. สวัสดีครับพบกับ Chill Journey อีกครั้ง ทริปนี้เป็นทริปที่ผมได้รับโอกาสจาก ททท. ให้เดินทางไปเก็บภาพประชาสัมพันธ์โครงการ 7 greens "เที่ยวด้วยใจคิด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่จังหวัดกระบี่
. ผมจะพาไปชมกระบี่ในเชิงการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และ ททท.ใจดีให้มีผู้ติดตามได้อีกหนึ่งท่าน ผมเลยชวนแม่ผมไปด้วย ก็เลยเป็นทริปชวนแม่แบกเป้เที่ยวอีกครั้ง ต่อเนื่องจาก ชวนแม่ไปแบกเป้ที่ญี่ปุ่น และ ไต้หวัน ที่ได้รีวิวไปแล้วครับ
. คือทริปนี้ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ เข้าใจอารมณ์เด็กน้อยอ่านหนังสือ ททท. มาตั้งแต่เด็กป่ะครับ วันหนึ่งจะได้มาร่วมงานกับ ททท. :)
ก่อนจะไปเที่ยวแบบกรีนๆกันมาดูกันก่อนว่า 7 greens นี่มีอะไรบ้าง?
1. Green Heart : หัวใจสีเขียว
2. Green Logistics : รูปแบบการเดินทางสีเขียว
3. Green Attraction : แหล่งท่องเที่ยวสีเขียว
4. Green Community : ชุมชนสีเขียว
5. Green Activity : กิจกรรมสีเขียว
6. Green Service : การบริการสีเขียว
7. Green Plus : ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
สำหรับผมสรุปสั้นๆมันคือ "แนวคิดที่ให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญของการลดภาวะโลกร้อน และช่วยให้การท่องเที่ยวยั่งยืน" โอเคเข้าใจตรงกันครับถ้าใครต้องการข้อมูลมากกว่านี้รบกวนเชิญอ่านได้ที่นี่เลย http://7greens.tourismthailand.org/
. เริ่มต้นทริปด้วยการออกเดินทางด้วยสายการบินนกแอร์จากสนามบินดอนเมืองตอน 10:05 ไปยังกระบี่ ใช้ระยะเวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้นก็มาถึงกระบี่แล้วครับ คือไวกว่าจากบ้านไปดอนเมืองอีก
. วิวระหว่างทางก่อนถึงกระบี่จากหน้าต่างเครื่องบินสวยมากๆ เลยครับ ขอสารภาพบาปว่าไม่เคยมาเที่ยวภาคใต้เลยจริงๆ เอ้ะอะก็ไปเหนือไม่ก็ต่างประเทศตลอดๆ
. เมื่อถึงสนามบินแล้วก็โทรหารถเช่าที่นัดไว้ รอบนี้เราเช่าจาก Car rental in krabi ครับเมื่อจัดการเรื่องเช่ารถแล้วก็ขับรถเข้าตัวเมืองไปทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านดังของกระบี่กันครับ “ร้านเรือนไม้"
. ร้าน 'เรือนไม้' ที่ร้านนี้เป็นร้านที่มีบรรยากาศร่มรื่น ผมได้พูดคุยกับโกเลี้ยงเจ้าของร้าน เค้าบอกว่าร้านเค้าเน้นของที่สด และมีโต๊ะไม่มาก ไม่ขยายเพิ่มด้วยนะ เพราะจะได้ดูแลได้ทั่วถึงโกเลี้ยงเจ้าของร้านบอกอีกว่า ร้านเรือนไม้จะเน้นซื้อจากชาวบ้าน นอกจากจะได้ของสดมากๆแล้วยังถือเป็นการสนับสนุนให้ชาวบ้านอยู่ได้อีกด้วย นับเป็นแนวคิดที่ดีมากๆเลยครับ
. พอทานเสร็จขับรถไปปฏิบัติภารกิจ เยี่ยมชม ชุมชนกรีนๆอย่าง “บ้านเกาะกลาง" พอมาถึงท่าเรือเกาะกลาง นั่งเรือข้ามฝากไปยังบ้านเกาะกลางแค่ประมาณ 5 นาทีเท่านั้นเอง คนละแค่ 10 บาทเองครับถูกมากๆ
เรือข้ามกับชาวบ้าน เราก็นั่งคล้ายๆกันนี่หล่ะครับแต่เป็นแบบมีกาบเรือ(แบบลำซ้าย)
มองไปยังฝั่งเกาะกลาง มีป่าโกงกางเต็มเลย ชุมชนกรีนจริงๆ
.ที่บ้านเกาะกลางนี้ เป็นชุมชนสีเขียวจะเน้นธรรมชาติเป็นเกาะที่ไม่มีรถยนต์ ดังนั้นจะมี 2 ทางเลือกในการเดินทางในเกาะนี้ครับคือจักรยาน หรือ สามล้อ
เนื่องจากพาคุณแม่มาด้วยและอากาศร้อนจัด คงปั่นกันไม่ไหว เราจึงเลือกใช้สามล้อ นั่งไปหาหัวหน้าชุมชนผู้ให้ข้อมูลกับเราในวันนี้ “บังโรจ" มาทำหน้าที่อธิบายวิธีชีวิตชุมชนบ้านเกาะกลางให้เราฟัง โดยเกาะกลางนี้ส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นที่เกาะนี้จะมีข้อห้าม 4 ส.
สุรา สุนัข สุกร สายเดี่ยว
และที่นี่มีของดีประจำเกาะ 3 สิ่งที่เป็นจุดเด่นสำคัญของบ้านเกาะกลางก็คือ
1. เรือหัวโทง
2. ข้าวสังฆ์หยด
3. ผ้าปาเต๊ะ
*ถ้าใครจะมาที่เกาะกลางโทรหาบังโรจได้เลย จะได้ข้อมูลแม่นๆดีๆกลับไปแน่นอน 0815690224 ( หัวหน้ากลุ่ม เรือหัวโทง)
พอฟังบรรยายข้อมูลบ้านเกาะกลางจากบังโรจน์แล้ว ก็ไปชมกรรมวิธีการทำเรือหัวโทงกันครับ
ผมถามบังโรจน์ด้วยความสงสัย
ผม : แล้วเรือหัวโทงแตกต่างจากเรืออื่นยังไงครับ?
บังโรจ : เรือหัวโทงจะมีหัวเรือที่ใหญ่และฝ่าคลื่นได้ดีกว่าเพราะว่าทะเลฝั่งอันดามันคลื่นสูงมากอาจสูงถึง 2-3 เมตร
อ่อ.. นอกจากจะสวยแล้วยังช่วยเรื่องฝ่าคลื่นอีกด้วย
.จากเรือหัวโทงเดินต่ออีกนิดก็ถึงศูนย์ข้าวสังฆ์หยด ที่เป็นข้าวชื่อดังชั้นดีของไทย ดังขนาดงานวันพืชมงคลก็จะมีข้าวสังฆ์หยดไปด้วยเลยนะครับผมได้ลองกินแล้วรสชาติอร่อยมากๆ ขายกิโลละ 100 บาทเชียว
ที่บ้านเกาะกลางนี้จะทำนาเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้นครับหลักๆเค้าหากินกับการทำประมงกัน ตอนเรามานี้ยังไม่ถึงเวลาทำนา ถ้าใครมาช่วงที่ข้าวออกรวงจะสวยมากๆเลยครับ
พอฟังบรรยาย พูดคุยกับกลุ่มข้าวสังฆ์หยดแล้ว บังโรจก็มาส่งเราขึ้นรถต่อไปยังกลุ่มผ้าปาเต๊ะครับ
ต่อกันเลย มาชมผ้าการทำปาเต๊ะของดีบ้านเกาะกลางกัน ที่นี่จะมีให้ลองทำผ้าปาเต๊ะด้วยครับ ผมปล่อยให้คุณแม่ช็อปปิ้งและลองทำผ้าปาเต๊ะไปก่อน
ส่วนผมขอตัวแว้บไปถ่ายรูปเพราะตรงข้าม(อดีต)ทุ่งนา มีสัตว์โลกน่ารู้ให้ผมถ่ายรูปเยอะเลยครับ ^^
น้องแพะ แบะ แบะ
เห็นนกเอี้ยงบนควายไหมครับ?
ไม่น่าเชื่อว่ามีแบบนี้ในกระบี่นะเนี้ย บรรยากาศดี้ดี
.จบการบรรยายผ้าปาเต๊ะ (มีให้ทดลองทำด้วยขออภัยที่ไม่มีภาพ มัวแต่ไปถ่ายสัตว์โลกน่ารักอยู่ ) เราก็มาต่อที่โซนที่ติดทะเลผมเล็งว่าจะมาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ครับ ( หมู่ 3 ครับ)วิธีการหามุมถ่ายรูปผมเวลาไปที่แปลกๆก็คือเซฟภาพจากเน็ตมาครับว่าจะไปตรงนี้ยังไง ผมก็ให้บังโรจแนะนำครับ บังโรจจัดรูทการชมเกาะกลางให้เสร็จสรรพ กราบขอบพระคุณครับ
ก่อนพระอาทิตย์ตกก็เก็บรรยากาศชุมชนไปก่อนครับผมได้เห็นเด็กน้อยเล่นกับธรรมชาติรู้สึกดีจัง
เป็ดน้อยเดินต่อกันเป็นระเบียบเชียว น่ารักอะ
พระอาทิตย์จะตกแล้ว ภาพนี้แพะนะครับไม่ได้น้องหมา ( อย่าลืมเกาะนี้ห้ามสุนัขนะ )
ถือเป็น Unseen เล็กๆแล้วกันที่บ้านเกาะกลางนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยมากๆเพราะมองเห็นไกลไปถึงหมู่เกาะดังๆทั้งหลายของกระบี่เลยครับ
ผมถ่ายภาพจนพระอาทิตย์ลับของฟ้าไปแล้วก็ได้เวลากลับที่พัก ข้ามฝั่งมาแล้วก็ขับรถต่อไปยังอ่าวนางครับ
เราเข้าพักกันที่ “โรงแรมปกาสัย" โรงแรมระดับ 4 ดาวอยู่ใกล้อ่าวนาง ทำเลดีมากๆเดินไปนิดเดียวก็ถึงอ่าวนางละครับ และพอเปิดห้องก็แอบตะลึงในความอลังการของห้องพอสมควร ห้องพักสวย เครื่องใช้พร้อม น่านอนมากๆ
หน้าห้องมีอ่างจากุชชี่ด้วย ถามว่าสบายไม๊? ตอบเลยว่าไม่... ไม่ได้ใช้ ถ่ายรูปมารีวิวกลับดึก ออกเช้า ...ไม่มีเวลาลองเลยครับ
เริ่มต้นวันที่ 2 ของทริป
วันนี้เราจะออกทริปไปดำน้ำกันครับ เราเหมาเรือ 4 คนในราคาไม่ถึง 3 พันบาท ( มิย. 2558 ) ไปเที่ยวกันทริปครึ่งวันดังนี้ เกาะห้อง , ทะเลใน , เกาะผักเบี้ย , เกาะเหลาล่าดิง(พาราไดส์)ที่เลือกก็เพราะเป็นรูทที่สวยและไม่ฮิตมากเหมือนพวกไร่เลย์ ไรพวกนั้น คนจะได้ไม่เยอะมากครับ
ถ้าใครสนใจติดต่อเหมาเรือไปตามโปรแกรมนี้โทรได้ที่เบอร์ พี่เกียรติ 093-625-3257 ครับราคาไม่แพงต่อรองกันเองนะ
ที่แรกที่เรือพาไปคือ “เกาะห้องใน" สมฉายาเกาะห้องครับเป็นช่องแคบระหว่างสองภูเขา ประทับใจมาก เข้าไปด้านในจะเป็นเหมือนอ่าวย่อมๆน้ำไม่ลึก
บรรยากาศภายในเกาะห้องใน ดำน้ำผิวน้ำว่ายน้ำเล่นกันได้เพลินๆคนแทบไม่มี
ออกจากเกาะห้องก็ไปต่อที่ เกาะเหลาล่าดิง(พาราไดส์)ครับเป็นหาดเล็กๆที่สวยมากๆเช่นกัน ดำผิวน้ำเพลินเลยครับ
หาดเล็กๆใน เกาะเหลาล่าดิง แม่ผมไม่ดำน้ำ มานั่งพักผ่อนชิวๆริมหาดสบายๆครับ
จากนั้นก็มาต่อที่เกาะผักเบี้ยครับที่นี่น้ำใส ทรายละเอียดมากๆ
เห็นปลาไหมครับ ^^
Selfie หน่อย
จากนั้นก็ไปดำแถวทะเลแหวกครับ คือผมถามว่าตรงไหนที่ดำน้ำสวยสุดพี่บอกแถวทะเลแหวก เค้าเห็นเวลาเหลือ ( เพราะเราเที่ยวกันไว แต่ละจุดแวะดำไม่กี่นาที คือเหนื่อยไวนั่นเอง 555 ) ก็เลยแถมๆให้ครับตัดการแวะเกาะห้องออกแล้วพาไปดำแถวๆทะเลแหวก
.พอขึ้นเรือเช็ดตัวแล้วก็กลับมาจับกล้องใหญ่อีกรอบ ถ่ายบรรยากาศทะเลใต้อันแสนประทับใจ เข้าใจแล้วครับว่าทำไมฝรั่งถึงข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกลเพื่อมาทะเลไทย
ทะเลแหวก ยังแหวกอยู่แต่ไม่มากเท่าเก่า ( ถ่ายไกลๆไม่ได้เข้าไปครับ )
ทะเลไทย สวยจริงจัง
อันนี้หน้าเกาะห้องครับ เราไม่ได้แวะเข้าไปเดินนะเพราะไปดำแถวทะเลแหวกแทน
ลองดูดีๆภาพนี้มีฝรั่งกำลังปีนผาอยู่ครับ น่าอิจฉามากๆ
จบทริปดำน้ำครึ่งวันก็กลับไปอาบน้ำที่โรงแรม "ปกาสัย รีสอร์ท"ถ่ายภาพบรรยากาศโรงแรมมาให้ชมกัน พักที่นี่แล้วโพสลงโซเซี่ยว ใส่ hashtag #ชีวิตดี้ดีได้เลยอะโรงแรมนี้จะตรง concept 7greens ด้วยเน้น low carbon หมดเลยครับ มีจักรยานให้ยืมด้วยนะ
มุมสระว่ายน้ำครับ
อาบน้ำพักผ่อนที่รีสอร์ทเสร็จก็ไปทำภารกิจกรีนๆต่อ วันนั้นมีงาน “ปั่น ปลูก เปรม" พอดีครับ คือกระบี่เค้าจัดกิจกรรมนี้เพื่อชวนกัน'ปั่น'จักรยาน และร่วมกัน'ปลูก'ต้นโกงกาง จากนั้นก็'เปรม' มีบูทอาหารจากโรงแรมมาให้ชิมกันเยอะเลยครับ แต่เราต้องกินกั๊กๆนิดหนึ่งมีมื้อเย็นที่ร้านเด็ดต่อครับ
งานจัดติดกับ อนุสรณ์ปูดำนี่หล่ะครับ
.เสร็จจากกิจกรรมแล้วพี่ๆ ททท. ก็พาเราไปทานร้านอาหารแนะนำอีกร้าน “เรือนจันทร์" ร้านนี้จะอยู่ใกล้ๆกับสนามบินกระบี่ครับ บรรยากาศร้านสบายๆเหมือนนั่งในสวนหย่อมหน้าบ้าน
อาหารที่ผมแนะนำมีดังนี้ครับอันนี้เค้าเรียกหมู… ผมลืมเอาเป็นว่ารสชาติคล้ายหมูพะโล้ อร่อยครับ
ใบเหลียงผัดไข่ อันนี้คือทีเด็ดจริงๆ
อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดคือ “ยำเรือนจันทร์" เจ้าของร้านบอกว่าไม่หวงสูตรใครจะเอาไปทำก็ได้เพราะจุดเด่นของยำนี้คือ กุ้งสดๆ หมึกสดๆ เลยอร่อยกว่าที่อื่นๆแค่นั่นเอง
.ใกล้ๆกันกับร้านเรือนจันทร์ จะมี “ตลาดคนเดิน อำเภอเหนือคลอง"เป็นอีกที่ๆแนะนำสำหรับคนที่มาจากทางเกาะแบบไม่ต้องเข้าเมืองไปหาอะไรกินก่อนไปสนามบิน มาแวะตรงนี้ได้เลยใกล้สนามบินมากๆไม่เสียเวลา ของขายของกินเยอะแยะครับ
วันที่ 3
วันนี้ผมยอมตื่นตั้งแต่ตี 5 ออกจากที่พักแสนสบาย ไปยังสถานที่ลับ unseenของกระบี่ “หนองทะเล" นั่นแน่ไม่คุ้นชื่อกันใช่ไหมครับ หนองทะเลนี่ยังไม่ได้โปรโมตให้เป็นที่ท่องเที่ยว แต่ไปไม่ยากครับอยู่ห่างจากอ่าวนางไม่ถึง 10 กิโลเมตรเลยผมไม่เคยไปมาก่อนก็อาศัย Google map นำพาเราไปครับ
แต่ Google ทำพิษพาไปผิดฝั่งครับพาไปด้านหน้า แต่เส้นที่เป็นเรียบริมหนองทะเลคือเส้นด้านหลังที่ผมทำ map ชี้ไว้ให้ เส้นนั้นนะครับถึงได้วิวสวยๆ ผมก็หลงไปด้านหน้า หาทางเข้าตั้งนานไม่เจอ
ผมมาถึงตอนพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้วหามุมได้ก็รีบถ่ายครับ สวย สงบมากๆ น้ำนิ่งเป็นกระจกสะท้อนเขาหินปูน ฟินมากกกก คุ้มค่ากับการตื่นเช้ามาจริงๆ
ฟินกันต่อครับ กระบี่ไม่ได้มีดีแค่ทะเลจริงๆ
.พระอาทิตย์ขึ้นแล้วผมก็หามุมถ่ายรูปต่อครับ ข้อแนะนำผมคือให้พูดคุย ขออนุญาตจากชาวบ้านหน่อยเพราะเราจะต้องเดินไปหลังบ้านเค้าครับ ที่นี่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวครับ ทางยังไม่สะดวก
ภาพนี้ผมเองครับถามว่าไปคนเดียวแล้วใครถ่ายให้
ก็ใช้ขาตั้งกล้อง กับโหมดนับถอยหลัง 10 วินาทีหน่ะสิครับ
เล็งมุม ตั้งกล้องถอยหลัง 10 วิ
กดชัตเตอร์ วิ่งไปแล้วนับ10 9 8 7 6 5 4 3 หันมายิ้มให้กล้อง 2 1 แช๊ะ !
พระอาทิตย์ขึ้นแล้วครับ นั่งมองเพลินจริงๆ
นี่ไม่ใช่ปางอุ๋งนะ หมอกๆผิวน้ำ หนองทะเลเช้าๆก็มี
จบจากหนองทะเล ผมก็ขับรถกลับไปเจอทุกคนที่โรงแรมทานอาหารเช้าอร่อยๆจาก ปกาสัย รีสอร์ท แล้วไปต่อกันที่วัดดังของที่กระบี่อีกวัด “วัดถ้ำเสือ" ที่วัดนี้มีทางเดินขึ้นเขาจำนวน 1200 กว่าขั้นไปชมวิวกระบี่จากมุมสูงด้วยนะครับเหมาะสำหรับมาถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นและตกมากๆ แต่คราวนี้พลาดไปครับเวลาไม่พอถ้าอยู่อีกคืนจะมา ^^
ต่อจากวัดถ้ำเสือไปต่อ ยังอีกของดีกระบี่ แช่น้ำพุร้อนกันที่ “ณัฐฐาวารี น้ำพุร้อน" ที่นี่จะมีบ่อน้ำร้อนจำนวนถึง 7 บ่อแยกตามอุณหภูมิที่ต้องการได้เลย และยังมีบ่อปลาตอดขา และ บ่อน้ำแร่เย็นอีก 2 บ่อครับสอบถามมาว่าค่าเข้าแช่แค่ 300 บาทต่อวันเท่านั้นครับจะแช่นานเท่าไหรก็ได้ ถ้าไม่มีชุดมาเปลี่ยนมีผ้าถุง กระโจมอกให้ใช้ฟรีด้วยครับรวมในแพคเกต 300 บาทแล้ว ไม่แพงเลยจริงๆ
คุณนายแม่ ผมเป็นนางแบบ แช่บ่อปลาตอดครับ
บ่อน้ำร้อนคือดูไฮโซมาก สถานที่ดูดีตอนแรกคิดว่าต้องมี 500 อัพแน่นอนบอกมาว่า 300 นี่ผมงงเลยครับ
.ออกจาก ณัฐฐาวารี ก็ไปสนามบิน เป็นอันจบโปรแกรมเที่ยวกระบี่กันแบบกรีนๆ เราบินกลับกรุงเทพด้วยนกแอร์เช่นเคย ที่ผมชอบนกแอร์เป็นพิเศษ คือโหลดกระเป๋าฟรี 15 กิโล เพราะกระเป๋ากล้องผมก็หนัก 6 กิโลกว่าละครับ มีขาตั้งกล้องอีก ถ้ามาสายการบินอื่นเลยต้องเสียตังค่าโหลดกระเป๋าเพิ่ม บนเครื่องก็มีขนมและน้ำให้กินพอรองท้อง เวลาบินไฟล์ทเช้าๆหายหิวไปเยอะเลย
จบรีวิวทริปแสนประทับใจเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในทริป และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ทำให้ผมได้ชวนแม่มาแบกเป้เที่ยวในทริปนี้ครับ ผมฝากโครงการ 7 greens ไว้ในใจนักเดินทางทุกคนด้วยครับ
ฝากช่องทางติดตาม ชวนมาอ่านบันทึกการเดินทางของผม เผื่อมันเป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้ที่
Facebook Page :
http://www.facebook.com/ChillJourney
IG , Twitter : @ChillJourneyTH
Chill Journey
วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.34 น.