หากมีเวลาในกัวลาลัมเปอร์เพียงวันเดียว จะไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง วันนี้ผมมีสถานที่จะมาแนะนำครับ
1. พระราชวังอิสตานา เนการา
“พระราชวังอิสตานา เนการา (Istana Negara Palace)” เป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระราชาธิบดีของมาเลเซียแห่งใหม่ หลังจากที่ย้ายมาจากสถานที่เดิมที่เคยอยู่ในใจกลางเมืองและมีขนาดเล็ก ได้ย้ายมาอยู่ที่เนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวของกัวลาลัมเปอร์ได้ สีของโดมพระราชวังมีสีทอง ซึ่งเป็นสีประจำพระราชวงศ์ของมาเลเซีย บริเวณด้านหน้าพระราชวังจะมีเสาธง ถ้าหากธงขึ้นสู่ยอดเสาแสดงว่าพระราชาธิบดีเสด็จประทับอยู่ด้านในพระราชวัง ซึ่งวันที่ผมไป ธงขึ้นสู่ยอดเสาครับ
มาเลเซีย ประกอบด้วยรัฐ 13 รัฐ แต่ละรัฐจะมีสุลต่านผู้ปกครองรัฐ แต่ปัจจุบันมีสุลต่านเพียง 9 รัฐ 9 พระองค์เท่านั้น ส่วน ปีนัง มะละกา ซาบาห์ และซาราวัก จะไม่มีสุลต่าน ใน 9 พระองค์จะมีวาระตำแหน่งในการครองราชย์ที่สูงกว่าสุลต่าน คือพระราชาธิบดี ซึ่งจะครองวาระ 5 ปี เมื่อหมดวาระ สุลต่านองค์ใหม่ก็จะเวียนขึ้นมาเป็นพระราชาธิบดีแทน พระราชวังแห่งนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว สุลต่านคนแรกที่เข้ามาประทับที่พระราชวังแห่งนี้คือสุลต่านรัฐเคดาห์ ณ ตอนนี้เป็นสุลต่านรัฐตรังกานูครับ
2. ถ้ำบาตู
“ถ้ำบาตู (Batu Caves)” เป็นถ้ำหินปูน อยู่ทางด้านเหนือของกัวลาลัมเปอร์ ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมในศาสนาฮินดูและเป็นวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเห็นจะเป็นรูปปั้นพระขันธกุมารขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณปากถ้ำ พระขันธกุมารเป็นเทพของศาสนาฮินดู พระขันธกุมารเป็นพี่น้องกับพระพิฆเนศ แต่ใครเป็นพี่ใครเป็นน้องไม่มีหลักฐานแน่ชัด เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมา พระขันธกุมารเป็นโอรสของพระแม่อุมาเทวีและพระศิวะ น้ำเชื้อของพระศิวะได้ร่วงหล่นลงพื้นธรณี แต่ยังไม่ทันที่น้ำเชื้อร่วงสู่พื้นธรณีก็มีนกจากสรวงสวรรค์มารับน้ำเชื้อของพระศิวะไป แล้วนกตัวนั้นได้รับคำบัญชาจากพระพรหมให้ไปคายน้ำเชื้อของพระศิวะกับหญิงบริสุทธิ์ นกจากสรวงสวรรค์จึงนำน้ำเชื้อของพระศิวะไปคายในช่องพระครรภ์ของพระแม่อุมาเทวี จึงก่อกำเนิดเป็นพระขันธกุมารองค์นี้ขึ้นมาครับ หนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจคือการเดินขึ้นบันได้ 272 ขั้นเพื่อขึ้นไปยังถ้ำบาตู ในช่วงเทศกาลประจำปีไทปูซัม ซึ่งคล้ายๆ กับประเพณีกินเจบ้านเรา ก็จะมีผู้มีจิตศรัทธาหลายพันคนเดินทางมาร่วมงานนี้ด้วย
3. จัตุรัสเมอร์เดกา
“จัตุรัสเมอร์เดกา (Merdeka Square)” เป็นลานประกาศเอกราชของมาเลเซีย ในวันที่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ มีการทำสนธิสัญญาในเรื่องของการหลุดพ้นจากการปกครองของอังกฤษที่มะละกา ในขณะเดียวกันก็มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ที่จัตุรัสเมอร์เดกาแห่งนี้
มาเลเซียตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกนานถึง 446 ปี เริ่มจากโปรตุเกสที่บุกมาทางเรือและเข้ายึดเมืองมะละกา จากนั้นก็อยู่ภายใต้การปกครองของชาวดัตช์ และอังกฤษในเวลาต่อมา จนถึงวันที่ 31สิงหาคม ค.ศ.1957 มาเลเซียก็ได้อธิปไตยกลับคืนมาจากประเทศอังกฤษ พร้อมกับมีการชักธงชาติของมาเลเซียขึ้นสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรก ณ บริเวณจัตุรัสแห่งนี้ คำว่า “เมอร์เดกา” หมายถึงเอกราช ภายในจัตุรัสเมอร์เดกายังคงหลงเหลือสถานที่ที่เป็นประวัติศาสตร์อยู่ นั่นคืออาคารสุลต่านอับดุลซามัด ตั้งชื่อตามพระนามของสุลต่านแห่งรัฐสลังงอร์ สมัยก่อนใช้เป็นที่ทำการของหน่วยงานราชการในยุคที่อังกฤษเข้ามาปกครอง แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นอาคารสำนักงานของศาลฎีกา สถาปัตยกรรมที่เห็นเป็นแบบมัวร์ ส่วนที่เป็นหอนาฬิกาสูง 40 เมตร จะถูกเรียกติดปากว่า “บิ๊กเบนของมาเลเซีย” อิฐที่นำมาใช้ทำอาคารสุลต่านอับดุลซามัดนำเข้าจากอินเดีย จำนวน 3 ล้านก้อนเลยทีเดียว
ฝั่งตรงข้ามของอาคารสุลต่านอับดุลซามัด มองเห็นน้ำพุวิคตอเรีย ที่อังกฤษได้สร้างไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์และเชิดชูพระนางวิคตอเรียที่ 4 จะสังเกตได้ว่า ถ้าอังกฤษไปปกครองเมืองที่ไหนก็จะสร้างน้ำพุไว้ที่เมืองนั้นๆ อย่างที่มะละกาก็มีเช่นกันครับ
4. อนุสาวรีย์แห่งชาติมาเลเซีย
ถัดจากอนุสาวรีย์คือสวนอาเซียนและอนุสาวรีย์ตันราซักซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่นายกรัฐมนตรีคนที่สองของมาเลเซียครับ
5. ตึกแฝดปิโตรนัส
ผมว่าช่วงค่ำ ตึกแฝดปิโตรนัสดูมีเสน่ห์กว่าช่วงสว่างมากๆ แสงสีที่สาดส่องมายังตึก มันทำให้ตึกดูอร่ามเหมือนตึกมันเปล่งแสงออกมาอย่างไงอย่างนั้นเลย สวยงามจริงๆ ครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.57 น.