ความเดิมตอนที่แล้ว...
จำได้ว่าเคยเห็นแนวเทือกเขาหินปูนสลับซับซ้อนทอดตัวยาวขนานไปกับวิวของแม่น้ำโขงที่มองออกไปจากริมฝั่งของจังหวัดนครพนมจากรายการ 72 ชั่วโมง ของพี่เรย์ แมคโดนัลด์ ความสวยงามและความมีเสน่ห์ของเทือกเขาเหล่านั้นเหมือนมีแรงดึงดูดให้เราออกไปค้นหาและสัมผัสบรรยากาศของดินแดนที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างทิวเขาและสายน้ำโขง จึงบอกกับตัวเองว่า "สักวันหนึ่งเราจะต้องข้ามไปเยือนเมืองนี้ให้ได้"
จนกระทั้งเราได้มีโอกาสเดินทางมาทำงานที่จังหวัดนครพนมเป็นระยะเวลา 5 วัน ซึ่งตามกำหนดการเดิมเราจะต้องเดินทางมาทำงานในเช้าวันจันทร์และเดินทางกลับในวันเสาร์ แต่เราเลือกที่จะเดินทางมาก่อนล่วงหน้า 2 วัน เพื่อที่จะออกเดินทางไปสำรวจเมืองท่าแขกและนครพนม ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดเราจึงเลือกอยู่ที่เมืองท่าแขกเพียงแค่ 1 วัน 1 คืนเท่านั้น แล้วจึงกลับมาเที่ยวต่อที่นครพนม
รีวิวท่าแขก : https://th.readme.me/p/7233
เรือข้ามฟากจากฝั่งเมืองท่าแขกค่อยๆเข้าเทียบท่าที่จังหวัดนครพนม จังหวัดที่เป็นที่ตั้งของ 8 พระธาตุนครแห่งลุ่มน้ำโขงที่มีความศักดิ์สิทธ์และสวยงาม จังหวัดที่ประชาชากรมีความสุขมากที่สุดในประเทศ (จากผลการสำรวจของโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและกรมสุขภาพจิต ประจำปี 2556) จึงเป็นที่มาของสโลแกนประจำจังหวัดนครพนมที่ว่า "สุขที่สุด @ นครพนม" ความสุขของคนที่นี่นั้นเป็นอย่างไรและเกิดขึ้นจากอะไร วันนี้เราจะพาออกเดินทางไปหาคำตอบเหล่านั้นพร้อมๆกัน
ก่อนจะข้ามไปเที่ยวที่เมืองท่าแขก สปป.ลาว เราฝากกระเป๋าเดินทางที่ใส่ชุดทำงานเอาไว้ที่โรงแรม The P Hometel ซึ่งเป็นที่พักของเราในคืนนี้
ทำเลที่ตั้งของโรงแรมอยู่ใกล้กับท่าเทียบเรือข้ามฟาก ถนนคนเดิน ตลาดอินโดจีน และแลนด์มาร์คพญานาคพ้นน้ำ สามารถเดินไปมาได้หมด ถือว่าสะดวกมากๆ
ห้องที่เราจองไว้อยู่ที่ชั้น 3 เป็นห้องแบบเตียงเดียว มีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ทีวี แอร์ ตู้เย็น และฟรีไวไฟ
ราคาคืนละ 580 ไม่มีอาหารเช้า แต่ใกล้ๆโรงแรมมีร้านอาหารให้เลือกอยู่หลายร้าน ไม่ต้องกลัวอด
มีห้องน้ำในตัว ด้านในค่อนข้างกว้างและมีเครื่องทำน้ำอุ่น
ถึงแม้ว่าตัวโรงแรมจะไม่ได้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ แต่ก็สามารถดูวิวแม่น้ำจากมุมสูงได้ เพราะมีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวได้อย่างชิลๆ แต่ตอนนี้แดดร้อน ไว้ตอนเช้าจะพาขึ้นไปนะ
หลังจากเก็บของและทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราขอยืมรถจักรยานจากที่พัก เพื่อปั่นมาเยี่ยมบ้านลุงโฮจิมินที่หมู่บ้านนาจอกหรือหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 5.5 กิโลเมตร ใช้เวลาปั่นประมาณ 30 นาที แถมตอนนั้นเป็นช่วงบ่ายที่แดดร้อนมาก ปั่นหน้าโต้แดดจนเกือบหน้าไหม้ และช่วงก่อนถึงบ้านลุงโฮจะมีเนินเขาอยู่ประมาณ 2 ลูก ตอนปั่นขึ้นโคตรเหนื่อย แต่ขาลงสบาย มีลมเย็นๆตีหน้า
บ้านลุงโฮจิมินจะมีอยู่สองแห่ง คือบ้านดั้งเดิมกับบ้านที่สร้างจำลองขึ้นมาใหม่ทีหลังซึ่งทำเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยบ้านใหม่จะอยู่ถึงก่อนบ้านหลังดั้งเดิม แต่ไม่ไกลกันมาก ถ้าใครอยากมาบ้านดั้งเดิม ก็ให้ตามป้ายบอกทางที่เขียนว่าบ้านดั้งเดิมมาได้เลย
จากซุ้มประตูทางเข้าสามารถมองเห็นตัวบ้านชั้นเดียวที่สร้างด้วยไม้ ตั้งอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น
ลุงโฮจิมินหรือนายโฮจิมินห์ อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามได้เคยเข้ามาอาศัยพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อกอบกู้เอกราชของเวียดนามในช่วงระหว่างการทำสงคราม ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2467–2474
ตลอดระยะเวลา 7 ปี ได้ใช้บ้านพักแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับติดต่อ ประสานงานวางแผน และเคลื่อนไหวในการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชาติ จึงถือได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการกอบกู้อิสรภาพให้แก่ประเทศเวียดนาม โดยเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้การกู้ชาติประสบผลสำเร็จ
ด้านในของบ้านจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ดั้งเดิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง และรูปภาพเก่าๆบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาตร์ที่น่าสนใจ
มีรูปปั้นจำลองขนาดเล็กวางอยู่บนหิ้งให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนได้สักการะ
จุดที่เป็นไฮไลด์ก็คือโต๊ะทำงานของลุงโฮจิมิน ซึ่งเป็นโต๊ะดั้งเดิมที่ลุงใช้นั่งทำงานในการวางแผนกอบกู้ชาติจากฝรั่งเศส
ลุงสุเมธ ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเป็นผู้ดูแลบ้านหลังนี้ โดยจะคอยมาดูแลและต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติศาตร์ผ่านภาพถ่ายที่แขวนอยู่บนผนังรอบๆตัวบ้าน
คุณลุงเติบและโตที่นี่ จึงทำให้ได้รับรู้เรื่องราวต่างๆถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกประทับใจนอกเหนือจากความรู้ที่ได้รับจากลุง ก็คือความตั้งใจในการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้น เราไม่รู้หรอกว่าลุงเคยเล่าเรื่องพวกนี้ซ้ำๆมาแล้วกี่รอบ ซึ่งก็น่าจะไม่ต่ำกว่า 1,000 รอบ เพราะทุกครั้งที่มีนักท่องเที่ยวคนใหม่เข้ามา ลุงก็จะเล่าให้ฟังใหม่ทุกครั้งอย่างตั้งใจ
บริเวณด้านข้างของบ้าน มียุ้งสำหรับเก็บข้าวและเครื่องตำข้าวแบบโบราณ
มีบ้านหลังเล็กๆที่มีช่องทางเข้าออกหลายช่อง สำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของนกพิราบสื่อสาร
ส่วนด้านหลังของบ้านเป็นห้องครัว
จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในการประกอบอาหารและอุปกรณ์การเกษตร
บ้านหลังนี้อาจจะมีขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่สามารถเก็บความทรงจำและเรื่องราวที่สำคัญในประวัติศาตร์ของชาวเวียดนามไว้ได้อย่างมหาศาล ที่นี่เปิดให้เยี่ยมชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. เข้าชมฟรี แต่สามารถบริจาคเงินใส่ตู้เพื่อบำรุงสถานที่ได้ตามจิตศรัทธา
จากบ้านลุงโฮจิมิน เราปั่นกลับเข้ามาในเมืองอีกครั้ง เพื่อไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง และห่างจากที่พักของเราหรือหอนาฬิกาเพียงแค่ 1.6 กิโลเมตร
จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) เดิมเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของ พระยาอดุลยเดชสยามเมศวรภัคดีพิริยพาหะ (อุ้ย นาครทรรพ) เทศาภิบาลมณฑลอุดรธานี ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมคนแรก ก่อสร้างสร้างระหว่างปี พ.ศ. 2455-2457 โดยผู้สร้างเป็นชาวญวน ชั้นบนและล่างไม่มีเสา และใช้การเข้าเดือยไม้ จึงไม่มีการตอกตะปูแม้แต่ดอกเดียว
ต่อมาพระยาอดุลยเดชฯ ได้ขายอาคารหลังนี้ให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อใช้เป็นที่พักของ ผู้ว่าฯ เมื่อปี พ.ศ. 2470
ด้านในจัดแสดงนิทรรศการภาพเล่าเรื่องในอดีตของเมืองนครพนม ภายใต้ชื่อนิทรรศการว่า "กาลครั้งหนึ่ง...นครพนม" โดยแบ่งออกเป็น 2 ชั้น จำนวนทั้งหมด 10 โซน อาทิเช่น โซนหอเกียรติยศพ่อเมือง ย้อนตำนานอาคารแห่งความทรงจำ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมหลังเก่า รำลึกถึงพ่อเมืองนครพนมตั้งแต่คนแรกถึงคนปัจจุบัน
หรือโซนภาพเก่าเล่าขาน จัดแสดงภาพถ่ายที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนม มีทั้งประวัติศาสตร์และเรื่องราวความทรงจำของเมืองนครพนม
และโซนที่เป็นไฮไลด์ก็คือ โซนคืนประทับแรม จัดแสดงห้องที่ประทับเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จเมืองนครพนมในคืนวันที่ 12 พฤศจิกายน 2498
บริเวณด้านหลังของอาคารพิพิธภัณฑ์ มีอาคารจัดแสดงนิทรรศการเฮือไฟหรือเรือไฟ
จัดแสดงเรือไฟจำลองรูปแบบต่างๆ พร้อมทั้งประวัติความเป็นมาและความหมายของเรือแต่ละลำ
ที่นี่เปิดให้เข้าชมวันพุธ - วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น. ค่าบำรุงสถานที่ 20 บาท
เสร็จจากการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จวนผู้ว่าฯ ก็ประมาณ 4 โมงครึ่ง โดยมีจุดหมายต่อไปคือการล่องเรือชมวิวสองฝั่งโขงและชมพระอาทิตย์ตกดิน
บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงของเมืองนครพนม มีการสร้างเขื่อนริมน้ำ เพื่อเป็นจุดชมวิวและพักผ่อนของประชาชน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนสำหรับนั่งเล่นชมวิวและจัดกิจจกรรม ส่วนสำหรับเดินหรือวิ่งออกกำลังกาย
และส่วนสุดท้ายคือเส้นทางจักยานตลอดแนวยาวหลายกิโล สามารถออกแบบและจัดภูมิทัศน์ได้สวยงามและเป็นระเบียบ บรรยากาศดีมากๆ โดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็น เหมาะแก่การมาพักผ่อนมากๆ รู้สึกอิจฉาคนที่นี่จัง อยากมีบ้านอยู่ที่นี่บ้าง
เรือล่องชมทัศนียภาพสองฝั่งโขงมีให้บริการทุกวัน วันละ 1 รอบ เวลา 17.00 น. ราคาคนละ 50 บาท แนะนำให้มาก่อนเวลาสัก 15 นาที เพื่อมาเลือกจับจองที่นั่ง ซึ่งมีให้เลือก 2 ชั้น ชั้นบนจะวิวดีที่สุด
บนเรือมีน้ำและอาหารบริการ แต่ก็สามารถซื้อจากบนฝั่งขึ้นไปทานบนเรือได้ตามใจชอบ
เรือค่อยๆแล่นออกจากท่าทวนกระแสน้ำไปทางทิศเหนืออย่างช้าๆ ผ่านบ้านเรือนเก่าและสถานที่ราชการ โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำเรือบรรยายให้ความรู้และแนะนำสถานที่ตลอดเส้นทาง
ผ่านหอนาฬิกา
มีลมหนาวเย็นๆ พัดโชยมากระทบใบหน้าตลอดเวลา บรรยากาศดีมากๆ
เรือล่องมาจนถึงวัดนักบุญอันนา แล้วเลี้ยวกลับไปทางเดิม แต่ล่องขนานกับฝั่งประเทศลาว
พื้นดินริมชายฝั่งของประเทศลาวกำลังถูกน้ำกัดเซาะ มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นกำลังจะทรุดลงไปในแม่น้ำ คนบรรยายบนเรือบอกว่าก่อนหน้านี้มีต้นไม้ใหญ่คู่หนึ่งโตมาด้วยกัน แต่ตอนนี้เหลืออยู่เพียงต้นเดียว เพราะคู่ของมันถูกเซาะลงไปในแม่น้ำโขง เศร้าจัง
ระหว่างทางขากลับเจ้าหน้าที่เริ่มเดินออกมาทักทายผู้โดยสารและเก็บเงินค่าตั๋ว
พระอาทิตย์กำลังค่อยๆลับขอบฟ้าลงบนผืนแผ่นดินของประเทศไทย เมื่อมองจากริมฝั่งประเทศลาว
ท้องฟ้าตอนนั้นปลอดโปร่งมาก ไม่มีเมฆเลยสักก้อน เพราะถูกลมหนาวพัดพาไปเที่ยวกรุงเทพ จึงทำให้แสงสุดท้ายของวันนั้นกระจายฟุ้งเต็มท้องฟ้า ไล่เฉดสีได้อย่างนุ่มนวล ดูแปลกตาและแตกต่างจากที่เคยเห็น
เรือค่อยๆกลับลำและมุ่งตรงไปยังท่าเทียบเรือ
พอฟ้าเริ่มมืดแสงไฟจากอาคารบ้านเรือนและวัดวาอารามก็เริ่มส่องสว่าง
แสงสุดท้ายที่ปลายขอบฟ้าช่วยเปลี่ยนพื้นหลังของวัดวาอารามที่ตั้งอยู่ริมฝั่งโขงให้ดูอลังการเพิ่มมากขึ้น
เรือค่อยๆล่องผ่านแลนด์มาร์คพญานาคเจ็ดเศียรพ้นน้ำอย่างช้าๆ
การล่องเรือชมทัศนียภาพสองฝั่งโขงในครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เป็น 1 ชั่วโมงที่รู้สึกคุ้มค่าและมีความสุขมาก ถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่แนะนำว่าห้ามพลาดเมื่อได้มาเที่ยวจังหวัดนครพนม
เสร็จจากการล่องเรือ ก็ไปเดินเล่นหาอะไรกินต่อที่ถนนคนเดิน มีทุกเย็นวันศุกร์-อาทิตย์
รองท้องด้วยข้าวจี่ร้อนๆ
แมลงและนอนทอดตัวอวบอ้วน
บาร์บีคิวร้านนี้อร่อยแค่ไหน ให้นับจากจำนวนคนที่ต่อคิวรอซื้อ
ส่วนเจ้าตัวนี้รอต่อคิวส่วนแบ่งจากคนที่ซื้อเสร็จแล้ว ด้วยสีหน้าน่าสงสารสุดๆ
ถนนคนเดินเริ่มต้นตั้งแต่ท่าเรือข้ามฟาก ผ่านหอนาฬิกา และต่อไปอีกประมาณ 200 เมตรก็จะถึงจุดสิ้นสุด รวมแล้วประมาณ 300 เมตร ขนานไปกับแม่น้ำโขง
ขนมครกของคุณป้าเจ้านี้ก็อร่อย ทำใหม่ร้อนๆทุกกระทง
ผ่านร้านนั่งชิลอย่าง ห-นาฬิกา
ไอติมผัดก็มี อากาศหนาวขนาดนี้ขอผ่านละกัน
ผ่านลานคนเมือง ที่มีมุมถ่ายรูปเล็กๆเก็บไว้เป็นที่ระลึก
บรรยากาศคึกคัก อาหารอร่อย แถมอากาศก็เย็นสบาย รู้สึกดีต่อใจ
เดินเล่นหาของกินจนอิ่ม จึงกลับไปอาบน้ำที่โรงแรม ก่อนจะออกมาใหม่อีกรอบช่วงดึกๆ ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปนั่งชิลที่ร้าน ห-นาฬิกา แต่คนเยอะมากและไม่มีที่นั่ง จึงเปลี่ยนไปนั่งที่ร้านชิวกะวิว คาเฟ่ริมแม่น้ำโขงแทน
เวลานั้นเหลือลูกค้าอยู่แค่ 2 โต๊ะ เรามาคนเดียวเลยเลือกที่นั่งแบบบาร์ นั่งอยู่สักพักน้องที่ร้านก็อุ้มน้องหมีตัวใหญ่มานั่งเป็นเพื่อน เพราะกลัวเราจะเหงา เราอยู่จนร้านปิดจึงกลับไปนอน
เช้าวันต่อมา ซึ่งเป็นวันแรกที่เราต้องไปทำงาน แต่ยังพอมีเวลาในช่วงเช้าระหว่างรอเพื่อนร่วมงานเดินทางมาจากกรุงเทพ เราจึงตั้งใจว่าจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ดาดฟ้าของโรงแรมและออกไปสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนในยามเช้า
บนดาดฟ้าของโรงแรม สามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา บรรยากาศดีมากๆ
วิวด้านหน้าทิศตะวันออกเป็นแม่น้ำโขง โดยมีพื้นหลังเป็นแนวเทือกเขาของฝั่งเมืองท่าแขก สปป.ลาว ทอดตัวยาวขนานไปกับแม่น้ำ
วิวด้านหลังและด้านข้างเป็นบ้านเรือน
พระอาทิตย์ค่อยๆโผล่ขึ้นมาอย่างๆช้าจากแผ่นดินประเทศลาว
แสงแรกที่เปร่งออกมาทำให้บรรยากาศรอบๆกลายเป็นสีส้ม
เราลองเปลี่ยนไปเดินเล่นริมฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อดูวิถีชีวิตยามเช้าของคนที่นี่ ตามมาๆ
แลนด์มาร์กจักรยานอยู่ด้านหลังของที่พัก ถ้ามีบ้านอยู่ที่นี่เราจะมาปั่นทุกเช้าและเย็นเลยคอยดู
ผ่านสะพานพญานาคคู่
มาจนถึงสวนสาธารณะริมแม่น้ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน
มีคุณลุง คุณป้า คุณตา คุณยาย มาเดินออกกำลังกาย สูดอากาศบริสุทธิ์
เราเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดนั่งดูสาวๆกลุ่มใหญ่ กำลังสนุกสนานกับการเต้นและรำ
บางเพลงก็รำเดี่ยว
บางเพลงก็รำหรือเต้นเป็นคู่ ตอนเลือกจับคู่กัน มีแอบแย่งตัวกัน น่ารักมากๆ
เรานั่งดูอยู่นานมาก จนรู้สึกมีความสุขร่วมกันกับทุกคนที่นี่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงไปเต้นด้วยก็ตาม ทำให้เข้าใจแล้วว่าความสุขมันสามารถถ่ายเทให้แก่กันได้
ช่วงพักเหนื่อย ทุกคนจะเติมพลังด้วยกล้วยน้ำว้าคนละลูก แถมแบ่งให้เราอีกหนึ่งลูก จริงๆหลายลูก แต่ขอรับไว้แค่ลูกเดียว คุณป้าทุกคนน่ารักและใจดีมากๆ
เราเดินกลับมายังที่พัก เพื่อขอยืมจักรยานปั่นไปเที่ยวที่วิหารนักบุญอันนาหรือวัดหนองแสง
วิหารนักบุญอันนาตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง อยู่ห่างจากที่พักของเราไปทางทิศเหนือประมาณ 2.5 กิโลเมตร ปั่นมาตามทางจักรยานริมแม่น้ำชิลมากๆ
ด้านหลังของซุ้มประตูทางเข้า มีรูปปั้นของนักบุญอันนาขนาดเท่าตัวจริงยืนอยู่ตรงกลางลานโล่งด้านหน้าวิหาร
บริเวณด้านข้างของวิหารมีอาคารสองชั้นสไตล์โคโลเนียลทาด้วยสีเหลืองดูโดดเด่น แต่ด้านในว่างเปล่าไม่มีการใช้งาน
จากวิหารอันนา ปั่นย้อนกลับเข้ามาในตัวเมือง ตามถนนอภิบาลบัญชาที่ขนานกับถนนเส้นเลียบแม่น้ำ ประมาณ 1.7 กิโลเมตร ก็จะถึงหอสมุดแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
เดิมเป็นศาลากลางจังหวัดนครพนม ก่อสร้างโดยใช้แปลนของศาลากลางจังหวัดเชียงรายเป็นต้นแบบ มีลักษณะอาคารแบบเรอเนสซอง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2458 ตรงกับ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ปัจจุบันหอสมุดแห่งนี้เป็นแหล่งรวบรวมมรดกทางสติปัญญาของชาติที่อยู่ในรูปของหนังสือ สิ่งพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ หนังสือภาษาโบราณ หนังสือตัวเขียน จารึก คัมภีร์ใบลาน และหนังสือหายากที่ผลิตขึ้นในภูมิภาคนี้ เปิดทุกวันวันอังคาร - วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 17.00 น.
เนื่องจากเรามีเวลาค่อนข้างจำกัด จึงได้แค่เพียงถ่ายรูปที่ด้านหน้า แล้วปั่นกลับที่พัก ระหว่างทางแวะถ่ายรูปอีกนิดหน่อย
ม ม้าหายไป ใครเอาไปช่วยเอามาคืนด่วน
แดดเริ่มออก แต่ไม่ร้อน เพราะอากาศเย็น เหมาะแก่การสังเคราห์แสงและรับวิตามินดี
ฉันเกิดในรัชกาลที่ ๙
ย่านวงเวียนรอบหอนาฬิกามีอาคารบ้านเรือนเก่าๆที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อยู่หลายหลัง
อย่างโรงแรมไทยสามัคคี โรงแรมเก่าที่ไม่ได้เปิดให้เข้าพักแล้ว ยังคงสภาพดั้งเดิมอยู่คู่กับหอนาฬิกามาช้านาน
เราปั่นกลับไปที่โรงแรมเพื่ออาบน้ำแต่งตัว ปรากฎว่าลืมเอาเข็มขัดใส่ทำงานมา จึงเดินออกไปหาซื้อที่ตลาดอินโดจีน ใกล้ๆกับที่พัก ระหว่างที่กำลังเลือกอยู่ มีคุณป้าท่านหนึ่งเดินมาทัก เพราะจำได้ว่าเราไปนั่งดูท่านเต้นเมื่อตอนเช้า คุณป้าเป็นเจ้าของร้านที่เรากำลังเลือกเข็มขัดอยู่ คุณป้าเลยลดราคาให้เป็นพิเศษ ใจดีอีกแล้ว
เรากลับมาแต่งตัว เก็บกระเป๋า เช็คเอาท์ออกจากที่พัก และรอเพื่อนร่วมงานมารับเพื่อเอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมที่บริษัทจัดเตรียมไว้ให้ แล้วทำงานต่อจนถึงวันศุกร์ ดังนั้น หลังจากนี้จะเป็นการรีวิวอาหารการกินบางส่วนที่เราชอบและที่เที่ยวอีกนิดหน่อยในระหว่างทำงาน ตลอดระยะเวลา 5 วัน เริ่ม!!!
ร้านแรกคือ "ร้านข้าวปุ้นกุดสะกอย" ตั้งอยู่ที่ตลาดโต้รุ่ง ร้านโปรดของเรา (กุดสะกอย คือ ชื่อหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดนครพนม)
เส้นข้าวปุ้นทำสดใหม่ นุ่มๆ มีน้ำยาให้เลือก 2 แบบ คือ น้ำปลาร้าและน้ำกะปิ สูตรพิเศษ รสชาติเข้มข้นมาก โดยมีเครื่องเคียงเป็นไข่ต้มทรงเครื่องและผักต้ม เข้ากันมากๆ
เราเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก รู้สึกชอบมาก โดยเฉพาะน้ำปลาร้า แซ่บหลายๆ พิมพ์ไปน้ำลายไหลไป
ร้านที่สอง คือ "ร้านข้าวต้มเส้น (ก๋วยจั๊บญวน)" อยู่ที่ตลาดโต้รุ่ง ตรงข้ามกับร้านข้าวปุ้น
เมนูแนะนำของร้านนี้ก็คือ ข้าวต้มเส้น หรือ ก๋วยจั๊บญวน ตามชื่อของร้านนั่นแหละ โดยมีเครื่องให้เลือกหลายอย่าง เช่น หมูยอ น่องไก่ หรือเครื่องใน สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เส้นก๋วยจั๊บนุ่มและให้เยอะมาก อยากให้ลอง
ร้านที่สาม คือ "ร้านเป๋น ปลา เป็น" ร้านอาหารริมแม่น้ำโขง อยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางสะพานมิตรภาพประมาณ 9 km วันที่ไปถึงร้านก็มืดแล้ว แถมอากาศก็หนาวมาก เลยไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศมาฝาก ถ้าเป็นช่วงกลางวันวิวร้านนี้จะสวยมาก
เมนูแนะนำของที่นี่ก็คือ ปลาจุ่ม เนื้อปลาเผาะหรือปลาคัง และปีกไก่ทอดตะไคร้
ร้านที่ 4 คือ "ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือหนองแสง" อยู่ใกล้ๆกับวัดนักบุญอันนา หนองแสง
ช่วงกลางวันลูกค้าค่อนข้างเยอะ ระหว่างที่รอก็เอากากหมูมาจิ้มกับซอสพริกผสมถั่ว หรือพริกสดเผาไฟจิ้มกับกะปิ กินเล่นรอไปพลางๆอย่างเพลินๆ
เมนูเด็ดก็คือ ก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตก ไซด์จัมโบ้ ที่ให้เส้นและเครื่องเยอะมาก รสชาติเข้มข้น ในราคาเพียงแค่ 50 บาท โคตรคุ้ม
ร้านที่ 5 คือ "ร้านออนซอน เด้" ร้านส้มตำริมแม่น้ำโขง อยู่ใกล้ๆกับวัดกลาง มีเมนูเด็ดคือ ส้มตำปลาร้ากุ้งสด น่ากินใช่ไหมล่ะ
ร้านสุดท้าย คือ "หอ-นาฬิกา" ร้านอาหารกึ่งผับ ด้านหน้าเป็นถนนคนเดินช่วงวงเวียนหอนาฬิกา ด้านหลังเป็นแม่น้ำโขง
ช่วงคืนวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ลูกค้าค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากมีโต๊ะนั่งให้มาก่อน 4 ทุ่ม
ที่นี่บรรยากาศดี ดนตรีเพราะ เหมาะแก่การมานั่งชิล
ส่วนที่เที่ยวหลังเลิกงานไปไกลสุดแค่ที่เดียว คือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 นอกนั้นก็จะมาเดินเล่นริมแม่น้ำโขง เพราะช่วงตอนเย็นอากาศดีมาก
จุดนี้จะอยู่ด้านข้างของสะพาน ริมแม่น้ำโขง มีป้าย "สุขที่สุด @ นครพนม" ให้ได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แนะนำให้มาถึงที่นี่สักประมาณ 5 - 6 โมงเย็น เพราะถ้าหลังจากนั้นแล้วที่นี่จะมืดมากจนเกือบจะมองไม่เห็นป้าย
จากจุดชมวิวริมแม่น้ำ ขับย้อนกลับออกมาตามเส้นทางไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อขึ้นไปดูไฟที่ปลายสะพานฝั่งไทย
พอขับมาถึงหน้าด่านให้หาที่จอดรถหลบเข้าข้างทาง ระวังอย่าให้ไปขวางทางเข้าออก จากนั้นก็เดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง โดยไม่ต้องทำเอกสารอะไรทั้งสิ้น แต่ควรบอกให้เจ้าหน้าที่บริเวณด่านทราบก่อนว่าจะขอเดินไปชมวิวที่ปลายสะพาน
จากจุดนี้สามารถเดินต่อออกไปได้จนถึงด้านหน้าของป้อมสีน้ำเงิน
ช่วงเวลากลางคืนเหมาะที่จะมาดูความสวยงามของโคมไฟส่องสว่างตลอดสองข้างทางของสะพาน ถ้าจำไม่ผิดที่นี่จะเปิดถึงประมาณ 4 ทุ่มของทุกวัน
วันทำงาน 5 วันได้ผ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เย้!!! เราเหลือเวลาอยู่ที่นครพนมอีกเพียงแค่ 1 วันก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพ วันสุดท้ายนี้ตั้งใจจะไปสักการะพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดนครพนม ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 องค์ กระจายอยู่ในหลายอำเภอ ได้แก่
1. พระธาตุพนม อ.ธาตุพนม พระธาตุประจำวันเกิดวันอาทิตย์
2. พระธาตุเรณู อ.เรณูนคร พระธาตุประจำวันเกิดวันจันทร์
3. พระธาตุศรีคุณ อ.นาแก พระธาตุประจำวันเกิดวันอังคาร
4. พระธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก พระธาตุประจำวันเกิดวันพุธ
5. พระธาตุมรุกขนคร อ.ธาตุพนม พระธาตุประจำวันเกิดวันพุธ (กลางคืน)
6. พระธาตุประสิทธิ์ อ.นาหว้า พระธาตุประจำวันเกิดวันพฤหัสบดี
7. พระธาตุท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน พระธาตุประจำวันเกิดวันศุกร์
8. พระธาตุนคร อ.เมือง พระธาตุประจำวันเกิดวันเสาร์
ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจะสามารถออกเดินทางไปสักการะพระธาตุได้กี่องค์นั้น ตามมาๆ
เราออกเดินทางจากที่พักในตัวเมืองนครพนมประมาณ 10 โมงเช้า ขับรถขนานกับแม่น้ำโขงไปตามถนนหลวงหมายเลข 212 มาทางทิศใต้ ระยะทางประมาณ 52 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาาร อ.ธาตุพนม สถานที่ประดิษฐานองค์พระธาตุพนม พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครพนม
องค์พระธาตุมีลักษณะเป็นเจดีย์รูปสี่เหลี่ยมจตุรัสก่อด้วยอิฐ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่าง ปีพ.ศ. 1200–1400 ตามตำนานกล่าวว่าผู้สร้างคือ พระมหากัสสปะ พระอรหันต์ 500 องค์ และท้าวพระยาเมืองต่างๆ
ภายในบรรจุพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนอก) ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ วันที่เราไปมีผู้คนเดินทางมาสักการะกันอย่างเนืองแน่น
เรามีโอกาสได้มาสักการะองค์พระธาตุพนมเป็นครั้งแรก ภาพแรกที่เห็นองค์พระธาตุทำให้เรารู้สึกประทับใจและอิ่มเอิบใจอย่างบอกไม่ถูก
เพราะด้วยความงดงามและอลังการ ประกอบกับพลังแห่งความศรัทธาของผู้ที่มาสักการะ ช่วยให้สามารถสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระธาตุ
เมื่อสักการะองค์พระธาตุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาของมื้อเที่ยงพอดี จะขับรถออกมาหาอะไรทานแถวๆวัด ขับวนอยู่หลายรอบ จึงมาจบที่ "ร้านดาวทอง" ร้านอาหารเวียดนาม ตั้งอยู่ใกล้กับซุ้มประตูเรืองอร่ามรัษฎากร
มีเมนูให้เลือกหลายอย่าง รสชาติอร่อย แถมราคาไม่แพง
กินอิ่มจึงออกเดินทางต่อไปยัง พระธาตุศรีคุณ อ.นาแก ซึ่งอยู่ห่างจากพระธาตุพนมออกไปทางทิศใต้ประมาณ 26 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
องค์พระธาตุมีขนาดไม่ใหญ่มาก ภายในบรรจุพระอรหันตสารีริกธาตุของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร และพระสังกัจจายนะ เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอังคาร
เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นาน จึงออกเดินทางต่อไปยังพระธาตุเรณู อ.เรณูนคร ซึ่งอยู่ห่างจากพระธาตุศรีคุณออกไปทางทิศเหนือ ประมาณ 27 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
พระธาตุเรณูประดิษฐานอยู่ที่วัดธาตุเรณู สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2461 โดยจำลองมาจากพระธาตุองค์ดั้งเดิม ภายในบรรจุพระไตรปิฎกและพระพุทธรูปทองคำ พระพุทธรูปเงิน รวมทั้งของมีค่าที่เจ้าเมืองและประชาชนมีศรัทธาบริจาค
จุดเด่นขององค์พระธาตุคือ สีขององค์พระธาตุที่เป็นสีชมพูสลับขาว ประดับด้วยลายดอกจอกปูนปั้นสีทอง
พระธาตุเรณู เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันจันทร์
ถัดจากพระธาตุเรณู เราขับต่อออกมาทางทิศตะวันออก มาบรรจบกับถนนหลวงหมายเลข 212 เส้นทางเลียบแม่น้ำโขงที่เราขับมาจากตัวเมืองนครพนมเมื่อตอนเช้า โดยขับย้อนกลับไปทางเดิมอีกประมาณ 16 กิโลเมตร ก็จะพบกับองค์พระธาตุที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ นั่นก็คือ พระธาตุมรุกขนคร
พระธาตุมรุกขนครประดิษฐานอยู่ ณ วัดมรุกขนคร อ.ธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนเกิดวันพุธกลางคืน
องค์พระธาตุมีลักษณะรูปทรงที่คล้ายองค์พระธาตุพนม มีความสูงประมาณ 40 เมตร สร้างขึ้นในวโรกาส ครองราชย์ครบ 50 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
จากพระธาตุมรุกขนคร ขับกลับเข้ามาที่ตัวเมืองนครพนม เพื่อมาสักการะพระธาตุนคร พระธาตุองค์สุดท้ายสำหรับวันนี้ ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ วัดมหาธาตุ อ.เมือง ริมแม่น้ำโขงฝั่งทิศตะวันตก
ภายในบรรจุพระอรหันตธาตุ พร้อมกับพระพุทธรูปทองคำและของมีค่าที่ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาอุทิศถวายไว้
พระธาตุนคร เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันเสาร์
สรุปว่าวันสุดท้ายเราสามารถเดินทางไปสักการะองค์พระธาตุได้ถึง 5 องค์ คือ พระธาตุพนม พระธาตุศรีคุณ พระธาตุเรณู พระธาตุมรุกขนคร และพระธาตุนคร เพราะองค์พระธาตุทั้ง 5 องค์นี้อยู่ในเส้นทางเดียวกันและอยู่ไม่ไกลกันมาก ไว้รอบหน้าจะมาสักการะองค์ที่เหลือให้ครบเลย
วิวสุดท้ายจากริมฝั่งแม่น้ำโขง ถ่ายบริเวณด้านหน้าของวัดมหาธาตุ บรรยากาศในตอนนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำจนถึงตอนนี้
เรารีบมุ่งหน้าไปยังสนามบินนครพนม เพื่อไปให้ทันเช็คอินท์เที่ยวบินรอบ 5 โมงเย็น
พระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้า เพื่อบอกให้รู้ว่ากำลังจะสิ้นสุดการเดินทางในครั้งนี้
ตลอดระยะเวลา 8 วันที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดนครพนม ช่วยทำให้เราได้เห็นและสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนที่มีความเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ เป็นกันเอง และมีน้ำใจ ประกอบกับการได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สวยงาม ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจังหวัดนี้มี "ความสุข" ขนาดเราเองที่ได้มาอยู่เพียงระยะเวลาสั้นๆยังรู้สึกมีความสุขเลย ส่วนจะสุขมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับมุมมองของใจเราเอง สำหรับการเดินทางครั้งนี้ของเราบอกได้เลยว่า "สุขที่สุด ณ นครพนม"
LIFE IS A JOURNEY | เพราะชีวิต คือ การเดินทาง...
ติดตามการเดินทางของเราได้ที่ : https://www.facebook.com/LifeIsAJourneyThailand
แหล่งที่มาของข้อมูลประกอบ : www.tourismthailand.org / https://goo.gl/PpJ0re
หมายเหตุ : หากมีข้อมูลส่วนไหนที่ไม่ถูกต้อง สามารถแนะนำเพิ่มเติมได้นะครับ เพื่อจะได้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องและสมบูรณ์มากที่สุด
LOVE & LIFE IS A JOURNEY
วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.55 น.