ไม่อยากจะเชื่อ!!! ย่านเศรษฐกิจอย่างถนนสาทรใต้ จะมีพื้นที่สีเขียวกับเขาด้วย พื้นที่แถวนี้ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นทำเลทอง พื้นที่แค่เพียงกระหยิบมือเดียว มีมูลค่ากว่า 7 หลัก และที่ไม่อยากจะเชื่อเข้าไปอีกคือ พื้นที่สีเขียวนี้เป็นที่ตั้งของ The Sukhothai Bangkok โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ที่เมื่อได้เลี้ยวรถเข้าไปด้านใน เหมือนกับว่ากำลังขับรถเข้าไปพักโรงแรมในต่างจังหวัดเลยครับ
ทางเข้าถูกขนาบข้างด้วยตึกกรุงเทพประกันภัย และโรงแรม Banyan Tree Bangkok แต่พื้นที่ตรงกลางระหว่าง 2 ตึก กลับถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่
เมื่อรถแล่นผ่านประตูทางเข้าก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวอุโมงค์ต้นไม้ที่มวกเหล็ก และซุ้มต้นไม้ที่จะขึ้นไปบนพะเนินทุ่งอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเลยครับ
สุดปลายอุโมงค์ต้นไม้ จะพบกับพื้นที่ในส่วนของโรงแรมครับ
เพียงแค่ก้าวเข้ามาในพื้นที่ของโรงแรม ให้ความรู้สึกถึงความหรูหราแบบไทยประยุกต์ Lobby เล็กๆ แบบเรียบง่าย ระหว่างทำการ Check in ทางโรงแรมจะมีการเรียกเก็บค่าประกันห้องพัก 4,000 บาท/ห้อง สามารถจ่ายเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ครับ และจะได้รับคืนตอนที่เรา Check out
พื้นที่ตรงนี้เหมือนเป็นห้องโถง ช่วงที่ผมมาถึงมีนักดนตรีมาเล่นขิมด้วย เพิ่มกลิ่นอายความเป็นไทยมากขึ้นไปอีกครับ
Salon เป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับ Lobby ให้บริการกาแฟ light cocktails รวมถึงของว่าง ช่วงเวลา 14.00-17.00 น. ของทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี จะมี Afternoon tea ส่วนวันศุกร์-อาทิตย์ จะมี Chocolate Buffet ครับ
The Zuk Bar คล้ายๆ เป็นคลับเล็กๆ ที่ให้บริการเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยหรือจะเป็นเครื่องดื่มหลังอาหารค่ำ อย่าง Cocktail ต่างๆ รวมถึงมีอาหารว่างด้วย เปิดให้บริการช่วง 17.00-24.00 น. ครับ ช่วงค่ำๆ ผมเดินผ่าน The Zuk Bar ขอบอกเลยว่า บรรยากาศดีมากครับ
Celadon เป็นอีกหนึ่งห้องอาหารของ The Sukhothai ซึ่งอยู่แยกออกมาจากส่วนของโรงแรม ห้องอาหารนี้อยู่บริเวณซุ้มต้นไม้ด้านหน้าเลย Celadon ได้รับการโหวตจาก Travel and Leisure magazine ให้เป็น Best Restaurant in Bangkok เลยนะครับ บรรยากาศดีมาก มีสระบัวอยู่โดยรอบ ห้องอาหาร Celadon ให้บริการอาหารไทยครับ
ไหนๆ ก็พาสำรวจพื้นที่กันแล้ว ผมขอพาชมส่วนอื่นต่อเลยนะครับ เริ่มที่ Spa ซึ่งจะอยู่แยกออกมาจากส่วนของโรงแรมเลยครับ บรรยากาศโดยรอบไม่ทิ้งความเป็นสวนเขียวเช่นเคย โดยรอบตกแต่งอย่างสวยงาม ร่มรื่นมากๆ ครับ
ติดกับ Spa เป็นสระว่ายน้ำ พื้นที่ของสระน้ำค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว มีเตียง daybed อยู่โดยรอบ
อาคารสองชั้นนี้เป็นห้องจัดประชุมครับ แยกออกมาจากส่วนของโรงแรมเลย อยู่ติดกับ Spa มองจากมุมนี้ มองเห็นเลยว่า The Sukhothai Bangkok อยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าจริงๆ
ยืนตรงนี้รู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่บนไข่แดงยังไงไม่รู้ครับ แวดล้อมด้วยตึกสูง
พื้นที่ส่วนนี้อยู่กลางโรงแรมเลย ห้องพักทุกห้องจะมองเห็นพื้นที่ส่วนสีเขียวนี้ครับ มีทั้งสนามหญ้าให้ได้นั่งเล่น รวมถึงบ่อบัวหลากสีสันให้ได้ชม
ชมบรรยากาศโดยรอบกันแล้ว คราวนี้ไปดูห้องพักกันบ้าง ลักษณะของโซนห้องพัก จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยมีด้านหนึ่งเป็นด้านของห้องอาหารและทางเดินไปยัง Lobby ส่วนอีกสามด้านที่เหลือจะเป็นในส่วนของห้องพักครับ ด้านทุกด้านจะเดินถึงกันหมด แล้วจะมีสวนเขียวอยู่ตรงกลาง เราสามารถเดินตัดจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งได้ โดยเดินผ่านสวนเขียว หรือถ้าไม่อยากตากฝน ตากแดด ก็สามารถเดินตรงระเบียงห้อง วนถึงกัน เพื่อออกไปยัง Lobby ได้ครับ
ห้องที่ผมเข้าพักเป็นแบบ Superior Room พื้นที่ในห้องถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว ภายในห้องออกแบบให้มีเหลี่ยมมุม ทำให้ห้องดูมีมิติ ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม ใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง คุมโทนสีด้วยสีน้ำตาล ให้ความรู้สึกเข้มขรึมดีครับ
เตียงขนาด King size นุ่มกำลังดี นอนสบายมากๆ หมอนก็นุ่มได้ใจจริงๆ หลับสบายเลยครับ ที่หัวเตียงมีมุมโต๊ะทำงานให้ด้วยครับ
ปลายเตียง มีโซฟาให้เอนหลังด้วย จะนั่งดูวิวด้านนอก หรือจะนอนอ่านหนังสือ ก็เอาที่สบายใจเลยครับ สำหรับทีวีใช้การฝังลงไปในตู้กระจกสีดำ เลยดูกลมกลืนไปกับผนังห้อง เพิ่มความหรูหราเข้าไปอีก
มีส้มเป็น Welcome fruit ดูจากผิว สีเขียวเข้ม คาดว่าจะเปรี้ยว แต่ผิดคาดครับ รสชาติหวาน ชื่นใจเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี The Sukhothai Chocolate Truffles วางเคียงคู่กัน แอบกระซิบนิดครับว่า ชอคโกแลตอร่อยมาก เข้มข้นแถมด้านในเป็นคล้ายๆ ลาวา สุดยอดจริงๆ
ในส่วนที่ผมเล่าไปตอนต้นว่ามีการสร้างเหลี่ยมมุม เพื่อเป็นการสร้างมิติให้ห้อง ในส่วนที่เป็นเหลี่ยมมุมนี้ สำหรับวางเครื่องชงกาแฟ และตู้นิรภัยครับ
รวมถึงตู้เย็นและ Minibar ด้วย Minibar ราคาค่อนข้างแรงเลยทีเดียว ในห้องมีน้ำดื่มที่เป็น Complementary ให้หลายขวดเหมือนกันครับ
มาดูในส่วนของห้องน้ำกันบ้าง ห้องน้ำค่อนข้างกว้าง ตกแต่งด้วยกระจกเกือบรอบห้อง ทำให้ห้องน้ำดูกว้างขวางเข้าไปอีก เมื่อเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ด้านขวาจะเป็นอ่างล้างหน้าครับ
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นอ่างอาบน้ำ
ส่วนตรงกลาง จะแบ่งเป็นส่วนเปียกและส่วนแห้ง แยกออกจากกันคนละห้องเลย โถสุขภัณฑ์เป็นแบบระบบฉีดน้ำอัตโนมัติ เหมือนญี่ปุ่น แถมที่รองก้นยังปรับอุณหภูมิให้อุ่นอยู่เสมอ แต่ผมว่าบางทีมันอุ่นซะจนร้อนก้นเลยเหมือนกัน
Amenity อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม ดูหรูหราเลยทีเดียว แชมพูและครีมอาบน้ำหอมกลิ่นตะไคร้ ชื่นใจมากครับ
ในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างเยอะเลยครับ เช่น Adapter Universal ,ครีมอาบน้ำ, เกลือสำหรับอาบน้ำ, Housekeeping Service, บริการซักอบรีดเสื้อผ้า ฯลฯ ซึ่งสามารถเรียกขอใช้บริการเพิ่มเติมผ่านทางจอทีวีได้เลย
ช่วงก่อนพลบค่ำ ผมได้มีโอกาสเดินเล่นในโรงแรม เลยเก็บบรรยากาศช่วงพลบค่ำมาให้ชมกันครับ
จุดนี้ผมว่าน่าจะเป็นพระเอกของ The Sukhothai Bangkok เลยทีเดียว แขกที่มาใช้บริการที่นี่ นิยมมาถ่ายรูปที่มุมนี้กันอยู่เรื่อยๆ ครับ
ช่วงค่ำ มี Turndown Service ให้ด้วย อ้อ..แผงควบคุมการเปิดปิดไฟทั้งห้องจะอยู่บริเวณโต๊ะทำงานครับ คืนนี้นอนหลับสบายจริงๆ หมอนก็นุ่ม เตียงก็กว้างแถมนุ่มสบายจริงๆ
เช้าวันใหม่ ตั้งใจจะตื่นแต่เช้าเพื่อมาเก็บบรรยากาศในห้องอาหาร Colonnade ก่อนที่แขกท่านอื่นๆ จะลงมาทานอาหารเช้ากัน แต่ด้วยเตียงนอนที่นุ่ม ผ้าห่มที่อุ่น หมอนที่นอนสบายสุดๆ ทำเอาผมหลับยาว มาสะดุ้งตื่นอีกทีราว 8 โมงเช้าแล้ว เลยลงมาที่ห้องอาหารซะสาย แขกท่านอื่นๆ ทยอยลงมาใช้บริการกันจนเต็มห้องอาหารแล้ว อาหารเช้าที่นี่เริ่มให้บริการตั้งแต่ 06.30 – 10.30 น. ครับ
อาหารเช้าจะเป็น International buffet ครับมุมนี้เป็นมุมไส้กรอก แฮมต่างๆ ครับ
มุมข้าวต้มและติ่มซำ
Egg Station
มุมก๋วยเตี๋ยวหมู มีเกี๊ยวด้วยครับ เส้นบะหมี่ลวกเป็นก้อนดูสวยดี แต่เวลาทานแล้วเส้นด้านในออกจะแข็งไปสักนิด หมูในเกี๊ยวน้อยไปหน่อย กัดไปแล้วเหมือนเจอแต่แป้งเกี๊ยวครับ
มุมสลัดต่างๆ
มุม Cold cuts
มุมอาหารญี่ปุ่น
Breakfast Bakeries
นม โยเกิต ฟรุ้ทสลัด โยเกิตที่นี่อร่อยดีครับ ใครชอบหวานๆ น่าจะถูกใจ
มุมผลไม้สด และน้ำผลไม้ครับ
ติ่มซำมีให้เลือก 4 ชนิดนี้ครับ
Waffle น้องพนักงานแนะนำว่าได้สูตรมาจากเบลเยี่ยมเลยครับ
ชา กาแฟ โกโก้ร้อน สามารถเรียกขอเพิ่มได้เลยครับ
อาหารที่นี่แต่ละเมนูจะใส่ในภาชนะเล็กๆ ซึ่งแตกต่างจากโรงแรมอื่นที่จะใส่ในภาชนะใหญ่ๆ ถึงแม้อาหารจะใส่ในภาชนะเล็กๆ แต่เมื่ออาหารพร่อง พนักงานจะนำอาหารมาเสิร์ฟใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้อาหารที่อุ่นอยู่เสมอ คุณภาพอาหารเช้าถือว่าดีเลยทีเดียวครับ
อาหารเช้าผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง พูดได้เลยว่า ยังไม่ทันย่อย ก็ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว มื้อนี้ผมจะพาไปสัมผัสกับ Sunday Brunch ครับ
Sunday Brunch จัดในห้องอาหาร Colonnade ห้องเดียวกับอาหารเช้านี่แหล่ะครับ ให้บริการตั้งแต่ 12.00-15.00 น. เนื่องจากเมื่อเช้าผมเข้ามาเก็บบรรยากาศในห้องอาหารไม่ทัน มื้อเที่ยงนี้ผมจึงขออนุญาตทางห้องอาหารเข้ามาเก็บบรรยากาศในห้องอาหารก่อนที่จะให้แขกท่านอื่นๆ เข้ามาใช้บริการ
ห้องอาหาร Colonnade เป็นห้องอาหารที่ตกแต่งในบรรยากาศแบบไทย สำหรับที่นั่งที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นที่นั่งริมกระจกครับ เพราะสามารถนั่งทานอาหารไป ชมเจดีย์กลางน้ำซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของ The Sukhothai Bangkok เลยก็ว่าได้
เมนู Sunday Brunch ที่ห้องอาหาร Colonnade ถ้าหากเป็นเมนูหลัก อย่างอาหารทะเลสดๆ จะมีเสิร์ฟเป็นประจำทุกอาทิตย์ แต่ถ้าเป็นเมนู Hot Pot จะมีการสลับเปลี่ยนทุกสัปดาห์ หลักๆ จะมีทั้งหมด 4 เมนู ใน 1 เมนูก็จะมีรายการอาหารมากมาย ดังนั้นลูกค้าที่มาใช้บริการบ่อยๆ โอกาสที่จะได้เจอเมนูอาหารที่ซ้ำ ก็มีน้อยลงครับ
มีดนตรีสดโดยนักร้องคนไทย ที่จะคอยขับกล่อมให้แขกได้เพลิดเพลินทั้งอาหารหู และอาหารปาก แนวเพลงจะเป็นเพลงสากลฟังสบายๆ สามารถขอเพลงได้ด้วยครับ
อาหารทะเล นับเป็นพระเอกของ Sunday Brunch มุมตรงนี้จึงมีให้บริการทุกอาทิตย์
อาหารทะเลนับว่าหลากหลายเลยครับ มีหอยนางรม 5 สายพันธุ์จากยุโรป, Alaskan King Crab, Maine Lobster, Sicilian Brown Crab, River Prawns, Razor Clam, Snow Crab Leg, Rock Lobster, Black Mussel, White Prawns, Manila Clams
มาดูมุมอื่นกันบ้าง มุมนี้ประมาณ Hot Pot จะเป็นเมนูที่หมุนเปลี่ยนไปทุกอาทิตย์ครับ
Signature Soup เป็นซุป Lobster ครับ
Homemade Pasta & Carbonara
Roasted Salmon with Herbs Crust Saffron Sauce
Raclette Station และ Charcuterie
มุมสลัดต่างๆ
Grilled River Prawn
Grilled Rock Lobster
Grilled Scallop
Grilled Salmon Teriyaki
Braised Pork Hock และ Stew Beef Goulash
Cod Brandade with Italian Bread
Chicken Tikka
24 Hour Beef Ribs,Roasted Garlic Oil
Grilled Lamb Chop
Roasted Beef Wellington, Truffle Mushroom and Foie gras
มาดูมุมอาหารญี่ปุ่นกันบ้างครับ
Maki
Sushi หน้าต่างๆ อร่อยดีทีเดียว
มุม Appertizer ครับ
Tempura และ Kushiage
Sushi/Sashimi
มาดูอาหารไทยกันบ้าง อาหารไทยนี่ก็จะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกอาทิตย์เช่นกัน
แต่ละเมนูหน้าตาดูดีเลยทีเดียว มีการนำวัตถุดิบชั้นดีมาประกอบอาหารแต่ละเมนู เลยไม่ได้ทำให้เป็นอาหารไทยจ๋าไปซะทีเดียว
น้ำพริกอ่องกุ้งมังกร
ยำมะเขือยาว ใส่กุ้งและไก่
ยำใบชะครามใส่หอยเชลล์
พล่าเนื้อ
ปลาเปรี้ยวหวาน
ไข่เยี่ยวม้ากะเพรากรอบ
หอยเชลล์กับคะน้าน้ำมันหอย
ปีกไก่ทอดซอสมะขาม
ปูนิ่มผัดพริก
สาคูไส้หมู และเมี่ยงปลากระพง
ปิดท้ายด้วยบะหมี่ขาหมูครับ สารภาพเลยว่าผมไม่ได้แตะอาหารไทยเลย เพราะมัวสาละวนกับอาหารทะเลจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่างในกระเพาะเลยครับ
ติดกับห้องอาหาร Colonnade จะเป็น The Zuk Bar (ทางเชื่อมของทั้งสองห้องอยู่ด้านหลังนักดนตรี) ช่วงเที่ยงถึงบ่ายวันอาทิตย์ The Zuk Bar จะเป็นสวรรค์ของคนรักของหวานครับ ในห้องนี้จัดเต็มด้วยของหวาน รวมถึงน้ำผลไม้เย็นๆ อย่างน้ำส้ม น้ำมะพร้าว น้ำตะไคร้ และน้ำอ้อย นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์รวมของชีสที่มีมากถึง 25 ชนิดเลยทีเดียว
นี่ถ้า Chef ไม่มาบอกว่าห้องนี้เป็นจุดรวมชีสและของหวาน ทาสของหวานแบบผมคงพลาดโอกาสดีๆ แบบไม่น่าให้อภัยตัวเองเลยจริงๆ
จุดนี้แหละครับ ที่ Chef ภูมิใจนำเสนอชีส 25 ชนิด
ในส่วนของขนมหวานมีทั้งขนมหวานแบบไทยๆ และแบบเทศครับ มาดูแบบเทศกันก่อน
เห็นแล้วต้องร้องว้าวว
เพราะขนมเยอะแยะเหลือเกิน Fruit and Berry Tartlets, Cheese Cake,
Chocolate Torte ,Panna Cotta ,Crème Brulee,White Satin Chocolate mousse,
Kumquat, Deep Dish Pavlova, Creation of the Moment, Macarons, The
Sukhothai Chocolate Truffles
ขนมไทยก็หลากหลายไม่แพ้กัน เริ่มกันที่ขนมตระกูล “ทอง”
ขนมต้ม
ข้าวต้มมัด
ขนมเปียกปูน
ขนมชั้น
ข้าวเหนียวมะม่วง
น้ำแข็งใส
ขนมใส่ไส้
ปิดท้ายด้วยผลไม้ครับ
ค่าบริการ Sunday Brunch อยู่ที่ 3,000++ (ราคาสุทธิเฉพาะอาหารอยู่ที่ 3,531 บาท) แต่ถ้ารวม Champagne Package ด้วย จ่ายเพิ่มอีก 1,900 บาท ใน Champagne Package จะใช้ Champagne จากฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังมีWine ต่างๆ ที่เติมได้ไม่อั้นจนถึง 15.00 น.ครับ
อ้อ ตอนที่ลูกค้ามานั่งที่โต๊ะ จะมี Welcome Drink ให้ด้วย Welcome Drink มีให้เลือก 2 แบบ แบบแรกเป็น Mocktail green matcha+ใบมะกรูด ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ ครับ อีกแบบเป็น Cocktail น้ำตะไคร้+มะนาว สำหรับผู้ที่ชอบแอลกอฮอล์ครับ
ส่วนเรื่องการให้บริการนั้น น้องๆ พนักงานในห้องอาหารทุกคนดูแลแขกทุกโต๊ะได้ดีมากๆ คอยเดินมาสังเกตความเรียบร้อยและคอยสอบถามความพึงพอใจของลูกค้าอยู่ตลอดครับ
สำหรับ Sunday Brunch ที่ Colonnade มนุษย์เงินเดือนอย่างผมมองว่าราคาค่อนข้างแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพของวัตถุดิบและอาหาร เรียกว่าดีงามเลยทีเดียว สมน้ำสมเนื้อกับราคาครับ ส่วนเรื่องรสชาติอาหาร โดยส่วนตัวผมโอเคเลยนะ แต่เรื่องรสชาติจะเอาผมมาการันตีคงไม่ดีแน่ๆ เพราะรสชาติปากของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ที่อยากจะบอกคือ ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างสูง แต่ก็มีลูกค้าทั้งคนไทยและชาวต่างชาติมาใช้บริการจนแน่นทุกโต๊ะเลยครับ สิ่งที่ทำให้ลูกค้าไหลหลั่งมาใช้บริการกันมาก ผมว่าคงเป็นเพราะเรื่องวัตถุดิบและรสชาติของอาหาร รวมถึงการให้บริการของพนักงานทุกคน จึงทำให้ห้องอาหาร Colonnade ได้รับการโหวตให้เป็นห้องอาหารที่ดีที่สุดในกรุงเทพมหานคร จากการสำรวจของ Trip Advisor ติดอันดับ 1 มาประมาณเดือนกว่าๆ แล้วครับ
หากใครจะมาให้รางวัลกับตัวเอง เลี้ยงรับรองแขกผู้ใหญ่ หรือเลี้ยงฉลองในโอกาสสำคัญ ผมว่า Sunday Brunch ที่ Colonnade เหมาะเลยทีเดียว แต่แนะนำว่าควรโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้า อย่า Walk in นะครับ เพราะแขกเต็มตลอด หาก Walk in มาอาจมาเสียเที่ยวได้ครับ
The Sukhothai Bangkok ยืนหยัดให้บริการมากว่า 27 ปีแล้ว นี่ถ้าของเขาไม่ดีจริง ไม่น่าจะอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้แน่ๆ เพราะปัจจุบันโรงแรมหรูๆ ในกรุงเทพมีมากราวดอกเห็ด ถึงแม้จะผ่านมา 27 ปีแล้ว ทางโรงแรมก็เร่งรีโนเวทส่วนต่างๆ อยู่เสมอ ช่วงที่ผมไปก็กำลังรีโนเวทในส่วนของห้องอาหารที่ติดกับสระว่ายน้ำอยู่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งในห้องพักเองก็ตาม ได้ผ่านการรีโนเวทมาใหม่แล้ว
The Sukhothai Bangkok นับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีของคนกรุงที่ต้องการหาที่พักผ่อนแบบเงียบๆ ในบรรยากาศสวนเขียว หลบหนีความวุ่นวาย แต่ไม่อยากเดินทางไกล ผมว่าถ้าคุณเลือกที่นี่ คุณไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.15 น.