“นครราชสีมา” หรือที่หลายๆ คนจะเรียกติดปากกันว่า “โคราช” ถือเป็นเมืองแห่งประตูสู่ภาคอีสาน ภาคที่มีความโดดเด่นและหลากหลายของประเพณี, ศิลปวัฒนธรรม เป็นแหล่งรวมอารยธรรมโบราณ รวมถึงประวัติศาสตร์สมัยดึกดำบรรพ์ เฉพาะในเขตจังหวัดนครราชสีมาเองก็มีความหลากหลายของชาติพันธุ์ วัฒนธรรมประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีความน่าสนใจหลายอย่างเลยครับ รีวิวนี้ผมจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับ “นครราชสีมา” แบบ 2 บรรยากาศ ในมุมมองของผมกันครับ

ทริปนี้ผมมีเวลาที่นครราชสีมา 2 วัน 2 คืน เลยวางแผนว่าจะตะเวนเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมก่อน แล้วมานอนในตัวเมืองนครราชสีมา และอีกวันจะเน้นเที่ยวแบบชิวๆ ซึมซับกับบรรยากาศธรรมชาติ แล้วมานอนที่ปากช่องครับ มาดูกันดีกว่าว่าผมไปเที่ยวไหนกันบ้าง

ผมใช้เส้นทางตามถนนมิตรภาพ ผ่าน อ.เมืองสระบุรี อ.มวกเหล็ก จนมาสู่ประตูอีสานที่ อ.ปากช่อง เลยขอแวะไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลกันก่อนที่ วัดเขาวันชัยนวรัตน์ ครับ

จากถนนมิตรภาพ ตีซ้ายเข้าไปยังตัวเมืองปากช่อง มองเห็นวัดเขาวันชัยนวรัตน์ตั้งอยู่บนยอดเขาทางขวามือ ขับรถมาเรื่อยๆ จนถึงตัวเมืองปากช่อง พยายามมองหาป้ายบอกทางเข้าวัดแต่ก็มองไม่เห็น GPS ก็บอกให้เลี้ยว แต่เนื่องจากแถวนั้นมีหลายซอยติดๆ กัน เลยไม่รู้ว่า GPS ให้เลี้ยวเข้าซอยไหน ทำให้ผมต้องขับเลยซอยทางเข้าไป เลยต้องวกกลับมาอีกรอบ รอบที่สองก็ดันเข้าซอยผิดอีกเช่นเคย จนต้องจอดถามทาง เอาเป็นว่า ซอยทางเข้าวัดเขาวันชัยฯ อยู่ข้างโรงแรมนิววันชัยครับ เส้นทางค่อนข้างแคบเลยทีเดียว ขับเข้าซอยไปสักนิดจะเห็นวงเวียนเล็กๆ ให้เลี้ยวไปทางขวามือ ขับรถขึ้นเขาไปสักนิดก็จะถึงวัดเขาวันชัยฯ แล้วครับ วัดเขาวันชัยนวรัตน์ เป็นวัดป่าสาขาที่ 82 ของวัดหนองป่าพงครับ

พื้นที่ภายในวัดค่อนข้างเงียบสงบเลยครับ ผมเองตรงดิ่งสู่จุดที่น่าสนใจที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของวัดเขาวันชัยนวรัตน์ นั่นคืออุโบสถหินลายไม้แห่งนี้ครับ อุโบสถแห่งนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2549 โดยมุ่งเน้นให้เกิดความสวยงาม คงทน และกลมกลืนกับธรรมชาติ จึงได้คิดใช้หินทรายแปรรูปที่มีเส้นลายของชั้นตะกอนคล้ายลายไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลอ่อนเข้ามาเป็นโครงสร้างของพระอุโบสถ รูปทรงของอาคารเป็นทรงสี่เหลี่ยมคล้ายบ้านไม้สมัยโบราณ เป็นแป้นเกล็ด ศิลปะแบบอีสาน มีรูปตะวันและแสงรัศมีที่หน้าจั่วด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ใช้เวลาก่อสร้างพระอุโบสถแห่งนี้ร่วม 10 ปี

หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้ออกแบบให้สร้างอาคารเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นล่าง สร้างเป็นสระเก็บกักน้ำไว้ใช้สอย ในเวลาที่มีพุทธศาสนิกชนมาร่วมงานสำคัญของวัด จะได้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอ โดยน้ำได้มาจากการสูบจากบ่อบาดาลขึ้นมาเก็บไว้ในสระแห่งนี้ ชั้นที่สอง สร้างเป็นพื้นที่สำหรับนั่งสมาธิ ภาวนาปฏิบัติธรรม โดยผู้มาปฏิบัติธรรมจะได้รับไอเย็นจากน้ำในสระตลอดเวลา ส่วนชั้นบนสร้างสำหรับการทำสังฆกรรมของพระภิกษุและสามเณร โดยมีลมภูเขาพัดเย็นสบายตลอดเวลา โดยรอบของอุโบสถหินลายไม้นี้ สามารถชมวิวเมืองปากช่องได้แบบ 360 องศาเลย เป็นอีกหนึ่งวัดสวยๆ ที่ไม่ควรพลาดชมครับ

จุดหมายต่อไปอยู่ที่ วัดโนนกุ่ม หลายคนมักจะเรียกติดปากว่า วัดสรพงษ์ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะคุณสรพงษ์ ชาตรี ดารานักแสดงรุ่นเก่า ที่มีผลงานนับร้อยๆ เรื่องเป็นผู้เริ่มดำเนินการก่อสร้างวัดแห่งนี้ครับ

วัดโนนกุ่มอยู่ในอำเภอสีคิ้ว อยู่ติดถนนมิตรภาพเลยครับ ใครที่มาเที่ยวนครราชสีมา เมื่อผ่านมายังอำเภอสีคิ้ว หากไม่เผลอหลับระหว่างนั่งรถไปซะก่อน จะต้องสะดุดตากับพระอุโบสถขนาดใหญ่ที่งดงาม จนห้ามใจไม่ไหวที่จะขอจอดแวะเที่ยวชมอย่างแน่นอน


ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อทองเหลืองรมดำของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี สีมลังเมลือง ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ญาติโยมเข้ามากราบไหว้กันไม่ขาดสายเลยทีเดียว ด้านในพระอุโบสถนั้นยังตกแต่งไม่แล้วเสร็จ ดูแล้วคงต้องใช้เวลาและทุนทรัพย์ในการสร้างอีกพอสมควรเลย หากใครมาจังหวะดี จะเห็นคุณสรพงษ์ออกมาทักทายญาติโยมที่แวะมาสักการะหลวงพ่อโตด้วยครับ


บริเวณโดยรอบวัดโนนกุ่ม ตกแต่งสวนหย่อมสวยงามมาก นอกจากนี้ยังมีโรงทานอีกด้วย ใครที่ผ่านไปผ่านมาทาง อ.สีคิ้ว ไม่ควรพลาดที่จะมาไหว้ขอพรองค์หลวงพ่อโตเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตนะครับ

จากวัดโนนกุ่ม ผมมุ่งตรงสู่ตัวเมืองนครราชสีมา ก่อนเข้าที่พักขอแวะไหว้พระที่ วัดศาลาลอย กันก่อนครับ


ผมว่าวัดศาลาลอยมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร กับพระอุโบสถที่มีรูปร่างคล้ายเรือสำเภา ที่รายล้อมไปด้วยกลีบบัว ในชีวิตนี้ผมเองก็ไปเที่ยวชมมาหลายวัดแล้ว ยังไม่เคยพบพระอุโบสถที่มีรูปร่างแบบนี้เลย วัดศาลาลอยเป็นวัดที่ท้าวสุรนารี หรือ ย่าโม ได้ร่วมกับพระยาสุริยเดช หรือ ปลัดทองคำ ผู้เป็นสามี เป็นผู้สร้างขึ้น ตามตำนานเล่าว่า หลังจากเสร็จศึกสงคราม ขณะที่ยกทัพกลับโคราช ย่าโมได้แวะพักบริเวณท่าตะโก แล้วได้สั่งให้ทหารทำแพเป็นรูปศาลาเสี่ยงทายลอยไปตามลำตะคอง พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าแพนี้ไปลอยติดอยู่ที่ใด จะสร้างวัดไว้เป็นอนุสรณ์ ท้ายสุดแพได้มาติดอยู่ริมฝั่งขวาของลำตะคอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดศาลาลอยในปัจจุบันนั่นเองครับ

ภายนอกของพระอุโบสถใช้กระเบื้องดินเผาด่านเกวียนมาประดับตกแต่ง เป็นภาพพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ บานประตูเป็นโลหะลายนูน ภาพเล่าเรื่องเวชสันดรชาดก พระอุโบสถหลังนี้ได้รับรางวัลดีเด่นด้านบุกเบิกอาคารอุโบสถทางด้านศาสนาจากสถาปนิกสยามปี 2516 ด้วยนะครับ

ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนยืนประทับ ณ ประตูเมืองสังกัสนคร สีขาว ปางห้ามสมุทร พระนามว่า พระพุทธประพัฒน์สุนทรธรรมพิศาล ศาลาลอยพิมาลวรสันติสุขมุนินทร์ สำหรับการตกแต่งภายในพระอุโบสถเป็นแบบเรียบง่าย เน้นโทนสีขาว ดูสะอาดบริสุทธิ์ครับ


วัดศาลาลอยเป็นสถานที่จัดการฌาปนกิจศพของย่าโม เจ้าพระยามหิศราธิบดี ได้ก่อเจดีย์สำหรับบรรจุอัฐิของย่าโม ไว้ด้วยครับ



ฝั่งตรงข้ามของเจดีย์ เป็นโบสถ์หลังเก่า ซึ่งด้านหน้าโบสถ์หลังเก่ามีรูปปั้นสามีย่าโมอยู่ด้วยครับ

วัดศาลาลอยเป็นอีกหนึ่งวัดที่น่าสนใจ หากใครมาเที่ยวที่โคราชไม่ควรพลาดมาเยี่ยมชมครับ

จากวัดศาลาลอย ผมขอตรงเข้าที่พักก่อน รอให้แดดร่มลมตกแล้วค่อยออกไปไหว้ย่าโมต่อครับ

คืนนี้ผมเลือกเข้าพักที่ โคราปุระรีสอร์ท ครับ

โคราปุระรีสอร์ท เป็นรีสอร์ทที่ดึงอัตลักษณ์ของเมืองโคราชออกมา และผสมผสานกลิ่นอายของตะวันตกด้วยรูปแบบที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร รูปแบบของอาคารภายนอกให้อารมณ์ลายทอผ้าไหมและผืนผ้าขาวม้า ซึ่งเป็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนอีสานครับ

การตกแต่ง ไม่ได้ออกแนวอีสานจ๋าเพียงอย่างเดียว แต่มีการผสมผสานกับดีไซน์เก๋ๆ ดูเข้ากันดีครับ


ทุกมุมมอง ได้กลิ่นอายความเป็นอีสานจริงๆ


ผมเลือกจองห้อง Deluxe Room ภายใต้ Concept ดินด่านเกวียนครับ ห้องพักถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว ดูสะอาดสะอ้านดี มีมุมโซฟาให้นั่งพักผ่อน มีระเบียงให้ออกไปสูดอากาศด้านนอกด้วย


ห้องน้ำของห้องพักแบบ Deluxe Room จะแอบ Sexy นิดๆ ด้วยผนังกระจกใส มีอ่างอาบน้ำให้ด้วย ระบบน้ำร้อนของที่นี่เป็นน้ำร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ครับ


อีกหนึ่งห้องพักภายใต้ Concept ยกยอครับ

เจอแอร์ในห้องพักเย็นๆ แล้วไม่อยากจะออกไปไหนเลย แต่ไม่ได้ครับ มาโคราชทั้งที หากไม่ไปสักการะย่าโม เดี๋ยวเขาจะว่ามาไม่ถึงโคราชครับ


ย่าโม หรือนามเต็มว่า ท้าวสุรนารี นับเป็นบุคคลสำคัญของชาวโคราช หรือจะเรียกว่าเป็นหญิงเหล็กก็คงไม่ผิดนัก ท่านเป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลม มีความชำนาญในการขี่ช้าง ขี่ม้า และวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของท่านนั่นคือ ท่านเป็นผู้กอบกู้เมืองนครราชสีมาจากกองทัพเจ้าอนุวงศ์ เวียงจันทน์ ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ โดยท่านได้รวบรวมชาวบ้านเข้าสู้รบและต่อต้านกองทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ไม่ให้รุกล้ำเข้ามาตีกรุงเทพฯ ได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาคุณหญิงโม เป็นท้าวสุรนารีครับ

สำหรับอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลยครับ อนุสาวรีย์หล่อด้วยทองแดงรมดำ ประดิษฐานอยู่บนไพทีสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ภายในบรรจุอัฐิของท้าวสุรนารี อนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นอนุสาวรีย์แรกที่สร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึงและยกย่องคุณงามความดีของวีรสตรีสามัญชนคนแรกของประเทศครับ

ด้านข้างของอนุสาวรีย์จะมีพ่อเพลง แม่เพลงชาวโคราช มารอให้บริการแก่ผู้ที่มาแก้บนกับย่าโม เหตุเพราะเมื่อย่าโมยังมีชีวิตอยู่ ท่านโปรดปรานเพลงโคราชมากๆ ครับ


อนุสาวรีย์ย่าโมจะอยู่ด้านหน้าของประตูชุมพล ประตูที่มีความเชื่อกันว่า หากลอดประตูนี้ 1 ครั้ง จะได้กลับมาโคราชอีกในไม่ช้า ถ้าหากลอด 2 ครั้ง จะได้ทำงานหรือมาอยู่ที่โคราช แต่ถ้าหากได้ลอดถึง 3 ครั้ง ก็จะได้คู่ครองเป็นคนโคราชครับ


ด้านฝั่งตรงกันข้ามกับอนุสาวรีย์ย่าโม มีร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม หรือเส้นหมี่โคราช ก็หาซื้อได้ในบริเวณนี้ครับ ใกล้กันมีโรงแรมเก่าๆ ที่ดูคลาสิคมากๆ แต่ดูแล้วน่าจะปิดให้บริการไปแล้วครับ

สำหรับค่ำนี้ ผมฝากท้องไว้กับร้าน VT แหนมเนือง สาขาหน้าราชภัฎ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักผมครับ

หากใครเคยไปที่หนองคาย คงรู้จักร้าน VT แหนมเนืองเป็นอย่างดี ร้านที่โคราชน่าจะเป็นสาขาของที่หนองคายครับ มาร้านแหนมเนืองก็ต้องทานแหนมเนือง มีบริการทั้งชุดมินิ ชุดเล็ก และชุดใหญ่ เลือกสั่งได้ตามปริมาณผู้ทานเลยครับ


ปากหม้อญวน เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดครับ แป้งเหนียวหนึบ บางกำลังดี อร่อยเชียวครับ จานนี้ 69 บาทครับ


ตำโคราชนี่ก็เด็ดดวง ผมนี่วิดน้ำส้มตำซดกันเลยทีเดียว จานนี้ 45 บาทครับ


แหนมซี่โครงหมูทอดนี่ก็อร่อย ทานกับส้มตำเข้ากันดีจังครับ จานนี้ 79 บาทครับ


โดยรวมแล้วอาหารรสชาติดีเลยทีเดียว ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่เลือกทานร้านนี้ครับ





หลังอาหาร แวะเดินย่อยอาหารที่ ตลาดไนท์บ้านเกาะ ครับ ลักษณะคล้ายๆ กับถนนคนเดิน เป็นลานพื้นที่กว้าง มีทั้งร้านค้าแบบกึ่งถาวร และวางแบกะดิน มีของให้เลือกช๊อปมากมาย และยังมีร้านอาหารบริการด้วย ตลาดไนท์บ้านเกาะอยู่เลยโคราปุระรีสอร์ทไปนิดเดียวครับ

คืนนี้คงต้องนอนพักผ่อนเอาแรง เตรียมลุยสำหรับทริปวันพรุ่งนี้ครับ

มื้อเช้า ผมใช้บริการที่ห้องอาหารเฟื้อย ซึ่งอยู่ชั้นล่าง ติดกับบริเวณลอบบี้ครับ




อาหารเช้าบริการแบบ Buffet ครับ







อาหารถือว่าหลากหลายชนิด มีให้เลือกทานได้เยอะดี






อาหารเมนูหลักจะเน้นอาหารไทย มีทั้งเส้นใหญ่ผัด ข้าวผัด ข้าวสวย ผัดกะหล่ำปลี แกงหมูเทโพ ปลาทับทิมผัด ไข่ลูกเขย รสชาติอร่อยใช้ได้เลยครับ



มุมนี้จะเป็นมุมต้มเลือดหมู รวมถึง Egg station ครับ ต้มเลือดหมูอร่อยดีทีเดียว

โดยรวมแล้ว โคราปุระ รีสอร์ท ถือว่าโอเคครับ ราคาสมกับค่าห้อง ห้องพักสะอาด อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน อาหารอร่อย อยู่ในแหล่งชุมชน ไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกครับ

เมื่อท้องอิ่มแล้ว จะรอช้าอยู่ใย ออกเดินทางกันต่อสู่ อ.ปากช่องครับ เมื่อเข้าสู่อำเภอสีคิ้ว ก่อนที่จะถึงอ่างเก็บน้ำลำตะคอง มองเห็นทุ่งกังหันลมมาแต่ไกล จะรอช้าทำไม ขอแวะชมทุ่งกังหันลมกันสักนิดครับ

ทางเข้าทุ่งกังหันลมใช้เส้นทางเดียวกับสวนเมืองพร ซึ่งทางเข้าจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าอ่างเก็บน้ำลำตะคอง จุดชมทุ่งกังหันลมนั้นอยู่บนยอดเขายายเที่ยง เมื่อเลยสวนเมืองพรไป ก็ขับตรงไปอย่างเดียว ไม่มีหลงแน่นอนครับ

จุดชมวิวบนยอดเขายายเที่ยง เป็นที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำลำตะคองชลภาวัฒนา ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ บริเวณอ่างเก็บน้ำลำตะคองครับ เอ๊ะ โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับเป็นอย่างไร ผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังครับ การทำงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ จะเป็นการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำที่อยู่ด้านบน (อ่างเก็บน้ำลำตะคองชลภาวัฒนา) ลงมาอ่างที่อยู่ในระดับต่ำกว่า (อ่างเก็บน้ำลำตะคอง) โดยกระแสน้ำจะไปหมุนกังหันเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า จากนั้นน้ำก้อนนั้นจะถูกสูบกลับขึ้นไปยังอ่างเก็บน้ำด้านบนอีกครั้งโดยปั้มน้ำขนาดใหญ่ครับ








บริเวณลานจอดรถ จะมีบริการเช่ารถจักรยาน (ค่าบริการ 40 บาท/ชั่วโมง) เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถปั่นจักรยานชมบรรยากาศโดยรอบสันอ่างเก็บน้ำได้ หรือใครแรงดีก็สามารถใช้สองเท้าของเรานี่แหล่ะ เดินเล่นโดยรอบได้เช่นกัน จุดชมวิวด้านบนสามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำลำตะคองได้แบบสุดลูกหูลูกตา และยังสามารถมองเห็นทุ่งกังหันลมที่ตั้งอยู่โดยรอบครับ

จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่พระมหาเจดีย์มกุฎคีรีวัน ซึ่งตั้งอยู่ใน อ.ปากช่อง บนเส้นทาง บ้านหมูสี-วังน้ำเขียวครับ




พระมหาเจดีย์มกุฎคีรีวัน ตั้งอยู่บนยอดเนินปัญจสิงขร วัดความกว้างได้ 48 เมตร ยาว 48 เมตร ลักษณะขององค์เจดีย์มีสีขาวบริสุทธิ์ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ครับ



โดยรอบประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ มากมาย



ภายในพระมหาเจดีย์มกุฎคีรีวันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธาตุพระอสิติมหาสาวก พระอัฐิธาตุครูบาอาจารย์สายพระกัมมัฎฐาน นอกจากนั้นยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมารวิชัยคีรีวันสิริมงคล ซึ่งจำลองจากพระพุทธรูปโบราณ อายุประมาณกว่า 800 ปี) พระพุทธติโลกนาถมงกุฎธรรมคีรีวัน (พระพุทธรูปหินหยกขาว) และพระพุทธรูปประจำพระชนมวารสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ครับ


มีรอยพระบาทที่ทำจากแผ่นเงินด้วยครับ


หากใครผ่านไปผ่านมาเส้นบ้านหมูสี-วังน้ำเขียว แนะนำให้แวะไปสักการะองค์พระมหาเจดีย์มกุฎคีรีวัน เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิตครับ

จากพระมหาเจดีย์มกุฎคีรีวันผมย้อนกลับไปทางอุทยานเขาใหญ่ และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวนครราชสีมาในบรรยากาศที่ 2 ของผม ระหว่างทางแวะถ่ายภาพเก๋ๆ ในบรรยากาศอิตาลี ที่ Toscana Valley Khaoyai ครับ



Toscana Valley Khaoyai ได้จำลองแคว้น Toscana ในบรรยากาศดินแดนชนบททางตอนเหนือของอิตาลีมาไว้ที่เขาใหญ่ นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เข้าไปใช้บริการที่พักหรือร้านอาหาร สามารถมาโพสท่าถ่ายภาพเล่นๆ ได้แค่บริเวณน้ำพุด้านหน้าทางเข้าเท่านั้นครับ




บริเวณด้านหน้าติดถนนใหญ่ มีการยกหอเอนเมืองปิซ่าขนาดใหญ่มาตั้งโดดเด่น มองเห็นแต่ไกล ยากที่นักท่องเที่ยวจะหักห้ามใจจอดรถถ่ายภาพกันอย่างไม่ขาดสาย นับเป็นอีกหนึ่งจุดพักระหว่างเส้นทางให้ออกมายืดเส้นยืดสาย ถ่ายรูปเก๋ๆ เอาไปอวดเพื่อนๆ กันครับ

จาก Toscana Valley Khaoyai ผมข้ามฟากถนนสายธนะรัชต์เพื่อมุ่งหน้าไปทาง อ.มวกเหล็ก ผมปักหมุดที่ The Birder’s Lodge ครับ





The Birder’s Lodge เป็นร้านกาแฟที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเขาใหญ่ แต่เนื่องจากวันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการกันอย่างล้นหลาม ผมจึงไม่ได้ไปลิ้มลองรสชาติและเก็บบรรยากาศด้านในร้านครับ ด้านข้างของ The Birder’s Lodge มีโรงนาขนาดใหญ่ ซึ่งยามนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวและตัดกับสีเหลืองของดอกเหลืองชัชวาลย์ที่บานสะพรั่งอยู่เต็มผนัง ดูสวยงามมากจริงๆ ถือเป็นจังหวะดีมากๆ ที่มาได้ถูกช่วง เพราะดอกเหลืองชัชวาลย์จะบานปีละครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมเท่านั้นครับ






ภายในโรงนาจะมีพ่อค้าแม่ค้านำผลผลิตทางการเกษตรหลายอย่างมาวางจำหน่าย มีทั้งผักปลอดสารพิษ ผลไม้ น้ำผลไม้ ไอศกรีม ต้นไม้ มีให้เลือกช๊อปมากมายครับ


ติดกันยังมีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกอีกด้วย นับว่า The Birder’s Lodge เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดหากมาเที่ยวเขาใหญ่ สามารถแวะมาจิบกาแฟ และถ่ายรูปเก๋ๆ ได้ครับ

หากใครมาถึง The Birder’s Lodge ช่วงเที่ยง แล้วยังหาอะไรทานไม่ได้ ผมขอแนะนำร้าน เซิ้ง อยู่ฝั่งตรงข้าม The Birder’s Lodge เลยครับ

ร้าน “เซิ้ง” อยู่ฝั่งตรงข้าม The Birder’s Lodgeเป็นร้านอาหารขนาดกลาง บรรยากาศน่านั่งเลยทีเดียว

ภายในตกแต่งเก๋ดีครับ ขอบอกว่ามาร้านนี้คงต้องใจเย็นๆ หน่อยนะครับ เพราะอาหารออกค่อนข้างช้า วันที่ผมไปต้องรออาหารราวครึ่งชั่วโมงครับ


มาดินแดนอีสาน คงต้องขอสั่งอาหารอีสานมาทาน เริ่มที่ตำโคราช รสชาติดีเลยทีเดียว ผมนี่นั่งซดน้ำส้มตำทานเพลินเลยครับ


ตามมาด้วยผัดหมี่โคราช รสชาติกำลังดี ทานแกล้มกับส้มตำนี่อร่อยอย่าบอกใครเชียว จานนี้ 60 บาทครับ


ตำไหลบัวกุ้งสด เป็นอีกหนึ่งเมนูที่น่าลอง จานนี้ 120 บาทครับ


ลาบเห็ดรวม ผมว่ารสชาติยังอ่อนไปสักนิด ไม่ค่อยจี๊ดจ๊าดสักเท่าไรครับ จานนี้ 100 บาท


คอหมูย่าง เนื้อนุ่มกำลังดี จานนี้ 100 บาทครับ


ไก่ย่าง ย่างออกมาได้แห้งกำลังดี จานนี้ 190 บาทครับ

รสชาติอาหารโดยรวมแล้ว ถือว่า OK ครับ ผมให้ 8/10 แต่อย่างที่บอกในตอนต้น มาร้านนี้ต้องใจเย็นสักนิด หากมาช่วงลูกค้าเยอะ คงต้องรอนานกันสักหน่อยครับ

หลังจากอิ่มท้องแล้ว ผมวางแผนเข้าที่พักก่อน เพื่อรอให้แดดร่มลมตกแล้วค่อยออกเที่ยวอีก 1 สถานที่ คืนนี้ผมเข้าพักที่ ESCAPE KHAO YAI ครับ

ESCAPE KHAO YAI อยู่ติดถนน หาไม่ยาก ขับรถผ่านแล้วจะสะดุดตาครับ ESCAPE KHAO YAI อยู่ภายในบริเวณเดียวกับ 23 องศา คอนโด แต่ ESCAPE จะอยู่ด้านหน้าครับ

Lobby แบบ Open air เปิดโล่งให้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ ช่วงบ่ายๆ อาจจะโดนไอแดดบ้าง แต่ขอบอกว่าช่วงเช้านี่บรรยากาศดีสุดๆ บริเวณ Lobby จัดเตรียมชุดโซฟา ให้แขกได้นั่งพักผ่อนระหว่างรอการ Check in/Check out ครับ


Welcome Drink พร้อมผ้าเย็น ช่วยได้มากเลยครับ เพราะใช้เวลาในการ Check in นานพอสมควร

Check in เสร็จ เจ้าหน้าที่พานั่งรถกอล์ฟขนสัมภาระไปส่งถึงห้องพักครับ

ห้องที่ผมเข้าพักเป็นแบบ Deluxe Room ใน concept : Floral (The beauty of flowers) พื้นที่บริเวณเตียงนอนอาจจะดูแคบไปสักนิด เพราะภายในห้องจะแบ่งพื้นที่เป็นเตียงประมาณ 50% ห้องน้ำ 40% และบริเวณตู้เสื้อผ้าอีก 10% ครับ

ลำโพงเล็กๆ ที่หัวเตียง ขับกล่อมเพลงไพเราะตลอดการเข้าพักครับ


บริเวณนี้จะเป็นตู้เสื้อผ้า และตู้เย็นครับ


ห้องน้ำค่อนข้างกว้าง พอๆ กับพื้นที่ในส่วนห้องนอนเลยครับ


อเมนิตี้หอมชื่นใจ


มีน้ำดื่ม ชา กาแฟ ไว้บริการฟรี แต่ Minibar ต่างๆ ไม่ฟรีครับ


เปิดระเบียงห้องพักออกมา เจอบรรยากาศแบบนี้ มองเห็น Lobby ครับ


ด้านข้างของ Lobby มีสระน้ำตื้นๆ สำหรับตกแต่ง แต่น้ำในสระไม่มีการไหลเวียน ทำให้มีตะไคร่น้ำ เกิดกลิ่นไม่ค่อยพึงประสงค์สักเท่าไร


ห้องตรงนี้เป็นพื้นที่สำหรับ Fitness ครับ


เปิดประตูเข้ามา มี Kit club เล็กๆ


ห้อง Fitness มีอุปกรณ์ออกกำลังกาย พอสมควรครับ


ถัดจากห้อง Fitness ออกมาหน่อย จะเป็นสระว่ายน้ำครับ


มีบริการจักรยานให้แขกได้ปั่นออกกำลังกาย ชมบรรยากาศรอบๆ โรงแรมด้วยครับ


Green Oak Bistro คือห้องอาหารของที่นี่ อยู่บนชั้น 2 เหนือ Lobby บรรยากาศมีทั้งแบบ indoor และ outdoorภายในห้องอาหารดูสะอาดสะอ้าน ตกแต่งได้น่ารักดีครับ


บรรยากาศของโรงแรม อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาครับ


ช่วงเย็นๆ วันศุกร์-อาทิตย์ จะมีการยกห้องอาหารมาไว้กลางสวนในบรรยากาศปิกนิกบนสนามหญ้า ประเภทของอาหารเย็นที่นี่บางวันจะให้บริการแบบ Buffet คงต้องเช็คกับทางโรงแรมอีกที Buffet จะเป็น BBQ Buffet ครับ

พักผ่อนกันพอหอมปากหอมคอแล้ว พอจะมีแรงลุยต่อ ผมมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป นั่นคือ Primo Piazza ซึ่งอยู่ติดกับ The Birder’s Lodge ครับ

การเข้าชมภายใน Primo Piazza มีค่าเข้าชมด้วย โดยผู้ใหญ่เสียค่าเข้า 100 บาท เด็ก 50 บาทครับ

พื้นที่ของ Primo Piazza เดิมเคยเป็นที่ตั้งของ Promo Posto (ผมว่า Promo Posto น่าจะเป็นผู้บุกเบิกแนวการสร้างอาคารที่จำลองรูปแบบหมู่บ้านทางอิตาลีมาไว้ที่เขาใหญ่เป็นที่แรก ต่อมาก็มี Palio) เมื่อ Promo Posto ปิดตัวลง ก็มีการ Take over เปลี่ยนมือเจ้าของกิจการและทำการ Renovate ใหม่จนกลายมาเป็น Primo Piazza ครับ



Primo Piazza เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จำลองหมู่บ้านโบราณอายุกว่า 500 ปีในแคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี มาตั้งไว้ท่ามกลางขุนเขาของป่าเขาใหญ่ครับ ด้วยรูปทรงของตัวอาคาร ถนนที่ปูด้วยก้อนหินสไตล์ยุโรปยุคเก่า ชุดโต๊ะเก้าอี้ที่วางอยู่นอกอาคาร มันให้ความรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวในทวีปยุโรปจริงๆ ครับ


สิ่งที่น่าสนใจของ Primo Piazza นอกจากการจำลองแคว้นทัสกานีมาไว้ที่เขาใหญ่แล้ว ที่นี่ยังมี แกะ อัลปาก้า และลา ด้วยครับ


หางตั๋วจากการซื้อบัตรเข้าชม สามารถนำมาแลกหญ้า เพื่อเป็นอาหารให้อัลปาก้าได้นะครับ สามารถแลกได้ที่หน้าโรงเลี้ยงเลยครับ


ภายในโรงเลี้ยงก็จะมีการกั้นคอก แยกสัตว์แต่ละประเภทอย่างชัดเจน


อัลปาก้า ไม่ได้มีโชว์แค่ตัวสองตัวแบบไก่กา แต่มีเป็นฝูง อัลปาก้าเป็นสัตว์เลี้ยงในตระกูลอูฐในทวีปอเมริกาใต้ พบได้ในที่สูงบริเวณเทือกเขาแอนดีสทางตอนใต้ของประเทศเปรู ตอนเหนือของประเทศโบลิเวีย เอกวาดอร์ และตอนเหนือของประเทศชิลี แต่อัลปาก้าที่นำมาเลี้ยงที่ Primo Piazza ฝูงนี้นำมาจากประเทศออสเตรเลียครับ ขนของอัลปาก้าสามารถนำมาทำเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มต่างๆ ได้


แกะเมอริโน นับเป็นแกะฝูงแรกที่ผมได้มีโอกาสได้เห็นตัวเป็นๆ ในเมืองไทย แกะพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในประเทศตุรกี และทางตอนกลางของประเทศสเปน เป็นแกะพันธุ์ขนที่ให้ขนคุณภาพดีและนุ่มที่สุด ขนของมันมีสีขาว ละเอียด ยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร ตัวโตเต็มที่มีน้ำหนัก 65-75 กิโลกรัม สิ่งที่โดดเด่นของแกะพันธุ์นี้คือ ตัวผู้จะมีเขาใหญ่แบบสว่าน สำหรับตัวเมียไม่มีเขาครับ สำหรับแกะเมอริโนฝูงนี้ Primo Piazza นำมาจากประเทศออสเตรเลียเช่นกันครับ


ช่วงเย็นๆ ราว 16.30-17.00 น. จะมีการปล่อยอัลปาก้า แกะ และลา ออกมายืดเส้นยืดสายในสนามหญ้า แต่ละตัวดูสุขภาพดี ต่างวิ่งเล่นกันอย่างมีความสุขเชียวครับ

ลา เป็นสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่นำมาเลี้ยงร่วมกับอัลปาก้าและแกะ ลาเป็นสัตว์ที่มีกีบเท้าเดี่ยว บรรพบุรุษของลาคือลาป่าแอฟริกา มนุษย์เลี้ยงเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ และเนื่องจากสัตว์ในสกุล Equus สามารถผสมข้ามสายพันธุ์ได้ ลูกผสมของม้ากับลาคือ ล่อ มีความแข็งแรง อึดและทนกว่า แต่เป็นหมัน ปัจจุบันมีการใช้แรงงานลาในการบรรทุกสัมภาระ เพื่อแบ่งเบาแรงงานมนุษย์ในประเทศกำลังพัฒนาครับ

Primo Piazza เป็นอีกหนึ่งจุดแวะเที่ยวที่น่าสนใจ หากมาเที่ยวที่เขาใหญ่ Primo Piazza เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. แนะนำให้เข้าชมช่วง 17.00 น. ครับ จะได้เห็นช่วงที่อัลปาก้าวิ่งเล่นกลางสนามหญ้าครับ

หลังจากให้อาหารอัลปาก้ากันแล้ว ถึงเวลาให้อาหารตัวเองบ้าง ค่ำนี้ผมฝากท้องที่ MIDWINTER GREEN ซึ่งตั้งอยู่บนถนนธนะรัชต์ครับ

MIDWINTER GREEN ได้ทำการ Take over The Smoke House ซึ่งแต่ก่อน The Smoke House ได้รับความนิยมมาก แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดจึงต้องโดนเปลี่ยนมือไป ดูจากภายนอกและภายในแล้ว แทบจะไม่ได้มีการ Renovate ใหม่เลย

MIDWINTER GREEN ดำเนินการเป็นร้านอาหารแต่เพียงอย่างเดียว มีบรรยากาศทั้งแบบ indoor และ outdoor ช่วงค่ำๆ แบบนี้ผมว่า Outdoor น่าสนใจสุดๆ ครับ

บริเวณ Outdoor มีดนตรีสดให้ฟัง รวมถึงเวลา 20.00 น. จะมีการแสดง 3D Mapping หรือการแสงสีเสียง ให้ชมด้วยครับ ขอบอกเลยว่า บรรยากาศยามค่ำนี่ สุดๆ ครับ

มื้อค่ำนี้ขอเป็นเมนูจานเบาๆ กับ Tuna Loin Salad ผักกรอบ น้ำสลัดอร่อย ทูน่าชิ้นโตๆ โดยรวมอร่อยเลยทีเดียว เสิร์ฟคู่กับขนมปัง จานนี้ 260 บาทครับ

อีกหนึ่งจานเป็น Bacon Caesar Salad จานนี้ 285 บาทครับ (ราคาอาหารบนเมนูของที่นี่ยังไม่รวม Vat 7% ครับ)

ทานไป ฟังเพลงเพราะๆ ไป บอกได้คำเดียว ฟิน ครับ

จากนั้นมุ่งหน้ากลับที่พัก ก่อนนอนขอเก็บบรรยากาศที่ Escape กันอีกสักนิดครับ

แนะนำให้ผู้ที่เข้าพักที่ Escape ตื่นเช้าๆ กันหน่อยครับ เพราะช่วงเช้าที่นี่บรรยากาศดีสุดๆ ที่ว่ากันว่าวังน้ำเขียวอากาศดี ผมว่าที่นี่บรรยากาศดีไม่แพ้ใคร อากาศสดชื่นมากๆ จะตื่นมาเดินเล่น วิ่ง หรือปั่นจักรยาน แล้วแต่ความชอบเลยครับ ช่วงที่ผมเข้าพักเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม นับว่าก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนแบบสมบูรณ์แบบแล้ว แต่บรรยากาศยามเช้าที่ Escape นี่ ไม่ให้ความรู้สึกว่าก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนเลยครับ เพราะอากาศค่อนข้างเย็นเลยทีเดียว

เช้านี้ผมก็ไม่พลาดที่จะลุกขึ้นมาแต่เช้า เพื่อมาดื่มด่ำกับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า ไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้ เพราะโดยปกติช่วงเวลานี้ ชีวิตคงกำลังกุลีกุจอออกเดินทางไปผจญกับการจราจรบนท้องถนนแล้ว ตื่นแต่เช้าเลยมีโอกาสได้ไปเก็บบรรยากาศห้องอาหารยามเช้ามาฝากกันซะก่อน ก่อนที่แขกจะมาใช้บริการกัน

จากนั้นเดินมาสำรวจบริเวณ Lobby อีกครั้ง

หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศจนเป็นที่พอใจแล้ว ขอกลับไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร Green Oak Bistro ก่อนที่จะเดินทางกลับครับ

ทางขึ้นของห้องอาหาร Green Oak Bistro อยู่บริเวณ Lobby ครับ

ไลน์อาหารเช้า หลักๆ จะมี 2 จุด จุดแรกอยู่ในห้องอาหาร จะเน้นสลัด และผลไม้ นอกจากนี้ยังมี Egg Station ด้วยครับ




ไลน์ Buffet อีกจุดอยู่ด้านหน้าห้องอาหาร เน้นอาหารจานหลัก มีทั้งอาหารไทย อาหารเทศ ข้าวต้มสูตรโบราณ เบเกอรี่ ถือว่าหลากหลายเลยทีเดียว

สำหรับน้ำผลไม้ที่นี่ ถือว่าสุดๆ ครับ ข้นคลั่ก อร่อยมากๆ ทั้งน้ำส้มและน้ำอัญชัน แต่อาจจะหวานไปสักหน่อย ถ้าได้น้ำแข็งมาลดหวานสักนิดก็คงดีครับ

Egg Station มีเมนูไข่ให้เลือกหลายอย่างเลย ผมเลือกไข่กระทะครับ

ทาง Escape ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหาร เน้นคัดสรรวัตถุดิบชั้นดี ทุกอย่างเต็มไปด้วยคุณภาพ ผมเองไม่ได้คิดเองเออเอง แต่เพื่อนที่เคยมาเข้าพักที่นี่ก็บอกเช่นเดียวกันว่า อาหารเช้าที่นี่ดีมากๆ ผมเองสาละวนอยู่ในห้องอาหารราว 1 ชั่วโมงเลยครับ นั่งทานอาหารไป เสพบรรยากาศไป เกินบรรยายจริงๆ

หากเพื่อนๆ มีโปรแกรมมาเที่ยวที่นครราชสีมา ลองเลือกดูนะครับว่า บรรยากาศแบบไหนที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวของเพื่อนๆ มากที่สุด จะเป็นการเที่ยววัดเที่ยววา ซึมซับวัฒนธรรม หรือชอบบรรยากาศแนวธรรมชาติแบบขุนเขา แต่ถ้าหากตัดสินใจไม่ได้ จะเลือกซึมซับทั้ง 2 บรรยากาศแบบผม ก็ไม่ผิดกติกาครับ ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวที่นครราชสีมานะครับ

ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ความคิดเห็น