:: ภูผาป่าใหญ่ในประเทศไทยก็มีกันอยู่ที่หลายผืน


แต่หากจะพิสูจน์หัวใจและร่างกายของตัวเองนั้น

ก้อนหินก้อนใหญ่คล้ายเรือใบนาม " โ ม โ ก จู " ก้อนนี้

นั้นรอให้คุณได้ขึ้นไปสัมผัสด้วยตัวและหัวใจที่เรียกหา...



reviewed by https://www.facebook.com/PalapiliiThailand

ผลงานที่ผ่านมา

:: Backpack หลวงพระบาง - วังเวียง - เวียงจันทร์ ด้วยเงิน 5,000 บาท


http://pantip.com/topic/31480606


:: Backpack นครวัด - นครธม ด้วยเงิน 2,500 บาท


http://pantip.com/topic/32255585


:: Backpack วังเวียง ด้วยเงิน 2,500 บาท


http://pantip.com/topic/32303037


:: Backpack ทีลอซู - ปริโต๊ะลอซู ด้วยเงิน 3,000 บาท


http://pantip.com/topic/32131519


:: Backpack ปากเซ - ดานัง - ฮอยอัน ด้วยเงิน 6,000 บาท


http://pantip.com/topic/32495990


:: 30 ข้อควรรู้ ก่อน Backpack ไปสิงคโปร์


http://pantip.com/topic/32411379


:: Backpack ภูชี้ฟ้า - ดอยแม่สลอง - ไร่ชาฉุยฟง ด้วยเงิน 3,000 บาท


http://pantip.com/topic/32673881


:: Backpack สิมิลัน - ตาชัย - หมู่เกาะสุรินทร์ - เขาตาปู - ภูเก็ต ด้วยเงิน 10,000 บาท


http://pantip.com/topic/32775329


:: 10 ข้อควรรู้ ก่อน Backpack ไปเขาช้างเผือก


http://pantip.com/topic/32877394


:: Backpack เขาช้างเผือก ด้วยเงิน 1,000 บาท


http://pantip.com/topic/32878781


:: Backpack กุ้ยหลินเมืองไทย - เกาะพงั้น [Full Moon Party] ด้วยเงิน 4,000 บาท


http://pantip.com/topic/32989888


:: Backpack ดอยหลวงเชียงดาว - ถ้ำเชียงดาว ด้วยเงิน 2,000 บาท


http://pantip.com/topic/33075940



สารบัญ

:: การเตรียมตัว


http://pantip.com/topic/33151532/comment3


:: การเดินทางและค่าใช้จ่าย


http://pantip.com/topic/33151532/comment4


:: R A I N


http://pantip.com/topic/33151532/comment5


:: W E L C O M EF R I E N D S


http://pantip.com/topic/33151532/comment13


:: B YT H ER I V E R


http://pantip.com/topic/33151532/comment15


:: M E S S YN I G H T


http://pantip.com/topic/33151532/comment16



การเตรียมตัว

:: ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ของทริปโมโกจูปีนี้ก่อน (ปี 2557)
ปีนี้ทาง อช.แม่วงศ์ เค้าได้ลดวันการเดินขึ้นโมโกจู จากปกติ 5 วัน 4 คืน มาเป็น 3 วัน 2 คืน
โดยตัดช่วงแรกออกไป คือการเดินเข้าไปที่แม่กระสาประมาณ 16 กิโลเมตรออก
และใช้การนั่งรถแทรคเตอร์เข้าไปที่แคมป์แม่กระาแทน สำหรับผมถือว่าดีนะ
คนที่ทำงานประจำอย่างเราจะได้มีโอกาสขึ้นเขาลูกนี้กับคนอื่นเค้าบ้าง
เพราะขนาดใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ยังต้องลางาน 1 วันเลย และนี่ก็คือการเปลี่ยนแปลงของปีนี้

:: การเตรียมตัวที่จะขึ้นโมโกจูนั้นไม่ยากและก็ไม่ง่ายครับ สิ่งหลักๆ ที่จะต้องเตรียมคือ ร่างกาย จิตใจ อุปกรณ์เดินป่า


เครื่องนุ่งห่ม อาหาร บลาๆ และที่สำคัญคือการจองทริป ซึ่งสิ่งสุดท้ายนี่แหละจะเป็นตัวบ่งชี้เลยว่าคุณจะได้ไปหรือไม่ได้ไป

สำหรับเรื่องร่างกายกับจิตใจนั้นผมคิดว่าน่าจะไม่มีปัญหาสำหรับคนที่เปิดกระทู้นี้เข้ามานะ

ผมเลยจะแนะนำเพียงอุปกรณ์ต่างๆและการเตรียมตัวง่ายๆ สำหรับทริปๆ นี้ ถ้าพร้อมแล้ว มาไล่ list กันเลย



- เต๊นท์ สำหรับนอน 2 คน (ถ้าเอาเต๊นท์ใหญ่ไป จะแบกหนักมาก)

- เปลนอน (แนะนำ) แต่ก็ต้องมีเต็นท์สลับเปลบ้างนะครับ เด่วจะไม่มีที่ผูกนอนกัน

- ฟลายชีท สำหรับกางกันฝน กันน้ำค้าง และรองพื้นทำอาหารหรือทานข้าว (ขนาด 5x4 กำลังพอดี)

- รองเท้าเดินป่า (เอาที่มีดอกยางเยอะหน่อย ทางชันเ_ี้ยๆ บอกเลอออ)

- ถุงเท้า เอาไปคู่เดียวพอ ใส่ไปซ้ำๆ นั้นแหละ

- กระเป๋าเดินป่า (อย่าลืมหา cover มาปิดกระเป๋าด้วย ถ้าในกระเป๋าไม่มี cover มาให้)

- ถุงนอน + ลองจอน

- ชุดเดินป่า 1 ชุด ชุดนอน 1 ชุด ชุดสำรอง 1 ชุด (ทั้งทริปใส่ชุดเดินป่าชุดเดียวพอ)

- ไฟแช๊คหรือไม้ขีดไฟ + ขี้ใต้

- ข้าวสารคนละ ครึ่งถึงหนึ่งกิโล (สำหรับ 6 มื้อ)

- กับข้าวที่พอสำหรับ 6 มื้อ เอาง่ายๆ พอดีๆ ไม่ต้องเยอะมาก

- ไฟฉาย จำเป็นๆ

- รองเท้าแตะอย่าลืมเอาไปนะ ๕๕ ไม่มีถือว่าลำบาก

- ผ้าเช็ดตัวเอาผืนเล็กๆ ไป เพราะอาบน้ำแค่วันเดียว

- หม้อสนาม สำคัญมากๆ ครับ ไม่มีนิแห้วเลย



:: หมดยังวะ ๕๕ เด่วคิดได้และจะมาเพิ่มให้เด้อ เอาเป็นว่าหลักๆ ก็ประมาณนี้แหละ


ทำไมถึงต้องเตรียมอะไรแบบนี้ เด่วจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าจะต้องไปเจออะไรในดงป่าใหญ่แห่งนี้

การเดินทางจะแบ่งเป็น 4 ช่วง ช่วงแรกจะนั่งรถจาก ตัว อช. เข้าไปที่แคมป์แม่กระสา

จากกนั้นก็เดินป่าเข้าไป 4 กิโลเมตรเข้าไปที่แคมป์แม่เรวา แล้วนอนค้างที่นั้นหนึ่งคืน

แคมป์นี้จะอยู่ริมน้ำ สามารถอาบน้ำเล่นน้ำและทำอาหารได้อย่างสบายมาก

ช่วงที่สามจะเป็นการเดินป่ารกและชันขึ้นไปยัง Base Camp ระยะทางราวๆ 9 กิโลเมตร

ใช้เวลาประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง อย่าถามถึงความชัน เพราะชันมากจริงๆ

บน base camp ไม่มีน้ำอาบน้ำใช้ ต้องช่วยกันตักและแบกขึ้นไปก่อนตั้งแคมป์

ช่วงสุดท้ายจะเป็นการเดินขี้นไปชมหินเรือใบ และตอกกลับยาวจนถึง ตัว อช.ภายในวันเดียว

หลักๆ คร่าวๆ ก็จะเป็นประมาณนี้ เป็นไงบ้างครับ ทริปนี้ ชิคดีมั้ยหล่ะ ๕๕๕



การจองทริป



:: จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย ถ้าจะจะบอกว่ายากแม่มก็จริง เพราะเพียง เสี่ยววินาทีเดียว

อาจทำให้คุณตกรอบง่ายๆ เลยก็ว่าได้ การจองมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น

คือจองกับเจ้าหน้าที่อุทยานผ่าน e-mail ครับ โดยแต่ละปีก็จะแตกต่างกันไป

ทั้งวันและเวลาในการจองและการออกทริป อย่างปีนี้ให้ส่งหลักทาง ชื่อ - นามสกุล

มาทาง e-mail ตอนเที่ยงคืนวันหนึ่ง ใครส่งก่อนได้ก่อนก็ว่ากันไป

ดังนั้นการจองทริป จึงอยากให้กด get notification ของ official page อุทยานเอาไว้ครับ

ซึ่ง page ของอุทยานก็คือ link นี้ครับ : https://www.facebook.com/maewong.np

การเดินทาง



:: สำหรับการเดินทางแนะนำให้นำรถไปเอง สะดวกที่สุดครับ ขับรถไปนั่งกัน 4 คนหารค่าน้ำมันกันแค่คนละ 300 บาท

เฉลี่ยค่าน้ำมันตกคันละ 1200 บาทชิวๆ ครับ (Honda City) การเดินทางยึดถนนสายเอเชีย ตรงมาเรื่อยๆ ผ่าน

จ.นครสวรรค์และก็ตรงมาเรื่อยๆ จนเห็นทางแยกเข้าถนนหมายเลข 1242 จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้ามาครับ

และก็ตรงมาเรื่อยๆ ทางจะเล็กลงจากสายเอเชียนิดหน่อยสลับกับมีหมู่บ้านประมปาย จนมาถึงแยกปางศิลาทอง

เป็นสามแยกครับ ให้เลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 1072 จากนั่นก็ดิ่งมาเรื่อยๆ จนถึงคลองลานครับ

จะเจอแยกใหญ่ จากนั้นให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 1117 แล้วก็มาเรื่อยๆ จนถึงตัวอุทยานฯ : )



ค่าใช้จ่าย



ค่าทริป + ค่านำทาง ของอุทยาน 12,000 บาท (ไปกัน 12 คนตกคนละ 1,000 บาท)

ค่าน้ำมันรถ คันละ 1,200 บาท (นั่งค้นละ 4 คน ตกคนละ 300 บาท)

ค่าอาหารเตรียมใครเตรียมมัน 6 มื้อ เฉลี่ยคนละ 200 บาท (หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ความโหย)



:: ถ้าคิดคร่าวๆ ตามนี้โดยไม่รวมค่าอุปกรณ์เดินป่าที่เรามีกันอยู่แล้วก็ตกคนละ 1,500 บาท ::

:: R A I N ::

ภายทั้งหมดโดย : Oil Kanyaporn - PunnaPak Punnasiri - Biggy Meatawat - Phoowanart M. Thana
เรื่องราวโดย : Phoowanart M. Thana

:: เรานัดกันที่ปากทางออกจาก กทม.ตอนเวลาเที่ยงคืน เมื่อทุกคนทุกคันมาพร้อมกันที่จุดนัดพบ


ล้อก็หมุนบดบนถนนสีดำทะมึนที่เย็นลงหลังจากตากแดดมาทั้งวัน เราจอดพักเปลี่ยนคนขับที่ครหวัน

ก่อนที่จะเดินทางดั้นด้นกันไปต่อจนใกล้ถึงอุทยานฯ หลงบ้าง หลับในบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา

หลับไปหลับมาก็มาถึงด่านทางเข้าของ อช.แม่วงศ์ ซะแล้ว ด่านแรกเราจ่าย 190 บาท

ก็จะแบ่งเป็นค่ารถ 30 ค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท ราคาทั่วไปเหมือนอุทยานอื่นๆ



:: ตีห้ากว่าๆ เรามาถึงตัวอุทยาน แต่จะต้องรายงานตัวตอน 8 โมงเช้า เวลามันเหลือ


เลยขับรถขึ้นเขาไปต่ออีกกว่า 40 กิโลเมตร ไปดูบรรยากาศยามเช้าที่ "ช่องเย็น"

ระหว่างทางคดเคี้ยวและเคี้ยวโค้งมากๆ ไหนยังมีกิ่งไม้หล่นมากลางถนน

ถนนขรุขระก็มีบางช่วง ทั้งลม ทั้งลื่น เพราะวันที่เราไป พายุแม่มกำลังเข้าพอดีเลย...



:: ไม่ช้าไม่นาน หกโมงกว่าๆ ก็มาถึงช่องเย็น เคยมีพี่คนหนึ่งบอกว่า ที่นี่เป็นที่ที่ลมไหลตลอดเวลา


ไม่เคยมีช่วงไหนที่ร้อนมากจนเกินไปเลยซักครั้ง เค้ามาที่นี่ ติดใจที่นี่ และอยากกลับมาที่นี่อีก

ครั้งนี้ผมมีโอกาสมาสัมผัสความรู้สึกนั้น แทนความรู้สึกครั้งก่อนของพี่เค้า ผมรู้สึกว่าสิ่งที่พี่เค้าพูด

มันยังไม่ครบทั้งหมด นอกจากจะมีลม และความหนาวแล้ว ยังมีฝนฟ้าคะนองเอ่อนองเต็มพื้... สึส!

ก็เมิงมาตอนพายุเข้าไงอิไม (ชื่อผู้เขียน) เอ่อๆๆ กุซวยเองหละ มาพร้อมกับฝนฟ้าคะนอง ๕๕๕



:: ระหว่างที่ยืนตากลมอมฝนกลางลานกลางเต๊นท์ขนาดใหญ่ สายตาก็เหลือบมองไปเห็นป้ายชี้ทาง


"อี ก 3 0 0 เ ม ต ร ถึ ง ภู ส ว ร ร ค์" เชรี่ยยยยย!!!! มาคราวนี้ไม่เสียเปล่า กุได้เก็บอีกภูละ

เราต่างตื่นเต้นและรีบเดินขึ้นไปตามป้ายบอกทาง เดินขึ้นไปได้ซักช่วงหนึ่งก้เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่

ทางแม่มชัน ลื่น เลอะเทอะ แถมฝนดันลงห่าประปรายมาแรงกว่าเดิมอีก แต่ถามว่ายอมมั้ย ไม่ค่ะ!

เราเดินต่อไปเรื่อยๆ เหมือนจะถึงแต่ก็ยังไม่ถึง เดินไปอีก เหนื่อยเข้าไปอีก ยอดหน้าใช่มั้ย

อีกไม่ไกล และแล้วก็... ยังไม่ถึงอีก เอาว่ะ ยอดหน้าคงจะเป็นภูสวรรค์จริงๆ แล้วสินะ อีกอึดใจเดียว

พวกเราพยายามหาแรงบันดาลใจ เพื่อที่จะไปให้ถึงยอดภูสวรรค์ให้สำเร็จ สุดท้ายเราก็มาถึง...



:: สวัสดีภูสวรรค์ หมอกเมิงจะหนาไปไหนอิเ_ี้ย กุอุส่าห์ดั้นด้นแหกขาแข็งๆ ที่เพิ่งตื่นไร้เรี่ยวแรง


ขึ้นมาดูวิวข้างบน เปียกก็เปียก ลื่นก็ลื่น นี่นะหรือที่ภูสวรรค์ตอบแทนชั้น โอ้ยๆๆๆ ให้ตายเถอะ

ระหว่างลงเขานอกจากเสียงบ่นของพวกเรา ก็ยังมีเสียงฝนกระทบเบาๆ ทิ้งท้ายไล่หลังเราอีกด้วย

W E L C O M EF R I E N D S

:: เรานั่งรถกลับลงมาที่ตัวอุทยานฯ ท่ามกลางฝนที่ยังคงโปรยปรายเรี่ยรายทาง


ถนนเส้นเดิมแต่ความรู้สึกมันแปลกไป เพราะทริปนี้มันใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

จากช่องเย็นลงไปสู่ตัวอุทยานราวๆ 40 กิโลได้ ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการเดินทาง

ไม่ช้าไม่นานก็มาถึง เราดึงตัวที่ใกล้แห้งสู่ความเปียกชื้นข้างนอกรถอีกครั้ง

ไม่ใช่มีแค่กรุ๊ปเรากรุ๊ปเดียว แต่มีอีกกรุ๊ปที่เตรียมตัวพร้อมเดินทางแล้ว แล้วเราหล่ะ เราเพิ่งมาถึง ๕๕๕

ระหว่างนั้นเราก็เก็บข้าวของสัมภาระจัดกระเป๋าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

สั่งอาหารเช้ากับอุทยาน และก็สั่งอาหารตามสั่งห่อขึ้นไปกินกลางทางตอนเที่ยง

หลังจากที่ทุกอย่างโอเค ทุกคนก็พร้อมกันบนหลังรถอิแต๋นพ่วงเพื่อฟังพี่เจ้าหน้าที่อบรมก่อนเดินทาง...



:: 10 โมงเช้า ล้อหมุนพร้อมสายฝนโปรยปราย จากตัวอุทยานไปแคมป์แม่เรวาระยะทางกว่า 16 กิโลเมตร


แต่ที่ต้อง said คือ ทางเ_ี้ยมากๆ คร๊าาาาา ปกติถนนคงแย่อยู่แล้วพอเจอฝนตกเข้าไปแม่มแย่เข้าไปใหญ่

เราใช้เวลาเดินทางจากตัวอุทยานไปถึงแคมป์ประมาณ 4 ชั่วโมงได้ บางจุดรถหยุดต้องให้เดินเท้า

บางก้าวต้องกระโดดหลบน้ำหลบโคลนที่นองเจ่อเต็มรายทาง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เค้าเรียกว่า "มอขี้แตก"

ทางนิชันเกิ๊นนน ต้องจอดเดินวอร์มขาแล้วสัมผัสป่าท่ามกลางฝนที่เป็นละอองบางๆ ทั่วทั้งฟ้า

S T E PB E G I N S

:: ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคม ทางอุทยานแม่วงศ์ได้ประกาศให้นักท่องเที่ยวทุกคนได้ศึกษา
และบอกแนววิธีการจองทริปเดินป่าระยะไกลทริปสามพยางค์ นามว่า "โมโกจู"
หลายคนทั่วประเทศต่างเฝ้ารอวันเวลาเปิดรับสมัคร โดยมีจุดหมายเดียวกัน
คือการได้รับเข้าเป็นหนึ่งในหลายๆ กรุ๊ป ที่จะได้มีโอกาสขึ้นไปสัมผัสยอดหินเรือใบ ที่แปลว่า "คล้ายฝนจะตก"
ในพื้นที่อุทยานฯ แห่งนี้ และเรา ก็เป็นหนึ่งในนั้น...

:: ทริปนี้คือการเดินป่าที่มีความยากลำบากเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ เดินขึ้นลงไปกลับทั้งหมดกว่า 70 กิโลเมตร


แต่ปีนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางใหม่ โดยย่นระยะทางในช่วงแรกออกไป 32 กิโลเมตร (ไป - กลับ)

เพื่อให้นักเดินทางที่ทำงานจันทร์ถึงศุกร์อย่างเราๆ ได้มีโอกาสที่จะได้สัมผัสการเดินทางในป่าลึกเพิ่มมากขึ้น

กระนั้นแล้วเวลา 3 วัน 2 คืนในป่าใหญ่แห่งนี้ ก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด ด้วยความที่เป็นป่าที่มีความสมบูรณ์มาก

จึงทำให้มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่อาศัยอยู่ข้างในเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเสือ กระทิง เลียงผา นกเงือก ฯลฯ

หลายชีวิตเหล่านั้น ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นป่าสีเขียวแห่งนี้ ทุกพื้นที่มีความสวยงามในแบบของมัน

ทั้งยังเต็มไปด้วยความอันตรายในทุกคราที่ก้าวเดิน...



:: ก่อนออกเดินทางเจ้าหน้าที่อุทยานจะแนะนำและให้ความรู้เบื้องต้นกับพวกเราเกี่ยวกับการเดินป่าครั้งงนี้


สัมภาระทั้งหมดในช่วงแรกจะถูกขนไปไว้ที่กระบะ 4 wheel ส่วนพวกเราก็นั่งหลังรถอิแต๋นกัน

ระยะทางจาก ตัวอุทยานถึงแคมป์แม่เรวาไม่ใช่ตลกนะครับ 16 กิโลเมตร กรีปก่อนหน้าใช้เวลา 3 ชั่วโมง

แต่ของเราคงต้อง 4 ชั่วโมง เพราะฝนที่ตกตลอดทั้งวันจนทำให้พื้นถนนลื่นเป็นตมเป็นโคลนแฉะ

เมื่อจบการอบรมก่อนเริ่มทริป ล้อรถอิแต๋นก็หมุนท่ามกลางเศษดินโคลนกระเซ้นทิ้งหลัง

ระหว่างทางมีเสียงหัวเราะมากมายเกินบรรยาย โดยเฉพาะช่วง "มอขี้แตก" ยิ่งแล้วใหญ่

ต้องจอดให้พวกเราลงเดินเพราะทางชันมาก ระหว่างทางเราลงเดินประมาณ 4 - 5 รอบ

ถือเป็นการวอร์มแข้งวอร์มขาไปในตัว ไม่ช้าไปนานก็มาถึงแคมป์แม่เรวา...



:: เราเตรียมตัวกันอย่างง่ายๆ ใครมีอะไรก็เอามา มาแบ่งปันกันหน้างาน


คุณมีเต๊นท์ใช่มั้ย ผมมีฟลายชีทนะ อ่อ... พี่มีหม้อสนามหรอ งั้นพี่เอามาแล้วกัน

ทุกคนมาจากต่างที่ต่างถิ่นและถูกมามัดห่อรวมกันจากเพจนามว่า palapilii ใครอยากกินอะไรมื้อไหนก็เอามากันเอง

แล้วมาแชร์ค่าใช้จ่ายทุกอย่างกันหน้างาน ทั้งหมดทั้งสิ้นในการเดินทางพวกเราไม่จ้างลูกหาบแม้แต่คนเดียว

ย้ำและขีดเส้นใต้อีกครั้ง เราไม่จ้างลูกหาบ ถ้าจะบอกว่าเราหยิ่งทนงค์ในตัวก็ไม่น่าใช่

แต่เราอยากวัดใจคนในทีมและใจของตัวเองต่างหาก เสื้อผ้า ข้าวของ อาหารการกิน เครื่องนอนทุกอย่าง อยู่ในหลังของพวกเรา

เมื่อทุกอย่างพร้อม คนพร้อม ใจพร้อม สองเท้าก็ก้าวเดินพร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่างๆ ที่เบื้องหน้า...



:: เราข้ามสะพานไม้ไผ่ เดินต่อไปไม่นานนักก็จะเจอป่าที่ต่างออกไป มันเหมือนโลกอีกใบที่เราไม่รู้จัก


ทุกคนเดินไปพร้อมกำลังที่เต็มเปี่ยม กำลังฟิตกำลังเห่อ และอยากเจอสิ่งแปลกใหม่ข้างหน้า

ไม่นานนักก็เจอแม่น้ำสายใหญ่ข้างหน้า เราจะผ่านมันไปอย่างไร ทว่าธรรมชาติสร้างมาเพื่อให้สิ่งมีชีวิตอยู่รอด

ข้างๆ มีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางลำธารอยู่ เราใช้ลำไม้ลำนั้นเป็นสะพานเพื่อมัดผืนดินสองฝั่งให้ติดกัน

เราข้ามผ่านมันมาด้วยความตื่นเต้น ระยะทางจากแคมป์แม่กระสาถึงแคมป์เรวาใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมง

ทั้งหมดทั้งสิ้นมีระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร ถือเป็นช่วงแรกในการวอร์มกำลังวอร์มขาในการเดินป่ามหาโหดแห่งนี้

ไม่นานนักเราก็มาถึง Camp แม่กระสากันสักที สำหรับค่ำคืนนี้ เรานอนกันที่นี่ ข้างซ้ายคือลำน้ำ ข้างขวาคือป่าไผ่

และข้างหน้าคือขุนเขาที่สูงชันตั้งตระหง่าท้าทายให้เราเข้าไปหา...

B YT H ER I V E R

:: นาฬิกาบอกเวลาว่าห้าโมงเย็น เราวางกระเป๋าที่เปียกแฉะลงบนพื้นฉ่ำๆ ที่อุ้มน้ำมาตลอดวัน


รีบจัดแจงข้าวของกางฟลายชีทและเต๊นท์ เพื่อที่จะเอาของที่ไม่จำเป็นต้องเปียกหลบฝนไป

ระหว่างที่บางคนกำลังกาง ก็มีบางคนกำลังเดิน เดินหาฟืนมาเพื่อก่อไฟทำกับข้าวท่ามกลางสายฝนโปรยปรายในเย็นวันนั้น

ในใจได้แต่หวังว่า ได้โปรดเถิดฟากฟ้า ได้โปรดอย่าเพิ่งกลั่นน้ำตาออกมาจะได้ไหม เรารู้ว่าท่านเศร้า

แต่ขอเวลาให้เราได้นั่งกินข้าวแบบแห้งๆ ซักสี่ห้านาทีเถิด... ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ก็ดูเหมือนฟ้าจะเป็นใจ

เป็นใจให้ตกลงมาอีกห่าใหญ่ๆ หลายชั่วโมงเลย ให้ตายเถอะฟากฟ้า ๕๕๕ หลังจากมีที่หลบฝนคนละไม่กี่ตารางเมตร

เราก็เก็บข้าวของที่จำเป็นไว้ข้างใน และเอาตัวเอาใจออกมาช่วยกันทำกับข้าวกับปลากินในเย็นวันนั้น



:: เมนูของเรามีหมูป่าที่เพิ่งยิงมาได้ระหว่างทาง มีปลาที่ตกมาได้ระหว่างที่เพื่อนๆ กางเต๊นท์


มีผักป่านานาพันธุ์ที่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ เรานำของที่หามาได้ระหว่างทาง

ผสมปนเปปรุงเป็นอาหารที่มีกลิ่นหอมลอยฟอดฟุ้งไปทั่วป่า เพียงไม่กี่นาที

อาหารทุกอย่างก็พร้อมให้เราได้รับประทา... พ่อง! เมิง-ปลากระป๋องกะหมูหยอง สึส!

จริงๆ แล้วหลังจากที่เรากางเต๊นท์และเก็บข้าวของเสร็จ ก็มารุมกันอยู่ในบริเวณที่ทำกับข้าวกันนิแหละครับ

ช่วยกันหุงข้าว แกะหมูหยอง ปลากระป๋องและอาหารสำเร็จรูปทานกันแบบกันตายไปก่อน

ไม่ได้กินอะไรโลคอลๆ อย่างที่พูดมาด้านบนหรอก...



:: ทว่า... อาหารมื้อแรกในป่ามันเหมือนมีราคาจานละพันสองพัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่กินกันไปในเย็นวันนั้นราบเรียบไม่มีเหลือ


ผมนิแทบจะเอาลิ้นเลียซอสปลากระป๋องและเศษเนื้อที่ติดอยู่ตามภาชนะเลยหละ ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจเพื่อนๆ ในกลุ่ม

ด้วยร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยบวกกับบรรยากาศที่แปลกไป รสชาติอาหารเดิมๆ ที่เคยได้ใช้ จึงเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์

เราเก็บช้อนเก็บจานลงไปริมน้ำ เพื่อชำระล้างคราบอาหารที่เพิ่งจัดการให้หมดไป

ระหว่างนั้นก็เล่นน้ำกันในริมธารท่ามกลางฝนโปรยที่มีทีท่าว่าจะไม่หยุดด้วยอากาศที่เริ่มหนาวลงเรื่อยๆ

น้ำลำธารเย็นซะจนต้องหยุดชะงักเมื่อเอาเท้าซักข้างหนึ่งจุ่มลงไป ในทางกลับกันจะมีใครที่ได้อาบน้ำเย็นๆ

ที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมายขนาดนี้ ทั้ง 12 คนลงเล่นน้ำ แช่น้ำ ปล่อยกายใจให้น้ำไหลชำระล้างเหงื่อไคลออกไปจากร่างกาย

มันสดชื่น มันชื่นใจ ไม่นานแสงแดดก็จางหายไป เหลือเพียงแสงจากกองไฟที่กำลังเร้าร้อนคอยคลายหนาวให้เรา...



:: ท่ามกลางกองไฟใต้ผ้าใบลายทหาร และเสียงตกกระทบของฝนที่ยังคงหล่นมาจากฟากฟ้าอย่างไม่ขาดสาย

เรานั่งล้อมวงกันทั้งสิบสอง บวกเพิ่มพี่เจ้าหน้าที่มาอีกสองสามคน ต่างคนต่างเล่าเรื่องราวต่างๆ นาๆ

แชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ได้สู่กันฟัง ประสบการณ์ที่ไม่คาดคิดและเรื่องราวที่แปลกใหม่มนวนเวียนไปท่ามกลางกองไฟกองนั้น

จนทุกคนรู้สึกหล้าและหาวนอน ในคืนนั้นเราได้รู้เรื่องราวหลายๆ มุม เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง

ทุกคนทำหน้าที่เป็นผู้พูดและผู้ฟังได้อย่างสมบูรณ์...

M E S S YN I G H T

:: คืนแรกในป่าใหญ่ท่ามกลางฝนโปรยลงมาอย่างไม่มีวันหยุด ของทุกอย่างชื้นไปหมด
เสื้อผ้าหน้าผมเต็มไปด้วยละอองของไอน้ำ ไม่มีทางที่เราจะเข้าไปนอนกันแบบตัวแห้งๆ ได้
ฝนเทลงมาอย่างไม่ขาดสายจนทำให้เต๊นท์และฟลายชีทไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์
น้ำแทรกซึมและไหลผ่านเข้ามาในเต๊นท์ ข้างนอกว่าเปียกแล้ว ในเต๊นท์นั้นโหดกว่า น้ำมันขังราวกับว่าเต๊นท์เล็กๆ
หลังนั้นเป็นฝายเก็บน้ำไปชั่วขณะ ก่อนนอนต้องเอาผ้าที่ใช้แล้วมาเช็ดน้ำออก ทำยังไงก็ได้ให้พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรในเต๊นท์นั้นแห้งที่สุด...

:: ทุกคนหลับไหลท่ามกลางความอันตรายในป่าลึก ไม่มีเสียงน้ำไหล ไม่มีเสียงสัตว์อื่นใด
มีเพียงเสียงฝนที่ยังเทห่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลาหนึ่งยามค่ำคืนก็ต้องเอะใจ
ขณะที่กำลังหลับไหลก็มีหยดน้ำหยดมาตรงหน้าเรา ให้ตายเถอะ เต๊นท์มันไม่สามารถรับปริมาณน้ำฝนขนาดนี้ไหว
มันทำหน้าที่ของมันจนมันหล้า และปล่อยให้น้ำไหลผ่านเข้ามาช้าๆ อย่างเรื่อยๆ ด้วยความเหนื่อยก็คงต้องปล่อยมันไป
ต้องนอนเก็บแรงเอาไว้เพื่อวันพรุ่งนี้ แต่ที่หนักกว่านั้นคือเมื่อลองเหยียดขาไปสุดเต๊นท์ ก็พบความจริงที่ว่า
ในเต๊นท์ที่เรานอนอยู่ กลายเป็นสระน้ำขนาดเล็กไปซะแล้ว
เท้าสองข้างที่อยู่ในถุงนอนตีน้ำดัง แฉะ แฉะ โอ้วแม่เจ้า ช่างเป็นคืนที่หลับสบายไม่รู้ลืม...

:: หกโมงเช้าเพื่อนเรียกหา ไม palapilii อยู่ไหน โถ... กุยังคงนอนหลับไหลอยู่ในเต๊นท์อยู่เลย เมื่อคืนกุนอนในอ่างเก็บน้ำเมิงรู้มั้ย
ฝนยังคงตกรำไรเหมือนไม่มีเป้าหมาย ต้องกลั่นใจออกมาช่วยเพื่อนหุงข้าว เตรียมกับปลาอาหารแห้ง
เพื่อที่จะได้ออกจาก Camp แม่เรวาให้เร็วที่สุด เมื่อถามไถคืนสบายของเพื่อนๆ เต๊นท์ข้างๆ เรื่องราวเมื่อคืนก็ไม่ต่างกัน
เต๊นท์ทุกคนเป็นแอ่งน้ำเหมือนกันหมด ยกเว้นที่นอนของพี่ป้อง ที่ใช้เป็นเปลผูกกับต้นไม้สองฝั่ง
นอนสบายรับฝนกระจายบางๆ อยู่ข้างนอกในคืนนั้น อาหารมื้อนี้ยังคงเหมือนเดิม มีหมูป่า มีปลาที่ตกมาได้ มีผักนานาพั...
เอาอีกแล้วนะไม! อาหารมื้อนี้ยังคงเหมือนเดิม ยังคงเป็นปลากระป๋อง หมูหยอง และอาหารสำเร็จรูป
หลังจากจัดการทุกอย่งาเสร็จก็รีบล้างจาน เก็บข้าวาของ เตรียมออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด
ระยะทางจาก Camp แม่เรวาไปยัง Base Camp ก่อนขึ้นโมโกจูต้องใช้เวลากว่า 8 - 9 ชั่วโมง
ระยะทางไม่แน่ใจว่า 9 กิโลเมตรรึป่าว แต่ทว่าถูกท้าทายด้วยความชัน...

:: เราจัดแจงเอาข้าวของที่ไม่จำเป็นทิ้งไว้ที่แคมป์แรก รวมถึงอาหารหนักๆ เช่นปลากระป๋อง เราก็ทิ้งเอาไว้ที่นี่


เหลือเพียงแค่อาหารซองสำเร็จรูป ข้าวสาร และหม้อสนาม ที่เรายังคงแบกหนักขึ้นไปข้างบน

เมื่อทุกอย่างพร้อม คนพร้อม สองเท้าก็ก้าวเดินทางอีกครั้ง ป่าที่เราเดินเข้าไปยังคงเป็นป่าไผ่สุดลูกหูลูกตา

ท้องฟ้าปิดมิดด้วยหมอกและมวลฝนที่โปรยลงมาเรื่อยๆ บนพื้นเป็นสีเหลืองอร่ามจากความแห้งของใบไผ่

มองไปทิศไหนก็ดูเหมือนว่าเราจะหาทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้

เราเดินตามกันไป ตามกันไป ท่ามกลางป่าไผ่ในป่าใหญ่นามแม่วงศ์...

R E S TI NS O U L

:: ดั่งฟ้าเป็นใจทำให้เมฆหลับไหลในฟ้าสีคราม ฝนหยุดตกแต่มาพร้อมกับหมอกควันที่บังวิวทิวเขาอย่างมิดชิด
เท้าสิบสองคู่ยังคงเร่งเดินทางเพื่อให้ไปถึงครึ่งทางนามคลองหนึ่ง
ระยะทางจากแคมป์แม่เรวาถึง base camp ราวๆ เก้ากิโลเมตร ต้องผ่านคลองหนึ่งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าเรามาได้ครึ่งทาง
คนเดินป่ามักรู้ดีว่าการเข้าป่าใช้เพียงเสื้อไม่กี่ตัว มีแค่ชุดเดินป่า 1 ชุด และชุดนอน 1 ชุด
เท่านั้นก็เพียงพอสำหรับการเดินป่าตลอดทั้งอาทิตย์ ถามถึงเหตุว่าทำไมถึงใช้เพียงชุดเดียวในการเดินป่าทั้งทริป
ผลของมันก็คือไม่ว่าจะมีกี่ชุดกี่ชุด มันก็จะเปียกไปด้วยเหงื่อไคล เหม็นไปด้วยกลิ่นอัพที่ทับกันตลอดเวลาที่อยู่ในป่า
นิยังไม่รวมถึงกรณีที่ฝนตกอย่างทริปพวกเราอีกนะ ที่สำคัญไปกว่านั้น การใส่เสื้อซ้ำๆ เดิมๆ ในป่าไม่ใช่ไม่รักษาความไม่สะอาด
แต่สิ่งที่ไม่สะอาดในตอนนั้นมันสำคัญสำหรับเรามาก มันจะทำให้แมลง ยุง หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อยไม่เข้ามาใกล้ตัวเรา
เพราะกลิ่นของเรานี่แหละ ชุดนอน 1 ชุดที่แบกมาเหมือนเสื้อผ้าราคาแพงในเมืองใหญ่
ชุดนี้ห้ามเปียกห้ามชื่น เป็นชุดที่ใช้สำหรับใส่ก่อนเข้านอนเท่านั้น นักเดินป่าเหล่านั้นต่างรู้ดี...

:: คนที่แข็งแกร่งจะต้องอยู่ปิดท้าย ส่วนคนอ่อนร้ายจะต้องเดินหน้าสุด นิคือหลักง่ายๆ ในการเดินป่า


ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะถ้าให้คนแข็งแรงออยู่นำหน้า เค้าก็จะเดินก้มหน้าไม่แลหลัง จ้วงย้ำซ้ายขวา

พอหันกลับมาก็ไม่เห็นคนข้างหลังซะแล้ว และในทางเดียวกันถ้าให้คนอ่อนแอที่สุดเดินตามหลัง

ก็คงจะเดินไม่ทันผู้ที่แข็งแรงหรอก การเดินป่าดูเหมือนง่ายๆ แต่มันก็มีสิ่งเล็กสิ่งน้อยกระจายอยู่รอบตัว

ไม่ใช่แค่เดินเป็น แต่ต้องรู้จักเดิน มาเป็นกลุ่ม ต้องเดินเป็นกลุ่ม ไม่ปล่อยให้ใครรั้งท้าย ไม่ปล่อยให้ใครนำหน้าไปจนมองไม่เห็น

ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเอง รักษาความเร็วในการเดินให้สัมพันธ์กับคนอื่นๆ

ต้องเดินให้เห็นหลังคนข้างหน้า และเดินนำหน้าให้คนข้างหลังเห็นเรา...



:: ช่วงแรกของการเดินป่าจะเป็นการวอร์มร่างกาย หัวใจจะเต้นรัว เร็ว และแรง บางครั้งบางคนดั่งหัวใจจะทะลักออกมาจากอกซ้าย


พอเดินไปเรื่อยๆ ร่างกายก็จะปรับตัวของมันเอง จนร่างกายมันอยู่ตัว จากความเหนื่อยกลายเป็นความเมื่อยหล้าตามน่องขา ไหล่และหลัง

ระหว่างทางที่เดินทางอย่ามัวแต่ก้มหน้ามองรอยเท้าของคนข้างหน้า พยายามมองสองฝั่งข้างทางด้วย

สิ่งเหล่านี้หลายคนละเลยไป มัวแต่ใส่ใจจุดหมายที่ปลายทาง จนลืมไปว่าข้างทางก็สวยงามไม่แพ้กัน...



:: สามชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก ถึงเวลาที่ต้องกินข้าวข้างทางกันแล้ว เราหยุดในพื้นที่ที่มีลานกว้าง


เพื่อให้ได้พักขาผ่อนใจกับระยะทางที่เหลืออยู่ ข้าวหม้อสนามที่หุงทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า

อาหารสำเร็จรูปที่ติดมาจากแคมป์เรวา ถูกแกะออกด้วยความหิวและความโหย พี่บางคนเสียสละให้น้องตักก่อน

น้องบางคนเสียสละตักอาหารให้เพื่อนข้างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย

แต่มันคือการแสดงออกที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีใครหยั่งถึง บางคนใช้ช้อน บางคนใช้ส้อม จะบอกว่ามือเปล่าก็ยังมี

เราต่างรุมกินอาหารที่ติดตัวกันมาอยู่อย่างน้อยนิด เพื่อให้มันประทังชีวิตในป่าใหญ่แห่งนี้ต่อไป...

L O S TI NG R E E N

:: เมื่อท้องนั้นเต็มอิ่ม สิ่งที่ตามมาคือความง่วงหงาวหาวนอน มันขี้เกียจเอง ขามันดื้อ
ใจมันลั้นว่าเมื่อไหร่จะไปถึงจุดนั้นซักที เราออกเดินทางอีกครั้งด้วยขาคู่เก่าของเรา ด้วยรองเท้ากู้ชีพของเรา
สายฝนที่หยุดไปไม่ทันไหร่ ก็ห่าลงมาใหม่ย้อนกลับคืน เรายังคงเดินตากฝนกันต่อไปจากกระเป๋าที่หนักอยู่แล้ว
เมื่อถูกน้ำหกตกใส่ ก็ทำให้เพิ่มความหนักมากเข้าไปอีก หลายคนยังคงเดินต่อไหว แต่หลายคนก็ถอดใจว่าไม่พร้อม...

:: กระเป๋าหนึ่งใบจะหนักเท่าไหร่เชียว เอากระเป๋าเธอมาให้ฉันถือสิ ในเมื่อเธอเดินไม่ไหว เธอไม่อยากไป ฉันจะจับมือนำทางเธอไปเอง


เอากระเป๋าของเธอมาไว้ที่ฉัน เราจะได้ขึ้นไปบนนั้นพร้อมๆ กัน เหมือนภาพที่ฝันเอาไว้ ระยะทางเก้ากิโลอาจดูเหมือนเล็กน้อย

แต่พอเพิ่มความชันเข้ามาสัมพันธ์กัน เก้ากิโลในป่านั้น ปานห้าสิบกิโลพื้นราบเลยทีเดียว

เพื่อนบางคนที่ยังไหวอาสาแบกของเพื่อนคนอื่นใส่หลัง กระเป๋าบ้าง เต้นท์กองกลางบ้าง

ทุกคนล้วนแบ่งหนักผ่อนเบาพลังที่เหลืออยู่ให้ได้ก้าวเดินขึ้นไปบนนั้นพร้อมๆ กัน

เรื่องนี้ไม่ต้องมีคนบอก ไม่ต้องมีคนสอน มันอยู่ที่ใจของเราล้วนๆ



:: ที่ผ่านมาคืออะไร จากป่าท้องถิ่นเกิดเห็นเป็นป่าไผ่ จากป่าไผ่กว้างใหญ่ กลายเป็นป่าซอกไซตามขุนเขา


ยิ่งเข้าไปข้างในเรื่อยๆ ความเขียวขจีของป่าใหญ่ก็ดูจะคลอบคลุมไปทั่วทั้งป่า ป่าสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ

มีรอยเท้าหมีข่วนต้นไม้ให้ได้เห็น มีรอยเท้ากวางเดินเล่นให้ได้มอง มีทางเดินของช้างป่าที่ทลายต้นไม้เป็นโพรงใหญ่

และทิ้งขี้มันไว้ให้ได้กลิ่นอายของป่าอย่างแท้จริง สลับกับดอกไม้แปลกตานานาพันธุ์

เราเข้ามาลึกเรื่อยๆ ท่ามกลางฝนโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสายราวกับเค้าเป็นตัวประกอบของเรื่องราวเรื่องนี้ไปแล้ว

เสียงน้ำไหลดังมาแว่วหู ไม่ไกลไม่ไกลคลองหนึ่งก็อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง...



:: เรากรอกน้ำที่ไหลผ่านลำธาร พอเป็นแหล่งพลังงานสำรองคอยซับซึมยามเราหมองเรี่ยวแรงไป ข้างหน้ายังคงเป็นทางชัน


หน้าที่คือเดินให้ทันคนข้างหน้า เราพักแข่งพักขาเติมน้ำเช็คกระเป๋า ก่อนที่จะก้าวเท้าซ้ายและขวาที่อ่อนแรงกันอีกครั้ง

เมื่อถามว่าเมื่อไหร่จะถึง คำตอบที่ได้มาก็ไม่ได้ทำให้ถึงซักทีหรอก หนทางยังอีกยาวไกล ค่อยๆ เดินไปอย่าถามถึงมัน

เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยๆ ก็พัก พักได้แต่อย่าพักบ่อย มันเหมือนกับชีวิตที่มีจุดหมาย อยากไปให้ถึงตรงนั้น อยากมาให้ถึงจุดนี้

เราต้องค่อยๆ ทำมันไป ทำจนกว่ามันจะเสร็จมันจะได้ เหนื่อยบ้าง ล้มบ้างเป็นเรื่องธรรมดา พักได้ แต่อย่าพักจนลืมไปว่าหนทางยังอีกไกล...



:: ป่าเฟิร์นถูกเฝดเข้ามาแทนที่ ป่ามันชุ่มฉ่ำขึ้นเรื่อยๆ นี่คงเป็นสัญญาณให้เรารู้ว่า แม่น้ำลำธารคงอยู่ข้างหน้าอันไกล


เราเดินไปอย่างมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง จากทางที่ชันกลายเป็นทางลงต่อกันไม่สิ้นสุด เราย้ำเท้าท่ามกลางกลิ่นอายของหมอกหนา

มันไหลวนกระทบตาและป่าใหญ่ มองไปทางไหนก็เจอแต่ภาพสวยงาม แม้แต่เศษไม้ที่ถูกปลวกกัด ยังน่าอัศจรรย์อย่างลงตัว

ไม่ช้าไม่นานก็ถึงคลองสอง นี่คงเป็นการรับรองอีกครั้งว่าเราใกล้มาถึง เราเอาขวดน้ำเปล่าที่เหลือตักน้ำจากลำธารตุนไว้ใช้

เพื่อขึ้นไปทำกับข้าวข้างบน รอยยิ้มเข้ามาแทนที่ความเหนื่อยหล้า ที่ผ่านมาเรามาไกลจนใกล้ถึง...



:: 700 เมตรจากคลองสองถึง Base Camp หน้าที่สุดท้ายคือพาตัวและข้าวของให้ไปถึง เป็น 700 ที่ชันลื่นต้องฝืนเดิน

บางคนลื่นบางคนเหนื่อยต้องทนไป เสียงหัวเราะพูดคุยเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางป่าที่เงียบสงัด กระเป๋าข้างหลังยังคงแบก

เต็นท์บนคอยังคงค้ำ ขาตั้งกล้องก็หอบขึ้นมาด้วย บวกกับน้ำเปล่าที่ถือติดมืออีกสองขวดลิตร ไม่ใช่เพื่อมาพิชิตแต่มาเพื่อเรียนรู้...

B A S EC A M P

:: ทิ้งข้าวทิ้งของ ทิ้งมันลงไปตรงพื้นแฉะๆ นั้นแหละ ทุกครั้งทุกตอนเหมือนทุกคราที่เราไปถึงจุดที่เรียกว่าเป้าหมาย
เรามักจะปล่อยกายปล่อยใจแล้วทิ้งตัวไปตามเรื่องราว เฉกเช่นเดียวกับตอนนี้ แม้จะไม่ใช่ยอดสุด แต่ก็มาเกือบสุดเส้นทางแล้ว
เรามาถึง base camp กันจนได้ สามคนแรกที่ขึ้นมาก่อน พี่ป้อง พี่ไผ่ น้องออม กำลังกางฟลายชีทรอเราอยู่
ผมอาสาถือกระเป๋าเพิ่มมาหนึ่งใบ ในคอแบกขาตั้งกล้อง บนขาตั้งกล้องมีเต็นท์ขนาดใหญ่ พอทิ้งมันลงไป ก็เกิดไอระเหยขึ้นมา
ไม่เพียงแต่ระเหยออกจากตัว แต่ความร้อนยังติดอยู่ที่กระเป๋า Backpack ที่ผมแบกก็มีไอร้อนออกมาด้วย ข้างบนนี้มันคงหนาวมากหละสินะ...

:: 12 องศา ท่ามกลางลมพัดผ่านไร้รอยฝน มันหยุดตอนที่เราขึ้นมาพอดี โชคดีจริงๆ เลย เราเตรียมความพร้อมกันเหมือนเดิม


ใครเคยหุงข้าวก็หุงไป ส่วนคนให้กำลังใจก็มองตาม เสื้อผ้าที่เปียกชื่นถูกตากถูกผึ่งออกกลางกองไฟ

หวังเพื่อที่จะให้มันแห้งเพื่อใช้ใส่ในวันรุ่ง อาหารมื้อนี้กินท่ามกลางกองไฟ ไอหนาว และแสงดาวที่พร่างพรายหลบกลายในฟากฟ้า

แม้เพียงเส้นมาม่าเปล่ายังอร่อยราวกับหมูมะนาวตามร้านอาหารห้าดาวในเมืองใหญ่ มื้อนี้จบไปอย่างเช่นเคย ทุกอย่างราบคาบไม่มีเหลือ...



:: คนดีไม่ใช่จะได้ดีตลอดไป คนจัญรัยไม่ใช่ว่าจะโชคร้ายหมดหนทาง หากมองโลกใบนี้ในมุมใหม่ให้กว้างขึ้น


เราจะรู้ว่าสิ่งดีและไม่ดี ล้วนมีประโยชน์ที่ต่างกันไป เหล้าที่แบกขึ้นมาในป่าจากเมืองใหญ่ มันทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ถึงแม้ว่าจะเป็นสุราที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ดี เป็นสุราที่ถูกสอนมาว่าผิดศีล ตอนนี้มันมีประโยชน์ให้เราได้คลายหนาว ให้ภายในได้เร่าร้อน

คนเมืองหนาวมักรู้ดี ว่าสิ่งนี้คือสิ่งดีที่ไม่ดี หากเปรียบเหล่านี้ดั่งชีวิต อยากให้เราลองย้อนกลับไปคิดดู

ทุกอย่างบนโลกงมงายแห่งนี้ ล้วนมีประโยชน์ดีๆ ให้ต้องพึ่งพากัน...



:: ผ้าห่มขนสัตว์ราคาแพง คงจะสู้อ้อมแขนของคนรู้ใจไปไม่ได้ ธรรมชาติเค้าได้สร้างทุกอย่างมาดีแล้ว


สิ่งที่จะทำให้มนุษย์คลายความหนาวได้ดีที่สุด ก็คือมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ การได้รับอ้อมกอดจากเพื่อนใหม่

การขยบเข้ามาใกล้คนข้างๆ มันทำให้ความหนาวดูเจือดจางลางหายไป ช่วงดึกอากาศต่ำลง 9 องศา

มองกลับมาหลายคนยังคงอยู่ เพียงบางคนทนไม่ไหวเข้าเต็นท์นอนหลับไป เราเบียดกันเป็นวงกลม

เล่าเรื่องราวทั้งหมดวันที่ผ่านมา บ้างหัวเราะ บ้างบ่น บ่านโหยหาที่อยากจะขึ้นไปสู่ยอดสุดในเร็ววัน...

M O K O J U1stT I M E

:: เมื่อคืนไม่ต่างอะไรจากเมื่อวาน น้ำบางส่วนยังไหลลอดเข้ามาในเต็นท์ของพวกเราอยู่


แต่ที่เปลี่ยนไปคือบรรยากาศข้างในที่ซุกกันยังกะปลากระป๋อง ขาขึ้น เรากางเต็นท์แค่ 2 หลัง

และยัดกันเข้าไปนอนข้างในนั้นนั่นแหละ ไม่เบียด ไม่ร้อน แถมยังรู้สึกว่าอบอุ่นไม่พอด้วยซ้ำไป

สองคืนแล้วที่เหนื่อยมากๆ แต่ก็ยังหลับไม่เต็มอิ่มซักคืน นาฬริกาบอกเวลาอีกครั้งว่าตีห้า

เราลุกขึ้นมาเตรียมตัวเพื่อไปเยี่ยมคหินเรือใบที่รอเราอยู่ข้างบน

มือถือไฟฉาย ท่ามกลางประกายดาวที่กำลังอ่อนตัวลงสลับกับแสงของดวงอาทิตย์



:: เราค่อยๆ เดินตามเจ้าหน้าที่ท่ามกลางความมืดในยามเช้า โชดคีจริงๆ ที่เช้านี้ฝนไม่ตก


เราเดินตามกันไปเรื่อยๆ ไฟฉายที่เอามาเป็นแสงส่องทางได้อย่างดีเยี่ยม

แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์เท่าไรนัก เพราะหมอกนั้นหนาตามากๆ

เรานั่งรอกันอยู่บริเวณข้างๆ หินเรือใบกว่าชั่วโมงครึ่ง รอจนเริ่มมองเห็นทุกอย่างชัดขึ้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้างบนหนาวมาก ต้องบอกว่ารออย่างทรมานแสนสาหัสจริงๆ

เวลาเจ็ดโมงกว่าพี่เจ้าหน้าที่ก็บอกให้เราเริ่มถ่ายรูปกันได้แล้ว เพราะถ้าช้ากว่านี้ คงถึงบ้านช้าแน่

เราทยอยขึ้นไปถ่ายกับหินเรือใบจนกระทั่งมาถึงคิวผม ผมหยิบ Gopro คู่ใจมา

แล้วกดถ่ายซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ฟ้าเปิดบ้างปิดบ้าง ภาพวิวบนหินเรือใบจึงออกมาอย่างที่เห็น



:: สุดท้ายที่สุดคงไม่มีอะไรมาก กว่าจะมาถึงบนหินเรือใบได้ก็อยากทำอะไรให้มันสุดๆ กับชีวิต


แม้จะหนาว จะเสี่ยงถูกคนดราม่าใส่ แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมถอดกางเกงถ่ายรูปร่วมกับเพื่อนๆ เป็นที่ระลึก

ก่อนที่เราจะลงไปที่แคมป์ เก็บข้าวของและเดินยาวกลับบ้านด้วยเส้นทางทรหดเส้นเดิม

แต่ทว่า.. ระหว่างทางกลับไม่มีฝนเหมือนขามา มันเหมือนฝนฟ้ากลั่นแกล้งให้เราต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง

ปีหน้าคงมีรีวิวหนาๆ จากผมคนนี้ ให้เพื่อนๆ ได้มาอ่านฆ่าเวลากันอีกรอบแน่ๆ ขอบคุณที่ตามมาถึงตรงนี้ครับ : )

ความคิดเห็น