้าย ประมาณ 25 นาที แต่เราเลือกเดินเหมือนเดิมค่ะ 2 กิโลกว่าๆ
ขากลับไปโตเกียวนั่งรถไฟสาย 708N Tobu-Nikko รอบ 09.23 น. - Shimo-Imaichi ถึงเวลา 09.32 น. (เป็นรถไฟ Local สายสั้น) และต้องเปลี่ยนสายเป็นสาย 1114 Limited express Kinu นั่งยาวๆกลับมาที่สถานี Tobu Railway Asakusa ถึงประมาณ 11.15 น.
จบทริป Nikko 3 วัน 2 คืน :)))
ฝากติดตามที่ Readme #AnywhereIGobyThita #ฐิตา
Twitter: @AnywhereIGo2
ฐิตา
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เวลา 15.34 น.