ไปเที่ยวกันต่อค่ะ กับดินแดนภารตะ ที่มีชื่อว่า "ลัคเนาว์"
เมืองลัคเนาว์ เป็นเมืองสายหลักของชุมนุมทางรถไฟ ที่จะเชื่อมต่อไปยังรัฐอื่นๆ อีกมากมาย
ที่มีความห่างชั้นกันอย่างมาก โดยบางแห่งมีความเจริญสุดขีด แต่บางแห่งก็แร้นแค้นถึงขีดสุดเช่นกัน !!
กับทริปอินเดียครั้งที่ 2 ของเรา เดินทางเมื่อ 18-22 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา
และได้อัพตอน 1 ไปแล้วเกี่ยวกับเส้นทางตามรอยพระพุทธเจ้า
หลังจากท่องเที่ยวกันยาวๆ ตั้งแต่เมืองสาวัตถี กุสินารา ลุมพินี และข้ามไปเนปาล
เดิมทีคณะจะพักที่โรงแรมในกุสินาราค่ะ แล้วเดินทางเข้าลัคเนาว์ตอนเช้าอีกวัน
แต่ไกด์กลัวว่าจะเหนื่อยกับการเดินทางกันอีกต่อ จึงเปลี่ยนแผนตีรถมายาวๆ ถึง 6 ชั่วโมง
มาพักยังลัคเนาว์กันเลยในคืนนี้ เราถึงโรงแรมราว 3 ทุ่มครึ่ง
เราได้มาเยือนโรงแรม 5 ดาวอีกครั้ง RENAISSANCE HOTEL ที่เราได้นอนในคืนแรกตอนลงเครื่องมาแบบแปปเดียว
และคืนสุดท้าย เราก็ได้มาเยือนแบบเต็มที่กันเลยที่นี่
ณ เวลานั้นคือ 3 ทุ่มกว่าเพลียจากการเดินทาง อยากพักเป็นที่สุด แต่หิวก็ด้วยจึงพากันขึ้นไปห้องอาหารชั้น 14
ไกด์ให้เซฟทำผัดไทให้ทาน โอ้โห ผัดไทที่คนอินเดียทำนี่ไม่ธรรมดา
เพราะอร่อยมากกก จนเราต้องเบิ้ล ทั้งที่ง่วงมากนะเนี่ย
ผัดไทร้อนๆ กุ้งสดๆ แบบไม่ต้องปรุงเพิ่มกันเลย เข้มข้นอย่างที่สุด
พร้อมน้ำมะนาว ตาตื่นเลยเรา 555
เวลาทานอาหารเย็นในอินเดียตอน 3 ทุ่ม (ราวๆ เกือบ 5 ทุ่มที่ไทย) ถือเป็นเรื่องปกติมากค่ะ
เพราะอาหารเย็นเค้าเริ่มกันเวลานี้จริงๆ ในขณะพี่ไทยเรา พากันเริ่มนอนกรนกันแล้วด้วยนะ
ตัดฉับมายังมื้อเช้าต่อที่ห้องอาหารใน RENAISSANCE HOTEL กันค่ะ ทริปนี้เราไม่ห่วงเรื่องอาหารการกินแล้ว
เพราะไกด์นำชุดเซ็ตข้าวต้มจากไทย และอาหารไทยสูญญากาศมาให้ด้วยค่ะ สบาย ไม่มีบ่นเรื่องอาหารล่ะเรา 555
ได้แต่เก็บภาพอาหารแปลกๆ มาฝากกัน แต่เราก็ไม่ได้ลองนะ ไม่กล้า พูดเลย
นั่งทานอาหารเช้า อยู่บนชั้น 14 จะเจอมุมนี้เลยจ้าาา
เมืองลัคเนาว์ เมืองเอกของรัฐอุตรประเทศในประเทศอินเดียตอนเหนือ ที่เป็นศูนย์การปกครอง
ศาสนา วัฒนธรรม การคมนาคม และเศรษฐกิขของภูมิภาค ที่มีประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรมที่สวยงาม
จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งของการท่องเที่ยว ในภาคเหนือของประเทศอินเดีย
การนำร่องท่องเที่ยวในเมืองลัคเนาว์เช้าวันนั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว
นี่คือวันสุดท้ายของเราในอินเดียจริงๆค่ะ เป็นการเที่ยวแบบเต็มวันของแท้
ในช่วงอากาศสูงสุดถึง 39 องศา !
รอบๆ ข้างระหว่างทางเราจะเห็นร้านขายของของชาวอินเดีย
เราเรียกขำๆ ว่า "เซเว่น อินเดีย" ค่ะ 555 ส่วนใหญ่จะเป็นถั่ว
ขนมขบเคี้ยว ลูกอมซะส่วนมาก การตั้งร้าน บางทีจู่ๆ ก็โผล่มาจากซอก หรือตามกำแพงยังไงก็มีหมดนะ
ร้านเล็กๆ แค่เอาตัวคนขายเข้าไปอยู่ในร้านนั้นก็ได้แล้ว
เช้าวันเราพากันมาเยือนที่แห่งนี้ ถือเป็นพระเอก นางเอกของลัคเนาว์ก็ว่าได้
บาราอิมามบารา (Bara Imambara)
บาราอิมามบารา (Bara Imambara) เป็นอัครมัสยิดศาสนสถานของชาวมุสลิม ที่สร้างผสมผสานกันระหว่าง ฮินดูและมุสลิม
ตั้งอยู่ที่เมืองลัคเนาว์ มีความยิ่งใหญ่สวยงาม ไม่แพ้ที่ใดๆ ในโลก
เดินเข้ามาภายใน บาราอิมามบารา (Bara Imambara) คือยิ่งใหญ่เวอร์วัง อลังการเป็นอย่างมากค่ะ
พื้นที่กว้างขวางอย่างที่สุด พลันหลับตานึกย้อนๆ ในช่วงเวลาที่รุ่งเรืองถึงขีดสุดของลัคเนาว์ในสมัยก่อนจะยิ่งใหญ่
มากมายขนาดไหนกันนะที่นี่
ภายใน บาราอิมามบารา (Bara Imambara) จะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเล่นกันเยอะมาก
เพลินด้วย และอากาศก็ร้อนมากเช่นกัน เหงื่อนี่ท่วมหลังนะ 555
เพราะงั้นสิ เราจึงมองว่า ภายใน บาราอิมามบารา (Bara Imambara) คือพระเอก นางเอกของเมืองลัคเนาว์เค้าจริงๆนะเออ
ทีเด็ดสุดไม่ใช่แค่ภายนอกอย่างเดียวนะคะ เราต้องไปเยืออนภายในกันด้วย
ตามมาค่าาา
ความอเมซิ่งมันอยู่ตรงนี้ๆ
ภายในห้องโถงพระโรง ขนาดใหญ่ไร้เสาค้ำ โดยมีลูกเล่นการก่อสร้างที่ใช้แสงสว่าง
จากธรรมชาติตามช่องหลืบกำแพง จุดสังเกตการณ์จากภายใน ที่มองเห็นถึงหน้าประตูทางเข้าใหญ่
โดยคนนอกมองไม่เห็นด้วยนะคะ มีทางเดินเป็นเขาวงกตภายในเพื่อป้องกันการบุกรุกด้านในอาคาร
ซึ่งภายในจะเก่าแก่ตามสภาพ มีลมผ่านนิดๆ เข้ามาภายในต้องถอดรองเท้าฝากไว้ที่ด้านนอกด้วยคค่ะ
เราก็จ่ายทิปไป 10 รูปี อิอิ
และระหว่างที่เดินถ่ายภาพเล่นภายใน ภายใน บาราอิมามบารา (Bara Imambara) นั้นก็มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย
เจ้าบ้านของเราขอเข้ามาถ่ายภาพร่วมกับเราๆ มีความรู้สึกเหมือนซุปเปอร์สตาร์ก็ว่าได้เลยนะเออ 555
เราคือซุปตาร์จากเมืองไทยดีดีนี่เองเนอะ
ฮายยยยยยยยยย
พากันออกมาแล้วจ้า เก็บภาพตามข้างทางระหว่างทางไปทั่วเส้นลัคเนาว์
รู้สึกเลยว่าเด็กหนุ่มจะหน้าตาคมเข้ม เรียกขึ้นว่าหล่อเลยแหละคนอินเดียเนี่ย
ยกเว้นท่านพี่คนนี้น่ะ หน้าจะดุๆ หน่อย เพราะเราไปแอบถ่ายเค้าตอนกำลังทอดดขนมกันอยู่ 555
ช่วงเวลานี้คือ ช้อปปิ้งค่ะ สาวๆ หลายคนอาจจะชอบ รวมทั้งเราก็ชอบด้วยนะ
แต่เงินเรา ณ ตอนนั้นมีติดตัวแค่เกือบๆ 3 พันรูปีค่ะ (1500 บาท) กะว่าจะซื้อของช้อปให้หมดไม่เหลือกลับมาไทยแล้วล่ะ
เพราะเป็นเงินเหลือจากการมาอินเดียครั้งแรก
แต่จนแล้วจนรอด มาอินเดียครั้งนี้เราก็เหลือกลับไปเช่นเดิม เฮ้อ เพระาอะไรนะเหรอ
เพราะว่าเราไม่รู้จะซื้อะไรไปนี่แหละค่ะ คือคำตอบ !
ไกด์อินเดีย พาเราเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ เข้าร้านแม้กระทั่งกำไลข้อมือ
เผื่อว่าเราจะชอบ เปล่าเลย เราไม่ชอบใส่อะไรพะรุงพะรังค่ะ และบอกว่าใส่ของพวกนี้คันมาก ไม่ชอบอย่างแรง 555
ดูดเงินในกระเป๋าเราไม่ได้เลยนะนั่น
แต่ เมื่อร้านนั้นร้านนี้ดูดเงินในกระเป๋าเราไม่ได้ ก็มีร้านหนึ่งที่เราหลงกลไปซื้อ และถูกโกง เสร็จพี่แขกเขาจนได้นะ !
เราเดินเข้าไปร้านขายผ้าคลุมไหล่ร้านหนึ่งค่ะ ขายผืนละ 100 รูปี เราเลือกหยิบมา 7 ผืน พอไปจ่ายเงิน คนขายบอกว่ามีผยู่ผืนหนึ่ง
ผ้าและลวดลายไม่เหมือนเพื่อนราคา 150 รูปีนะ เราก็ไม่ว่าไร จ่ายๆ เงินไป 750 รูปี แล้วมายืนรวมกับกลุ่ม โพสภาพ ถ่ายภาพกัน
โดยไม่ได้เฉลียวใจเล้ยยยย ว่าไอ้ถุงสีน้ำเงินที่เราถืออยู่นัน่น่ะ มีผ้าพันคอแค่ 6 ผืนเท่านั้น
มารู้อีกทีตอนอยู่ที่โรงแรม จัดกระเป๋าเก็บของนี่แหละ 555 เจ็บใจชมัดนะเจอแขกหลอกแบบนี้ !
แต่แขกอินเดีย คนอื่นๆ ก็น่ารักนะ ยืนยิ้ม โพสท่าให้ถ่ายรูปได้ด้วย
เหมือนอาบังคนนี้
แต่ยกเว้นสามล้อคนนี้ค่ะ เอากล่องส่องแปปเดียว ทำปาก ขมุบขมิบมองด้วยสายตา แล้วถีบสามล้อจากไป 555
คงคิดในใจประมาณว่า พวกเมิงจะถ่ายรูปไรกรูนักหนา ! 555
ออกจากตลาดและขมวิถีชีวิตของชาวลัคเนาว์แล้ว เรายังไม่พอแค่นี้
พากันมาเดินห้างต่อค่ะ
ภายในห้างสรรพสินค้า จะมีแบรนด์ชั้นนำเหมือนบ้านๆ เรา พอคำนวณดูแล้ว ราคาจะพอๆ กันกับเงินบาทบ้านเรานะคะ
เราก็ไม่ได้อะไรกลับมาตามเคย ยกเว้นเข้าไปซื้อน้ำโค้กในร้าน แม็คโดนัลล์กินแก้วหนึ่ง
สังเกตได้เลยว่า คนอินเดียเขาไม่ค่อยนิยมน้ำแข็งเหมือนบ้านเราค่ะ ทั้งที่เป็นมืองร้อนแท้ๆ อย่างบ้านเราซื้อโค้กนี่จะกดน้ำแข็งเต็มแก้วแล้วมากดน้ำให้เรานะ แต่ที่นี่ ตักน้ำแข็งเพียงแค่ 3 ก้อนเล็กๆ เท่านั้นเอง ดูดแปปเดียวละลายแล้วล่ะ 555 เพราะไกด์เล่าว่า น้ำแข็งที่อินเดียไม่ค่อยสะอาดเท่าไหร่ เป็นน้ำแข็งที่กินไม่ได้ ยกเว้นต้องดูจริงๆ เช่นที่ผลิตกันเองเหมือนในโรงแรมนะคะ
ช่วงเวลานี้ร้อนๆ กลับเข้ามานั่งเล่นนอนเล่นที่โรงแรมกันต่อเพราะทนอุณหภูมิที่ 39 องศาไม่ค่อยจะไหว มาแช่แอร์กันกอน
และตอนเย็นนี้ เรามีนัดกันที่ Ambedkar Memorial Park ด้วย
"อัมเบดการ์ เมมโมเรียลพาร์ค" (Ambedkar Memorial Park)
"อัมเบดการ์ เมมโมเรียลพาร์ค" (Ambedkar Memorial Park) ที่นี่เหมือนเป็นสวนสาธารณะค่ะ สวนสาธารณะที่ไม่มีต้นไม้
แต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก จากที่มองเห็นวิวบนโรงแรมที่พักเราอยู่ไกลๆ ก็อลังการแล้ว
พอได้เดินเข้ามาเห็นของจริงภายในนี้ ยิ่งสวยงาม !
เน้นๆ มาเดินชิลๆ ตอนเย็นยามพระอาทิตย์ใกล้ตกจะสวยงามและได้ภาพชิคๆ กลับไปเยอะแน่ๆ ค่ะ
Ambedkar Park เป็นอนุสรณ์สถานของ Ambedkar, หนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของอินเดีย
ความเซอร์โดยย่อคือ Ambedkar เกิดในวรรณะจัณฑาล แต่เนื่องจากเรียนเก่งมากๆ และเห็นว่าอินเดีย
ควรให้ความเท่าเทียมในแต่ละชนชั้นวรรณะ Ambedkar ซึ่งเดิมเป็นจัณฑาลอยู่ในศาสนาฮินดู
พูดอะไรไม่มีใครให้ความสนใจ จึงเปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธไม่เป็นจัณฑาลแล้วจ้าาาา
ประมาณการไม่ได้ว่าพื้นที่กว้างมากมายแค่ไหน รู้แค่มากกว่าไบเทคหลายเท่าแน่นอน และรู้แน่ๆว่าเรานั้นเดินไม่ทั่วด้วยเช่นกัน 555
แม้แต่โดมภายในใหญ่ๆ นั้น เราก็ไม่ได้เข้าไปดูนะว่ายิ่งใหญ่แค่ไหน พอกลับมาลองเสิจดูภาพในโดม แทบจะหยิกตัวเอง
ว่าทำมั้ยยยยยไม่เข้าไปดูให้เห็นกับตา จะได้มาที่นี่อีกมั้ยเนี่ยตรู !
เมื่อมาที่นี่ เราก็ยังกลายเป็นซุปตาร์อยู่ดีค่ะ ที่นี่ยิ่งมากขึ้นไปอีก เพราะชาวอินเดียจะเดินเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย
เยอะกว่าในมัสยิดอีกนะเออ คงเพราะเราขาว เราสวยกว่านีเ่อง ฮี่ๆ
สาวๆ มาแล้วหนุ่่มๆ ก็ไม่เว้น แต่ก็มีหลายกลิ่นหน่อยนะ เป็นดาราชั่วคราวก็แบบนี้แหละ ต้องทนไปก่อน ห้ามบ่นๆ
จนมาเหลือด่านสุดท้ายกำลังจะกลับพอดี แล้วเราก็โดนจนได้ !
ก่อนกลับมีเด็กๆ มารายล้อมหน้าหลังเราพอสมควร ด้วยความเป็นนางงามและตังค์เหลือๆ
กะจะควักแจกให้เด็กๆ อยู่แล้วเชียว พอจับเอาแบ้งค์ชุดนึงออกมา ฉับพลันมือปริศนาในกลุ่มนั้นก็คว้าเงินในมือเราทั้งหมดแล้ววิ่งหนีไป !
เราได้แต่ยืนอึ้งค่ะ เร็วมาก แต่เงินแบ้งค์อื่นเรายังเหลือนะ แต่ไอ้ความเป็นนางงามใจดีหายไปล่ะ
ไม่อยากให้แล้ว (โว้ยยย) 555
ตามมาชมแสงเย็นที่อลังการของ Ambedkar Memorial Park กันต่อดีกว่า
ขอบอกเลยว่า สวยสุดใจจริงๆ ค่ะที่นี่
และรูปปั้นนี่คือ Ambedkar หนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของอินเดียที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น
ซึ่งรูปปั้นจะอยู่ลึกสุด เข้าไปอีกเลยจากกลุ่มช้าง อย่างเห็นได้ชัดสร้างบนแท่นที่สูงมองได้ไกลๆ อย่างชัดเจน
สรุปคือชอบนะ Ambedkar Memorial Park ในลัคเนาว์ กับแสงสีทองอ่อนๆ ยามเย็น
ได้เวลาสมควรก็พากันกลับ รร. อาบน้ำ ทานอาหารเย็น 4 ทุ่มเช็คเอาท์และมุ่งหน้าไปสนามบินลัคเนาว์
รอจนถึงเที่ยงคืน สายการบินไทยสมายล์ก็พาเราและชาวคณะบินลัดฟ้ากลับมายังสุวรรณภมูมิในตอนเช้าตรู่
ถึงบ้านก็พากันสลบต่อค่ะ 555
เป็นอีกทริปที่มีสีสัน และสนุกจริงๆ สำหรับเรา ที่ได้ไปใกล้ชิดแหล่งกำเนิดพระพุทธศาสนา
ได้เห็นวิถึชีวิต ชนชั้นของชาวอินเดีย ได้ทานอาหารแปลกๆ ได้นอนสบายทุกคืน
ได้นั่งรถนานๆ และเป็นอีกหนึ่งความทรงจำดีดีกลับมาเล่าสู่กันฟัง
ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ
RinSa YoyoLive
วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 14.04 น.