หลังจากไปเที่ยวมาหลายประเทศบอกเลยว่าเป็นทริปที่ประทับใจมากที่สุดเท่าที่เคยเที่ยวต่างประเทศเลยทีเดียวครับ โหดใช่เล่นการได้มาเยือนภูเขาไฟบนเกาะชวาฝั่งตะวันออก (East Java) ของประเทศอินโดนีเซีย คงเป็นทริปในฝันของใครหลายๆ คน ที่ไม่ว่าจะถ่ายรูปจากมุมไหนก็ดูสวยไปหมด ภูเขาไฟโบรโม่ที่ยังปะทุ มีควันพวยพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา และการได้มาเห็น เปลวไฟสีน้ำเงิน Blue Flame ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Sulfur lake ทะเลสาบกรดที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลก รวมอยู่ในที่เดียวกันที่คาวาอีเจี้ยนปากปล่องภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นักท่องเที่ยวไทยสามารถไปท่องเที่ยวและพำนักในประเทศอินโดนีเซียได้ 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่านะ
ส่วนสกุลเงินที่ใช้คือ รูเปียห์ Rupiahs
การเตรียมตัว : สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมากๆในการมาโบรโม่และคาวาอีเจี้ยน
- เสื้อกันหนาว เน้นที่เป็นแจ็คเกตนะครับรับรองว่าสบายชัวร์
- ผ้าปิดปากมีก็ดีครับ(คนละอันกับที่ไกด์มีให้นะครับ ที่ไกด์ให้จะเป็น gas mask) ใส่ตอนขึ้นไปถึงปากปล่องภูเขาไฟ
- ไฟฉาย แบบคาดหัวจะโอเคมาก
- ยาแก้เมารถ
- เสื้อกันฝน ใช้ที่น้ำตก
แวะชมกระทู้เก่า ๆ ได้ตามลิงค์ข้างล่างนี้นะครับ
[ ★ ] แบกเป้ตะลุย " ฮ่ อ ง ก ง " ( 3 วัน 2 คืน ) งบไม่เกิน 11,000.- สุดชิวส์ https://th.readme.me/p/3797
[ ★ ] ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิต " ผ า หิ น กู บ " ( 2 วัน 1 คืน กับงบ 1,400.-) https://th.readme.me/p/3774
[ ★ ] " ที ล อ ซู " อุ้มผาง มหัศจรรย์แห่งสายน้ำ กับเส้นทางลอยฟ้า 1219 โค้ง ( 3,900 บาทไทย ) https://th.readme.me/p/3935
[ ★ ] ก ร ะ บี่ ทริปสุดปัง !!! เที่ยวจุใจ 3 วัน 2 คืน ( 3,900.- เอาอยู่ ) https://th.readme.me/p/3937
[ ★ ] Backpack เว้ - ดานัง - ฮ อ ย อั น ( 5 วัน 4 คืน กับงบ 5,139.-) บนเส้นทางแห่งความทรงจำ ในวันที่ไม่นั่งเครื่องบิน :) https://th.readme.me/p/4720
[ ★ ] นอนแคมป์สุดชิค 2 วัน 1 คืน รับลมหนาว GOOD OLD DAYS จ. จันทบุรี https://th.readme.me/p/4721
[ ★ ] " มหากาพย์ลำคลองงู " แบกชูชีพ - เดินป่า - ไต่หิน - ลอดถ้ำ - ลอยตัว - โดดน้ำ - ตะลุยโลกใต้พิภพ https://th.readme.me/p/9353
[ ★ ] กิน หลง เที่ยว แบบงง ๆ ครั้งแรกในจีน " ฉ ง ชิ่ ง " ( 4 วัน 3 คืน งบไม่ถึงหมื่น ) https://th.readme.me/p/9471
+++พูดคุยทักทายกัน ติดตามเพจได้ที่นี่ ++
https://www.facebook.com/tiewhaikonaijchaa/
พร้อมล่ะ ออกเดินทางกันเลย….
- Day 1-
ดอนเมือง – บาหลี (เดนปาซาร์) - วัดทานาล็อต (Tanah Lot)
ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้นหรือนอนไม่หลับ ทำให้มาถึงสนามบินตั้งแต่ 04.00 น. (ที่สำคัญผมกลัวตกเครื่อง)
ออกเดินทาง (06.15) ดอนเมือง – บาหลี (11.30) บินตรงใช้เวลา 4 ชม. ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง
ได้ตั๋วของ Airasia เวลาที่ Bali เร็วกว่าไทย 1 ชม. (ได้อยู่ในโลกอนาคตอีกแล้ว )
ถึงบาหลีประมาณ 11.40 น.แลกเงินที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าสนามบิน มีไกด์มารอรับ (วู๊ดดี้)
บร๊ะเจ้า !!! รถที่เรานั่ง แอร์เสียคร๊าบบ ร้อนตับแล่บบบ (แต่วู๊ดดี้บอกว่าจะเอารถไปซ่อมแอร์ระหว่างเราทานข้าวกลางวัน)
เนื่องจากตอนเช้าพวกเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลย เลยบอก วู๊ดดี้ พาพวกเราไปกินข้าวก่อน นั่งรถออกจากสนามบินไม่นาน
วู๊ดดี้ ก็มาแวะร้านๆหนึ่ง คือสั่งอาหารกันไม่รู้เรื่อง ชี้ๆ เน้นเป็นเนื้อไก่ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ local มากๆ ไหนๆก็ไหนๆล่ะ
ลองกินดูก็ได้รสชาติก็พอกินได้ ส่วนตัวคิดไว้แล้วว่ามาอินโด "กินเพื่ออยู่"
โฉมหน้า ไกด์และคนขับรถของเรา (วู๊ดดี้เสื้อแดง)
จากนั้นก็นั่งรอรถที่เอาไปซ่อมแอร์เดี๋ยวน่ะ !!! นี่คือซ่อมแล้ว มันยังร้อนอยู่เหมือนเดิม แต่ก็เดินทางต่อ วู๊ดดี้
แวะมินิมาร์ท ห้องน้ำให้พวกเราตลอด สำหรับถนนหนทางเป็นเลนสวนกัน ขับกันน่ากลัว จี้ตูดกันตลอดนั่งรถ
ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง Tanah Lot (ค่าเข้า 60,000 รูเปีย)
🔖 วัดทานาล็อต (Tanah Lot) สถานที่เที่ยวที่แรกของเราในเกาะบาหลี เป็นสถานที่ยอดฮิตที่ไม่ว่าใครๆ
มาเยือนบาหลีก็ต้องแวะมาที่นี่ให้ได้ จนดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของเกาะบาหลีไปแล้ว
🔖 Tanah Lot เป็นวิหารที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนโขดหินริมทะเล ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ ทำให้ที่นี่ยิ่งเพิ่มดีกรีความสวยงามขึ้นไปอีกในช่วงเย็น เวลาน้ำขึ้นจะเหมือนเป็นเกาะเล็กๆ และจะสามารถเดินเข้าไปที่วิหารได้เฉพาะช่วงเวลาน้ำลง
บริเวณนี้คือสถานที่รับน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่น้ำไหลออกมาใต้วิหาร
หลังจากชมความงดงามของสถาปัตยกรรมขึ้นชื่อของบาหลีเสร็จเรียบร้อย ก็เดินทางไปยัง
อูบุด เดินทางประมาณ 2 ชม.
อาหารเย็นของเรามื้อนี้ ณ ร้าน
Bebek Bengil ขับรถวนหาร้านนี้อยู่สักพัก ก็ได้กินสมใจ
คืนแรก เราพักที่ Bali Sunshine Homestay บรรยากาศที่พักประมาณ แกลอรี่ของเก่านอนหลับสบายตลอดคืน
ไม่รู้เพราะความเหนื่อยล้าที่เดินทางมาทั้งวันหรือเพราะอะไร
-Day 2 -
วัดอูลันดารูบราตัน - Kawah Ijen
🔖 ออกจากที่พักประมาณ 9 โมง เดินทางไปยังวัดอูลันดารูบราตัน ถูกสร้างมาเพื่อถวายแก่พระเจ้าเทวีดานู เทพเจ้าแห่ง
สายน้ำ และคิดว่าหลายคนเลยคงจะคุ้นหน้าคุ้นตา เพราะวัดนี้ชอบถูกเอาไปเป็นไอคอนิกบาหลีไง รวมถึงวัดนี้ยังไปปรากฏ
อยู่บนแบงค์ 50,000 รูเปียของอินโดนีเซียอีกด้วย!
🔖 วัดอูลันดารูบราตัน เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Bratan ทางตอนเหนือของเกาะบาหลี ห่างจากหาด Kuta ขึ้นไปประมาณ
2 ชั่วโมง ... จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่เจดีย์ทรงสูง หลังคามุงด้วยฟางซ้อนกัน 11 ชั้น ที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลางทะเลสาบ
ที่นี่สวยงามมากถ่ายรูปไม่มีเบื่อเลยล่ะคร๊าบบ เราทานอาหารกลางวันที่ร้านหน้าวัดเลย
บรรยากาศดีมาก อาหารอร่อย ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่เมืองไทย อาหารอร่อยฟุดๆๆ ราคาไม่แพงมาก
ออกเดินทางไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ เพื่อข้ามไปเกาะชวา เวลาที่นี่เท่ากับเมืองไทย ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง
ระหว่างทางไปคาวาอีเจี้ยนส่วนใหญ่จะเป็นเขา ใครเมารถให้เตรียมยาแก้เมาด้วย มาถึงที่พัก
Panorama HomeStay
ประมาณ 2 ทุ่ม มีเวลาพัก 5 ชั่วโมงก่อนตื่นไปลุยคาวาอีเจี้ยนตอนตีหนึ่ง คือมาถึงที่นี่สองทุ่มและ
ต้องเช็คเอาท์ออกเลย ตอนตีหนึ่งเพื่อไป Trek ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน
- Day 3 -
Trek ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน
หลังจากนี้นี่แหละคือความโหดของคาวาอีเจี้ยน บอกเลยเป็นสถานที่ .. ที่.. คือแม่งต้องมาซักครั้งในชีวิต…
ถึงทางขึ้น Paltuding ซึ่งเป็นจุดเริ่มเดินเท้าขึ้นสู่ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน ประมาณตีสอง เริ่มเดินระยะทางจากทางเข้าไป
ปากปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน 3 กิโล ..
เดินขึ้นทางชันๆประมาณ 2 กิโล (ย้ำ.. ว่าชันมาก) ทางราบ อีก 1 กิโล ยังไม่รวม .. ถ้าลงไปในปล่องอีกแกรรรรร
อีก 1 กิโล (อ้อ!!! ที่นี่มี TAXI ด้วยราคา 100,000 รูเปีย)ผมน่ะเหรอ เดินไปพักไป เพราะรู้สึกร่างกายขาดอากาศ
ยิ่งเดินยิ่งไกล ก็นั่นแหละ !! มันก็เป็นแบบนี้ มีความเหนื่อย ความลำบาก แต่ก็ต้องอดทน กำลังใจมาเต็มร้อย
แต่กำลังขาถดถอยลงทุกที :(
เหตุผลที่เราต้องลำบากลำบน ทรมานร่างกาย ตื่นมาเดินตั้งแต่ตีสอง นี่เพื่อ???มาดูเพลิงสีน้ำเงิน Blue Fire
(ถ้าโชคดีก็ได้เห็น) แต่ถ้าใครไม่อยากมา ก็เปิดเตาแก๊สเอาที่บ้านคล้ายๆ ประมาณเดียวกัน แต่อารมณ์ต่างกันสุดขั้วเลย
เสียดายที่ไม่ได้เดินลงไปในปล่อง ระยะทาง 1 กิโล เพราะก่อนหน้าผมเดินทาง มีการระเบิดเกิดขึ้นก็เลยไม่อนุญาตให้
ลงไปในปล่อง คือถือเป็นความโชคดีสุดๆ เลยแหละ ไม่ต้องเหนื่อย เพราะแค่ทัศนียภาพที่ปรากฏตรงหน้า ทะเลสาบสีเขียวมรกต ณ ตอนฟ้าเริ่มสว่างมัน คุ้มค่าที่สุดจนลืมความเหน็ดเหนื่อยก่อนหน้านี้ไปเลย!! (ถ้าตกลงไปก็คือตายอ่ะ)
มีก้อนกำมะถันที่เอามาตั้งโชว์ระหว่างทางด้วย อันนี้คือก้อนใหญ่มากกกก
การทำงานของคนงานเหมืองแร่ที่นี่กันบ้าง โดยจะเริ่มงานกันตั้งแต่ตี 3 หาบกระบุงเปล่าขึ้นมาแล้วลงไปที่ปากปล่อง
แซะก้อนกำมะถันไต่ขึ้นมาบนทางที่ชัน แล้วหาบลงเขาไปอีก 3 กม. ซึ่งน้ำหนักของแร่กำมะถันที่ชาวบ้านแบกกันอยู่ที่
ประมาณหาบละ
60 – 80 กก. โดยค่าจ้างจะอยู่ที่ กก.ละ 2 บาท วันนึงอาจจะหาบได้ 2-3 รอบ คิดเป็นเงินรอบละประมาณ
100 กว่าบาท
เป็นงานที่เหนื่อยแสนสาหัสและอันตรายบั่นทอนสุขภาพมากๆ เพราะต้องดมแก๊สพิษเข้าปอดอยู่ทุกวัน
ประมาณ 6 โมงเราก็เริ่มเดินลงจากคาวาอีเจี้ยน เพราะทนความหนาวไม่ไหวเดินลงตอนแรกคิดว่าง่าย ๆ
ที่ไหนได้เจ็บปวดกว่าตอนขึ้นอีก เพราะทางมันชันแล้วต้องจิกปลายเท้าตลอด
ระหว่างเดินลงเขาก็สวย ลองมองดูวิวรอบๆ แล้วเราจะเห็นความงดงามที่ตอนเราเดินขึ้นไม่เห็นเห้ยยยยย
นี่รู้สึกแบบนี้จริงๆ คุ้มมากกับการมาที่นี่ มันคือที่สุดจริงๆ
แล้วเราก็ลงมาถึงด้านล่างประมาณ 07.30 น. ระหว่างทางก็ถอดเสื้อตัวนอกออกจนเหลือแต่เสื้อยืด
หลังจากนี้ก็จะเป็นการนั่งรถแบบมาราธอน 8 ชั่วโมง เพื่อเดินทางไปยัง Bromo ด้วยระยะทาง 280 กิโลเมตร
(นั่งเมื่อยแล้วเมื่อยอีก ลงมินิมาร์ทก็หลายที่ มันก็ยังไม่ถึง)เดินทางมาถึง Bromo ประมาณ 2 ทุ่ม
มื้อเย็นวันนี้เรากินสะเต๊ะของอินโด มีทั้งเนื้อไก่ เนื้อแพะ อร่อยฟุดๆ เหมือนไก่สะเต๊ะบ้านเราเลย
เพียงแต่ไม่มีอาจาดเครื่องเคียงเท่านั้น
เราเข้าที่พัก ประมาณ 3 ทุ่ม อากาศที่นี่หนาวกว่าอีเจียน เพราะอยู่สูงกว่า ห้องพักที่นี่ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม wifi สัญญาณ ก็พอได้นิดหน่อย กินอิ่ม อาบน้ำร้อน แต่งตัวเตรียมพร้อมออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ นัดไกด์ไว้ ตอน ตี 03.00 น.
- Day 4 -
จุดชมวิว Bromo ลมหายใจเทพเจ้า - ปีนปล่องภูเขาไฟ - ทะเลทรายดำ - ทุ่งหญ้าสะวันนา
นัดกับวู๊ดดี้ ตอนตี 03.00 การขึ้นไปยังจุดชมวิวต้องใช้รถ Jeep ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 45 นาที ไปดูวิวและพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขา Penanjakan เค้าบอกว่าคือจุดชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดในโบรโม่ คือความอัศจรรย์ทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งนึงของเกาะชวาตะวันออก อากาศหนาวมากกกก เตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้พร้อมเลยนะ
มาถึงค่อนข้างเร็วประมาณตี 4 คือต้องยืนรอท่ามกลางความมืดและความหนาวอีกเกือบ 2 ชม. ถ่ายบรรยากาศได้ก่อน
พระอาทิตย์ขึ้น ในรูปว่าสวยแล้ว ของจริงสวยยิ่งกว่า กว่าพระอาทิตย์จะขึ้น ตอนแรกก็แอบคิดว่าทำไมต้องพาเรามา
แต่เช้าจัง แต่พอมาถึงแล้วก็เห็นว่านักท่องเที่ยวมารอกันมากมายเลยทีเดียว ที่จุดชมวิวนี้มีของขาย มีเสื่อ และ
เสื้อแจ็คเกตให้เช่าสำหรับคนที่เตรียมมาไม่พอ
พอฟ้าสว่างขึ้น….ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า กลุ่มภูเขาไฟและโบรโม่ที่กำลังพ่นควันอยู่ มันทำให้เราลืมความหนาว
ง่วงและ
เหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลไปจนหมด เฮ้ย…มันสวยมากกกก
เป็นการตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เช้าที่สุดในชีวิตล่ะ แต่สิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นได้มากกว่าการมาดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ
ก็คือการรอคอยแสงสว่าง เพื่อที่เราจะได้มองเห็นภูเขาไฟโบรโม่ของจริง
หลังจากชมวิวบนภูเขา Penanjakan กันสักพัก ระหว่างทางลงมาก็มีอีกจุดที่คนขับจอดรถให้ลงไปถ่ายรูปกัน
จะได้มุม ประมาณนี้ภูเขาไฟบาต็อก (Gunung Batok) ที่อยู่ด้านหน้าโบรโม่ เป็นภูเขาไฟที่สงบนิ่งแล้ว
หลังจากลงมาที่จุดชมวิวแล้ว รถจี๊ปจะมาจอดตรงบริเวณตีนเขาด้านล่าง ในส่วนของทะเลทรายดำๆ ด้านหน้า
ภูเขาไฟโบรโม่และภูเขาไฟบาต็อกที่ตั้งอยู่ติดกัน ที่นี่เราเลือกได้ว่าจะขี่ม้า หรือเดินเข้าไป ระยะทาง
ประมาณ 2 กิโลกว่าๆ ขี่ม้า (ราคาไป-กลับ 125,000 รูเปีย)
มีรถ Jeep หลายสีสันจอดเรียงให้เราได้แอ๊คท่าถ่ายรูปกันเยอะมาก
ทีนี้เราต้องเดินเข้าไปหาตีนภูเขาไฟโบรโม่ก่อน อยากมีรูปอัพลงโซเชียลแบบเท่ห์ก็ เชื่อผมเหอะ
ขี่ม้าไปสบายกว่าเยอะ แต่เจ็บตรูดดด
จากจุดที่พวกเราขึ้นม้า เห็นทางเดินแล้วท้อได้นั่งม้าแล้วสบายใจหน่อยม้าจะไปส่ง
พวกเราเกือบ ๆ ถึงบันไดขึ้นไปปากปล่องโบรโม่
มองย้อนกลับไป โคตรคิดถูกเลยที่นั่งม้ามา ไม่งั้นหมดแรงพอดี รู้สึกเหมือนอยู่กลางโอเอซิส
ก่อนขึ้นปากปล่องภูเขาไฟก็จะมีชาวบ้านพื้นเมืองมาขายดอกไม้ให้เราถือขี้นไปอธิษฐาน ขอพร และโยนดอกไม้ลงในปล่อง
ทีนี้แหละความยากเริ่มมา คือแกต้องไต่บันไดปีนขึ้นไปดูบนปล่องภูเขาไฟ คือมันชันมาก ลื่นมาก
แดดก็ร้อนมากด้วย รู้สึกเหมือนอยู่กลางทะเลทราย เดินไป พักไป (สโลแกนเราเอง)
ผู้คนเยอะแยะมากมาย หลากหลายเชื้อชาติ
แต่พอขึ้นไปถึงยอดแล้วเฮ้ย !!! แม่งหายเหนื่อยเลยว่ะ กับวิว 360 องศา
ไต่ขึ้นมาสูงได้ที่ล่ะ หันกลับไปจากมุมนี้จะเห็นเทวสถานฮินดูที่เราขี่ม้าผ่านมา กองทัพรถจี๊ปและฝูงม้า วิวทะเล
ฝุ่นกำมะถันสีดำ และเทือกเขาPenanjakan ที่เราเพิ่งลงมากันเมื่อเช้ามืด อยู่ไกลๆ
เสียงคำรามของโบรโม่ดังสนั่นไปทั่ว มีควันพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา หนักบ้างเบาบ้าง
กลิ่นและฝุ่นกำมะถันก็รุนแรงขึ้นกว่าตอนที่เดินขึ้นมา
คือตอนนี้เว้ย เรายืนอยู่ขอบปล่องภูเขาไฟโบรโม่แล้วววว โครตสวย และย้ำว่าของจริงสวยอลังการกว่าในรูปเยอะมาก
และสมกับที่ได้รับสมญานามว่าเป็น "ลมหายใจของเทพเจ้า"
เชื่อเค้าเลย !!! ขนาดข้างบนปล่องภูเขาไฟ ยังมีดอกไม้มาขายอ่ะ (แล้วผมจะแบกดอกไม้ขึ้นมาเพื่อ ??)
ทางเดินมีรั้วคอนกรีตกั้นนิดหน่อย ต้องระวัง ถ้าพลาดตกลงไปคือไม่มีใครช่วยจริงๆ ตายอย่างเดียว คืออันตรายมาก
*** เพราะมีนักท่องเที่ยวชาวสิงค์โปรเคยตกลงไปแล้ว ***
เอาดอกไม้ที่ถือขึ้นมาอธิษฐาน ขอพร เพื่อแสดงการสักการะเทพเจ้า
อธิษฐานเสร็จแล้วก็โยนลงไปในปล่องภูเขาไฟ อยู่บริเวณปากปล่องสักพัก เพื่อเก็บภาพที่สวยงาม
ระหว่างทางเดินกลับ มีของกิน ของที่ระลึก (เสื้อยืด) ขายเต็มไปหมด ในราคาที่ไม่แพงมาก (พอรับได้)
ขากลับลงมา เวลาประมาณ 8.00 โมงเช้า มีแดดล่ะพอให้อากาศอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ขอเซลฟี่กับน้องม้าบ้าง จับเชือกมือนึง ถือกล้องถ่ายรูปอีกมือนึง
ทางตรงยังพอไหวแต่ทางขึ้นเขาต้องจับให้แน่นทั้งสองมือ เพราะทางชันมากถ้าตกลงมาเจ็บแน่ๆ ><"
เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่รู้สึกประทับใจมากถ่ายวิวก็สวย ถ่ายคนก็โคตรหล่อ คือใช้เวลาที่นี่กันนานมาก
ไม่ว่าจะถ่ายรูปในมุมไหนสวยหมดจริงๆ
หลังจากปีนไปดูปากปล่องมาแล้วก็ไปถ่ายรูปที่
Whispering Sands
บริเวณนี้เป็นจุดหนึ่งที่ถ่ายรูปได้สวยงาม กับความพีคที่ต้องมาเห็นกับตา คือทรายสีขาวที่ฟุ้งเหมือนมีลมเป่า
ให้มันพัดตลอดเวลา แต่ถ่ายมาแล้วทรายสีขาวมันไม่ฟุ้งอ่ะ
แล้วก็ไปต่อที่ทุ่งสะวันนา (Savahna) ระหว่างทางเห็นคนเก็บดอกไม้ น่าจะเอาไปทำเป็นช่อแล้วขายให้เรา
(10,000 รูเปีย) เพื่อหอบขึ้นไปโยนลงปล่องภูเขาไปตามความเชื่อแหละเนอะ
ทุ่งสะวันนา (Savahna) ที่ทุ่งหญ้าเขียวๆนี่ เวลาถ่ายรูปออกมาแล้ว ก็สวยไม่แพ้จุดอื่นเลยจริงๆ
จากนั้นก็นั่งรถกลับที่พัก อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า Check-out ตอนเที่ยงพอดีเป๊ะออกมาแวะร้านหมูสะเต๊ะ
กินกันคนละ 10-20 ไม้ ก่อนเดินทางกลับสุราบายา
ใช้ระยะเวลาก็ประมาณ 5 ชั่วโมงได้ เรามาถึงสุราบายาประมาณ 2 ทุ่ม (เข้าตัวเมืองแล้วโว้ยยย)
คืนสุดท้ายเราพักที่ Swiss-Belinn Tunjungan โรงแรมนี้สัญญาณ wifi ชัดเจนมากเลยทีเดียว แอร์ก็เย็น ที่นอนก็นุ่ม
คืนนี้เป็นคืนแรกของทริปนี้ที่เราได้นอนแบบเต็มตื่น ไม่ต้องตื่นแต่ดึกพรุ่งนี้เราก็เดินทางกลับเมืองไทยแว้วว
อาหารเช้าของโรงแรมก็อร่อย เป็นบุฟเฟ่ต์หลากสไตล์
ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ Check-Out ออกจากโรงแรม เตรียมตัวเดินทางไปสนามบิน
ฝากวู้ดดี้ส่งเปิ้สสะก๊าดกลับเมืองไทยให้เรา มันคือความทรงจำที่จับต้องได้
ทริปอินโดนีเซียทริปคือทริปโคตรรพีคที่สุดทริปหนึ่ง หลังจากไปเที่ยวมาหลายประเทศบอกเลยว่าเป็นทริปที่ประทับใจมากที่สุดเท่าที่เคยเที่ยวต่างประเทศเลยทีเดียวครับ โหดใช่เล่นต้องมาซักครั้งในชีวิตมันน่าประทับใจ ครบทุกรสชาติที่ไปมา
ชมวัดอลังการงานสร้างที่บุโรพุทโธ .. Trek ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน และสุดท้ายนั่งรถจิ๊บ ขี่ม้า ปีนภูเขาไฟโบรโม่...
ทุกอย่างมันลงตัว จากทริปนี้ มันไม่ใช่การเที่ยวที่หรูหรา หรือต้องประหยัดอะไรมากมาย ขอแค่กินอิ่ม นอนหลับ
แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับผม ขอบคุณตัวเองจริงๆ ที่ตัดสินใจออกเดินทางมาอินโดนีเซีย
ขอบคุณการเดินทางที่ทำให้ผมได้มีความสุขและสนุกอีกครั้ง และมิตรภาพที่แสนดี
ขอบคุณเพื่อนเดินทาง ขอบคุณมิตรภาพระหว่างทาง ที่ทำให้โบรโม่-คาวาอีเจี้ยนเป็นวันที่ดีๆ สำหรับผม
สุดท้ายขอบคุณ ที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมครับผม.....ขอบคุณครับ.....[^_____^]
เ ที่ ย ว ใ ห้ ค น อิ จ ฉ า
วันพฤหัสที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.42 น.