ไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศ ก็ฟินกับใบไม้เปลี่ยนสีได้นะจ๊ะ
กับทริป 2 วัน 1 คืน บนภูกระดึง จ.เลย บนความสูง 1,288 เมตร ระยะทางเดินเท้า 9 กม.
ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปพิชิตสักครั้งแรก [ป้ายเขียนบอกไว้อย่างนั้นนะ]
สำหรับการไปภูกระดึงครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก ไม่ได้ไปเพื่อพิชิตยอดหรอก
แต่ตั้งใจไปดูใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสีมากกว่า หลังจากไปแฝงตัวเงียบๆอยู่ใน
กลุ่มรักภูกระดึง
เห็นคนในกลุ่มคอยอัพเดทใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี
ยิ่งพอเห็นรูปสวยๆ สติแตกสิค่ะ จองตั๋วๆๆๆยังไงก็ต้องไปให้ได้!
แถมทริปนี้โชคดีหน่อยล่อซื้อเพื่อนไปด้วย 1 คน
แต่สำหรับเพื่อนเหมือนจะหนักไปทางโชคร้ายมากกว่า 55555+
ศุกร์ 23 ธ.ค.59
นัดเจอกันที่สถานีขนส่งหมอชิต และขึ้นรถทัวร์ ป2.กรุงเทพ-เอราวัณ-วังสะพุง ตอน 9.30 น.
เสาร์ 24 ธ.ค.59
มาถึงผานกเค้า ตี 5.30 น. ก็ต่อรถสองแถวตรงหน้าร้านเจ้กิม ไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
เพื่อจัดการเรื่องที่พักและชำระค่าเข้าอุทยาน ถ้ามากันหลายคนก็แบ่งๆกันต่อแถวจะได้เร็วขึ้น
ช่องที่ 1 ติดต่อบ้านพัก เต็นท์ แต่ถ้าเต็นท์ของอุทยานเต็ม ก็จองเป็นพื้นที่กางเต็นท์
แล้วไปติดต่อจองเต็นท์สวัสดิการ หรือของร้านค้าด้านบนอีกที รับรองว่ามีเพียงพอแน่นอน
ช่องที่ 2 สำหรับคนที่จองบ้านพัก เต็นท์ ผ่านทางออนไลน์
ช่องที่ 3 ชำระค่าเข้าอุทยาน
ช่องที่ 4 สำหรับที่จองพื้นที่กางเต็นท์ ผ่านทางออนไลน์
เสร็จแล้วใครที่ต้องการจ้างลูกหาบก็ติดต่อจุดรับ-ส่งสัมภาระ อาคารหมายเลข 4 โดยค่าบริการ กก.ละ 30 บาท
แต่ด้วยความงกทริปนี้เราเลยแบกกระเป๋าเอง ส่วนของเพื่อนก็ให้จ้างลูกหาบจะได้สะดวกในการร่างสังขารขึ้นเขา
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยก็ออกเดินเท้ากันตอน 8.30 น. มาดูกันว่าเราจะถึงกันกี่โมง!
เห็นจากป้ายแล้วรู้เลยว่าหนทางอีกยาวไกล ขอแค่ไม่มืดกลางทางก็เป็นพอ
ระยะทางช่วง 5 กม.แรก เป็นเส้นเดินขึ้นเขาพอให้วอร์มขา
บางช่วงก็เป็นขั้นบันได สลับกับทางดิน
พระเอกประจำภูกระดึง ก็ต้องพี่ๆลูกหาบเนี่ยแระ เจอตรงไหนก็ต้องรีบหลีกทางให้พี่เค้าไปก่อน
ซึ่งแต่ละซำ ก็จะมีคานไม้ไว้ให้พี่ๆเค้าพักวางสัมภาระ
ซำแฮก ซำที่ทำเอาแฮกกันแทบทุกคน แต่ก็ยังเป็นซำที่ผู้คนดูคึกคัก
เพราะเป็นซำแรกบน ภูกระดึง ที่มีทั้งร้านค้าให้แวะหาของกิน และนั่งชมวิวพักเหนื่อย
ใครมา ภูกระดึง ไม่ต้องกลัวอด แค่เตรียมตังค์มาพร้อม แล้วจะแวะชิมมันทุกซำที่มีร้านค้าก็ยังได้
นี่ขนาดซื้อของเตรียมไปจากด้านล่างแล้วนะ กะว่าไปอยู่ข้างบนจะซื้อแค่ข้าวกับน้ำ
พอเห็นแล้วมันก็อดใจไม่อยู่ แต่ละอย่างเห็นแล้วมันน่ากินทั้งนั้น
กินอิ่ม หายเหนื่อยแล้ว ก็ออกเดินต่อจะได้ไปแวะชิมซำหน้า คิดแบบนี้จะได้มีแรงเดิน
ใบไม้เปลี่ยนสีระหว่างทาง เหลืองตัดเขียวก็ดูสวยดี
แวะชิมแทบทุกซำแล้ว ก็ต้องออกแรงกันหน่อย โดยเฉพาะช่วงซำแคร่ไปหลังแป
อันนี้ยอมรับว่าโหดจริง เพราะต้องปีนก้อนหินกันขึ้นไป กว่าจะถึงหลังแป ก็เล่นเอาเข่าแทบพังเหมือนกัน
ลากสังขารปีนหินขึ้นมาจนถึงหลังแป จุดที่ทุกคนจะต้องมาถ่ายรูปกับป้ายผู้ชิพิตภูกระดึง
และนั่งพักตรงลานสน ก่อนเดินต่อไปจุดกางเต็นท์
ที่สำคัญตรงหลังแปมี ต้นเมเปิ้ล ต้นแรกที่เจอตั้งแต่เดินขึ้นมา
ถึงจะแดงไม่เยอะเท่าไร อย่างน้อยก็ใจชื้นว่าไม่ได้เสียเที่ยว
อันนี้ไม่ใช่ลูกหาบนะ แต่บางทีนักท่องเที่ยวก็เลือกที่จะแบกของเอง
ยิ่งช่วงหน้าเทศกาลคนเยอะ ถ้าไหวก็แบกเองดีกว่าจะได้ไม่ต้องรอนาน
จากหลังแป ไป จุดกางเต็นท์วังกวาง ดีหน่อยเป็นทางราบระยะทาง 3.5 กม. เดินสบายผ่านป่าสนไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่ไหวก็นอนมันข้างทางมันนั่นแระ แล้วค่อยเดินต่อ
มาถึงจุดกางเต็นท์วังกวางกันตอนบ่าย 3.30 น. รวม 7 ชม.ของการเดิน
ทั้งนั่งพัก แวะถ่ายรูป เช็คอิน ซื้อของกิน ชิมมันเกือบทุกซำ ถึงจะราคาแพงกว่าด้านล่าง แต่ก็รับได้นะ
เพราะเห็นสภาพทางที่ต้องขนของขึ้นมาขาย แค่เดินปกติยังเหนื่อยเลย
ส่วนของที่เตรียมขึ้นมาเองสุดท้ายก็ไม่ได้กิน ขนกลับมากินที่กรุงเทพ แบกไปทำไมให้หนักก็ไม่รู้
ได้เต็นท์พักเรียบร้อยแต่ใช่ว่าจะจบแค่นี้ ด้วยระยะเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ก็ต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุด
เลยเดินไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก ระยะทาง 2 กม.กว่าๆ ใครขี้เกียจเดินก็เช่าจักรยาน
แล้วอย่าลืมติดไฟฉายไปด้วยนะ เพราะขากลับกว่าจะถึงเต็นท์ก็มืดสนิท
ต้นเมเปิ้ลที่วังกวาง ระหว่างทางไปผาหมากดูก
อาทิตย์ 25 ธ.ค. 59
ด้วยสภาพร่างที่เดินกันเมื่อวาน 13 กม. เช้านี้เลยตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นไม่ไหว
แถมอากาศกำลังดี 12 องศา ก็เลยขอนอนพักซ่อมร่างค่ะ
ส่วนใครอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นจะมีเจ้าหน้าที่นำทางไปตอนตี 5
ต้องไปกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น! ไม่เปรี้ยวเดินไปกันเองนะจ๊ะ เพื่อความปลอดภัย
ส่วนใครที่จะเดินลง และต้องจ้างลูกหาบแบกกระเป๋า ทางอุทยานจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่ 7.30 - 10.00 น.
และพวกเต็นท์ อุปกรณ์เครื่องนอน สามารถมาคืนตอนจะเดินลงก็ได้ เผื่อใครอยากจะเก็บตก แล้วเดินลงสายหน่อย
ส่วนเราเลือกเดินลงหลังเที่ยง เพราะอยากจะไปดู ใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี
และกะว่าถ้าเจอเมเปิ้ลตรงจุดไหน ก็จะแวะอยู่กันยาวๆ จุดเดียว ถ้าไปหลายจุดคงกลับไม่ทันแน่
เพราะกฎอุทยานให้นักท่องเที่ยวลงจาก ภูกระดึง ได้ไม่เกินบ่าย 2 โมง
ยิ่งพอดูจากระยะทางแล้ว น้ำตกเพ็ญพบใหม่ น่าจะเป็นจุดที่โอเคสุด
แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะ ต้นเมเปิ้ล ที่ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงเต็มต้น
แถมตรงด้านล่างน้ำตกมีลานใบเมเปิ้ล เป็นพรมแดงให้ลงไปนอนถ่ายรูป
กลับจากน้ำตกเพ็ญพบใหม่ มาจุดกางเต็นท์วังกวาง ลองเปลี่ยนมาเดินคนละเส้นจากตอนมา
โดยเดินผ่านอุโมงค์ต้นสน แวะไหว้พระพุทธเมตตา แล้วตัดเข้าเส้นที่ไปผาหมากดูก
เลยได้หยุดถ่าย ต้นเมเปิ้ล ตรงวังกวางกันอีกรอบ รวมเดินไป-กลับเช้านี้บนภูประมาณ 5 กม.
จริงๆแล้วถ้าอยากจะเที่ยว ภูกระดึง แบบไม่เหนื่อย เก็บได้ครบทุกจุด ต้อง 3 วัน 2 คืน ถือว่ากำลังดี
ไม่อยากเดินก็เช่าจักรยานปั่น เพราะแต่ละจุดบน ภูกระดึง อยู่ห่างกันประมาณ 2-3 กม.
อีกอย่างสภาพทางบน ภูกระดึง ก็ปั่นได้ไม่ถึงกับลำบากมาก
มาไงก็ไม่รู้ กำลังเก็บของที่เต็นท์เตรียมตัวจะเดินลง ดันเจอมาเจ้าตัวนี้ อยู่ตรงเต็นท์ข้างๆ แถมยังนอนนิ่ง ฉีกยิ้มให้ด้วย
หลังจากถ่ายรูปน้องกวางเสร็จก็ออกเดินจากวังกวางกันตอนเที่ยงกว่า
ถึงทางจะเป็นเส้นเดิมกับตอนขึ้น แต่สภาพตอนลงมันต้องเกร็งทั้งขา เข่า จิกเท้า
เห็นแล้วรู้สึกสงสารเพื่อน ชวนมันมาทรมาน ทำเอาหมดสภาพเข่าอ่อนไปเลย
หลังจากลากสังขารลงมาถึงจุดบริการนักท่องเที่ยวด้านล่างกันตอน 6 โมงกว่า
และดูเหมือนเป็นกลุ่มสุดท้ายคนขาลง จนลูกหาบต้องโทรตาม เพราะรอให้มารับกระเป๋าตั้งแต่บ่าย 2
พอมาถึงด้านล่างจะอาบน้ำที่จุดบริการนักท่องเที่ยวก็กลัวตกรถ
เลยไปรับกระเป๋าแล้วขึ้นรถสองแถว มาอาบน้ำ หาของกิน ที่ร้านเจ้กิม
และรอขึ้นรถทัวร์กลับกรุงเทพตอน 2 ทุ่ม ส่วนสภาพพอขึ้นรถทัวร์ไม่ต้องถาม Good Night หลับยาวยันกรุงเทพ
ทริปภูกระดึง 2 วัน 1 คืน ถึงมันจะดูรีบและเหนื่อยไปหน่อย แต่ก็สนุก
เป็นการเดินป่าที่อิ่มที่สุด เพราะมีของกินขายตลอดทาง
ได้ไปทดสอบร่างกายตัวเอง
ได้ตื่นเต้นกับใบเมเปิ้ลที่กำลังเปลี่ยนสี
ยิ่งช่วงนี้จนถึงกลางเดือนมกราคม ก็น่าจะยังมีให้เห็นอยู่ เพราะบางต้นก็ยังแดงไม่สุด
แต่ให้ชัวร์ลองเข้าไปเช็คใน
กลุ่มรักภูกระดึง ได้
เพราะคนที่ไปเที่ยวจะถ่ายรูปอัพเดทให้เห็นกันแทบทุกวัน
ส่วนเรื่องของกิน มั่นใจได้ว่าไม่อดแน่ แค่เตรียมตังค์ไปให้พร้อม
เผลอๆกลับลงมาน้ำหนักอาจจะขึ้นก็ได้นะ
สรุปค่าใช้จ่ายภูกระดึง 2 วัน 1 คืน
ค่ารถทัวร์ไปกลับกรุงเทพ – ผานกเค้า 648 บาท
ค่ารถสองแถวขาไป 30 บาท
ค่ารถสองแถวขากลับ 43 บาท
ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท
ค่าพื้นที่กางเต็นท์ 30 บาท
ค่าเต็นท์สวัสดิการ 150 บาท
ค่าเบาะรองนอน 20 บาท
ค่าอาหาร 495 บาท
รวม 1,456 บาท
*หมายเหตุ ราคาต่อคน ยกเว้นค่าเต็นท์สวัสดิการ
Phiyanuch Chaisuwan
วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.21 น.