กลับมาอีกแล้วกับหยกเอง Yoko Go Around ทริปนี้จะพาไปเที่ยวไกลถึงยุโรป ซัมเมอร์นี้เราไปอิตาลีกัน หยกขอเล่าเรื่องเป็นตอน ๆ เพราะทริปนี้ไปค่อนข้างนาน ใช้เวลาทั้งหมดรวมเดินทางระหว่างวันที่ 8-19 มิถุนายน รวม 12 วัน แบบไปเที่ยวเอง ไม่พึ่งทัวร์ใด ๆ ทั้งสิ้น เอาล่ะ ใครพร้อมเที่ยวอิตาลีแล้ว ไปลุยกันเลย
เริ่มตั้งแต่เครื่องบินก่อนเลย เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังวางแผนไปเที่ยวยุโรปหรือประเทศอิตาลี ทริปนี้หยกจองฟินแอร์ เพราะได้ตั๋วราคาดีประมาณ 23,000 เน็ต จองไว้ตั้งแต่ปลายปี 2017 เดินทางเดือน มิ.ย. 2018 แต่เวลาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะไปถึงค่ำ แถมกลับเช้าอีกต่างหาก ใครจะจองตั๋วโปรก็ลองดูเวลาอีกที เพิ่มเงินนิดหน่อย ได้ตั๋วดีกว่าก็ถือว่าโอเค
สำหรับฟินแอร์ทั้งขาไปและขากลับ ต้องไปต่อเครื่องที่เฮลซิงกิค่ะ
บนเครื่องบินก็ถือว่าโอเค เครื่องอุปโภคบริโภคครบ อาหาร 2 มื้อ หมอน ผ้าห่ม หูฟัง เครื่องดื่มเสิร์ฟตลอด แต่ถ้าใครอยากกินขนมพวก snacks ก็ซื้อเพิ่มได้ หนัง เพลงใหม่ ๆ เพียบ เช็คอินเลือกที่นั่งล่วงหน้าได้ก่อน 24 ชั่วโมง ใครชอบถ่ายวิวก็เลือกที่นั่งข้างหน้าต่างได้เลย
ก่อนลงเครื่องก็กดดูหน้าจอไว้ก่อนว่าต้องไปต่อเครื่องที่เกทไหน เพราะ Stopover แค่ชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้น แถมยังต้องต่อคิว Passport Control อีก
ก่อนเครื่องลงก็เสริฟอาหารอีกมื้อ
ลงเครื่องที่เฮลซิงกิ ผ่าน ตม. ก็ต่อมาโรมอีกเกือบ 4 ชั่วโมง และแล้วก็มาถึง Leonardo da Vinci di Fiumicino Airport หลังจากนั้นเดินออกไป ก็จะมีรถบัส ใครพักที่ไหนก็ขอให้ทำการบ้านไป ว่าควรขึ้นรถบัส รถไฟใต้ดิน หรือจะแท็กซี่ก็ตามสะดวก ของหยกเราจองที่พักไว้ที่ Sunset at St.Peter เป็น B&B พร้อมอาหารเช้า ใกล้วาติกัน เลยนั่งรถบัส บอกคนเก็บตังค์ หลังจากนั้นก็ลงที่ป้ายวาติกัน แล้วเดินไปที่พักได้เลย
สำหรับ B&B Sunset at St.Peter ถือว่าเราเลือกที่พักได้โลเคชั่นดีเลยทีเดียว เพราะอยู่ในทำเลที่ใกล้ แบบไปไหนก็ต้องผ่านวาติกัน ลงเครื่อง ลงรถมา ระหว่างเดินไปที่พักก็ได้เก็บภาพบรรยากาศทไวไลท์พระอาทิตย์ตกที่วาติกันมาฝากกัน ที่อิตาลีนี่ 3 ทุ่มแล้ว พระอาทิตย์เพิ่งจะตก กลางวันนานมาก แต่ข้อดีก็คือทำให้เรามีเวลาเที่ยวเยอะ ไม่แปลกใจที่คนยุโรปชอบนอนกลางวันแล้วตื่นมาทำงานต่อ เพราะกลางวันเค้านานกว่าบ้านเรานี่เอง
เดินผ่านวาติกัน เดินต่อประมาณ 5 นาทีก็ถึงที่พัก
ด้านหน้าก็เป็นประตูเช่นนี้ บ้านยุโรปเค้าก็จะเป็นตึก ๆ กดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านแล้วก็ขึ้นไปข้างบนเค้าก็จะอยู่กันเป็น Floor
ข้างในก็แบ่งเป็นห้องให้แขกพัก 2-3 ห้อง Share bathroom
นอนพักเอาแรงพร้อมลุย รุ่งเช้ามาเจ้าของบ้านก็จัดแจงอาหารเช้าไว้ให้เป็นกาแฟ กับขนมปังพร้อมเนยและแยม เติมได้ไม่อั้น
อิ่มแล้วก็ไปกันต่อได้ แพลนก็คือเดินไปเรื่อย ๆ ตามแผนที่สถานที่ท่องเที่ยวในโรม จะบอกว่าทริปนี้ขอไม่พูดถึงสาระ แต่ขอนำเสนอบรรยากาศบ้านเมือง ผู้คนในกรุงโรมและความยิ่งใหญ่อลังการของสิ่งก่อสร้างในยุคโรมันที่ถ่ายทอดมาจากมุมมองของหยกเอง
อิ่มแล้ว เดินไปชมเมือง ก็ผ่านวาติกันอีกเช่นเคย วิหารเซนต์ปีเตอร์
ที่โรมเมืองแห่งคริสตจักรแห่งนี้ จะเห็นนักบวชเดินกันอยู่ทั่วไปเป็นปกติ
ไกด์ขายทัวร์นำเที่ยวเพียบ
วิวสวย ๆ เริ่มมา
เริ่มมองเห็น Castel Sant'Angelo
มุมยอดฮิตของสะพานและ Castel Sant'Angelo
เดินไปชมเมืองกันต่อ จะบอกว่าทริปนี้ไม่ได้เสียตังค์เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น เน้นเดินชมเมืองอย่างเดียวเพื่อเก็บภาพบรรยากาศแนวสตรีทและแลนด์สเคป
เดินไปเดินมาก็มาถึงตลาด สีสันสวยงาม
กราฟิตี้ ขาดไม่ได้สำหรับประเทศอิตาลีแห่งนี้
วิหาร Pantheon
เข้าไปดูข้างในกัน ที่นี่เข้าฟรี ไม่เสียตังค์
ไปกันต่อ
เอาจริง ๆ พอเดินมาถึงจุดนี้ก็เริ่มตระหนักว่ามันไกลใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าใครคิดว่าเดินไม่ไหวจะซื้อตั๋วรถ Hop on Hop off รายวันแบบนี้ก็ถือว่าคุ้ม จะขึ้น ลง กี่เที่ยวก็ได้ เค้าจะพาไปจอดตามป้ายสถานที่เที่ยวต่าง ๆ ลงไปเที่ยวแล้วรอรถรอบใหม่มาค่อยขึ้นไปต่อจะได้ไม่ต้องเดินไกล
ความดีเทลและความน่ารัก
ความอลังการ
ที่โรมนี่นกนางนวลเยอะมาก พบเห็นได้ทั่วไป แถมร้องเสียงดังอีกต่างหาก
และแล้วด้วยความสตรอง เราก็เห็นโคลอสเซียมอยู่รำไร เดินไปต่อเลยแล้วกัน
ผ่านโรมันฟอรัม
บรรยากาศโดยรอบโคลอสเซียมมีศิลปินมาเปิดหมวกกันมากมายหลากหลายแนว
แล้วก็เดินมาถึงโคลอสเซียม 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกและสัญลักษณ์ของกรุงโรม ประเทศอิตาลีแห่งนี้ ยิ่งใหญ่อลังการมากมาย
ทริปนี้กะว่าจะเข้าไปชมข้างในโคลอสเซียม แต่เดินมาถึงก็ช่วงบ่าย คนต่อคิวเยอะมาก เลยว่างั้นกลับไปตั้งหลักกันก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยตื่นแต่เช้ามาต่อคิว จะได้ไม่ต้องรอนาน อีกอย่างแดดที่โรมนี่แรงไม่แพ้เมืองไทย แต่อากาศเย็น ๆ ถ้าหาที่ร่มนั่งพักก็จะเย็นสบาย งั้นวันนี้เดินกลับแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า
หาร้านนั่งพักสั่งอะไรทาน ซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้ มาถึงอิตาลีก็ต้องกินพิซซ่า
กินอิ่มแล้ว ก่อนกลับไปพัก ทางผ่านก็ขอแวะอีกหนึ่งจุด น้ำพุเทรวี่ ใครมาถึงที่นี่ต้องหันหลังแล้วโยนเหรียญลงไปแล้วอธิษฐาน เชื่อว่าจะได้กลับมาที่โรมอีกครั้ง
แดดแรงมาก เพราะฉะนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ หาซื้อ Gelato ชิมกันหน่อย เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าแตกต่างอะไรกับไอติมยี่ห้อแพง ๆ ที่เมืองไทยนัก น่าจะใช้ส่วนผสมคล้าย ๆ กัน
หมดวันที่ 1 พักผ่อนเอาแรง จะได้รีบตื่นมาต่อคิวเข้าไปชมโคลอสเซียมกัน
เริ่มต้นวันที่ 2 คราวนี้ไม่เสียเวลาเดิน เรานั่ง Subway มาที่สถานีโคลอสเซียมเลย วิธีการก็ไม่ยาก ไปที่ Subway ที่ใกล้ที่สุดแล้วเดินไปซื้อตั๋วบอกไปโคลอสเซียม เดี๋ยวเจ้าหน้าที่ก็จัดมาให้ รถไฟบ้านเค้าก็เหมือนรถไฟใต้ดินบ้านเรา
มาถึงโคลอสเซียม ขนาดมาตั้งแต่เช้า ก็ใช้เวลาต่อคิวประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วก็ได้บัตรเข้าชมมา
ข้างในก็ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ นึกถึงหนัง Gladiator ใครเป็นแฟนพันธ์ุแท้ยังไงก็ต้องมาชมของจริงให้ได้
ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน ว่าชั้นมาแล้วนะเออ
เดินขึ้นข้างบน ลงข้างล่าง ไปมารอบ ๆ จนจุใจ คุ้มค่าเข้าและค่าต่อแถว แล้วก็ออกไปต่อกัน จะบอกว่าข้างในมีหลายระดับมาก ใช้เวลาเดินกว่าจะะทั่วก็เป็นชั่วโมงเหมือนกัน มาถึงเช้ากว่าจะชมทั่วก็ปาเข้าไปเที่ยงพอดี แถมชั้นบนสุดยังขึ้นไปชมไม่ได้อีก ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม งั้นไปต่อที่อื่นกันดีกว่า
ตรงนี้คืออีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวของกรุงโรม Spanish Steps
ประเด็นคือถนนหน้า Spanish Steps นี่เป็นแหล่งช้อปปิ้ง แบรนด์เนมคับคั่งตลอดทั้งสาย ใครชอบแบรนด์ไหนเลือกเดินได้เลย หยกถ่ายรูปมาฝากกันเฉพาะด้านหน้าแค่ 1 ช้อป แบรนด์ยอดฮิตของชาวไทย
เสร็จแล้วก็เดินกลับที่พักกัน ผ่านบ้านเมืองและวิวสวย ๆ เช่นเคย
ปิดท้ายด้วยอาหารเย็น
เราใช้เวลาแค่ 2 วันที่โรมเพื่อเดิมชมบ้านชมเมืองและสถาปัตยกรรม วันที่ 3 หยกจะพาขึ้นรถไฟไปเมืองฟลอเรนซ์ต่อ ตามไปเที่ยวกันได้ในตอนต่อไปค่ะ
ติดตามเรื่องราวต่าง ๆ ของ Yoko Go Around ได้ที่ :
https://www.facebook.com/YokoGoAround/
https://www.instagram.com/yokogoaround/
https://yokogoaround.wordpress.com/
Time2Travel
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.41 น.