พาแฟนไปเดทไหนดี? คือ คำถามที่เกิดขึ้นมาในหัวเมื่อก้าวเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก จึงอยากจะพาแฟนไปเดทแบบชิลๆ สบายๆ เน้นพักผ่อน กินอาหารอร่อยๆ ฟังดนตรีเพราะๆ นอนโรงแรมดีดี มีทะเลให้ดู และเปลี่ยนสถานที่ช็อปปิ้ง ทั้งหมดนี้คือโจทย์ที่อยากได้ ซึ่งมีตัวเลือกที่คิดไว้อยู่หลายที่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปหัวหิน พาแฟนไปเดทไหนดีที่หัวหิน?
DAY 1
พวกเราเริ่มต้นออกเดินทางกันแต่เช้า โดยเลือกใช้บริการรถทัวร์ของบริษัทสมบัติทัวร์ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็อาจจะนั่งรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัยฯที่มีให้เลือกมากมายหลายเจ้า แต่ช่วงหลังเห็นข่าวอุบัติเหตุที่เกิดกับรถตู้ค่อนข้างบ่อย
ครั้งนี้เลยเปลี่ยนไปใช้บริการรถทัวร์แทน โดยมาขึ้นรถที่สมบัติทัวร์ ศูนย์วิภาวดี ตั้งอยู่ริมถนนวิภาวดีขาออก ข้างกระทรวงพลังงาน ตรงข้ามกับเซ็นทรัลลาดพร้าว
เราจองตั๋วทั้งขาไปและขากลับเอาไว้ล่วงหน้าผ่าน Call Center 1215 ราคาคนละ 155 บาท (ถูกกว่ารถตู้ 25 บาท) และเลือกชำระเงินผ่าน Counter Service ที่ 7-11 ภายใน 24 ชม. หลังจากทำรายการ ถือว่าสะดวกมากๆ โดยเราเลือกเที่ยวไปเวลา 8.20 น. และเที่ยวกลับเวลา 15.00 น.
พอมาถึงท่ารถก็เอาใบเสร็จที่ชำระเงินผ่าน 7-11 มายื่นให้พนักงานออกตั๋วได้เลย แถมช่วงนี้มีโปรโมชั่นส่วนลดค่าตั๋ว 20 บาท สำหรับลูกค้าที่ใช้เครือข่ายดีแทค (Dtac)
โดยสามารถมากดรับสิทธิ์ได้ที่หน้าเคาน์เตอร์ (1 สิทธิ์ ต่อ 1 เดือน) หมดเขตวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และควรมาก่อนเวลารถออกสักประมาณ 30 นาที
ภายในตัวอาคารขายตั๋วมีที่นั่งพักรอรถออกหลายรูปแบบ แต่ที่สะดุดตาก็น่าจะเป็นที่นั่งจำลองเบาะรถทัวร์โซนนี้แหละ
พอใกล้ถึงเวลารถออกจะมีเสียงประกาศให้ไปขึ้นรถที่ประตูทางออกหมายเลข 3
รถที่ใช้ในเส้นทางกรุงเทพ - หัวหิน เป็นรถโดยสารปรับอากาศ 1 ชั้น (ม1ข) หรือ Star Class
จัดวางเก้าอี้ด้านละ 2 ที่นั่ง รวมทั้งหมด 36 ที่นั่ง ปรับเอนนอนได้ 125 องศา มีที่รองน่อง และหมอนรองคอ พื้นที่ระหว่างเบาะค่อนข้างกว้าง สามารถยืดขาได้อย่างสบาย โดยมีไฮไลด์เป็นเบาะนวดหลังได้ เรากดให้นวดไปตลอดทางเลย แต่ตากลมไม่ค่อยชอบ
รถคันนี้จะจอดแค่ครั้งเดียวที่ด่านตรวจวังมะนาว (แต่สามารถบอกให้จอดส่งระหว่างทางได้) ดังนั้นควรจะซื้อของกินเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถ แต่ไม่ต้องซื้อน้ำเปล่านะ เพราะบนรถมีแจกให้ฟรีคนละ 1 ขวด
และไม่ต้องกังวลเรื่องห้องน้ำ เพราะรถคันนี้มีห้องน้ำอยู่ด้านหลัง โดยมีประตูกั้นกันกลิ่นสองชั้น ภายในมีชักโครก อ่างล้างมือ และกระดาษทิชชู่เตรียมไว้ให้ พร้อมแสงสว่างที่เพียงพอและพัดลมดูดอากาศ
เราลองใช้แอพวัดความเร็วบนมือมาวัดความเร็วของรถคันนี้ภายในระยะเวลา 30 นาที ระยะทาง 38.5 km ความเร็วเฉลี่ยของรถคันนี้อยู่ที่ 76 km/h และความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 97 km/h ไม่มีขับปาดขับแซงให้หวาดเสียว ปลอดภัยหายห่วง
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงหัวหินโดยสวัสดิภาพ ใช้เวลาพอๆกับรถตู้แต่ถูกและปลอดภัยกว่า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ โดยท่ารถทัวร์ขากลับจะอยู่ใกล้ๆกับห้างบลูพอร์ต (Bluport) ห้างเปิดใหม่ใจกลางหัวหิน พวกเราเลยขอลงที่นี่
เนื่องจากเป็นห้างเปิดใหม่ที่มีการตกแต่งร้านค้า ร้านอาหาร และบรรยากาศรอบๆในสไตล์ท่าเรือทันสมัย
จึงทำให้ร้านค้าร้านอาหารของที่นี่มีความน่าสนใจดึงดูดให้น่าเข้าไปจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะขาช็อปอย่างตากลมที่จะรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรเสื้อผ้า รองเท้า และชุดชั้นใน
โดยสามารถอยู่ได้เป็นวันๆ ไม่มีเบื่อ ถึงแม้ว่า Brand นั้นๆจะมีเหมือนกันกับห้างที่อยู่ในกรุงเทพก็ตาม
ที่นั่งรอเหมาะๆสำหรับเราจึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่ได้พบเจอในอาณาจักรของเธอ และคอยเป็น Commentator ในการเพิ่มความมั่นใจให้เธอก่อนตัดสินใจซื้อ รวมถึงช่วยเธอหาไซส์และคอยปลอบใจเวลาที่เธอหาไซส์ที่ต้องการไม่เจอ
เวลาเธอบ่นว่าหิวก็ควรรีบพาไปกินข้าวเพื่อเติมพลัง จะได้มีแรงกลับมาช็อปต่อ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสุขของเธอ ส่วนความสุขของเราก็คือการได้นั่งมองเธอช็อปปิ้งอย่างมีความสุข
พวกเราใช้เวลาอยู่ที่นี่กันเกือบ 2 ชั่วโมง เพื่อรอให้ถึงเวลาเช็คอินเข้าที่พักที่ชื่อว่า "นอนดี" ซึ่งอยู่ใกล้กับตลาดจั๊กจั่น หรือ Cicada Market ทางไปเขาตะเกียบ
จากบลูพอร์ตให้ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามกับห้าง แล้วขึ้นรถสองแถวสีเขียว มาลงก่อนถึงตลาดจั๊กจั่น ราคาคนละ 10 บาท จากนั้นก็ข้ามถนนและเดินเข้ามาในซอยอีกแค่ 100 เมตรก็ถึงโรงแรม
โรงแรมนอนดีมีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ คือ Standard, Deluxe, Family และ Garden Suite (แบบสุดท้ายสามารถพาสุนัขขนาดไม่เกิน 10 Kg. เข้าไปนอนกอดได้ด้วยนะ) ห้องของพวกเราเป็น Standard อยู่ที่ชั้น 5 ชั้นบนสุดของโรงแรม จากด้านบนสามารถมองออกไปเห็นทะเลด้วยนะ ถ้าใครได้พักห้องริมสุดคงฟินน่าดู
บรรยากาศภายในห้องพักตกแต่งด้วยโทนสีขาวของเตียงนอนและผนังห้อง ตัดด้วยเฟอร์นิเจอร์ลายไม้ เก้าอี้สีส้มและโซฟาสีแดง
มีหน้าต่างที่ทำจากกระจกบานใหญ่ ให้แสงสว่างส่องผ่านเข้ามาได้อย่างเต็มที่ ช่วยทำให้บรรยากาศภายในห้องโล่งโปร่งสบาย สามารถมองออกไปเห็นวิวด้านนอกได้ในมุมกว้าง อย่างบริเวณสวนที่เห็นอยู่ในรูปคือตลาดจั๊กจั่นที่กำลังเริ่มตั้งร้าน
ห้องแบบ Standard มีให้เลือกทั้งแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ภายใต้คอนเซ็ปที่ว่า
"This bed isn't just for sleeping only"
เตียงและหมอนสะอาดและนุ่มมาก ด้านข้างของเตียงประดับด้วยโคมไฟแสงสีส้มให้ความรู้สึกอบอุ่น
พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น หม้อต้มน้ำร้อน เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น
ห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่มีกระจกแบบซีทรู วู้ววววว!!!
ด้วยอนุภาพของเตียงและหมอนนุ่นๆ ทำให้พวกเราเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เกือบ 6 โมงเย็น จึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเดินเล่นและหาอะไรกินที่ตลาดจั๊กจั่น (Cicada Market)
บริเวณชั้นล่างของโรงแรมเป็นพื้นที่โล่งๆ มีโซฟานุ่มๆให้นั่งเล่นอ่านหนังสือ ซึ่งตอนเช้าจะถูกเปลี่ยนเป็นห้องอาหาร
ส่วนบริเวณหน้าล๊อบบี้ก็มีโซฟาให้นั่งเล่นพูดคุยหรือพักผ่อนกันได้ตามสบาย
จากโรงแรมนอนดีเดินมาไม่ถึง 3 นาทีก็ถึงตลาดจั๊กจั่น (Cicada Market)
จากนั้นก็เดินไปแลกคูปองซื้ออาหารที่ซุ้มด้านหน้าทางเข้าสวนอาหาร ใช้ไม่หมดสามารถแลกคืนได้
มีอาหารให้เลือกหลากหลายเมนูและสัญชาติ ราคาเฉลี่ยต่อจานอยู่ที่ประมาณ 80 - 200 บาท
ระหว่างรออาหารที่สั่ง แนะนำให้เดินหาที่นั่งไปพลางๆ เพราะคนเยอะหาที่นั่งยากมาก
รสชาติและปริมาณของอาหารที่ได้ เมื่อเทียบกับราคาก็ถือว่าพอรับได้
หลังจากทานอิ่มก็ถึงเวลาออกไปช๊อปปิ้ง เย้ๆ
มีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของฝาก ของตกแต่งบ้านไอเดียเก๋ๆ และเครื่องประดับน่ารักๆให้เลือกมากมาย
นอกจากนี้ยังมีโรงละครเวที และมุมจัดแสดงงานศิลปะให้ได้เลือกซื้อและเลือกชม
และสิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลด์สำหรับพวกเราก็คือ การแสดงดนตรีสดในสวนท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ โดยมีเหล่านักดนตรีภายใต้ชื่อ Jammin' Live Music ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาขับกล่อมผู้ฟังด้วยแนวเพลงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Pop Jass หรือ Acoustic ทั้งเพลงไทยและสากล
ด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายรูปแบบและนักร้องเสียงคุณภาพอย่างพี่โอ โอฬาริก ผู้ชนะการประกวดร้องเพลงในรายการ The Winner Is หรือพี่ปุ๊ก สาวสวยที่มีเสียงอันทรงพลังและมีเสน่ห์ (คนที่ยืนอยู่ขวาสุดของรูป) ตากลมรู้สึกปลื้มพี่คนนี้มาก
จนถึงขนาดนั่งหาเฟสบุ๊คของพี่เค้าจนเจอ จึงทำให้รู้ว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนสมัยมัธยมเลยกดแอดไป แต่พี่เค้ายังไม่รับแอดเลย
พวกเรานั่งฟังเพลงอยู่ที่นี่จนวงดนตรีเลิกประมาณห้าทุ่ม แล้วจึงเดินกลับไปนอน
DAY 2
เช้าวันต่อมา ตื่นค่อนข้างสายและลงมากินอาหารเช้าเกือบ 10 โมง ที่บริเวณชั้นล่างข้างล๊อบบี้
รองท้องด้วยเมนูเบาๆอย่างโจ๊กและไข่กระทะ ก่อนจะกลับขึ้นไปนอนเล่นที่ห้องจนถึงเที่ยง
ช่วงบ่ายพวกเรามีแพลนจะไปนั่งเล่นกันที่ Seen Space ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับวังไกลกังวล ระหว่างทางพวกเราแวะทานก๋วยเตี๋ยวหมูตำลึง บริเวณหน้าวังไกลกังวลก่อนถึงสี่แยก โดยสามารถนั่งรถสองแถวสีเขียวจากหน้าโรงแรมมาลงที่หน้าร้านได้เลย
เมนูเด่นก็คือก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำตำลึง สูตรโบราณตลิ่งชัน ตามชื่อของร้าน
โดยมีให้เลือกทั้งแบบแห้งและน้ำ สามารถเลือกเครื่องอย่าง ตับ ใส้ หัวใจ หรือลูกชิ้นได้
รสชาติเข้มข้น ถึงเครื่องต้มยำมากๆ
จากร้านก๋วยเตี๋ยวเลี้ยวขวาที่สี่แยกไปตามถนนริมรั้วของวังไกลกังวลอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะถึง Seen Space หัวหิน Beach Front Mall ริมทะเลแห่งแรกของเมืองไทย
โดยจุดเด่นของที่นี่ก็คือ พื้นที่นั่งเล่นชมวิวริมทะเล
มีเบาะผ้าใบ เบาะผ้าก้อนกลมๆนุ่มๆ หรือสแตนไม้ให้เลือกนั่งได้ตามสบาย
พวกเรามาถึงที่นี่ช่วงบ่าย แดดเลยยังร้อนอยู่
ถ่ายรูปเล่นได้แป๊บเดียวก็สู้แดดไม่ไหว เลยเข้าไปหลบแดดอยู่ด้านในตัวอาคาร
ภายในตัวอาคารมีร้านค้าและร้านอาหารที่น่าสนใจอยู่หลายร้าน
อย่างร้านขายแผ่นเสียง สำหรับนักสะสมที่ชื่นชอบเสียงเพลง
หรือคาเฟ่ชิคๆอย่างร้าน Virus Space and Cafe
มีเครื่องดื่มอย่างชา กาแฟ และนมหลากหลายเมนูให้ได้ลิ้มลอง
และเครื่องดื่มสุดพิเศษอย่างน้ำหมักปลากัดจีนคัดพิเศษ เอ้ย!!! ไม่ใช่ล่ะ
แต่ละตัวมีชื่อเป็นของตัวเองด้วยนะ เก๋สุดๆ
มีหนังสือให้ยืมมานั่งอ่านเล่นตากแอร์เย็นๆ เป็นการออกเดทที่ค่อนข้างมีสาระ
พร้อมกับจิบเครื่องดื่มแก้วโปรดในบรรยากาศที่โคตรชิล
ถ้าลองสังเกตดีดีจะเห็นว่าเจ้าตัว virus ที่อยู่บนแก้วจะหน้าตาไม่เหมือนกัน เพราะเค้าวาดใหม่ทุกใบ
ภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายสไตล์ลอฟท์ และมีมุมจัดแสดงงานศิลปะ
พวกเรานั่งเล่นกันอยู่สักพักจนรากเริ่มงอก แดดด้านนอกเริ่มอ่อนลง จึงออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลกันอีกรอบ
เริ่มมีคนทยอยมากันเพิ่มมากขึ้น
และมีเก้าอี้ผ้าใบมาตั้งเพิ่ม
มีซุ้มร้านค้ามาตั้งขายอาหารและเครื่องดื่ม
ช่วงนี้แสงกำลังสวย เลยจูงมือแฟนเดินสำรวจไปรอบๆ พร้อมกับถ่ายรูปเล่น
ด้านบนมีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงด้วยนะ แต่พวกเราไม่ได้ขึ้นไป
พอแดดร่มลมตก เริ่มมีลมทะเลเย็นๆพัดเข้ามามากขึ้น ช่วยทำให้รู้สึกดีต่อใจและร่างกาย
พวกเรานั่งเล่นบนเบาะนุ่มๆดูวิวแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเผลอหลับไปคนละงีบ
บางครั้งความสุขก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพียงแค่เราจับมืออยู่ข้างๆกันและมีเวลาให้แก่กัน
ที่นี่บรรยากาศทุกอย่างดีหมด ยกเว้นการไม่มีป้ายเตือนเรื่องการห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะหรือจุดสำหรับสูบบุหรี่ที่ชัดเจน (จริงๆไม่ต้องมีก็ได้ถ้าทุกคนมีจิตสาธารณะที่ดี)
จึงมีบางคนนั่งสูบโดยไม่เกรงใจคนรอบข้างที่มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนหันไปบอกก็ให้ความร่วมมือดี แต่ที่หนักสุดก็คือพวกที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ปล่อยควันออกมาจนนึกว่าร้านขายไก่ย่าง เราพวกจึงเดินหนีออกมาช็อปปิ้งกันใต้ตึก
มีร้านขายเสื้อผ้า กระเป๋า และของตกแต่งห้องไอเดียเก๋ๆให้เลือกมากมาย
ออกจาก Seen Space แล้วมาเดทกันต่อที่ชายหาดหัวหิน ช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีชมพู จึงทำให้บรรยากาศแถวนั้นกลายเป็นสีชมพูไปด้วย
ส่วนมื้อเย็นลุงเรามารับไปกินข้าวที่ร้านลาแมร์ ร้านอาหารซีฟู้ดที่ตั้งอยู่บนเขาตะเกียบ สามารถมองเห็นวิวทะเลและชายหาดหัวหินทอดตัวยาวหลายกิโล บรรยากาศดีมาก
แนะนำให้มาถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดินจะได้มองเห็นวิวสวยๆ แต่พวกเราไปถึงมืดพอดีเลยไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศมาฝาก พอกินเสร็จก็มาเดินเที่ยวตลาดจั๊กจั่นอีกเป็นคืนที่สอง เพราะติดใจวงดนตรีสด
วันนี้ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เอาบรรยากาศของเมื่อวานไปชมแทนก่อนละกันนะ บรรยากาศและความสนุกไม่ต่างกัน แต่วันนี้พวกเราอยู่ไม่ถึงตอนจบ เพราะตั้งใจจะไปนั่งชิลจิบเบียร์เย็นๆกันที่ร้าน La Birra Bistro Beer & Wine Bar ด้านหน้าที่พักของพวกเรา
La Birra Bistro Beer & Wine Bar เป็นร้านอาหารกึ่งผับที่มีดนตรีสดในบรรยากาศสบายๆเป็นกันเอง
มีเมนูอาหารให้เลือกหลายแบบ ตั้งแต่ทานเล่นไปจนถึงทานเอาอิ่ม ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100-300 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงมาก
พอดีพวกเราทานข้าวมาจนอิ่มแล้ว เลยสั่งแค่ชีสชุปแป้งทอดมาทานกันเล่นๆ ชีสหอมและแน่นมากอยากให้ลอง
และไฮไลด์ที่อยากแนะนำก็คือไวน์ เบียร์ และคราฟต์เบียร์ยี่ห้อต่างๆจากทั่วโลกที่มีให้เลือกลิ้มลองได้ตามใจชอบ
ส่วนเราขอจัดเป็นฮูการ์เด้นแก้วโปรด
สำหรับคุณผู้หญิงที่ไม่ดื่มเบียร์ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะที่นี่มีค็อกเทลสูตรต่างๆและน้ำผลไม้ให้เลือกมากมาย
Cheers!!!
ลูกค้าส่วนใหญ่ของที่นี่จะเป็นชาวต่างชาติหลากหลายภาษา คนโสดมาก็อาจจะได้เรียนภาษาฟรีนะ (หมายถึงได้แฟนกลับไป)
ที่นี่เปิดตั้งแต่ 4 โมงเย็นจนถึงตี 1 ถ้าใครพักที่โรงแรมนอนดีสามารถดื่มได้เต็มที เพราะอยู่ใกล้กับร้านมาก หลับตาคลานกลับยังได้เลย
DAY 3
เริ่มต้นเช้าวันสุดท้ายด้วยอาหารหลากหลายเมนู
มีโจ๊กพร้อมไข่ไก่ให้บริการ เราลงมาช้าเลยไม่ค่อยร้อนแล้ว พอกดอุ่นแล้วดันลืมคน โจ๊กที่อยู่ตรงก้นไหม้เลยจ้า
ข้าวมันไก่ ไส้กรอก และไข่ดาว
และกล้วยหอม
กินอิ่มก็กลับขึ้นไปนอนเล่นบนห้องจนถึงเวลาเช็คเอาท์ เพราะวันนี้เน้นพักผ่อนเลยไม่มีโปรแกรมไปไหน
สองคืนที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า โรงแรมนอนดี ไม่ได้มีดีแค่ที่นอน เพราะเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งท่องเที่ยว บรรยากาศดี และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ช่วยให้การพาแฟนมาเดทในครั้งนี้สะดวกสบายและนอนหลับฝันดี
หลังจากเช็คเอาท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเรานั่งรถมาลงที่บลูพอร์ต เพื่อทานข้าวกลางวัน เดินเล่นและช็อปปิ้งรอเวลา โดยขากลับพวกเราจองรอทัวร์เที่ยวสุดท้ายเวลา 15.00 น. ซึ่งท่ารถอยู่ห่างจากห้างบลูพอร์ตแค่ประมาณ 350 เมตรเท่านั้นเอง ขากลับใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง เพราะขาเข้ากรุงเทพรถติดเป็นบางช่วง
สำหรับทริปพาแฟนไปเดทไหนดีที่หัวหินด้วยระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ก็จบลงเพียงเท่านี้ อาจจะไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะสักเท่าไหร่ เพราะทริปนี้เน้นพักผ่อนแบบชิลๆ ไม่เร่งรีบ มาเปลี่ยนสถานที่ช็อปปิ้ง ชอบตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นนานๆ ใช้เวลาร่วมกันในบรรยากาศที่ชอบให้มากที่สุด เพราะความสุขเกิดขึ้นได้ทุกที่ถ้าเรามีเวลาให้แก่กัน
สรุปรายละเอียดการเดินทาง ดังนี้
DAY 1
1. ออกเดินทางด้วยรถทัวร์ของบริษัทสมบัติทัวร์ ศูนย์วิภาวดี
2. แวะทานข้าวกลางวันและช็อปปิ้งที่ห้างบลูพอร์ต (Bluport)
3. พักที่โรงแรมนอนดี
ข้อมูลการติดต่อ
Tel : 032-6550401 / 081-8462340
Facebook : www.facebook.com/norndeehuahinhotel
Website : www.norndeehuahin.com
4. เดินเล่น ช็อปปิ้งและฟังดนตรีสดในสวนที่ตลาดจั๊กจั่น (Cicada Market)
DAY 2
1. ตื่นสายๆ แล้วลงมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม
2. มื้อกลางวันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำตำลึง สูตรโบราณ หน้าวังไกลวังวล
3. ถ่ายรูปเล่น และชมวิวริมทะเลที่ Seen Space
4. นั่งเล่นชิลๆที่ Virus Space and Cafe
5. เดินเล่นริมชายหาดหัวหิน
6. ฟังดนตรีสดในสวนที่ตลาดจั๊กจั่น (Cicada Market)
7. นั่งชิลจิบเบียร์เย็นๆที่ร้าน La Birra Bistro Beer & Wine Bar
DAY 3
1. ตื่นสายๆ แล้วลงมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม
2. เดินเล่นและช็อปปิ้งที่ห้างบลูพอร์ต (Bluport)
3. เดินทางกลับด้วยรถทัวร์ของบริษัทสมบัติทัวร์
สรุปรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้
1. ค่ารถทัวร์ บริษัทสมบัติทัวร์
- ขาไป 155/คน หักส่วนลด Dtac 20 บาท เหลือ 290/2 คน
- ขากลับ 155/คน รวม 310/2 คน
รวมทั้งหมดไปกลับ 600 บาท/2 คน
2. ค่ารถสองแถวสีเขียว ครั้งละ 10-20 บาท รวม 100 บาท/3 วัน
3. ค่าที่พักโรงแรมนอนดี ห้อง Standard 2 คืน
- คืนแรกวันเสาร์ 2,050 บาท/คืน
- คืนที่สองวันอาทิตย์ 1,450 บาท/คืน
รวมสองคืน 3,500 บาท/2 คน
4. ค่าอาหาร เครื่องดื่ม และช็อปปิ้ง : ตามอัธยาศัย
รวมค่าใช้จ่ายทริปหัวหิน 3 วัน 2 คืน : 4,200 บาท/2 คน ตกคนละ 2,100 บาท
คิ้วหนา & ตากลม
Love is a journey | เพราะความรัก คือ การเดินทาง...
ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่ :
LOVE IS A JOURNEY
LOVE & LIFE IS A JOURNEY
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 01.19 น.