สวัสดีค่ะเพื่อนๆทุกคน เนื่องจากครั้งนี้เหมียวๆมีโอกาสที่ดี ที่ได้เข้าร่วมโครงการ The Amazing Journey ที่จัดโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อโปรโมต 12 เมืองต้องห้ามพลาด
และทีมของเหมียวๆก็จับฉลากได้จังหวัดชุมพร...จังหวัดที่บางคนยังนึกไม่ออกเลยว่าอยู่ส่วนไหนของภาคใต้? หรือบางคนก็คิดไม่ออกว่า จังหวัดชุมพรมีที่ไหนเที่ยวบ้าง? ซึ่งก็ไม่ต่างจากเหมียวๆมากค่ะ เพราะตั้งแต่เกิดมาเหมียวๆไปเที่ยวจังหวัดชุมพรแค่ครั้งเดียวตั้งแต่ยังเด็กมากจนภาพเลือนลางเหลือเกิน
และการได้มีโอกาสในครั้งนี้ก็ทำให้ภาพของจังหวัดชุมพรชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากเหมียวๆหาข้อมูลว่าชุมพรมีอะไรบ้างและก็ได้แบ่งงานกับทางทีมโดยแบ่งเป็นโซนด้านเหนือกับด้านใต้ ซึ่งส่วนของเหมียวๆจะเป็นชุมพรโซนทางใต้ค่ะ
ทริปชุมพรของเหมียวๆจะเป็นทริป 4 วัน 3 คืน โดยเลือกไปวันธรรมดาที่ติดวันหยุด เพราะอยากให้ทุกคนเดินทางตามเที่ยวได้แบบจริงๆค่ะ เหมียวๆขอแบ่งการเดินทางเป็น 2 ส่วน โดยที่ ส่วนแรกจะรวมการท่องเที่ยวทั้งหมด 2 วัน
โดยสถานที่เหมียวๆเลือกไปคือ หาดตะวันฉาย บ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลู เรือจำลองจักรีนฤเบศร เกาะพิทักษ์ สวนนายดำ โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เขามัทรี วัดพระธาตุสวี และตกปลาหมึก ส่วน 2 วันหลังจะเป็นทริปดำน้ำพร้อมเที่ยวเบาๆค่ะ...
โดยการท่องเที่ยวในครั้งนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเป็นผู้สนับสนุน ส่วนเรื่องของแผนการเดินทางทั้งหมดเป็นของเหมียวๆเอง พร้อมแล้วตามเหมียวๆไปเที่ยวกันเลยนะคะ รับรองว่าชุมพรมีอะไรมากกว่าที่ทุกคนคิดแน่นอนค่ะ
การเดินทางในครั้งนี้เหมียวๆบินไปเที่ยวกับสายการบินนกแอร์ ไฟล์ทของเหมียวๆคือ กรุงเทพฯ (ดอมเมือง) - สุราษฎร์ธานี รอบเช้าสุดเวลา 6.10 น. - 7.20 น. ค่ะ รอบเช้าคนเดินทางกันเยอะมาก ยังไงเตรียมตัวเผื่อเวลากันมาด้วยนะคะ ของเหมียวๆทำการเช็คอินผ่านเวปมาล่วงหน้า เลือกที่นั่งติดหน้าต่างแถวหลังๆฝั่งขวาค่ะ เป็นฝั่งที่ไม่โดนแดดในช่วงเช้า และเพื่อที่จะได้เห็นวิวชายฝั่งทะเลตามภาพด้วยค่ะ ส่วนสีเสื้อผ้าก็จัดมาแบบตั้งใจเลยเหลืองอร่ามไปหมด ถึงหน้าไม่แต่ง ง่วงก็ง่วง แต่ก็ไม่ได้อายหน้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย ยื่นกล้องให้เจ๊ แล้วบอกว่าถ่ายให้น้องหน่อย เอาตรงนี้เลย
ถึงสุราษฎร์ธานีเรียบร้อยแล้วค่ะ บางคนสงสัยว่าทำไมต้องมาลงที่สุราษฎร์ธานีก่อน เนื่องจากสายการบินนกแอร์ก็มีไฟลท์ลงที่ชุมพรเหมือนๆกัน เหตุผลก็คือเหมียวๆต้องการใช้รถในการเดินทาง และรีวิวส่วนใหญ่ของเหมียวๆเป็นชุมพรโซนด้านใต้ การขับรถจากสุราษฎร์ฯขึ้นมาจึงค่อนข้างสะดวกค่ะ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในชุมพร เหมียวใช้บริการรถเช่าของ Thai Rent a Car ซึงสามารถทำการจองล่วงหน้า เลือกรถให้เหมาะกับการเดินทาง แล้วก็ไปรับรถกันได้เลยค่ะ โดยที่ทริปนี้เหมียวๆจะเป็นขับรถ แต่เจ๊จะเป็นคนช่วยดูทางค่ะ
เป้าหมายแรกของทริปนี้ก็คือ บ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลู ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินสุราษฎร์ฯ มาถึงถ้ำเขาพลู ใช้เวลาประมาณ 54 นาที เหมียวได้ทำการแพลนการเดินทาง โดยใช้ Google map ไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นวันที่เดินทางจริงก็ใช้ Google map โลดค่ะ บ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลู อยู่ที่อำเภอละแมค่ะ ซึ่งจะอยู่ติดกับจ.สุราษฎร์ฯ ค่าเข้าคนละ 20 บาทค่ะ เปิด9.00 น. - 6.00 น. ซึ่งสามารถแช่น้ำร้อนบ่อรวมได้ แต่ถ้าอยากแช่ที่ห้องส่วนตัวจะคิดอีกราคาค่ะ
หลังจากชำระค่าเข้าแล้ว เหมียวๆก็เดินเข้าไปตามทางที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้และ เพราะอยู่บริเวณเชิงเขาซึ่งในพื้นที่บ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลูจะมีต้นพลูป่า ซึ่งเป็นที่มาของชื่อบ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลูค่ะ
เดินเข้าไปสัก 3 นาที ก็จะเจอบ่อน้ำร้อนรวมค่ะ ที่บ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลู เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพค่ะ เพราะการแช่บ่อน้ำร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 50-65 องศา จะช่วยให้ผ่อนคลาย ช่วยให้ระบบไหลเวียนดีขึ้น และรักษาโรคผิวหนังได้ค่ะ
มีคนมาใช้บริการอยู่บ้าง บ่อน้ำร้อนของที่นี่ไม่ใหญ่มากค่ะ เริ่มโทรมแล้วถ้าทำการบูรณะเพิ่มจะยิ่งดีกว่านี้เลยค่ะ
นอกจากจะมีบ่อน้ำร้อนแล้ว ถ้าเดินตามทางเข้าไปก็จะเจอกับทางขึ้นบันไดที่มีความอุดมสมบูรณ์ของป่าธรรมชาติเขียวๆ
หลังจากที่เดินขึ้นมาประมาณ 100 ขั้นก็จะเจอกับปากทางเข้าถ้ำค่ะ
ด้านในจะเป็นถ้ำเล็กที่มีพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ที่นั่นด้วยนะคะ สามารถแวะขึ้นมาสักการะได้
ถ้ำที่เขาพลูเป็นถ้ำเล็กๆค่ะ มองออกไปทางปากถ้ำ
ขาลงแล้ว สาวๆแบบเราขอแวะถ่ายรูปกันสักหน่อยค่ะ
หลังจากออกมาจากถ้ำเขาพลู เราก็เดินทางกันต่อค่ะ ตาม Concept ของชุมพรที่มีหาดทรายสวยสี่ร้อยลี้ หาดแรกที่เหมียวๆจะพาไปเยือนคือ หาดตะวันฉายค่ะ ซึ่งก็ยังอยู่ในอำเภอละแม ใช้เวลาเดินทางจากบ่อน้ำร้อนถ้ำเขาพลูประมาณ 30 นาทีค่ะ
ขับไปตามทางจะเจอป้ายบอกทางมาหาดตะวันฉายค่ะ ตรงทางเข้าหาดให้ชะลอค่ะเพราะอยู่หัวมุมพอดี อาจจะเลยได้ โดยจะมีป้ายร้านขายอาหารเล็กๆแบบนี้ค่ะ หลังจากจอดรถ เดินเข้าไปเหมียวๆได้ทำการสอบถามคนพื้นที่เลยได้ข้อมูลว่าที่หาดตะวันฉายเป็นจุดจอดเรือหาปลาของชาวประมงซึ่งจะออกไปหาปลา หรือพวกปลาหมึกตอนกลางคืน ที่นี่เหมาะกับเป็นจุดที่มาชมวิถีชีวิตของชาวประมง ณ ตอนที่เหมียวๆไปยืนถ่ายรูป ชาวบ้านเค้าพูดเป็นภาษาใต้ให้เหมียวถ่ายแบบซูมถ่ายเรือสิ เหมียวๆฟังไม่ออกค่ะ คือก็ยิ้มตอบแบบส่ายหัว คือหนูไม่เข้าใจ แต่เค้าก็พยายามอธิบาย คือวนเวียนเป็นภาษาใต้อยู่แบบนั้นค่ะ จนพี่อีกคนที่พอพูดได้ทนไม่ไหวเลยเป็นล่ามแปลให้อีกที เหมียวๆรู้สึกประทับใจความน่ารักของชาวบ้านที่หาดตะวันฉายมากๆเลยค่ะ
เดินต่อไปที่ชายหาดจะเจอกับท้องฟ้าหลังฝนตกที่พระอาทิตย์ที่กำลังฉายแสง บรรยากาศรวมๆของหาดตะวันฉายค่อนข้างเงียบสงบเหมาะกับการพักผ่อนและมาชมพระอาทิตย์ขึ้น บริเวณหาดตะวันฉายจะพบกับสวนมะพร้าวและทิวสนขนานไปตามหาด ถึงส่วนทรายของหาดไม่ได้ละเอียดมากค่ะ แต่เหมียวๆก็ตื่นเต้นมาก เพราะเป็นชายหาดแรกของชุมพรในทริปนี้
และก็สิ่งที่ควรทำก็คือการถ่ายรูปเก๋ๆไว้ค่ะ โพสกันเต็มไม่เกรงใจใคร
หลังจากเต็มอิ่มกับชายหาดแล้ว เหมียวๆก็เดินทางต่อค่ะ สถานที่ต่อไปคือ ศาลกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ใช้เวลาขับรถจากหาดตะวันฉายไปประมาณ 40 นาทีค่ะ ศาลจะอยู่ที่ปากน้ำหลังสวน อ. หลังสวน ริมชายหาดแหลมสน เปิดทุกวันเวลา 08.00 น. - 20.00 น. ด้านในของเรือจำลองที่ชั้นล่างจะมีประวัติของกรมหลวงชุมพรพร้อมกับดอกไม้ ธูปเทียนจำหน่ายเพื่อให้ขึ้นไปสักการะค่ะ ตอนที่เหมียวๆไปถึง เหมียวๆงงค่ะ ว่าศาลอยู่ตรงไหน สุดท้ายก็ใช้วิธีถามชาวบ้านอีกแล้วค่ะ พี่ๆเค้าเลยบอกให้เหมียวๆไปจอดรถข้างหลังเรือ จะมีทางเข้าและทางขึ้นอยู่
ขึ้นมาที่ชั้น 2 ของเรือค่ะ ท้องฟ้าหม่นๆแต่แดดแรงมากนะคะ
ด้านในจะพบกับรูปปั้นของกรมหลวงชุมพรค่ะ วันที่เหมียวๆไปคือวันพฤหัสบดี คนไม่เยอะมากค่ะ แต่ก็มีคนมาสักการะบ้าง
เริ่มหิวแล้วค่ะ ก่อนจะเดินทางต่อเหมียวๆขอพักทานอาหารระหว่างเดินทาง ถึงจะเป็นมื้อแรกก็จะอยากหม่ำๆ Seafood ไปเลยค่ะ ร้านนี้ชื่อว่า สันทรายซีฟู๊ด
มีที่นั่งให้เลือกหลายโซนค่ะ เหมียวๆเลือกโซนริมทะเลที่เป็นบ้านกระท่อมเล็กๆริมหาด
มาดูอาหารที่เหมียวๆสั่งมา มีจานแรกตำซั่วปูปลาแซ่บๆร้าของอาเจ๊ ปรุงมาเปรี้ยวเกินให้เค้ากลับไปแก้รสมาให้ก็โอเคขึ้นค่ะ จานต่อไปปลาหมึกย่าง จริงๆอยากทานปูไข่ แต่ที่ร้านแจ้งว่าช่วงนี้หมึกไข่น้อยค่ะ ขาดไม่ได้ก็ขาวผัดปูจานกลางที่รสหวานไปนิด ได้พริกน้ำปลาก็พอแก้ได้ค่ะ และจานสุดท้ายกุ้งซอสมะขาม อาหารที่นี่รสกลางๆค่ะ พอทานได้ แต่แมลงวันค่อนข้างเยอะ ทางร้านนำยากันยุงมาจุดไล่แต่เอาไม่อยู่ค่ะ ก็ทานไปปัดไป
นั่งทานข้าวดูวิวบรรยากาศของหาดบางน้ำจืด ปากน้ำหลังสวน ชิลดีค่ะ
สักพักมีคนหาปลาที่เพิ่งเทียบฝั่งเดินผ่านหน้าหาดมาเลยขอถ่ายรูปนายแบบทั้ง 2 ไว้ค่ะ
เป้าหมายต่อไปของเหมียวๆคือเกาะพิทักษ์ เหมียวๆขับตาม google ไปเหมือนเคย ใช้เวลา ไม่ถึง 10 นาทีค่ะ เห็นน้ำลงแห้งจนเห็นพื้นทรายไปค่อนข้างไกลเลย ปกติเหมียวๆไม่เคยเห็นน้ำแห้งลงไปขนาดนี้มาก่อนค่ะ เหมียวๆอ่านมาว่ามีบริการฝากรถก่อนข้ามเกาะ แต่วันที่เหมียวๆไปมีรถทัวร์นำคณะทัวร์กลุ่มใหญ่ลง เหมียวๆเลยขับตามเข้าไปจอดรถค่ะ ที่จอดรถก็คือขับเข้าไปจนสุดทางที่มีบ้านคน หาไม่ยากค่ะ
และแล้วก็มาถึงทางไปเกาะพิทักษ์ เหมียวๆได้อ่านข้อมูลมาบ้างว่าเมื่อก่อนเกาะนี้ถูกเรียกว่า เกาะผีทัก เนื่องจากสมัยก่อนมีชาวประมงมาออกเรือหาปลามาแถวๆเกาะนี้ ก็เห็นเหมือนมีเงาคนกวักมือเรียก แต่พอเข้าไปใกล้ ๆ เกาะกลับไม่พบใครเลย ชาวประมงจึงเรียกเกาะนี้ว่า เกาะผีทัก หลังจากนั้นชาวบ้านที่ย้ายขึ้นไปอยู่บนเกาะได้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น เกาะพิทักษ์ เพื่อความเป็นสิริมงคล และอีกข้อมูลก็คือ
"ที่มาของชื่อเกาะพิทักษ์ มี 2 ข้อสันนิษฐาน หนึ่งนั้นเชื่อว่าน่าจะมาจากคำว่าเกาะ“ผีทัก" ซึ่งชาวบ้านเขามีตำนานของปู่เดชกับเสียงผีทัก ส่วนอีกหนึ่งสันนิษฐานว่ามาจากเกาะ “ที่พัก" เพราะสมัยก่อนในช่วงมรสุม เกาะแห่งนี้เป็นที่หลบพักของเรือบรรทุกสินค้า เรือประมง เพื่อรอให้คลื่นลมสงบ ก่อนออกเดินทางต่อไป" ข้อมูลจาก ปิ่น บุตรี (
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000074930)
หลังจากจอดรถก็เดินไปลงเรือค่ะ
ทางไปลงเรือจะเป็นสะพานไม้ทอดยาวไปค่ะ มองกลับมาที่ชายฝั่งอีกฝั่งที่น้ำไม่แห้งค่ะ
พอมาจนถึงปลายสุดสะพานก็มีพี่คนขับเรือขับมาเทียบๆท่าค่ะ
เหมียวๆเลยถามพี่เค้าว่า ... "อยากข้ามเรือไปเกาะพิทักษ์ต้องลงเรือแบบไหนยังไง"
พี่เค้าเลยตอบมาว่า ... "ลงได้เลย เดียวพี่พาไปเอง"
แต่ตอนลงบันไดเค้าให้เหมียวๆลงฝั่งขวาที่ค่อนข้างชัน แต่พอขากลับให้ขึ้นทางด้านหน้าที่ขึ้นลงสะดวกกว่า เหมียวๆถามไปว่า "ทำไมขาลงตอนข้ามเกาะพี่ไม่ให้ลงอันนี้ล่ะ"
พี่เค้าตอบว่า ... "ทางนี้เค้าทำให้นางงามลง ตอนนั้น นางงามมาเก็บตัว"
เอิ่มคือ โอเคค่ะพี่หนูไม่ได้เป็นนางงาม แต่อย่างน้อยก็ได้ขึ้นทางที่นางงามใช้ เพราะงามได้ครึ่งเดียวของเหล่านางงามเนอะ
พร้อมแล้วลงเรือไปเที่ยวกันได้เลยค่ะ พี่เสื้อน้ำเงินจะพาลุยเอง เรือก็เป็นเรือแบบมอเตอร์ ไร้หลังคาแบบในภาพค่ะ ค่าใช้จ่ายไปกลับ 40 บาท ต่อคนค่ะ ใช้เวลา 10 นาที พี่เค้าให้เบอร์ไว้เพราะขากลับต้องโทรนัดกันค่ะ
ตื่นเต้นๆ สาวๆลงเรือแล้ว ผมเหมียวปลิวว่อน แต่ผมเจ๊สั้นโชคดีไปหัวชีไม่ยุ่งค่ะ แต่นางเหมียวต้องเอาหมวกมาสวมเพื่อกันไม่ให้หัวกระเจิงไปมากกว่านี้ ตอนที่ออกเรือแรกๆ เหมียวสงสัยค่ะ เพราะเรือวิ่งช้ามาก
เหมียวเลยแซวพี่เค้าไปว่า ... "พี่คะ เรือมันเร็วสุดได้แค่นี้หรอคะ??"
พี่เค้าเลยตอบว่า ... "วิ่งเร็วไม่ได้น้ำมันตื้นนะ"
เหมียวๆกับเจ็ก็ชะโงกดูค่ะ เลยเห็นว่าตื้นจริงๆด้วย และระหว่างทางเหมียวๆก็สอบถามเรื่องที่มีการวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ ว่าเค้าวิ่งกันตรงไหน พี่เค้าก็ชี้ให้ดูว่าลองมองไปตรงสันทรายกลางน้ำ พอน้ำลงจะเดินข้ามไปได้ ส่วนบริเวณอื่นถ้าน้ำขึ้นก็จะสูงประมาณมิดหัวค่ะ ตอนที่นั่งเรือก็ต้องขับอ้อมนิดๆเพื่อเลี่ยงสันทรายกลางน้ำค่ะ
ใกล้ถึงเกาะพิทักษ์แล้ว น้ำคนละสีกับอีกฝั่งเลยที่เกาะพิทักษ์จะมีบ้านที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเอง และบ้านที่เป็นโฮมสเตย์ให้บริการค่ะ
ถึงฝั่งเจ๊ก็โพสท่าถ่ายรูปค่ะ แมนๆเตะบอล ถ่ายรูป คุยกันครับ
ตามด้วยรูปเหมียวๆ แอ๊บเดินชมวิว
เดินมาถึงก็จะเจอป้ายบอกค่ะ เกาะพิทักษ์ ตั้งอยู่ที่ ต.บางน้ำจืด อ.หลังสวน จ.ชุมพร เป็นเกาะที่มีคำขวัญว่า “ถนนน้ำข้ามสมุทร น้ำจืดผุดกลางเกาะ หอยเจาะทะเลขาด หาดสองน้ำ" ที่เกาะพี่ทักษ์จะมีจุดท่องเที่ยวรอบเกาะค่ะ ซึ่งจะมีป้ายบอก มีทางเป็นบันไดขึ้นเขาบ้าง สามารถขับจักรยานได้ด้วย แต่ด้วยความแมนๆของสองสาว เราเลือกเดินค่ะ
เหมียวๆเดินไปตามป้ายศึกษาธรรมชาติ ทางเดินเป็นอิฐตัวหนอนที่มีมอสเขียวๆเกาะ รู้สึกอินกับธรรมชาติเขียวๆ ข้างทางจะมีผีเสื้อและดอกไม้ ต้นไม้ให้ชมไป รวมถึงยุงด้วยค่ะ กัดเหมียวๆซะเต็มตัวเลย ยุงดุมากจริงๆ เหมียวขอแนะนำเลยค่ะให้เตรียมนากันยุงฉีดตัวไปเลยค่ะ
เดินมาจนสุดจะเจอวิวนี้ค่ะ แบบว่าร้อง wow เลย เพราะฟ้าใส น้ำทะเลสวย ต่างจากชายฝั่งมากๆ
เดินไปทางซ้ายจะเจอศาลพ่อตาพิทักษ์ แวะสักการะเช่นเคยค่ะ
เดินเลยไปนิดจะเจอสะพานปูนที่ทาสีแดง เป็นทางยาวไว้ให้เดินเที่ยวรอบเกาะ
ทะเลฟ้าๆ น้ำทะเลใสๆแบบที่เหมียวๆบอกไว้ รู้สึกสดชื่นมากๆ
ตามที่เหมียวๆบอกไว้เบื้องต้นว่ามีทางแยก คือไปซ้ายกับขวา ทางซ้ายคือทางที่มีสะพานสีแดง เหมียวเลือกเดินชมวิวทางด้านขวาค่ะ สักพักเจอเลยค่ะ ทางเดินขึ้นเขา แต่เราก็ไม่หวั่น
ตามทางจะมีป้ายบอกชื่อพืชพันธุ์ไม้ ชื่อต้นมือนารายณ์
หลังขึ้นมาจากสะพานมองกลับไปแล้วเห็นวิวสวยๆแบบนี้บอกได้เลยค่ะว่าคุ้มมากๆ ไม่เสียดายเลยที่ข้ามมาที่เกาะพิทักษ์
เดินไปสักพัก เหมียวๆเห็นมีทางเดินแบบดินๆเลยลองเดินเข้าไป ซึ่งแถวนี้จะเป็นสวนมะพร้าว
มีต้นผักเหลียงด้วยค่ะ ยังไม่เคยลองทานเลยดูต้นไปก่อน จะได้ลองทริปนี้แน่นอนค่ะ
เดินมาเรื่อยๆผ่านจุดที่ชาวบ้านนั่งคุยกันตรงข้ามจะมีร้านขายน้ำอัดลม และน้ำปั่น เดินกันไกล ร้อนๆ เจอน้ำดื่มเย็นๆ กระหายทันที ก่อนจะลาเกาะพิทักษ์กันไป เหมียวๆขอฝากข้อมูลให้เพื่อนๆ ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โดยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ นายอำพล ธานีครุฑ (ผู้ใหญ่หรั่ง) 08-1093-1443, 08-9018-0644 ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกับโฮมสเตย์ทุกหลังบนเกาะซึ่งมีประมาณ 15 หลังค่ะ ที่เกาะยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น ไดร์ปลาหมึก ดำน้ำดูปะการัง และอื่นๆค่ะ
ระหว่างทากลับ เหมียวๆก็จอดรถลงไปสักการะพระสิวลีที่หันหน้าสู่ทะเล ก่อนเดินทางต่อค่ะ
แค่ 30 นาที เหมียวๆก็เดินทางมาถึง สวนนายดำ ที่นี่มีคอนเซปว่า "สุดยอดส้วม ต้องสวนนายดำ" และจุดประสงค์ก็คือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรของจ.ชุมพร เพื่อศึกษาพืชพรรณธรรมชาติ ท่ามกลางบรรยากาศรื่นร่ม เสียงน้ำ การจัดสวน เป็นจุดพักรถนักท่องเที่ยวที่พร้อมรอต้อนรับ ด้วยน้ำส้มโชกุนคั้นสด กาแฟสด อาหารอร่อยและผลิตภัณฑ์ โอท็อป จากสวนนายดำ เพื่อเติมเต็มความสุขดั่งใจปรารถนา ในบรรยากาศร่มไม้ เสียงน้ำที่สวนนายดำบรรจงสรรสร้าง มอบให้เพื่อเป็นการขอบคุณที่มาเยือน สวนนายดำ
มาดูส้วม หรือห้องน้ำแบบต่างๆ ของสวนนายดำกันค่ะ แบบแรกที่เดินเข้าไปก็เจอเลยค่ะ ตามภาพพร้อมคำบรรยาย
อันนี้ปีได้ค่ะ ปีนขึ้นมาถ่ายรูป ฝาก็เปิดปิดได้ด้วยค่ะ
หรือจะเป็นแบบทาร์ซานค่ะ ปีนๆขึ้นไปกันหน่อย
ส้วมนอกกะลา
ภายในห้องน้ำเป็นแบบนี้ทั้งหมดค่ะ
พร้อมทางเดินด้านบน ให้ชมสถานที่ค่ะ
ด้านหน้านอกจากจะมีจุดขายของที่ระลึกแล้ว ก็มีพืชพรรณไม้สวยๆให้จำหน่าย
เดินทางเหนื่อยมาทั้งวันก็ได้เวลาไปพักผ่อนค่ะ รีสอร์ทที่เหมียวเข้าพักตลอดทริปนี้ ก็คือ Tusita Resort & Spa จุดนี้คือบริเวณ Lobby ของรีสอร์ท ในส่วนของ Tusita in the garden
ในส่วนของ Accommodation ที่ Tusita Resort & Spa3 ส่วนที่มี Style ต่างกัน คือ Tusita in the garden, Tusita @ the Beach และ Tusita @ Sea ซึ่งจะอยู่คนละที่กัน แต่ไม่ไกลมากค่ะ
มาชมส่วนของ Tusita in the garden กันค่ะเดินตามทางเข้ามาเลยค่ะ
มาดูส่วนของ Facilities ของรีสอร์ท ซึ่งจะมีสระว่ายน้ำ และฟิตเนส และห้องพักจะอยู่รายล้อมสระว่ายน้ำ ส่วยสไตล์การตกแต่งจะเป็นแบบ British India style ค่ะ
ตามเหมียวๆมาดูห้องตัวอย่างห้องพักในโซน Garden กันค่ะ
ห้องพักมีชื่อเรียกว่า Wimantip Villa เป็นห้องขนาด 80 ตารางเมตร เป็นเตียงเดี่ยวเตียงใหญ่ค่ะ
มีหมอนให้หลายใบเลยค่ะ พร้อมดอกไม้แห้ง
พร้อมกับ private balcony กับวิวสวนสีเขียว
นอกจากนี้ยังมีโซฟาให้นั่งพักสบายๆ ที่บนโต๊ะมีกล้วยเล็บมือนาง ซึ่งเป็นผลไม้ขึ้นชื่อของชุมพร โต๊ะทำงาน และห้องน้ำที่แบ่งส่วนของอ่างอาบน้ำJacuzzi ห้องStream และ Rain shower ได้อย่างลงตัว
ต่อมาจะเป็นส่วนของ Tusita @ the Beach ใช้เวลาจากโซน Garden มาเพียง 500 เมตรค่ะ ซึ่งเหมียวๆจะเข้าพักที่นี่ การตกแต่งจะเป็นแบบ Mediterranean พร้อมแล้วตามเข้าไปชมกันเลยค่ะ
ถัดมาจะเป็น Lobby ใช้โทนสีน้ำตาลอ่อนอบอุ่นๆ และสีฟ้าค่ะ
ซึ่งมีส่วนของบาร์
ห้องอ่านหนังสือ
โต๊ะ pool
เดินออกมาจาก Lobby จะเจอสระว่ายน้ำ
อีกกิจกรรมของที่นี่คือการปั่นจักรยานชมชายหาดค่ะ
ทางเดินไปหาด ที่ Tusita Resort & Spa โซน Beach จะอยู่ติดหาดอรุโณทัยค่ะ
มองกลับมาจากหาดจะเจอห้องพักชื่อ Beahfront Jacuzzi Pool Villa
หน้าห้องจะมีสระส่วนตัวให้แช่และชมวิวค่ะ
ตามเข้าไปชมห้องพักกันค่ะ
เข้ามาจะเจอกับโซฟาใหญ่สีฟ้าหันหน้าออกไปหาทะเล พร้อมกับกล้วยเล็บมือนาง ที่วางเสิร์ฟเอาไว้
ด้านหลังของโซฟาจะเป็นส่วนของที่นอนสีสันสดใสค่ะ
ห้องพักจะเป็นเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่
พร้อมหมอนนุ่มๆค่ะ
ในห้องน้ำจะมีตู้บานใหญ่ ห้องกระจกอาบน้ำที่มีทั้งฝักบัว และ Rain shower
และอ่าง Jacuzzi ขนาดใหญ่ แช่กัน 2 คนสวีทๆ
มาลองดูห้องตัวอย่างในโซน นี้ค่ะห้องนี้ ชื่อ Beachfront Jacuzzi Room ซึ่งจะมีทั้งแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ตามในภาพเป็นเตียงคู่ ที่มีห้องรับแขกที่มีโซฟายาวๆ สบายๆ โต๊ะทำงาน พร้อมอ่างอาบน้ำ Jacuzzi
และ Type สุดท้ายที่อยู่ชั้น 2 ชื่อห้อง Beachfront Jacuzzi Suite ซึ่งจะมีทั้งแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ตามในภาพเป็นเตียงคู่เช่นกันค่ะ พร้อมอ่างอาบน้ำ Jacuzzi
จุดเด่นของห้อง Type นี้ก็คือ มี Balcony ให้ออกไปชมวิวทะเลหาดอรุโณทัย ที่มีเตียงนอนอาบแดด
และเปลใหญ่สีขาว ให้นอนรับลม ชมบรรยากาศ
มองลงมาจาก Balcony จะพบกับวิวแบบนี้ค่ะ
เย็นมากแล้วค่ะ เริ่มหิวแล้ว ได้เวลาทานอาหารค่ำ ซึ่งทาง Tusita จัดให้เราทานมื้อค่ำสุดโรแมนติกกันริมหาด
มาดูมื้อค่ำของเหมียวๆ ซึ่งจานแรกจะเป็นรวมซีฟู๊ดพร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด จานที่ 2 เป็นปลาอินทรีย์ทอดน้ำปลา ทานกับข้าวสวยร้อนๆ จานที่ 3จานที่เหมียวๆประทับใจที่สุด ก็คือ แกงเหลืองปูทะเลหน่อไม้ดองที่ปูทั้งสดและตัวใหญ่พร้อมรสที่กลมกล่อม และขาดไม่ได้ค่ะ ใบเหลืองผัดไข่และกุ้ง ส่วนของหวานของค่ำคืนนี้ก็คือ กล้วยเล็บมือบวชชี เป็นครั้งแรกที่เหมียวๆได้ลอง อร่อยมากๆเลยค่ะ
ขอลาค่ำคืนนี้ไปกับภาพนี้ค่ะ ขอตัวไปแช่ Jacuzzi สบายๆ พร้อมกับหลับฝันหวานบนเตียงนุ่มๆ
Good Morning สำหรับเช้าวันที่ 2 ที่จังหวัดชุมพร เมื่อคืนฝนตกหนัก ทรายยังชุ่มเปียกอยู่เลยค่ะ
เนื่องจากมื้อเช้าเป็นสิ่งสำคัญค่ะ เหมียวๆก็ไม่พลาดค่ะ มาดูหน้าตาของ Breakfast ที่ Murraya Restaurant ในโซน Garden ค่ะ ซึ่งจะเป็นเมนูมาให้เราสั่งค่ะ ว่าอยากทานอะไรบ้าง ของเหมียวๆก็สั่งเกือบครบทุกอย่างเลยค่ะ
อิ่มแล้วก็พร้อมเดินทางต่อค่ะ เป้าหมายแรกของเหมียวๆที่อยากนำเสนอคือ โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริค่ะ ซึ่งใช้เวลาเดินทางทั้งหมด1 ชั่วโมงค่ะ มาถึงแล้วจะเจอกับป้ายทางเข้าค่ะ ที่นี่จะเป็นโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับน้ำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยใหญ่ที่เคยสร้างความเสียหายอย่างมากของจังหวัดชุมพร นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งสำรองน้ำไว้สำหรับทำการเกษตร และสร้างงานให้คนในชุมชนได้อีกด้วยค่ะ ซึ่งบริเวณนี้สามารถทำเป็นแก้มลิงแบบธรรมชาติที่มีบริเวณรับน้ำได้ถึง 102 กม. นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ ที่นำแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติจนเกิดผลสำเร็จ
ตามเหมียวๆเข้าไปชมศูนย์การเรียนรู้ตามศาสตร์พระราชากันค่ะ
ตามทางเดินจะมีป้ายบอกชัดเจนค่ะ ถ้าต้องการให้มีวิทยากรอธิบายสามารถติดต่อล่วงหน้ากับทางโครงการได้ค่ะ หรือถ้าจะเข้าไปชมแบบไม่มีวิทยากร ทางศูนย์จะมีแผ่นป้ายอธิบายเกี่ยวกับกรรมวิธี และประโยชน์ต่างๆให้ได้อ่านเพื่อเรียนรู้ค่ะ
เดินตามทางมาเรื่อยๆจะผ่านหลายๆโครงการที่น่าสนใจค่ะ พอสุดทางจะเจอกับสะพานไม้เคี่ยม
ตามที่เหมียวๆได้สอบถามรายละเอียดกับชาวบ้านในชุมชน ในช่วงเช้า จะมีนกอาศัยอยู่ ใครที่อยากมาส่องนกก้เดินข้ามสะพานไม้ยาวๆนี้ไปชมได้ค่ะ
สะพานไม้เคี้ยมจะทอดยาวตามหนองขนาดใหญ่ซึ่งเป้นแก้มลิง จนไปถึงอีกฝั่ง
ทางฝั่งโน้นจะมีการปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์ค่ะ ช่วงที่เหมียวๆไปเป็นช่วงไถกลบพอดีค่ะ เหมียวๆไม่ตัดสินใจเดินข้ามไป เพราะฝนตกค่ะ
หลังจากออกจากโครงการก็มุ่งหน้าไปหาดทรายรีค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ถ้ามาหาดทรายรีก็ต้องแวะศาลกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ศาลจะตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่ง สามารถขับรถยนต์ขึ้นไปถึง ตัวศาลอยู่บนเรือรบหลวงพระร่วงจำลองที่หันหน้าออกสู่ทะเล
เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร
ในภาพนี้จะเป็นศาลเล็กซึ่งเป็น สถานที่สวรรณคตค่ะ
หลังจากนั้นเหมียวๆก็ย้อนกลับมาที่จุดชมวิวเขามัทรี เพราะขับเลยไป เลยตัดสินใจไปหาดทรายรีก่อนค่ะ
ทางขึ้นจะมีป้ายบอกค่ะ แวะเลี้ยวเข้ามาตามป้ายที่เขียนว่าจุดแวะพักรถค่ะ เพราะถ้าไปอีกเลนส์แล้วเลี้ยวเข้าไม่ทันจะเลยค่ะ
เนื่องจากทางค่อนข้างชันค่ะ เหมียวๆไม่มั่นใจว่าทางเป็นยังไง เลยตัดสินใจจอดรถแล้วเดินขึ้นเอาค่ะ ทางเดินเป็นบันไดขึ้นเดินได้สะดวกค่ะ และไม่ไกลมากเดินไป ใช้เวลาประมาณ 3-5 นาที
ขึ้นมาก็จะเจอกับร้านกาแฟของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟบ้านถ้ำสิงห์
แปลงกาแฟอยู่ตรงเขามัทรีเลยค่ะ
เหมียวๆไม่ดื่มกาแฟค่ะ เลยเติมความสดชื่น ดับร้อนด้วยเมนูชาเย็นและชาเขียวค่ะ
ข้างบนเขามัทรีจะมีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลาให้ได้สักการะ
เราสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาเลยค่ะ โดยจะมีจุดต่างๆให้ถ่ายภาพเล่น
วิวของจุดชมวิวเขามัทรีทางด้านขวาจะเป็นวิวของหาดภราดรภาพ
ส่วนอีกด้านจะเป็นร้านขายรังนกค่ะ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดชุมพร
และเป็นจุดชมวิวชุมชนปากน้ำชุมพรและชายหาดปากน้ำชุมพร
ลงมาจากเขามัทรี ขับเลียบมาสักพักจะเจอหาดภราดรภาพที่เราเพิ่งมองจากจุดชมวิวเขามัทรี และก็เป็นจุดที่เหมียวๆแวะทานอาหารกลางวัน ช่วงที่เหมียวๆถึงร้านฝนกำลังตั้งเค้ามาอีกแล้วค่ะ
ร้านอาหารที่เหมียวแวะหม่ำๆชื่อ ร้านลุยค่ะ ร้านนี้เป็นร้านขึ้นชื่อของชุมพร เหมียวอยากทานเนื้อปูแกะ แต่เจ้าของร้านบอกว่าตอนนี้ปูตัวเล็กค่อนข้างเล็กและไม่ค่อยมี แต่พออาหารมาถึงก็โอเคค่ะ ถึงจะเล็กไปหน่อยแต่เรื่องความสดก็ต้องยกให้เลย ส่วนเมนูปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว ไข่ก็แน่นมากค่ะ และเมนูสุดท้ายก็คือแกงเหลืองปลากระพงยอดมะพร้าวที่มีความจัดจ้านได้ feel อาหารใต้ค่ะ
จากร้านอาหารลุย เหมียวๆขับลงไปทางใต้ของชุมพรใช้เวลา 50 นาที ไปที่อำเภอสวี เพราะตั้งใจไปวัดพระธาตุสวี ซึ่งเป็นโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวสวีและอำเภอใกล้เคียงให้ความเคารพ มีลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรมเลียนแบบพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ทรงของเจดีย์เป็นแบบระฆังคว่ำภายในมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่
นำดอกไม้สวยๆไปไหว้พระธาตุกันค่ะ
บริเวณรอบเจดีย์ จะเป็นศาลาแกลอรี่พระพุทธรูป
ส่วนเรื่องของตำนานวัด เหมียวๆหาข้อมูลจากเวป https://www.gotoknow.org/posts/4836
โดยมีตำนานเล่าถึงประวัติการสร้างพระธาตุบรมสวีว่า เมื่อครั้งที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเสด็จยกทัพมารี้พลมาพักที่วัดร้างแห่งหนึ่งในเขตอำเภอสวี ได้พบกาเผือกและกาฝูงหนึ่งเกาะอยู่บนกองอิฐกระพือปีกและส่งเสียงร้อง พระองค์จึงให้รื้อเศษกองอิฐที่กองทับถมกันออกพบฐานเจดีย์ใหญ่ เมื่อขุดลึกลงไปได้พบผอบบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จึงให้แม่ทัพนายกองไพร่พลช่วยกัน สร้างเจดีย์ขึ้นมาใหม่แทนที่เดิม แล้วจัดงานสมโภชเป็นการใหญ่เป็น เวลา ๗ วัน ๗ คืน จากนั้นพระราชทานชื่อว่า พระบรมธาตุกาวีปีก (วีปีกแปลว่ากระพือปีก) ต่อมาเรียกกันว่าพระธาตุกาวี และคำว่า กาวี ได้เพี้ยนจนเป็นกลายเป็นสวีในปัจจุบัน
ก่อนที่พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชจะเสด็จยกทัพกลับ ทรงห่วงใยพระบรมธาตุว่าจะไม่มีผู้ดูแลรักษา จึงสั่งเรียกบรรดาทหารในกองทัพซึ่งกำลังนอนหลับสนิท ในขณะนั้นมีทหารคนหนึ่งชื่อ เมือง ขานรับพระองค์จึงมีรับสั่งถามว่า ต้องการจะอยู่ดูแลรักษาพระบรมธาตุแห่งนี้ไหม นายเมืองขานรับอาสา พระองค์จึงสั่งให้นายทหารตัดศีรษะนายเมืองเซ่นสรวงบูชาไว้ในศาลเพียงตา ศาลนี้เรียกว่า ศาลพระเสื้อเมือง ให้เป็นผู้เฝ้ารักษาพระบรมธาตุ ในปัจจุบันศาลนี้ยังมียังมีคนทั่วไปเคารพนับถือในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจีน.....
หลังจากออกจากพระธาตุสวี เจ๊ก็บ่นว่าอยากกินผลไม้ เพราะว่าเห็นอยู่ตอนขาเดินทางมายังไม่ทำขาดคำค่ะก็เจอพอดี เหมียวเลยจอดให้แบบด่วนๆเพื่อลงไปซื้อผลไม้สดๆ
ที่แถวอำเภอสวี จะมีจุดร้านขายผลไม้ร้านของฝากระหว่างทางค่ะ
โปรแกรมสุดท้ายของเหมียวๆในวันนี้คือการไปไดหมึกค่ะ โดยทาง Tusita Resort & Spa เป็นผู้จัดโปรแกรมให้ เนื่องจากเป็น 1 ใน Activities ของทางรีสอร์ท ซึ่งพาเหมียวๆมาลงเรือที่ ปากตะโก โฮมสเตย์
พร้อมแล้วก็ขนของลงเรือกันเลยค่ะ
เหมียวๆพร้อมไปไดหมึกแล้ว เรือจะออกเวลาประมาณ 6.00 - 6.30 น. ค่ะ ใช้เวลาเดินทางไปยังจุดที่ทอดสมอเรือประมาณ 40 นาที
ข้างทางอีกฝั่งจะเป็นป่าชายเลนเขียวๆ
สักพักก็มาถึงกลางทะเลค่ะ ระหว่างทางจะเจอเรือที่ออกมาไดหมึกเป็นระยะ
เรือของเหมียวๆทอดสมอบริเวณเกาะขี้นกค่ะ อุปกรณ์ในการไดหมึกก็คือเบ็ดตก และเหยื่อปลอม แล้วก็เปิดไฟเพื่อล่อปลาหมึกมาค่ะ
ระหว่างหารตกปลาหมึกให้คอยดึงเบ็ดไว้เรื่อยๆ ถ้าปลาหมึกมากินเหยื่อให้รีบสาวๆขึ้นมา ได้ปลาหมึกแล้วค่ะ
ตกเองไม่ได้สักตัวค่ะ สงสัยจะไม่ใช่ทาง แต่พี่คนเรือตกปลาหมึกมาได้ ตัวใหญ่มากๆ หลังจากตกขึ้นมาแล้ว ปลาหมึกจะสลักหมึดดำออกมาให้ระวังหมึกเลอะ แต่พอหมดคะแล้วตัวก็จะใสๆแบบนี้
ใหญ่เท่าช่วงตัวเหมียวๆเลยค่ะ
และแล้วก็ถึงเวลาหม่ำๆค่ะ เราปิ้งปลาหมึกทานกันบนเรือเลย ใจก็ลุ้นๆให้สุกเร็วๆ
หน้าตาปลาหมึกสดๆ รสจะหวานมากๆ ทานคู่กับน่ำจิ้มซีฟูดยิ่งอร่อยค่ะ
หิวแล้วค่ะ ทาง Tusita จัดอาหารเย็นมาให้ทานบนเรือด้วย เมนูก็ตามภาพค่ะ อิ่มเอมเปรมบนเรือ หลังจากนั้นก็กลับไปพักผ่อน เตรียมตัวลุยต่อพรุ่งนี้ค่ะ
จบแล้วค่ะสำหรับ Part แรกของการเดินทางกับโครงการ The Amazing Journey ที่จัดโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเพื่อโปรโมต 12 เมืองต้องห้ามพลาด
รอ Part สุดท้ายอีกสักนิด...จากภาพนี้มีไปดำน้ำชัวร์ๆ...รับรองว่าสนุกแน่นอนค่ะ!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อย่าลืมแวะไปทักทายเราใน Facebook : Kit Kat Kitten Fan Page ด้วยนะคะ
ไปกับหมวย / GowithMuays
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 12.01 น.