
ผมมาเที่ยวชุมพรก็หลายครั้งอยู่ ทั้งจอดรถแวะเที่ยวเพื่อยืดเส้นยืดสายระหว่างเดินทางลงใต้ รวมถึงตั้งใจมาเที่ยวชุมพรแบบตั้งใจมาก็หลายครั้ง แต่ละครั้งก็ได้รับความสุข สนุกสนาน และความประทับใจกลับไปทุกที และทริปนี้ก็เช่นกัน เป็นทริปที่ผมใช้เวลาซึมซับกับเมืองชุมพร 5 วัน 4 คืน ไปดูกันครับว่าผมไปเที่ยวที่ไหนในชุมพรบ้าง
ทริปนี้ผมเลือกเดินทางโดยรถไฟ ขบวนที่ 43 รถด่วนพิเศษ ต้นทางจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ ปลายทางที่สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี โดยรถขบวนนี้ออกจากต้นทางในเวลา 07.30 น. และมาถึงชุมพรในเวลา 13.50 น. ในวันที่ผมไป รถมาถึงตรงเวลา บนขบวนรถไฟไม่มีตู้เสบียง และไม่มีบริการอาหารนะครับ แต่จะมีเจ้าหน้าที่ประกาศแจ้งให้ผู้โดยสารที่ต้องการสั่งข้าวกล่องสั่งได้ในราคากล่องละ 50 บาท โดยจะได้รับข้าวกล่องในเวลาประมาณ 09.45 น. ที่สถานีรถไฟเพชรบุรี นอกจากนี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวราชบุรี ห่อละ 20 บาท และขนมหม้อแกง ของฝากจากเพชรบุรีในราคา 3 ถาด 100 บาทด้วย บนขบวนรถมีน้ำดื่ม กาแฟ มาม่า ขายตลอดเส้นทางการเดินทางครับ

รถสองแถวไม้โบราณที่ผมติดต่อไว้มารออยู่ที่สถานีรถไฟแล้ว โดยช่วงบ่ายนี้ผมจะใช้รถสองแถวไม้ตะเวนเที่ยวในเขตอำเภอเมืองชุมพรครับ สำหรับเพื่อนคนไหนที่อยากได้ฟิลลิ่งเที่ยวชุมพรแบบย้อนยุค สามารถติดต่อเช่ารถไม้ได้จากเพจ ‘Chumphon Travel Local Car รถสองแถวนำเที่ยวชุมพร’ เช่ารถนำเที่ยวครึ่งวันในราคา 1,500 บาท
ก่อนออกเดินทาง ขอเติมพลังที่ร้านฟารีดาชาโรตีเป็นอันดับแรกเลย โดยร้านอยู่ห่างจากสถานีรถไฟราว 1 กิโลเมตรครับ ( พิกัด : https://maps.app.goo.gl/mhgGNi9j3mZftQZC7 ) เมื่อเลือกที่นั่งได้แล้ว น้องพนักงานจะนำ QR Code มาให้เราสแกนสั่งอาหาร ทันสมัยน่าดู เมนูอาหารมีทั้งโรตีหลากหลายรสชาติตามชื่อของร้าน นอกจากนั้นยังมีอาหารจานเดียวหลากหลายเมนูเลยครับ


ผมกินมื้อเที่ยงบนรถไฟกันมาแล้ว มาถึงขอแค่เติมพลังกันนิดหน่อย เพื่อจะได้มีแรงลุยกันต่อ บ่ายนี้เลยสั่งแต่โรตี มะตะบะมาชิม ส่วนเพื่อนร่วมทริปคนอื่น ๆ ก็สั่งเมนูมาหลากหลาย เลยขอถ่ายรูปมาให้ชมกันครับ

โรตีมะตะบะไก่ และ โรตีมัสมั่นไก่

โรตีกล้วยชีส และ โรตีฟารีดา (ผลไม้รวม)

โรตีฝอยทองมะพร้าวอ่อน
รสชาติโดยรวมถือว่าโอเคครับ น้อง ๆ พนักงานก็บริการดี
อิ่มท้องกันแล้ว ก็เดินทางกันต่อ จุดหมายแรกผมปักหมุดที่สะพานชมกวางครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/M2Hy6GyRzFrqXMUq5 )

สะพานชมกวาง เป็นสะพานแขวน ทอดจากฝั่งไปยังชายป่า ชื่อของสะพานก็ตรง ๆ เลยครับ เป็นจุดชมกวาง เมื่อข้ามสะพานไปแล้วเราจะเห็นฝูงกวางเป็นจำนวนมาก มารออาหารจากนักท่องเที่ยวกันหน้าสลอนเลย





กวางเหล่านี้เป็นกวางพันธุ์รูซ่า ที่ถูกนำมาเลี้ยงในพื้นที่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 โดยผู้ว่าราชการจังหวัดสมัยนั้นคิดว่าที่นี่เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของกวาง จึงนำมาเลี้ยง 10 ตัว แต่ปัจจุบันกวางเหล่านั้นได้ออกลูกออกหลาน อาศัยอยู่ตรงจุดนี้กว่าร้อยตัว ช่วงเย็น ๆ น่าจะบรรยากาศดี ขนาดผมมาตอนบ่าย ยังมีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวชุมพร มาพักผ่อนหย่อนใจ พาลูกพาหลานมาเดินเล่นบนสะพานไม้ มาให้อาหารกวางกันหนาตา

จากสะพานชมกวาง เราสามารถมองเห็นสะพานไม้เคี่ยมอยู่ใกล้ ๆ ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปของผม
รถสองแถวไม้โบราณพาผมมาส่งใกล้ ๆ สะพานไม้เคี่ยมครับ




สะพานไม้เคี่ยม อยู่ในโครงการตามพระราชดำริหนองใหญ่ เป็นสะพานไม้ที่ทอดยาวกว่า 300 เมตร เชื่อมต่อกับเกาะขนาดเล็ก กลางหนองน้ำใหญ่ที่ใช้เป็นแก้มลิงของเมืองชุมพร ตัวสะพานสร้างจากไม้เคี่ยม ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งที่ทนทานต่อน้ำจืดและน้ำเค็ม เป็นไม้ที่พบมากในภาคใต้ ช่วงกลางสะพานมีการเล่นระดับความสูง เพิ่มเสน่ห์ให้สะพานไม้นี้เป็นอย่างมากครับ
จากสะพานไม้เคี่ยม ผมมุ่งหน้าไปยัง พระตำหนักกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ตั้งอยู่ติดหาดทรายรีครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/fJP1g6Vz2tFQQbvZ8 )


พระตำหนักแห่งนี้เป็น 1 ใน 3 พระตำหนักที่อยู่ในจังหวัดชุมพร (อีก 2 แห่งคือ ศาลกรมหลวงชุมพร (หัวเขาถ่าน) อำเภอสวี และ บริเวณปากน้ำหลังสวน อำเภอหลังสวน) โดยพระตำหนักแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาทางตอนเหนือของหาดทรายรี เป็นพระตำหนักหลังใหม่ที่สร้างอยู่ทางด้านเหนือของศาลหลังเดิม ด้านในประดิษฐานรูปหล่อของพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า เสด็จเตี่ยครับ

ด้านหน้าพระตำหนัก มองออกไปจะเห็นเวิ้งอ่าวของหาดทรายรี มองไกลจนไปถึงสุดหาดเลยครับ
จากพระตำหนักฯ ผมปักหมุดไปเดินเล่น หาถ่ายรูปเก๋ ๆ กับ Street Art ในปากน้ำชุมพร กันต่อครับ






Street Art ในเมืองเก่า มีภาพวาดสวย ๆ ของศิลปินจากทั่วประเทศให้ชมถึง 32 จุด แต่จุดที่ผมคิดว่าไม่ควรพลาด เห็นจะเป็นภาพในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีฉากหลังเป็นต้นไม้สีฟ้า ดูสวยงามมากจริง ๆ ครับ
เที่ยวกันจนหมดแรง ขอแวะเติมพลังมื้อเย็นที่ ร้านบ้านโบราณซีฟู้ดชุมพร ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/oyGAzMs9EjpocN3w7 )



ร้านอยู่ริมถนนใหญ่เลยครับ ตั้งโดดเด่นอยู่หลังเดียว บรรยากาศเป็นบ้านไม้ครึ่งปูน 2 ชั้นแบบโบราณ ให้ความรู้สึกเหมือนมากินข้าวบ้านญาติในต่างจังหวัดเลย






มื้อนี้สั่งอาหารมา 6 เมนู ประกอบด้วย กุ้งผัดกะปิสะตอ ใบเหลียงผัดไข่ ยำสามไข่ (ไข่ปลาหมึก ไข่แมงดา ไข่ปลาเรียวเซียว) หมึกไข่ผัดหวาน แกงส้มไข่ปลา+เนื้อปลา และปลากะพงทอดน้ำปลา รสชาติอาหารถือว่าจัดจ้านตามสไตล์อาหารใต้ครับ ร้านบ้านโบราณซีฟู้ด เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-21.00 น. ครับ
หลังอิ่มท้องแล้ว ผมมุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองชุมพรอีกครั้ง เพื่อเข้าพักที่ โรงแรม วัน ชุมพร ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/utvRzcUpAXcyzKh49 )

โดยห้องพักที่นี่จะมี 2 แบบ คือแบบที่เป็นตัวอาคาร ซึ่งจะอยู่ด้านหน้าของโรงแรมเลย กับแบบที่เป็น cottage ซึ่งจะอยู่ด้านใน ตั้งอยู่ริมคลองท่าตะเภาครับ


เมื่อขับรถเข้ามาด้านใน จะพบอาคารสำหรับ Check in อยู่ทางซ้ายมือ และติดจุด Check in จะเป็นห้องอาหารเล็ก ๆ ตอน Check in จะมีค่ามัดจำกุญแจห้องละ 200 บาทครับ






ผมเลือกเข้าพักแบบ Cottage River View ห้องพักกว้างขวาง สะอาด ราคาห้องพัก 890 บาท (รวมอาหารเช้า) ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครับ สำหรับห้องพักที่เป็นแบบตัวอาคาร จะเป็นห้องแบบ Superior Room ราคาห้องละ 690 บาท (รวมอาหารเช้า) ครับ

ห้องแบบ Cottage River View จะอยู่ริมน้ำเลย ช่วงนี้ทางโรงแรมกำลังซ่อมแซมกำแพงกันตลิ่งอยู่พอดีครับ

อาคารหลังนี้เป็นอาคาร Check in – Check out รวมถึงเป็นห้องอาหารด้วย

อาหารเช้าจะมีให้เลือก 3 เมนู คือ ข้าวต้มหมู / ไข่กระทะ / ABF ครับ

นอกจากนี้จะมี ขนมปัง ผลไม้ ชา กาแฟ เสริมให้ด้วย โรงแรม วัน ชุมพร นับเป็นตัวเลือกที่ดีในการเข้าพักอีกโรงแรมหนึ่งเลยครับ
เช้าวันใหม่ ผมออกไปชมแสงแรกที่ริมทะเลปากหาด (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Jg2ZiZDQ72h3UiCm6 ) ครับ


มีต้นไม้ขึ้นอยู่ริมชายหาดหิน ตั้งอยู่เดียวดาย ให้อารมณ์เหงาเลยทีเดียว


ริมทะเลปากหาดจะเป็นถนนเลียบชายหาด ยาวกว่า 1 กม. ที่สามารถหามุมสวย ๆ จอดดูวิวยามเช้าได้ตามชอบเลยครับ วิวที่เห็นก็สวยงามเลยทีเดียว
หลังจากชมแสงแรกจนอิ่มเอมใจแล้ว ผมกลับมาทานมื้อเช้าที่โรงแรมครับ
โปรแกรมวันที่สอง ผมติดต่อซื้อแพคเกจดำน้ำกับ SC World Express ไว้

เส้นทางดำน้ำจะมี 2 เส้นทาง คือ เกาะง่ามน้อย เกาะง่ามใหญ่ หินแพ (หินกอง) เกาะกะโหลก และเกาะทะลุ ซึ่งเส้นทางนี้จะเดินทางวันคู่ ส่วนวันคี่ จะเป็นเส้นทางเกาะมาตรา เกาะหลักแรด เกาะลังกาจิว เกาะละวะ เกาะมะพร้าวครับ ค่าแพคเกจราคา 1,500 บาท เด็กอายุ 5-11 ปี ราคา 750 บาทครับ

สำหรับกรุ๊ปไหนที่เดินทางมากันเยอะ สามารถเที่ยวแบบส่วนตัวโดยการเหมา Speed boat ได้ ในราคาเริ่มต้น 12,000 บาท (เดินทาง 1-8 คน) คนที่ 9 เป็นต้นไป คิดเพิ่มคนละ 1,000 บาท โดยเราสามารถเลือกเส้นทางที่เราอยากไปได้เลยครับ ราคาทั้ง 2 แบบ รวมรถตู้รับ-ส่ง ที่พักในตัวเมืองชุมพรด้วยครับ


จุดหมายแรก ของวันนี้ คือเกาะมะพร้าว ซึ่งเป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่น นักท่องเที่ยวไม่สามารถลงไปบนเกาะได้ เกาะมะพร้าวมีชายหาดยาวประมาณ 100 เมตร ยื่นลงมาในทะเล จริง ๆ แล้วเกาะมะพร้าวสามารถมองจากพระตำหนักกรมหลวงชุมพรได้จากระยะไกลเลยครับ







จากนั้นไปต่อที่เกาะลังกาจิว ซึ่งเป็นเกาะสัมปทานรังนกนางแอ่นเช่นกัน แต่เกาะนี้เราสามารถขึ้นไปด้านบนได้ และมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพรเฝ้าประจำอยู่ ชายหาดที่นี่ เม็ดทรายไม่ได้ขาวเนียน ละเอียด เหมือนชายหาดที่ผมเคยเห็นมา แต่ชายหาดที่นี่เม็ดทรายจะค่อนข้างหยาบ แถมยังมีเม็ดทรายสีดำผสมปนเปอยู่ด้วย ดูสวยงามแปลกตาจริง ๆ
หลังจากถ่ายภาพบนชายหาดกันพอสมควรแล้ว ก็ถึงเวลาดำน้ำต่อ ไกด์พานั่งเรือออกไปห่างจากเกาะลังกาจิวนิดหน่อย เนื่องจากตอนนั้นบริเวณหน้าหาด น้ำลงค่อนข้างเยอะ ทำให้ไม่สามารถดำน้ำตรงหน้าหาดได้ เสียดายที่วันนั้นน้ำทะเลไม่ใสตามที่วาดฝันไว้ แถมปะการังตรงจุดที่ดำน้ำมีไม่ค่อยเยอะ แต่ก็ยังพบเห็นดอกไม้ทะเลอยู่บ้าง ที่สำคัญมีฝูงปลาจาระเม็ดฝูงใหญ่ว่ายมาทักทายด้วยครับ


จากเกาะลังกาจิว ไกด์พามาพักผ่อน ทานมื้อเที่ยงที่เกาะมาตรา มื้อเที่ยงนี้เป็นอาหารเบนโตะ เปิดฝากล่องออกมาแล้วท้องร้องเลยครับ หน้าตาอาหารน่าทานมาก มีทั้งกุ้ง ปลาจาระเม็ดทอด และห่อหมก (ห่อหมกอร่อยมาก เสียดายที่ห่อเล็กไปหน่อย) นอกจากนี้ยังมีวุ้นลายดอกไม้ (ที่สวยงามจนไม่กล้ากิน) เต้าฮวยฟรุทสลัด มะม่วงน้ำปลาหวาน มังคุด นั่งกินไป ชมวิวรอบ ๆ เกาะมาตราไป มีความสุขมาก ๆ เลยครับ

จริง ๆ หน้าหาดเกาะมาตราก็สามารถดำน้ำได้ แต่เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ลมก็พัดเย็น สมาชิกบางคนก็เล่นเกมซ่อนตาดำกันแล้ว บ้างก็หามุมถ่ายรูปชิล ๆ กันไป

จุดสุดท้ายของทริป คือการดำน้ำที่เกาะหลักแรดครับ จุดนี้พบเห็นดอกไม้ทะเลมากมาย แถมสีสันสวยงาม มีถึง 3 สี น้ำตาล เขียว ขาว แถมยังมีฝูงปลาให้เห็นไม่แพ้เกาะลังกาจิวครับ



ที่เห็นขาว ๆ นั่นคือปลิงสร้อยไข่มุก ที่เกาะอยู่บนฟองน้ำครกครับ



ลงมติกันว่า จุดดำน้ำเกาะหลักแรด ปะการังหลากหลาย และสีของดอกไม้ทะเลสวยกว่าเกาะลังกาจิวครับ

ไกด์บอกว่าเกาะด้านขวามือ ดูคล้ายกับแรดเพราะมีลักษณะเหมือนกับนอแรดยื่นขึ้นมา จึงเรียกเกาะนี้ว่าเกาะแรด ส่วนด้านหน้าของเกาะแรด มีลักษณะคล้ายหลักสำหรับผูกแรด จึงเรียกว่าเกาะหลักแรดครับ
หลังจากจบทริป ผมปักหมุดที่เขามัทรี (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/gqEJnbp444RqZMLV9 )

ทางขึ้นเขามัทรีค่อนข้างชันเลยทีเดียว จุดชมวิวนี้เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-20.00 น. ครับ ด้านบนมีร้านกาแฟด้วย

นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรปางมหาราชลีลา ตั้งอยู่ตรงกลางของลานชมทิวทัศน์เลยครับ


บนจุดชมวิวเขามัทรี สามารถชมวิวได้แบบ 360 องศาเลยครับ เราจะมองเห็นท่าเทียบเรือประมงและชุมชนปากน้ำชุมพร มองไกล ๆ ออกไปเห็นทิวเขาวางตัวเรียงรายสวยงามมาก ๆ

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งมองเห็นชายหาดภราดรภาพครับ มาเที่ยวชุมพรแล้ว ผมไม่อยากให้พลาดขึ้นมาชมวิวบนจุดชมวิวเขามัทรีนะครับ ยิ่งถ้าได้มาตอนพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตก บรรยากาศคงจะดีมาก ๆ ครับ
จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่อำเภอสวี เพื่อเข้าพักที่ Coco Sawi Homestay ครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9meKvGoCg46bUZDn8 )

Coco Sawi Homestay โฮมสเตย์เล็ก ๆ ท่ามกลางสวนมะพร้าวในอำเภอสวี ริมอ่าวคราม เป็นอีกหนึ่งที่พักในชุมพรที่ผมประทับใจ ทั้งบรรยากาศในโฮมสเตย์ ห้องพักที่ตกแต่งได้อย่างน่ารัก กิจกรรมภายในโฮมสเตย์ก็หลากหลาย มีทั้ง ATV โต๊ะพูล คายัค สระว่ายน้ำ ทุกอย่างบริการฟรี จ่ายเงินทีเดียวจบ! เพราะราคาที่จ่ายรวมอาหารเย็นและอาหารเช้า รวมถึงน้ำดื่มระหว่างมื้ออาหารและมีบริการในห้องพัก ที่สำคัญพี่อ้อย เจ้าของโฮมสเตย์ ดูแลดีมาก ๆ ไม่มีตกหล่นเลย แถมแกยังจิตใจดี ใช้โฮมสเตย์ของแกเป็นช่องทางในการจำหน่ายผลผลิตของชาวบ้านในละแวกนั้นด้วย ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงที่ทุเรียนกำลังออกผลผลิต แกก็ให้ชาวสวนมาขายทุเรียนที่โฮมสเตย์ของแก จำหน่ายกันในราคาหน้าสวนเลย ที่ผมรู้ก็เพราะเมื่อวันก่อนผมเพิ่งไปซื้อทุเรียนที่ตลาดมาในราคากิโลกรัมละ 120 บาท แต่ชาวสวนมาขายที่โฮมสเตย์ในราคากิโลกรัมละ 90 บาทครับ ชาวสวนก็ขายผลผลิตได้ราคา แขกที่เข้าพักก็ได้ทานทุเรียนในราคาถูก นอกจากนี้ยังมีปลาอินทรีย์แดดเดียว กะปิ พริกแกงส้ม ที่ชาวบ้านนำมาฝากขายที่โฮมสเตย์ของแกด้วยครับ




ไปดูบรรยากาศห้องพักกันดีกว่า ห้องนี้สำหรับ 2 คน (สามารถเสริมฟูกได้) เตียงนอนสบาย หอมกลิ่นผ้าปูที่นอน ในห้องพักไม่มีทีวีนะครับ เพื่อให้แขกที่เข้าพักได้ใช้เวลาอยู่กับสิ่งรอบข้างได้อย่างเต็มที่ เอาจริง ๆ วันที่ผมเข้าพัก ก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องการนั่งดูทีวีเลย เพราะมัวแต่ซึมซับกับบรรยากาศของโฮมสเตย์ครับ

ด้านหลังของที่นอน จะเป็นส่วนของห้องน้ำและพื้นที่แต่งตัว ในห้องน้ำแยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยกำแพง น้ำฝักบัวไม่ค่อยแรงสักเท่าไร และท่อระบายน้ำมีกลิ่นนิดหน่อย น่าจะเป็นที่ระบบท่อระบายน้ำไม่ดี แต่ก็พอเข้าใจได้ครับ เพราะอยู่ในสวนแบบนี้ จัดการได้ขนาดนี้ก็โอเคแล้วครับ


พี่อ้อย พาผมชมห้องแบบ 4 คน เปิดประตูเข้าไปจะเป็นห้องโถงกว้าง มีโซฟายาว 1 ตัว ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องนอน มี 2 เตียง เตียงหนึ่งนอนได้ 2 คน ส่วนด้านหลังโซฟาจะเป็นห้องน้ำครับ

และห้องนี้เป็นห้องที่ดีสุด กว้างสุด และวิวดีที่สุด เป็นห้อง VIP อยู่ติดชายหาดเลย ห้องจะอยู่ชั้น 2






เปิดประตูเข้ามาจะเป็นพื้นที่นั่งเล่น พูดคุย และ ดูทีวี (เป็นห้องเดียวที่มีทีวี) มีอ่างอาบน้ำอยู่กลางห้อง ห้องกว้างมาก มีระเบียงให้ออกไปชมวิวทะเลด้วย เช้ามาสามารถชมแสงแรกของวันที่ระเบียงห้องได้เลย เหมาะกับคู่ฮันนีมูนมาก ห้องนี้ราคา 4,900 บาท พักได้ 2 คน สามารถเสริมเบาะได้ ในราคา 1,300 บาทต่อคนครับ

ออกมายืนนอกห้อง ก็มองเห็นอ่าวครามเลยครับ

สระว่ายน้ำ และพื้นที่สำหรับทานอาหารริมอ่าวคราม

ATV บริการฟรี สามารถขับได้รอบโฮมสเตย์เลยครับ เว้นแต่ห้ามขับลงชายหาด เพราะรถจะโดนความเค็ม เสียดายที่วันที่ผมไป น้ำทะเลลงเยอะมาก เลยไม่สามารถพายคายัคได้







อาหารเย็น มีทั้งหมึกสดย่าง หมึกไข่ผัดหวาน ใบเหลียงผัดไข่ ปลาจาระเม็ดราดพริก แกงส้ม ตบท้ายด้วยแตงโมครับ


บรรยากาศช่วงพลบค่ำครับ

ห้องอาหารแบบ indoor แต่ผมเลือกที่จะมานั่งตากลมทะเล ริมชายหาดครับ

มีโต๊ะพูลให้เล่นด้วย


บรรยากาศยามเช้า ด้านหน้า Homestay ครับ เสียดายที่ผมตื่นช้า เนื่องจากเมื่อวานเพลียจากการดำน้ำ ตื่นขึ้นมา 6 โมง ไม่ทันชมแสงแรกแล้ว แต่ก็ยังพอเห็นแสงสีทองนิด ๆ


ผมเดินเลาะตามชายหาดไปเรื่อย ๆ จนเกือบสุดหาด จุดนี้มีไม้โกงกางอยู่พอสมควร มองผ่านออกไปเห็นเกาะกุลา ซึ่งเราสามารถนั่งเรือจากโฮมสเตย์ไปเที่ยวที่เกาะกุลาได้ครับ



เสียดายที่วันนี้ฟ้าไม่เปิดสักเท่าไร แต่แค่นี้ผมก็ได้ซึมซับกับบรรยากาศจนอิ่มเอมใจแล้วครับ

Top View ของ Homestay ครับ


อาหารเช้า ทางโฮมสเตย์จัดเป็นข้าวต้มหมู ข้าวเหนียวสังขยา ปลาท่องโก๋ ขนมปัง ชา กาแฟ นั่งทานริมทะเล อิ่มทั้งท้อง และอิ่มทั้งใจ กับบรรยากาศเบื้องหน้า

ขอซึมซับกับบรรยากาศโฮมสเตย์ให้นานที่สุด เนื่องจากที่นี่เป็นที่พักเพียงแห่งเดียวที่อ่าวคราม จึงไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ เข้ามาวุ่นวายเลยครับ
สำหรับราคาที่พัก ที่นี่จะคิดเป็นราคาต่อคนนะครับ โดยวันอาทิตย์ถึงวันพฤหัสบดี ราคา 1,200 บาท/คน ส่วนวันศุกร์ถึงวันเสาร์ ราคา 1,300 บาท/คน ราคานี้รวมอาหารเย็นและอาหารเช้าแล้ว สามารถโทรเช็คห้องว่างได้กับพี่อ้อย โทร. 098-395-8477 ครับ
ช่วงสายผมเดินทางต่อสู่จุดชมวิวประตูมหาสมุทร (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/tnWekhXddSC8c7nj6 ) ครับ
ถนนที่จะเข้าไปยังประตูมหาสมุทรค่อนข้างแคบ รถสวนทางกันลำบาก แนะนำให้จอดรถด้านหน้าศาลเจ้าบุ้นเถ้า (บ้านบ่อคา) แล้วใช้การเดินเท้าอีกราว 700 เมตรครับ




สองข้างทางที่ก้าวเดินจะผ่านชุมชนบ้านบ่อคา ซึ่งเป็นชุมชนชาวประมงเก่าแก่ขนาดเล็กที่เงียบสงบ อาคารบ้านเรือนหลายหลังยังคงสภาพโครงสร้างไม้แบบเดิมๆ ที่สร้างด้วยไม้เคี่ยมโบราณ นับเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนแห่งนี้ แถมยังได้เห็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้านบ่อคา เหมือนเราได้เดินย้อนเวลากลับไปในอดีตเลย

เดินมาเรื่อย ๆ จนพบกับถนนที่เลียบทะเล โดยจุดหมายปลายของถนนสายนี้อยู่ที่ประตูมหาสมุทรครับ บริเวณนี้ก็จะเห็นชาวบ้านมาจับปลาเพื่อใช้ดำรงชีพครับ



ประตูมหาสมุทร เป็นประตูหินที่เกิดจากการกัดกร่อนของลมและน้ำทะเลตามธรรมชาติ พอได้เห็นประตูมหาสมุทรแล้วภาพซุ้มประตูของเกาะไข่ ในอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ก็แว๊บขึ้นในหัวผมทันที ลักษณะใกล้เคียงกันเลยครับ ซุ้มประตูแห่งนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ในจุดเดียว จากซุ้มประตูนี้ มองยาวออกไปเห็นเกาะกุลาและอ่าวคราม ที่ผมเพิ่งไปพักมาเมื่อคืนด้วยครับ
จากประตูมหาสมุทร ผมแวะสักการะพระบรมธาตุสวี (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/wyTjbRbWFdFRpq2U8 ) สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสวี เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตครับ






พระบรมธาตุสวีเป็นเจดีย์ที่มีลักษณะแบบเดียวกับพระบรมธาตุเจดีย์นครศรีธรรมราช จึงสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง ปัจจุบันมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทอง มีซุ้มช้างและยักษ์ยืน ชั้นบนทำเป็นซุ้มพระล้อมรอบ และมีเจดีย์ขนาดเล็กประจำมุมทั้งสี่มุม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุสวี ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ตั้งแต่ปี 2544 ครับ


ด้านข้างของพระบรมธาตุสวีเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วัดพระบรมธาตุสวีครับ





ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดภายในวัด โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ห้อง ห้องแรกเป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของวัดพระบรมธาตุสวี

ห้องที่สองจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งจำลองวิถีชีวิตของชาวชุมพรในสมัยโบราณ และห้องสุดท้ายเป็นห้องเก็บผลงานและรับรองแขกครับ
จากพระบรมธาตุสวี ผมมุ่งหน้าสู่คลองหินดำ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QGHLSbTWYxbNHU6Y6 )

ก่อนที่จะถึงคลองหินดำนิดเดียว จะเห็นลานหินตั้ง แวะถ่ายรูปก็สวยดีครับ



คลองหินดำ ตั้งอยู่ภายในวัดโรจน์ดำริ สามารถขับรถเข้าไปจอดในวัดได้เลย แล้วเดินเท้าต่ออีกราว 100 เมตร ก็จะถึงทางลงไปยังคลองหินดำ โดยจะมีบันไดเหล็กไว้ให้ครับ
คลองหินดำ มีลักษณะเป็นแก่งหินที่สวยงาม คาดเดากันว่าเกิดจากรอยเลื่อนของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นผาหินสีดำเป็นทางยาว มีน้ำไหลผ่าน รวมระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร แต่จุดที่สามารถเดินเที่ยวได้จริง ๆ ระยะทางประมาณ 100 เมตร แก่งหินที่ตั้งขนาบข้างลำธาร สูงราว 3-5 เมตร จนทำให้ที่นี่ได้ฉายาว่าเป็นแกรนด์แคนยอนชุมพรครับ ก่อนหน้าวันที่ผมไปมีฝนตก จึงทำให้น้ำมีสีขุ่นแดง แต่ถ้าช่วงปลอดฝน น้ำที่นี่จะใสเลยทีเดียวครับ
จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่ กันเองโฮมสเตย์ บนดอย& Chill Chill เต้นท์ โฮมสเตย์ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7FUHhgVtjS6Euq3KA )




ที่พักในกันเองโฮมสเตย์ มีทั้งแบบบ้านเป็นหลัง ซึ่งมีอยู่ 3 หลัง รวมถึงเต็นท์โดมขนาดใหญ่ ซึ่งจะอยู่คนละฝั่งถนนกับบ้านหลัง ในบรรยากาศสวนผลไม้ อากาศดีเลยทีเดียว มองไปทางไหนก็เจอแต่พื้นที่สีเขียว ผมเลือกเข้าพักแบบบ้านหลัง พักได้ 2 คน ในราคา 890 บาท (รวมข้าวต้มมื้อเช้า) มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ทีวี กาน้ำร้อน เครื่องทำน้ำอุ่น สำหรับเพื่อน ๆ ที่จะมาพักที่กันเองโฮมสเตย์ แนะนำให้หาซื้อกับข้าวมื้อเย็นที่ตลาดนัดบ้านเขาทะลุเข้ามาด้วย แล้วมายืมจานชามที่ที่พักได้ สะดวกดีครับ (สำหรับใครที่ต้องการมาพักที่นี่ สามารถโทรติดต่อคุณจา ได้ที่เบอร์ 061-4480057 แอดไลน์คุยได้ที่เบอร์นี้เลยครับ)
05.00 น. เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น แอบขี้เกียจตื่นเล็กน้อย แต่ยังไงก็ต้องข่มใจตัวเอง ลุกมาล้างหน้าล้างตา เพราะที่ผมมาพักที่กันเองโฮมสเตย์ เพราะผมตั้งใจที่จะขึ้นไปชมทะเลหมอกบนดอยตาปังครับ
กันเองโฮมสเตย์อยู่ห่างจากจุดชมวิวดอยตาปังประมาณ 3.5 กม. เส้นทางขึ้นเขาแบบเส้นทางเดิม ๆ ทางค่อนข้างแคบ รถที่จะขึ้นไปยังจุดชมวิวต้องเป็นรถ 4x4 เท่านั้น ใช้เวลาเดินทางราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นมาถึงยอดดอยตาปังครับ





ผมขึ้นมาทันเห็นแสงแรกพอดี แต่แอบผิดหวังที่ไม่ได้เห็นทะเลหมอกตรงจุดที่อยากให้มี แต่หมอกดันไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งที่วิวไม่ค่อยสวยซะงั้น
จุดชมวิวดอยตาปัง อยู่สูงจากระดับทะเลปานกลางประมาณ 500 เมตร เหมาะกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นและชมทะเลหมอกท่ามกลางภูเขาหินปูนรูปทรงแปลกตาครับ

จากจุดชมวิวสามารถมองเห็นเขาทะลุ ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คของตำบลเขาทะลุครับ และในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม ดวงอาทิตย์จะขึ้นด้านหลังเขาทะลุและส่องแสงผ่านช่องทะลุของเขาได้อย่างสวยงาม ปรากฏการณ์นี้สามารถเห็นได้ประมาณ 4-5 วันเท่านั้น
และอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ตกตรงรูเขาทะลุ จะเกิดในช่วงเดือนเมษายน ซึ่งสามารถชมปรากฏการณ์นี้ได้บริเวณสามแยกคลองโตนครับ


ด้านบนจะมีระเบียงสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้มายืนชมวิวด้วยครับ
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ต้องการขึ้นมาชมวิวบนดอยตาปัง จะต้องเหมารถ 4x4 ของชาวบ้านขึ้นมา โดยสามารถติดต่อกับที่พักได้เลย รถหนึ่งคันนั่งได้ 10 คน ในราคาคันละ 600 บาทครับ
จากดอยตาปัง ผมตีรถยาวสู่น้ำตกเหวโหลม (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/e1c9WwvvFnJ2FPkR6 ) จะเรียกว่าน้ำตกลับก็น่าจะได้ เพราะทางเข้าค่อนข้างเปลี่ยว ไร้สัญญาณโทรศัพท์และสัญญาณเน็ต ดูจากร่องรอยแล้วแทบไม่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวนัก ตอนแรกผมก็ยังคิดว่าตัวเองหลงทาง แต่ GPS บอกว่าระยะทางไปอีกไม่ไกลแล้ว หลงไม่หลง ลองไปให้สุดเส้นทางก่อนดีกว่า เพราะมาไกลเกินจะกลับใจแล้ว
สิ้นสุดถนนสายนี้ มองเห็นป้ายน้ำตกเหวโหลม ผมนึกในใจ ‘มาถูกทางแล้ว’ แต่ไหนละน้ำตก มองออกไปพอจะเห็นเส้นทางเดินเท้าแบบลาง ๆ ก็เลยเสี่ยงลองเดินดู ระยะทางใกล้ไกลไม่ใคร่รู้ ลองเดินสักตั้งดู เส้นทางไม่ยากเย็นอะไร มีขึ้นลงเนินบ้าง พอที่จะทำให้เหงื่อซึมกาย กะระยะทางเดินเท้าจากจุดจอดรถถึงตัวน้ำตกราว 200 เมตรได้





น้ำตกเหวโหลมอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าควนแม่ยายหม่อน อำเภอพะโต๊ะ น้ำตกไหลจากหน้าผาสูง 80 เมตร ละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ สายน้ำไหลลัดเลาะเป็นลำธารผ่านอำเภอพะโต๊ะ และไหลลงสู่แม่น้ำหลังสวนครับ

ช่วงที่ผมไป มีเพียงกลุ่มเด็กวัยรุ่น 4 คนขี่รถมาจากชุมพร มาเที่ยวที่น้ำตกแห่งนี้ครับ ลองเทียบสเกลความยิ่งใหญ่ของน้ำตกกับเด็ก ๆ ดูครับ
จากน้ำตกเหวโหลม ผมย้อนกลับมาที่อำเภอหลังสวน โดยคืนสุดท้ายนี้ผมวางแผนมาพักค้างคืนบนเกาะพิทักษ์ครับ
เกือบ 5 กม. ก่อนที่จะถึงท่าเรือ ผมขับรถเลียบชายหาด มองออกไปเห็นวิวสวย ๆ จนอดใจไม่ไหว ขอจอดถ่ายภาพเก็บไว้เป็นความทรงจำดี ๆ


แล้วก็มาถึงท่าเรืออ่าวท้องครกที่อยู่บริเวณปากน้ำตะโกครับ (พิกัด : https://maps.app.goo.gl/tS1zUPZHB2bNHx8cA ) บริเวณท่าเรือจะมีลานจอดรถโล่ง ๆ สามารถเลือกจอดรถได้ฟรีเลยครับ
การพักค้างคืนบนเกาะพิทักษ์ จะเป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ที่มีกว่า 24 แห่ง นักท่องเที่ยวจะได้พักค้างแรมกับเจ้าของบ้านจริง ๆ ครับ สำหรับคืนนี้ผมเลือกเข้าพักที่ ‘เจกะแจน โฮมสเตย์’ เมื่อเรามาถึงที่ท่าเรือ ก็โทรหาเจ้าของโฮมสเตย์ แล้วทางโฮมสเตย์จะเอาเรือมารับเราที่ท่าเรือครับ







จากท่าเรือ มองออกไปก็เห็นเกาะพิทักษ์อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วครับ กะด้วยสายตา น่าจะห่างราว ๆ 1 กม. ช่วงที่ผมไป น้ำทะเลลงมาก ทำให้เรือไม่สามารถมาจอดรับตรงท่าเรือได้ ผมเลยต้องเดินไปบนทราย ระยะทางราว ๆ 200 เมตร เพื่อไปขึ้นเรือครับ

นั่งเรือสัก 10-15 นาที ก็มาถึงเกาะพิทักษ์ครับ โดยเรือจะไปจอดที่โฮมสเตย์เลย

เจกะแจนโฮมสเตย์ อยู่ติดกับท่าเรือบนเกาะพิทักษ์เลย




เกาะพิทักษ์เป็นเกาะขนาดเล็ก มีหมู่บ้านชาวประมงตั้งเรียงรายอยู่รอบเกาะ ในอดีตชาวบ้านเรียกเกาะนี้ว่า ‘เกาะผีทัก’ ซึ่งมีเรื่องเล่าว่า มีชาวประมงลอยเรือหาปลามายังเกาะนี้ มองเห็นมีชาวบ้านบนเกาะกวักมือเรียก แต่พอเข้าไปยังเกาะกลับไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่บนเกาะเลย จึงเรียกเกาะนี้ว่าเกาะผีทัก แล้วเพี้ยนมาเป็นเกาะพิทักษ์จนถึงปัจจุบันครับ





ทุก ๆ ปี ช่วงเดือนมิถุนายน จะมีการจัดงานวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ด้วย ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยเมื่อมาเห็นด้วยตาของตัวเอง ว่าช่วงเวลาน้ำลง ระดับน้ำลงขนาดไหน ขนาดที่เห็นเนินทรายทอดเป็นแนวยาวอยู่กลางทะเล เกือบที่จะเชื่อมระหว่างเกาะพิทักษ์และแผ่นดินชุมพรเลยครับ

กิจกรรมบนเกาะพิทักษ์ คงเป็นการได้มาใช้ชีวิต สัมผัสวิถีชาวประมง บนเกาะจะมีเส้นทางเดินรอบเกาะ เพื่อไปชมจุดต่าง ๆ บนเกาะพิทักษ์ครับ (เส้นทางเดินเท้าจะเป็นวงกลม แต่เอาจริง ๆ จะมีอยู่หนึ่งจุดที่เส้นทางขาด ไม่สามารถเดินรอบเกาะได้ แนะนำให้ใช้เส้นทางเดินใกล้ ๆ กับที่ทำการกองทุนหมู่บ้านศูนย์จำหน่ายสินค้า OTOP ซึ่งอยู่ติดกับท่าเรือครับ)

จุดนี้ เมื่อเดินผ่ากลางเกาะ ผ่านสวนมะพร้าว ก็จะมาพบกับชายหาดหน้าเกาะพิทักษ์ ชายหาดที่นี่ไม่เหมือนหาดทรายทั่ว ๆ ไป แต่จะเป็นหาดหินซะมากกว่า ใกล้กันจะมีลานปฏิบัติธรรมและเส้นทางที่เป็นบันไดเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวครับ



ผมเดินย้อนกลับมาที่ท่าเรืออีกครั้ง เพื่อมาเยี่ยมชมศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ชุมชน ภายในก็จะมีอาหารทะเลตากแห้ง แต่พระเอกของเกาะพิทักษ์คงจะหนีไม่พ้น ‘ปลาเค็มฝังทราย’ ภูมิปัญญาโบราณหนึ่งเดียวของชาวบ้านเกาะพิทักษ์ครับ



จากนั้นผมเดินเลียบชายทะเล เพื่อชมวิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่ บ้านเกือบทุกหลังบริเวณนี้ทำเป็นโฮมสเตย์เกือบทั้งหมดเลยครับ


ผมเดินย้อนกลับแล้วมาพักเหนื่อยที่ Tidal Wave Cafe ซึ่งเป็นคาเฟ่แห่งเดียวบนเกาะพิทักษ์ อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือครับ

มาที่นี่ อยากให้มาลองน้ำมะม่วงเบาปั่น เสิร์ฟมาพร้อมกับผลมะม่วงเบาโรยด้วยพริกกับเกลือ รสชาติดีเลยทีเดียว ดื่มแล้วเรียกความสดชื่นได้เป็นอย่างดี แก้วนี้ราคา 90 บาทครับ
มาดูที่พักของผมในคืนนี้บ้าง ‘เจกะแจน โฮมสเตย์’ ที่พักเพียงแห่งเดียวบนเกาะพิทักษ์ที่ได้รับเครื่องหมาย TATSTAR จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยครับ

พอขึ้นจากเรือ ก็จะพบกับลานโล่ง มีชิงช้าให้นั่งชมวิวด้วย


เดินเข้ามาก็จะเป็นห้องโถงกว้าง แบ่งพื้นที่ 2 ข้าง ซ้าย ขวา สำหรับเป็นที่นอน ส่วนตรงกลางเป็นทางเดิน พื้นที่ตรงนี้นอนได้เป็นสิบคนเลยครับ พื้นที่ส่วนนี้ ผนังจะเป็นหน้าต่างบานใหญ่แทบจะเปิดโล่งเพื่อรับลมทะเลเต็ม ๆ หากร้อนก็จะมีพัดลมเตรียมไว้ให้


สำหรับพื้นที่ตรงนี้ จะแบ่งเป็นอีก 1 ห้อง โดยตรงกลางห้องจะเป็นโถงเล็ก ๆ และจะมีห้องนอนที่ติดเครื่องปรับอากาศ 2 ห้อง หากใครกลัวร้อน สามารถนอนในห้องแอร์ได้ครับ ห้องหนึ่งนอนได้ 3 คน แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 300 บาทต่อห้องครับ

ส่วนนี้จะเป็นห้องน้ำชาย มี 2 ห้อง สำหรับห้องน้ำหญิง จะอยู่ด้านหลังห้องน้ำชาย มี 2 ห้องเช่นกัน ส่วนด้านข้างห้องน้ำจะเป็นอ่างล้างหน้า ทางที่พักมีผ้าเช็ดตัวไว้ให้ใช้ด้วยนะครับ แขกไม่ต้องเตรียมไป

มองจากท่าเรือครับ เจกะแจนจะเป็นอาคารยาว ยื่นลงไปในทะเล






อาหารเย็นที่นี่จัดเต็มมาก มากัน 2 คน ได้มาถึง 5 เมนู เริ่มที่ปูนึ่ง กุ้งผัดพริกเกลือ ปลาหมึกผัดหวาน ปลากะพง 3 รส แกงส้มปลาโฉมงาม ปิดท้ายด้วยแตงโม อาหารแต่ละจานไม่ได้มาแบบอาหารไหว้เจ้าที่ใส่มาจานเล็ก ๆ นะครับ แต่มาขนาดแบบจานปกติที่ร้านอาหารเสิร์ฟกันเลย ถามว่า 2 คนกินหมดไหม ตอบแบบอาย ๆ ว่าเกลี้ยง 555 ก็มันอร่อยนี่ครับ เหลือไว้ก็เสียดายของ


ตอนที่ผมมาถึงที่ท่าเรือ แดดเปรี้ยงเลยครับ ตอนเย็นยังคิดว่าคงจะได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับแสงสวย ๆ แต่.. กลับมีกลุ่มเมฆเข้ามาปกคลุม มาพร้อมกับลมฝน เลยอดเห็นแสงสวย ๆ เลย ดีที่ฝนไม่ตก ผมเลยมานั่งทานมื้อเย็นตรงระเบียง บรรยากาศยามเย็นตอนทานข้าวดีมาก อากาศไม่อบอ้าว ช่วงดึกฝนตก ทำให้คืนนั้นทั้งคืนนอนแบบเย็นสบายมาก

ตื่นเช้ามา เจ้าของโฮมสเตย์เตรียมชิฟฟ่อนกับเค้กกล้วยหอม ให้ทานคู่กับกาแฟ รองท้องระหว่างอาหารเช้า


ระหว่างรอมื้อเช้า ผมเลยออกมาเดินเล่นที่ท่าเรือ บอกเลยว่าบรรยากาศดีมาก มองออกไปบนฝั่งชุมพร มองเห็นสายหมอกมาคลอเคลียอยู่ตามทิวเขา

ที่เห็นโครงสร้าง 2 ชั้น นั่นคือ Tidal Wave Cafe ครับ

ถัดจาก Tida Wave Cafe จะเป็นโฮมสเตย์เกือบทั้งหมดเลยครับ ถ้าหากว่าหันหน้าเข้าหาเกาะพิทักษ์ แล้วให้ท่าเรืออยู่ตรงกลาง ด้านขวามือจะมีโฮมสเตย์เรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนด้านซ้ายมือซึ่งเป็นโซนฝั่งที่ผมพัก มีโฮมสเตย์ประมาณ 5 หลังเท่านั้นครับ

เด็กน้อยคนนี้ตกปลาเก่งมาก ชั่วเวลาไม่ถึง 10 นาที ตกปลาได้ 3 ตัวครับ


มื้อเช้ามาเสิร์ฟแล้ว ข้าวต้มทะเลหม้อใหญ่ มาพร้อมเครื่องเคียงมากมาย ที่ถูกใจผมที่สุดคือกากหมูชิ้นใหญ่ ๆ คือเคี้ยวแล้วเต็มปากเต็มคำ สะใจผมมาก ตบท้ายด้วยสับปะรดครับ

สำหรับใครที่สนใจเข้าพักที่ ‘เจกะแจน โฮมสเตย์’ สามารถโทรเช็คบ้านว่างได้ที่ 094-5910077 โดยห้องพักจะอยู่ที่ราคา 1,200 บาทต่อคน สำหรับ 1-5 คน แต่ถ้ามา6 คน ขึ้นไป ราคาคนละ 1,000 บาท โดยราคานี้รวมอาหาร 2 มื้อ (มื้อเย็นและมื้อเช้า) และน้ำดื่ม กาแฟ ตลอดการเข้าพักครับ ที่นี่มีพนักงานสี่ขาที่คอยรับแขกชื่อ ‘จอร์จ’ ด้วยนะครับ


ถึงเวลาต้องโบกมืออำลา ‘ชุมพร’ แล้ว หลังมื้อเช้าผมมุ่งหน้าสู่สถานีรถไฟสวี เพื่อขึ้นรถไฟด่วนพิเศษ ขบวนที่ 40 กลับกรุงเทพแล้ว รถไฟมาถึงอำเภอสวีในเวลา 10.40 น. และมาถึงสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ในเวลา 18.05 น.ครับ
ชุมพรมีทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งบนบกและในทะเล มีทะเลหมอกงาม ๆ มีชายหาดสวย อุดมไปด้วยทรัพยากรทางทะเล มีโบราณสถานที่น่าสนใจ ทุกครั้งที่ผมได้ไปเยือนชุมพร ผมจะได้รับความสุขกลับมาด้วยทุกครั้ง หากเพื่อน ๆ อยากได้รับความสุขแบบผม อย่าลืมแวะมาเที่ยว ‘ชุมพร’ กันนะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพฤหัสที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 16.05 น.