สวัสดีครับ
จริงๆอายุ 17 ก็ไม่เด็กแล้วเนอะ แต่ผมขอเด็กอีกสักปีละกัน
หลังจากทริปฮ่องกงครั้งก่อนเมื่อเดือนธันวาปี 57 ก็แทบจะไม่ได้ออกจากบ้านไปเที่ยวไหนเลยครับ
กระทู้นี้ผมจะพาไปเที่ยวอินโดนีเซีย ในแบบลุยเดี่ยว โดยแวะเที่ยวที่ปีนังก่อน 3 วัน ครับ
หากพูดถึงอินโดนีเซีย คุณนึกถึงอะไร บาหลี? บุโรพุทโธ? ภูเขาไฟ?
สำหรับผม ผมนึกถึง ภูเขาไฟครับ
ปีก่อนผมอ่านกระทู้รีวิว โบรโม่ คาวาอีเจี้ยน อ่านจบแล้วคืออยากไปมากๆ สวยสุดๆ
สุดท้ายความฝัน ความตั้งใจเป็นจริง ผมได้ไปเยือนมันมาแล้วครับ ฮ่าๆๆ
ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางคนเดียวยาวนานกว่า 2 สัปดาห์ จองตั๋วตั้งแตปีก่อนนู้นน
ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไร ทำไมถึงจองไปตั้ง 17 วัน
ค่าใช้จ่าย
ตั้งแต่ออกจากบ้าน จนกลับถึงบ้าน ประมาณ 13,000 บาท บวกลบไม่เกิน 500 บาทครับ
รวมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ค่าเครื่องบิน ค่ารถ ค่าเรือ ค่าอาหาร ค่าเข้าชม
ค่าจิปาถะ ค่าโง่ด้วย คือทุกอย่างอะครับ 555555
กินอิ่มไม่ทุกมื้อ นอนสบายไม่ทุกคืน บางมื้ออด บางคืนไม่ได้นอน
แต่ประสบการณ์ที่ได้มันคุ้มค่ามากๆครับ ^^
สำหรับตั๋วเครื่องบิน ผมจองไปทั้งหมด 4 บุ๊คกิ้ง คือ
Bangkok – Hatyai 342 บาท
Penang – Kuala Lumpur 350 บาท
Kuala Lampur – Yogyakarta 680 บาท
Bali – Bangkok 2,300
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,672 บาท
แผนการเดินทาง
ทริปนี้เดินทางค่อนข้างนาน ใช้เวลาทั้งหมด 17 วัน ตั้งแต่วันที่ 9-25 สิงหาคม 2558
ทำให้ต้องเตรียมแผนการเดินทางกันสักหน่อย
ผมวางแผนก่อนเดินทางประมาณ 2 อาทิตย์ หาข้อมูลวันละนิดวันละหน่อย
คือทริปนี้ผมเดินทางคนเดียว ซึ่งรีวิวที่ไปอินโดนีเซียส่วนใหญ่ จะเช่ารถพร้อมคนขับกัน
ทำให้ผมต้องหาวิธีการอื่นๆที่จะทำให้เราสามารถไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้ ในราคาที่ถูกลง
และวิธีที่ง่ายสำหรับการเดินทางคนเดียวที่ผมค้นพบคือ เช่ารถมอเตอร์ไซค์ครับ แว๊นๆๆๆๆ
สุดท้ายแผนการเดินทางคร่าวๆออกมาแบบนี้ครับ
9-11 สิงหา Penang
12 สิงหา ถึง Yogyakarta 11.20 น. เช่ารถมอเตอร์ไซค์ไป New Selo
13 สิงหา Merbabu
14 สิงหา ลง Merbabu ไป Merapi
15 สิงหา ลงจาก Merapi กลับ Yogagarta
16 สิงหา นั่งรถไฟ Lempuyangan 8.55 น. ถึง Probolingo 17.31 หาโรงแรม
17 สิงหา หารถไป Cemero Lawang
18 สิงหา 3.00 น. เดินไป Penanjakan สายๆ นั่งรถกลับ Probolingo
19 สิงหา นั่งรถไฟ 11.07 ถึง Banyuwangi 15.30 น.
นั่งรถ Yellow Public no.6 ไป tripolitour เช่ารถ มอเตอร์ไซค์ไป Kawah Ijen
20 สิงหา กลับ Banyuwangi นั่งรถไปบาหลี พัก Kuta Beach
21-25 สิงหา เช่ารถมอเตอร์ไซค์เที่ยว Bali
ปล.รูปมันดูแตกๆ ไม่ค่อยสวยนะครับ ผมขี้เกียจแก้ 55555
รีวิวนี้ทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการเที่ยวอินโดนีเซียล้วนๆ อยากให้ทุกคนออกเดินทาง
ผมเชื่อว่ากระทู้นี้มันต้องเป็นประโยชน์สำหรับใครบางคนแน่ๆ
ถ้าหากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับบ
พร้อมแล้ว ลุยกันเลยดีกว่า...
แบกเป้ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่กระเป๋าผมหนักเกิน 10 กิโล คือของใช้มันเยอะมาก
ไม่ว่าจะเป็น เปล ถุงนอน ฟลายชีท เตาแก๊ส หม้อ แก้วกาแฟ และอีกหลายๆอย่าง ซึ่งเป็นอุปกรณ์เดินป่าซะส่วนใหญ่
จำเป็นไม่จำเป็นไม่รู้ แต่ขอให้มีติดตัวไป อุ่นใจกว่า จะเรียกว่าบ้าหอบฟางก็ได้ ฮ่าๆๆ
เงินๆทองๆ
ทริปนี้ผมแลกเงินอินโดไป 4,000,000 รูเปีย เป็นเงินไทยก็ 10,600 บาท
หรือ 100,000 รูเปีย เท่ากับ 265 บาท
ตอนแรกก็คิดว่ามันไม่น่าจะพอนะครับ แต่ก็ไม่ได้แลกเพิ่ม
แต่สุดท้าย เหลือกลับบ้าน 1,200,000
ทริปนี้บอกเลยว่า ถ้าไม่มี Google Translate ผมนี่แย่แน่ๆ
คือผมเป็นคนที่โง่อังกฤษมากๆ (จริงๆก็โง่ทุกเรื่อง 55555)
คำศัพท์ก็รู้แค่คำง่ายๆ บางครั้งต้องการอะไร แต่ไม่รู้คำศัพท์ก็จะเปิดแอพแปลภาษานี่แหละ
บางทีเจอฝรั่งพูดมาเป็นประโยคยาวๆ ผมก็พยักหน้าทำเป็นเข้าใจไป
แต่จริงๆคือไม่รู้เรื่องอะไรเลย งงมากก บอกตรงๆ 555555
ขอบอกตรงนี้เลยครับว่า.. ภาษาไม่ใช่อุปสรรคในการออกเดินทาง
ขนาดผมโง่ๆอังกฤษแบบนี้ ยังรอดกลับมาได้เล้ยยย
พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยดีกว่าา
9 สิงหาคม 2558
วันนี้โชคดี เป็นวันอาทิตย์ พี่ชายเลยอาสามาส่งสนามบิน ปกติจะนั่งรถเมล์มาเองตลอด
เครื่องออกจากดอนเมืองเวลา 12.15 น. และลงจอดสู่สนามบินหาดใหญ่เวลา 13.35 น.
หลับไปตื่นสองตื่นก็ถึงแล้วครับ สบ๊ายยย
ถึงสนามบินหาดใหญ่ผมก็นั่งรถสองแถวเข้าเมือง เพื่อจะไปที่ท่ารถตู้ไปปีนัง
ค่าสองแถวที่อ่านมาในพันทิปประมาณ 20 บาท แต่ผมโดนไป 30 บาท
นี่แค่วันแรกก็โดนฟันแล้วววว ไม่อยากจะคิดถึงวันต่อๆไปเลยย เฮือกกก...
แล้วดูคนสิครับ อัดกันไปเต็มคันรถ ผมที่เป็นผู้ชายวัยกระเตาะ
ก็ต้องยืนเกาะท้ายรถไปตามระเบียบ 55555
บอกคนขับลงตลาดกิมหยง หรือวีแอล หาดใหญ่ ก็ได้ครับ เดินไปตามถนนข้างๆโรงแรมวีแอล หาดใหญ่
ประมาณ 400 เมตร ก็ถึงท่ารถตู้ไปปีนังแล้วครับ ชื่อ K.S.T. Travel
ค่ารถตู้ไปปีนังเที่ยวละ 400 บาท ถ้าจองไปกลับเหลือ 750 บาท
มีวันละ 3 เที่ยว 9:30 น. 12:30 น. และ 15:30 น.
ผมนั่งรอบสุดท้าย เวลา 15.30 น. ถามคนขายตั๋ว บอกจะถึงปีนัง 2-3 ทุ่ม
แต่
.
.
ผมถึงจริง 4 ทุ่มครับ คือมันช้าตรง ตม. และคนขับ ขับช้าด้วย
แล้ว 4 ทุ่ม บางถนนนี่เงียบเชียบแล้วครับ กว่าจะเดินหาที่พักเจอก็ปาไป 4 ทุ่มครึ่งแล้ว
ข้าวปลาก็ไม่ได้กินตั้งแต่เช้า เจอร้านข้าวก็ไม่กล้าเข้าไปสั่ง คือวันแรกยังงงๆน่ะครับ
กลัวไปหมดทุกอย่าง ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ใช้นาน ข้าวเซเว่นก็แพง
สุดท้ายได้เจ้านมถั่วเหลืองมาหนึ่งกล่องพอประทังชีวิตไปอีกหนึ่งวัน
โอ้...นี่แค่วันแรกก็เข้าสู่โหมดอดอาหารแล้วสินะ
10 สิงหาคม 2558
เช้าวันนี้ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความหิวโซ นึกขึ้นได้ว่าที่พักมีอาหารเช้าให้ฟรี
ล้างหน้าแปรงฟัน เดินลงมาในครัว เจอแค่ขนมปังหนึ่งแถว กับแยมมะพร้าวหนึ่งขวด
ไม่รอช้า หยิบขนมปังออกมาสองแผ่น แล้วทาแยมสองช้อน ยัดเข้าปาก กลืนลงท้องด้วยความตะกละ
พร้อมกับกระดกนมถั่วเหลืองเพื่อไม่ให้ขนมปังติดคอ
ร่ำร้องในใจว่า ตรูรอดแล้วโว้ยยยย (ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว)
ถึงแม้ว่ามันจะไม่อร่อยเท่าที่ควร แต่อย่างน้อยก็คลายความหิวไปได้พอสมควร
หลังจากกินเสร็จ ก็ได้เวลาออกไปเดินเตร็ดเตร่ในเมือง จอร์จทาวน์
เมืองที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
บางครั้ง ไปเที่ยว เราก็ไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมาย แค่ไปเดินเล่นๆชิวๆ ซึมซับบรรยากาศ
ดูวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของผู้คนในเมือง มันก็เพลินดีเหมือนกันนะครับ
การมาปีนังของผม ไมได้มีจุดมุ่งหมายที่ใดเป็นพิเศษ
แค่เป็นเมืองที่มาเดินเที่ยวเล่นสัก 2-3 วัน ก่อนจะต่อเครื่องไปยังอินโดนีเซีย
แผนเผินไม่ต้องมี แค่เดินเที่ยวไปเรื่อยๆก็สนุกแล้ว
ช่วงเที่ยงๆผมนั่งรถเมล์สาย 101 แวะไป Penang National Park
แต่เจ้าฝนดันตกลงมา เลยได้เดินเที่ยวเล่นแค่นิดๆหน่อยๆ ก่อนจะกลับที่พักไปนอนเอาแรง
ช่วงเย็นผมตื่นขึ้นมา พร้อมกับความคิดที่ว่า
โอ้ยย นี่เรามาเที่ยว.. จะมามัวนอนอยู่อย่างนี้ได้ไง ไม่ได้นะไม่ได้
แล้วตัวก็เด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ พร้อมกับเช็ดน้ำลายที่เลอะอยู่มุมปาก
ก่อนจะล้างหน้า และหยิบกล้องออกมาเดินเล่นต่อ ฮี่ๆๆ
ที่เมืองปีนัง สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตเลยก็คือ Street Art ซึ่งเป็นงานศิลปะข้างถนน
โดยแต่ละภาพวาดจะสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น สามารถพบเห็นได้ตามกำแพง
ประตู หน้าต่าง ซึ่งกระจายอยู่รอบๆเมืองจอร์จทาวน์เลยครับ
ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวปีนัง เป้าหมายหลักๆ ก็จะมาเดินถ่ายรูป คู่กับภาพวาดนี่แหละครับ
แต่ผมถ่ายมาอยู่แค่ 2 รูปเอง คือไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับมันสักเท่าไหร่ 5555
ผมเดินเล่นจนมาถึงแถวๆท่าเรือ Jetty คือเห็นรถเมล์กี่คันๆก็จะมีป้ายบอกไป Jetty ตลอด
เลยอยากรู้ว่า Jetty มันมีอะไรกันแน่
สรุป มันไม่มีอะไรเลยครับ 555555
มีแค่ท่าเรือ Ferry ที่สามารถข้ามฝั่งไปยัง Butterworth
มองเห็นเรือสำราญลำโตอยู่ไกลๆ เลยเดินเข้าไปดูซะหน่อย
เรือสำราญของจริงลำใหญ่มากครับ แต่ไม่รู้สามารถขึ้นไปเดินเที่ยวเล่นได้หรือเปล่า
นั่งชมเรือสักพัก ก็ออกมาเดินเล่นกันต่อ
เมืองเค้าสวยดีนะครับ เดินได้เพลินๆ ไม่มีเบื่อ
(แต่เอาจริงๆก็แอบเบื่อนิดๆนะครับ ) 555555
และนี่คือหน้าตาของศาล ประจำเมืองจอร์จทาวน์ ไม่ใช่ศาลเจ้าที่ หรือศาลพระภูมินะครับ
คือน่าจะเป็นศาลเกี่ยวกับกฏหมายอะไรพวกนี้ ไม่รู้ใช่หรือเปล่า แต่เดาๆว่าใช่ครับ 55555
เดินจนหลงครับ มาโผล่ริมแม่น้ำ มองเห็นพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า
เวลาของวันนี้กำลังจะหมดลง แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป
และเท้าของผมก็ยังคงต้องก้าวต่อไป แม้ว่าจะเมื่อยแค่ไหนก็ตาม
เดินจนมาโผล่ Chulia Street ซึ่งบริเวณแถวนี้ ฝรั่งจะเยอะ ร้านอาหาร ร้านข้าวก็เยอะ
เห้ยยคือ... อย่าเยอะได้ป่ะ หิวอ่ะ บอกตรงๆ
เดินวนหาร้านข้าวกิน สุดท้ายได้เจ้านี่มากินครับ นามของมันชื่อว่า Char Kway Teow
ภาษาไทยก็คือ ก๋วยเตี๋ยวผัด คล้ายๆผัดซีอิ๊วบ้านเรา แต่รสชาติแตกต่าง เนื้อที่ใส่ก็ต่าง
ใส่กุ้งพลาสติกมากระจุ๋งกระจิ๋ง ผักนิด ถั่วงอกหน่อย
ดูตอนแรกเหมือนจะน้อยนะครับ กินไปกินมา สุดท้าย กินไม่หมดครับ อิ่มมาก 555555
และคือป้ายหน้าร้านมันเขียนบอกราคาว่า 4 ริงกิต
ผมจ่ายไป 5 ริงกิต แต่แม่ค้าไม่มาทอน ก็ไม่รู้ว่าตกลงมันราคาเท่าไรกันแน่
สุดท้ายเดินออกมาจากร้านอย่างเงียบๆ คิดซะว่าอีก 1 ริงกิต คิดเพิ่มในราคาชาวต่างชาติ ฮ่าๆๆ
เวลาทุ่มสองทุ่ม ร้านค้าต่างๆริมถนนก็ปิดกันเกือบหมดแล้วครับ
เหลืออยู่แค่บางร้าน และร้านอาหารที่ยังคงเปิดอยู่
แต่รถเมล์ที่นี่ยังคงวิ่งจนถึง ห้าทุ่ม เที่ยงคืนครับ
ก่อนกลับที่พัก ก็จัดไปหนึ่งกระป๋องแก้กระหาย
เล่นเอาจุก เดินแทบไม่ไหว ฮ่าๆๆ
11 สิงหาคม 2558
เช้านี้ฝนตกตั้งแต่ตี 5 จนถึงสิบโมงก็ยังไม่หยุดตก
ผมก็ได้แต่นอนเล่นอยู่แต่ในที่พัก
สุดท้ายทนพิษความหิวไม่ไหว เลยใส่เสื้อกันฝนเดินออกไปหาของกิน
เดินไปไม่ไกลจากที่พัก เจอร้านขายโรตี สั่งไปมั่วๆ ได้เจ้านี่มา
มันคือโรตี + แกงกระหรี่ไก่ น่ากินมากกก
จำได้ว่าโรตีแบบนี้ เคยกินครั้งนึงตอนไปสิงคโปร์ แต่จำไม่ได้ว่ารสชาติเหมือนกันหรือเปล่า
แต่ความเหมือนกันของโรตีที่ปีนังและสิงคโปร์ ที่ผมจำได้ คือ
กินแรกๆมันจะอร่อยครับ พอถึง ณ จุดๆหนึ่ง มันจะเลี่ยนครับ เลี่ยนมากๆ
และก็อิ่มมากๆด้วย แต่สุดท้าย ด้วยความเสียดาย ผมก็ยัดลงท้องจนหมดครับ
สนนราคาจ่ายไปทั้งหมดเกือบๆ 100 บาท รวมไมโลอีกหนึ่งแก้ว
ดูเขาสิครับ นั่งกินไม่สนใจใคร 5555555555555
ไม่รู้ว่าหลายๆคนเป็นเหมือนกับผมหรือเปล่า คือเมื่อไรที่กินอิ่มมากๆ
หลังจากนั้นมันจะรู้สึกง่วง (ปกติก็ง่วงทุกเวลาอยู่แล้วปะ 5555 )
ผมสันนิษฐานว่าร่างกายมันดึงพลังงานไปใช้ในการย่อยค่อนข้างมาก เลยทำให้ง่วง
เอาล่ะ หลังจากหนังท้องตึง หนังตาหย่อน ผมก็เดินกลับที่พักอย่างเอื่อยเฉื่อย
เพราะถ้าเดินเร็วมันจะจุก
ถึงที่พักก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าจากการทานโรตี 55555
หลับไปเนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่รอเธอ ฉันจำไมได้ (เดี๋ยวๆ นั่นมันเพลงงมงาย )
ตื่นมาอีกทีก็ช่วงบ่ายๆเย็นๆแล้วครับ เลยออกมาเดินเล่น
คลายความเมื่อยล้าจากการนอนซะหน่อย
ในเมือง George Town ส่วนมากจะเป็นถนน One way ทำให้งงต่อการนั่งรถเมล์มากๆ
คือมันวิ่งไปทางนี้ แต่ขากลับมันกลับอีกทาง หรือจะเรียกว่าวิ่งเป็นวงกลมก็ได้
แล้วถ้าดูแผนที่นี่ก็งงใหญ่ ไม่รู้ว่าถนนไหน รถวิ่งไปทางไหนกันแน่
วิธีการที่ง่ายที่สุดคือใช้เจ้า Google Maps นำทาง
มันจะบอกเลยว่าถ้าจะไปจุดนี้ต้องเดินไปตรงไหน นั่งรถเมล์สายอะไร
แล้วครั้งนี้ผมไม่ได้ซื้อซิม เจ้า Google Maps เลยใช้ไมได้ สุดท้ายเลย ทำได้แค่เดินเล่นไปเรื่อยๆ
ดูสิฮะ นี่ยังไม่ทันมืดเลย ร้านรวงปิดเงียบกันหมดแล้ว ผมนี่ไม่เข้าใจคนปีนังเลยจริงๆ
ผมชอบตึกสีนี้มากเลย มันดูโดดเด่น ดูเริ่ด ดูมีออร่า คือมันมองเห็นมาแต่ไกลอะ
และแล้วก็เดินมาถึง Chulia Street ที่เดิม กะจะมาหาของกินนั่นแหละ
เห็นเจ๊ร้านนี้ทำอะไรก็ไม่รู้ ดูน่ากินเชียว มีใส่ไข่ด้วย
ราคาก็ไม่แพง จัด Chicken Egg ไป 1 ห่อ
แกะห่อออกมา จิ้มๆๆ ยัดเข้าปาก คำแรกเท่านั้นแหละครับ
.
.
นี่มันอะไรวะเนี่ยยย
คือมันเป็นแป้งก้อนๆ ผัดกับไข่ รสชาติเค็มๆ แถมยังเลี่ยนอีกด้วย
รสชาติไม่ได้เรื่องเลยครับ บอกตรงๆ 555555
สุดท้าย ผมฝืนกินไปได้แค่ครึ่งห่อ ที่เหลือทิ้งครับ ไม่ไหวจริงๆ
กินเสร็จก็รีบกลับที่พักครับ เวลาค่อนข้างเย็นแล้ว รีบกลับไปเก็บของ ยัดใส่กระเป๋า
คืนนี้ผมมีแผนจะนอนสนามบินปีนัง เพราะพรุ่งนี้ต้องบินไฟท์เช้า เวลา 6 โมงกว่าๆ
รถเมล์ตอนเช้าก็น่าจะไปไม่ทัน เลยทำให้ต้องนอนสนามบิน
ผมออกจากที่พักตอน 2 ทุ่ม เดินไปตึก Komtar นั่งรถเมล์สาย 401E เพื่อไปยังสนามบิน
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบินครับ
บอกตรงๆ ผมไม่ประทับใจเก้าอี้ที่สนามบินปีนังเลยครับ
คือเก้าอี้ทุกตัวของสนามบิน มันมีที่กั้นหมดเลย ทำให้ผมนอนเหยียดขาไม่ได้นั่นเอง
ผมเคยนอนสนามบินมาก็หลายที่ ไม่ว่าจะเป็นดอนเมือง คันไซ นาริตะ
ทุกที่ไม่เคยมีปัญาหเรื่องการนอน แต่เพิ่งมาเจอปัญหากับการนอนสนามบินที่นี่แหละครับ
ทำให้คืนนั้นผมแทบจะไม่ได้นอนเลยครับ เสียใจ กระซิกๆ
12 สิงหาคม 2558
เรื่องไม่ได้นอนไม่ใช่ปัญหาของผมอยู่แล้ว ผมถือว่ามันเป็นเพียงปัญหาอันน้อยนิด
เมื่อเทียบกับปัญหาที่กำลังจะต้องไปเจอที่อินโดนีเซีย ฮ่าๆๆ
หลับๆตื่นๆ จนถึงเวลาตี 5 ก็เดินเข้าเกทเพื่อไปรอขึ้นเครื่องครับ
เวลา 6.50 น. ก็ได้เวลาทะยานขึ้นท้องฟ้า โบกมือลาเมืองปีนัง
สำหรับผม เมืองปีนังไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบเที่ยวแนวธรรมชาติมากกว่า
เลยทำให้การเที่ยวปีนังครั้งนี้ ไม่ค่อยประทับใจเท่าที่ควร
พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้วว สวยงามมากกๆๆๆ
ผมมาถึงสนามบิน KLIA2 ที่กัวลาลัมเปอร์ เวลา 7.50 น. ก่อนจะเดินไปที่เกทอีกรอบ
เพื่อรอต่อเครื่องไปยัง Yogyakarta เวลา 9.45 น.
ตั้งแต่เย็นเมื่อวาน นอกจากนมแล้ว ผมก็แทบจะไม่ได้กินอะไรเลย ทำให้เช้านี้หิวมากๆ
พอขึ้นเครื่องเพื่อไปยังยอกยาการ์ตา ผมคิดว่าจะสั่งอาหารมาทานสักเมนู
แต่สุดท้าย ด้วยความเสียดายตัง ก็นำใบเมนูอาหาร ยัดใส่กระเป๋าหน้าที่นั่งเหมือนเดิม
และแล้วก็บินมาถึง Yogyakarta เวลา เกือบเที่ยง สนามบินเค้าเล็กมาก
เจอตม. ถามนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร
ตม. : How long do you stay?
ผม : นึกในใจว่า 14 วัน ก่อนจะตอบไปว่า Fourty
ตม. : ทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะย้ำกลับมาว่า Fourteen?
ผม : เยๆๆ โฟร์ทีนๆๆ
ตม. : น่าจะถามประมาณว่า ไหนวีซ่าล่ะ ?
ผม : เอ่ออ... ไทยแลนด์ โนวีซ่าๆๆ
ตม. : คุณอยู่ได้ 30 วันนะ ก่อนจะประทับตรา ส่งพาสปอร์ตกลับคืนมา
ตามแผนเลย คือเมื่อมาถึง Yogyakarta ผมจะให้ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ มาส่งรถให้ที่สนามบิน
แต่ทางร้านบอกว่า เมื่อถึง ให้โทรไปบอกเค้า
ผมเลยเดินหาร้านซิมรอบๆสนามบิน ไปเจออยู่ร้านนึง แต่ราคาแพงเอาเรื่องเลย เลยไม่ซื้อ
โชคดีวันนั้นเซฟแผนที่ของร้านเอาไว้ เลยตัดสินใจ ถามพวกแท็กซี่ ว่าจะไปที่ร้านนี้
โดยใช้รถเมล์ จะต้องนั่งรถสายอะไร เค้าก็บอกให้ไปกับเค้าสิ เดี๋ยวพาไปส่ง คิดไม่แพง
ด้วยความงก ผมเลยบอกว่าผมโนมันนี่ ผมจะไปรถเมล์
สุดท้ายเค้าเลยเดินพาผมไปส่งป้ายรถเมล์ในสนามบิน ก็ขอบใจ ขอบคุณกันไป
เดินเข้าไปซื้อตั๋ว เอาแผนที่ให้พนักงานดู บอกจะลงตรงนี้ ต้องนั่งรถสายไหน พนักงานบอกสาย 1A
ก็ซื้อตั๋วไป ราคา 3,500 รูเปีย รอสักพัก รถเมล์ก็มา
เป็นรถคันสีเขียวๆ เล็กกว่ารถเมล์บ้านเรา ขึ้นรถไปเจอพนักงานหนุ่ม
เลยถามย้ำอีกรอบ ว่าคันนี้ผ่านจุดนี้แน่ๆใช่มั้ย ถ้าถึงให้บอกผมด้วย
สุดท้าย พนักงานคนนั้น ลงรถไปก่อนที่จะถึง ก่อนลงก็หันมาบอกผมว่า ให้ผมลงป้ายหน้า
พอผมลงรถปุ้บ ก็เดินตุเลงๆข้ามถนนมาอีกฝั่ง เปิดแผนที่ดู
โอโหห ถ้าจะไปร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ ต้องเดินไปอีก 2 กิโล
โอเค๊ ไม่เป็นไร เดินก็เดิน ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
เดินไปเดินมา มาเจอป้ายรถเมล์
ผมนี่ ช็อค! ทำไมพนักงงานไม่บอกให้ผมลงป้ายนี้ ใกล้กว่ากันตั้งเยอะ ไม่น่าเชื่อพนักงานเลยย
ด้วยความหึกเหิม ผมก็เดินตามแผนที่ ท่ามกลางความร้อนระอุของแสงแดด
ปาดเหงื่อไปสิบแปดรอบ และแล้วผมก็มาถึงร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์
ได้มาเป็นรถเกียร์ธรรมดา ราคาวันละ 60,000 (160 บาท) ผมเช่าทั้งหมด 3 วัน
ระหว่างทางผมเจอร้านขายซิม แต่ก็ไม่ได้เข้าไปซื้อ เลยแว๊นกลับไปดูอีกรอบ
สุดท้าย ได้ซิมอินเทอร์เน็ต เล่นเน็ตได้ 4GB 30 วัน ในราคา 65,000 (172 บาท)
ซึ่งถือว่าถูกมากๆ ถ้าที่ไทยถูกได้เหมือนแบบนี้ก็คงจะดี
ณ ตอนๆนั้นคือหิวมากๆแล้ว ท้องร้องโครกคราก น้ำย่อยนี่ย่อยกระเพาะเป็นอาหารหมดแล้ว
ตั้งแต่เมื่อวานเย็นก็แทบไม่ได้กินอะไรเลย
ผมแว๊นมอเตอร์ไซค์ หาร้านมินิมาร์ท ซื้อขนมปังมากินรองท้อง
และแว๊นไปที่ห้างคาร์ฟู เพื่อซื้อแก๊สกระป๋อง และเสบียง เตรียมไปปีนเขา
กว่าจะซื้อของเสร็จสรรพ เวลาก็ล่วงเลยจนมาถึง 15 นาฬิกา แล้ว
ผมเปิดแอพแผนที่ ให้นำทางไปยังหมู่บ้าน Selo เพื่อไปหาโรงแรมนอนที่นั่น
โดยที่หมู่บ้าน Selo จะตั้งอยู่ระหว่างภูเขาไฟ Merbabu กับ Merapi
และอยู่ใกล้จุดเริ่มต้นเดินขึ้นภูเขาไฟทั้งสองลูก
ผมแว๊นด้วยความเร็วสูง ปรู๊ดปร๊าด แซงซ้าย แซงขวา
ยิ่งเข้าใกล้หมู่บ้าน Selo อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ
ผมเลยต้องจอดรถเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ ไม่งั้นเดี๋ยวชาไปทั้งตัว
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ จาก Yogyakarta
ก็มาถึงหมู่บ้าน Selo จริงๆระยะทางแค่ 50 กว่าโล แต่ใช้เวลาน๊านนาน ที่ช้าไม่ใช่อะไร
เดี๋ยวจอดๆ คือจอดดูแผนที่น่ะครับ ไม่ค่อยมั่นใจในเส้นทาง ต่างบ้านต่างเมืองอะเนอะ 555555
ตามที่หาข้อมูลมา ที่หมู่บ้านนี้จะมี Homestay ชื่อ Ratri Homestay กับ Superman Homestay
ผมแว๊นหาอยู่หลายรอบ วนหาเท่าไรก็หาไม่เจอ อากาศก็หน๊าวหนาว ท้องฟ้าก็มีแต่หมอก
พระอาทิตย์ก็ค่อยๆลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ บรรยากาศช่างอึมครึม แปลกๆพิกลๆ
สุดท้ายก็เจอป้าย Superman Homestay
ได้ห้องพักมาในราคาคืนละ 100,000 (265 บาท)
เป็นห้องเล็กๆ อยู่ภายในบ้าน มีเตียงหนึ่งเตียง ด้านนอกมีห้องน้ำหนึ่งห้อง
โดยรวม เอาไว้นอนก็โอเค แต่ผมว่าราคาสูงไปนิดนะสำหรับคนเดียว หึหึ
(ของรก ไม่ว่ากันเนอะ 5555)
ผมถามเจ้าของที่พักว่า ถ้าผมปีนภูเขาไฟทั้งสองลูกคือ Merbabu และ Merapi โดยไม่จ้างไกด์ จะได้หรือไม่
เค้าก็บอกว่า มันอันตราย และก็เสนอว่าเค้าสามารถหาไกด์ให้ได้ โดยคิดราคา
1,00,000 รูเปีย คือเป็นค่าไกด์ลูกละ 300,000 และค่าเข้าอุทยานอีกลูกละ 200,000
ผมก็บอกไม่เป็นไร ผมไม่มีตัง ก่อนจะเดินกลับห้อง
สักพักเค้าก็มาเคาะประตู บอกว่าจะเก็บเงินค่าห้อง และถามว่าจะไปภูเขาไฟเองใช่มั้ย
ผมก็บอกว่าใช่ เค้าก็บอกว่า งั้นต้องจ่ายค่า Entran Fee ทั้งหมดสี่แสน
ห๊ะ!! อะไรนะ สี่แสน บ้าหรือเปล่า (ผมหาข้อมูลมา ค่าปีนภูเขาไฟแค่สองสามหมื่น)
ผมเลยบอกว่างั้นผมไม่ไปภูเขาไฟแล้ว พรุ่งนี้เช้าผมจะกลับ Yogyakarta
และก็จ่ายค่าห้องไป
คือผมไม่ได้โกรธเค้าหรอกนะ แต่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะมาหลอกเด็กอย่างผมทำไม
เห็นผมเป็นนักท่องเที่ยวมีเงินเยอะงั้นหรอ?
คืนนั้นผมก็เลยกินโจ๊กใส่กุนเชียงในกล่องข้าวซันไลต์ พอประทังชีวิตได้อีกหนึ่งคืน
แค่คืนวันแรกที่มาถึงอินโดนีเซีย ก็เล่นเอาเหนื่อยซะแล้วว เฮ้ออออ...
น้ำที่นี่เย็นมากก น้ำอุ่นก็ไม่มี
ผมเลยต้องใช้หม้อต้มน้ำร้อน เอาไปผสมกับน้ำเย็น เพื่ออาบน้ำ (ฉลาดมั้ยล่ะ 5555)
13 สิงหาคม 2558
ผมตื่นขึ้นมา เดินออกมาหน้าที่พัก ก็ต้องร้อง ว้าววว
โอโหห!! นั่นมันภูเขาไฟจริงๆใช่มั้ย มันอยู่ใกล้แค่นี้เองหรออ
เมื่อวานตอนมาก็ไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะเมฆหมอกบดบังหมดเลย
ผมรีบเก็บของออกจากที่พัก เพื่อที่จะไปปีนภูเขาไฟ
แว๊นไปที่ตลาด ก็เจอชาวบ้านมาจับจ่ายใช้สอย
ผมก็เลยถือโอกาส เข้าไปเดินเล่นซะหน่อย
แต่ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ ส่วนมากจะเป็นพวกผัก ผลไม้ ของกินทั่วๆไป
และผมก็ได้ไข่มาจำนวน 3 ฟอง
ใช่แล้วครับ ผมจะเอามันขึ้นไปต้มกับมาม่ากินบนภูเขาไฟ
(ต้องใช้ความคิดอย่างมาก ว่าจะเก็บยังไงไม่ให้มันแตก)
ออกมาจากตลาด หันไปเจอร้านขายก๋วยเตี๋ยวเขียนว่า "MIE AYAM"
ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดกูเกิ้ลแปลภาษา มันแปลออกมาได้ว่า "ก๋วยเตี๋ยวไก่"
แล้วก็ให้กูเกิ้ลแปลภาษามันช่วยออกเสียงการอ่าน ได้ออกมาว่า มี๊ อะยัม
ยังไม่พอ เปิดกูเกิ้ล ค้นหารูปภาพอีก เพื่อให้แน่ใจว่ามันคือก๋วยเตี๋ยวไก่แน่ๆ
ผมเดินเข้าไปสั่ง และนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ
สักพัก แม่ค้ามาเสิร์ฟ ผมถึงกับร้องว้าวววว มันน่ากินมากๆ
เครื่องปรุงที่มีให้คือซอสพริก ซอสมะเขือเทศ และซีอิ๊วหวาน
แน่นอน ผมเลือกซีอิ๊วหวาน เหยาะลงไปนิดหน่อย คนๆให้เข้ากัน
ก่อนจะค่อยๆตักมันเข้าปากด้วยความหิว
รสชาติของมันอร่อยยมาก แบบว่าไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน
มื้อนี้เป็นอาหารอินโดนีเซียมื้อแรกของผม และเป็นมื้อที่ผมประทับใจมันมากที่สุด
กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ โดยวันนี้ผมมีแผนจะปีนขึ้นภูเขาไฟ Merbabu
ผมวนหา Merbabu Basecamp ซึ่งคือจุดเริ่มต้นเดินขึ้นภูเขาไฟ อยู่หลายรอบ
ถามชาวบ้านไปเรื่อยๆ ซึ่งกว่าจะเจอก็เสียเวลาไปเป็นชั่วโมง
โดยเราจะต้องฝากรถมอเตอร์ไซค์ไว้ที่นี่ และเดินขึ้นภูเขาไฟ
ผมเสียค่าจอดรถไป 5,000 รูเปีย (13 บาท)
การเดินทางไปยังจุดเริ่มต้นเดินขึ้นภูเขาไฟ Merbabu
เข้า Google Maps แล้วพิมค้นหา ว่า " BC Merbabu Selo "
จุดนี้คือจุดเริ่มเดินขึ้นครับ เราจะต้องฝากรถไว้ที่นี่
จากหมู่บ้าน Selo จะต้องขับขึ้นเขามานิดหน่อย เป็นทางชาวบ้านๆ
สภาพถนนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ
ผมจัดการแบ่งของที่ไม่จำเป็นใส่กระเป๋าสำรอง แล้วเก็บไว้ที่รถ
แล้วมุ่งหน้า เดินขึ้นสู่ภูเขาไฟ Merbabu
ผมไม่รู้หรอกว่าข้างบนมันมีอะไร ผมไม่รู้ว่าข้างบน ของจริงมันจะสวยแค่ไหน
ตอนแรกผมตั้งใจมาปีนภูเขาไฟ Merapi แต่เปิดแผนที่มาเจอ Merbabu อยู่ใกล้ๆกัน
ก็เลยเลือกที่จะมา Merbabu ก่อน
ผมเดินเข้า ไม่มีการเก็บค่า Entran Fee ใดๆ ตาลุงเจ้าของที่พักคนนั้นหลอกผมม หึหึ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการปีนเขาที่แสนทรมาน
ทางช่วงแรกก็เป็นเนินดินแล้วครับ เรียกได้ว่าเหนื่อยตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว
ทางส่วนมากจะเป็นดินฝุ่น ทำให้ลื่น และฝุ่นยังฟุ้งไปทั่วอีกด้วย
บอกเลยว่า เหนื่อยครับ เหนื่อยมากด้วย บางช่วงเป็นดินลื่นๆ และชัน ทำให้เดินได้ช้ามาก
ก้าวยาวก็เหนื่อย ก้าวสั้นก็ช้า
ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากจุดเริ่มต้น หยุดพักนิดๆหน่อยๆ
และแล้วก็เดินมาถึง Pos ll
ที่เห็นยอดเขาด้านหลัง ยังไม่ใช่จุดสูงสุดนะครับ นี่พึ่งเดินมาได้แค่ครึ่งทาง 55555
ตอนแรกผมนึกว่ายอดเขาอยู่อีกไม่ไกล เห็นมีคนกางเต้นท์ด้วย คืนนี้เลยจะนอนที่จุดนี้
ผมเดินวนหาต้นไม้เพื่อผูกเปล อยู่เกือบชั่วโมง แต่ก็หาไม่ได้เลย
เพราะมันเป็นต้นไม้เตี้ยๆ กิ่งของมันช่างบอบบาง ซึ่งใช้ผูกเปลไม่ได้
เลยตัดสินใจ ฮึดด สู้! เดินขึ้นต่อ
เห็นทางเล็กๆนั่นมั้ยครับ สุดยอดของความลื่น
ผมเห็นคนลื่นไถลไปกับพื้น เปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว หลายคนเลยล่ะ 555555
ล้มลุกคลานคลาน เปื้อนฝุ่นทั้งตัว ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง จาก Pos ll
และแล้วก็มาถึง Sabana l หอบแห่กๆๆๆ ขาสั่นผึบผับ
จากจุดนี้จะเห็นยอดเขาสูงๆอยู่ด้านหน้าครับ ซึ่งจุดสูงสุดจะอยู่ที่ยอดด้านหลังนู้นนน
ผมเลยตัดสินใจว่าคืนนี้จะนอนบริเวณนี้ เพราะเดินต่อไม่ไหวแล้วครับ
คือขามันสั่นน่ะครับ ไม่รู้เป็นอะไร แถมยังปวดอีกด้วย
ตั้งแต่เช้าหลังจากกินก๋วยเตี๋ยว ก็ยังไม่ได้กินอะไรอีกเลย นอกจากน้ำ
ผมไม่รอช้า รีบหาต้นไม้ผูกเปล หลายคนอาจจะสงสัย ทำไมต้องผูกสองเปล
คือเปลนึงเอาไว้วางเป้ (กลัวเปื้อน) อีกเปลนึงเอาไว้นอนน่ะครับ (ฉลาดมั้ย 55555)
ด้วยความหิวโซ บวกกับความเหนื่อยล้า จากการเดินขึ้นเขามาเป็นเวลากว่า 5-6 ชั่วโมง
ผมทำโจ๊กกินเช่นเดิม จริงๆเริ่มเบื่อแล้ว แต่ก็ต้องฝืนกิน เพื่อเติมพลังงานให้ร่างกาย
ผมถือว่าครั้งนี้ผมโชคดีมากๆ ที่ไม่ป่วยเหมือนตอนไปเดินขึ้นภูสอยดาวคนเดียวปีที่แล้ว
ตอนนั้นผมไข้ขึ้น กินอะไรไม่ลง ปวดหัวตัวร้อนแบบสุดๆ
ตอนนั้นนอกจากอาการปวดขาแล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
กินอิ่มแล้วก็ออกมาเดินเล่นครับ บริเวณแถวนี้จะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาซะส่วนใหญ่ครับ
ช่วงที่ผมไปเป็นหญ้าแห้งๆ ไม่แน่ใจว่าถ้ามาฤดูฝน จะเป็นหญ้าเขียวๆรึเปล่า
ช่วงเย็นๆ ก็มีคนเดินลงมาเข้าเต้นท์ที่ถูกกางไว้ ซึ่งอยู่กับใกล้ๆกับเปลของผม
เค้ามากัน 5 คน มีคนนึงพูดอังกฤษได้ ก็เลยเดินเข้ามาคุยกับผม
ผมบอกผมมาคนเดียว คุยกันไปกันมา (จริงๆก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก)
สักพัก เค้าเดินเอาน้ำที่เหลือประมาณครึ่งขวดใหญ่ มาให้ผมครับ เค้าบอกให้เก็บเอาไว้กิน
ตอนนั้นผมทั้งดีใจ ทั้งเกรงใจ และรู้สึกขอบคุณพี่เค้ามากๆ คือน้ำที่ผมแบกมา 2 ขวดใหญ่
ตอนนั้นมันเหลือเพียงขวดเดียวแล้ว
(ช่วงเช้าตอนที่ผมเดินขึ้นก็มีคนที่กำลังเดินลง มาขอน้ำผมกิน 2 คน ผมก็ให้เค้ากินไป
พอมาตอนนี้มีคนให้ผมบ้าง ผมเชื่อในคำพูดนี้เลยครับ ว่า " ยิ่งให้ ยิ่งได้ " )
แถมตอนเย็น พี่เค้าชวนผมไปกินมาม่าด้วยกันในเต้นท์
เป็นครั้งแรกที่ผมประทับใจคนอินโดนีเซียมากๆ ทั้งใจดีและมีน้ำใจ
จึงขอพี่เค้าชักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก 555555
ตอนมืดค่ำ พี่เค้าก็เก็บเต้นท์กัน บอกผมว่าจะเดินลงไปนอนที่ Pos l ด้านล่าง
และตอนนั้นมีกลุ่มใหม่กำลังเดินมาถึงพอดี อายุน่าจะใกล้เคียงกับผม
พี่เค้าเดินไปคุยกับกลุ่มใหม่ที่มา เป็นภาษาอินโด ซึ่งผมเดา
น่าจะคุยว่าให้คืนนี้ผมไปนอนในเต้นท์ด้วย เพราะเห็นผมมีแค่เปลบางๆ
และเราก็ล่ำลากันครับ หลังจากนั้นผมก็เดินเข้าไปคุยกับกลุ่มใหม่
เค้าก็ไม่เก่งอังกฤษ ผมก็ไม่เก่งอังกฤษ คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็พอไปวัดไปวาได้
พอเค้ากางเต้นท์เสร็จ ก็บอกให้ผมไปเก็บเปล มานอนข้างในกับเค้า
ตอนแรกผมก็บอกไม่เป็นไร ไม่ต้องก็ได้ แต่เค้าก็ยืนยันว่าต้องมานอนกับเค้า
สุดท้ายผมเก็บเปลเก็บของ เข้าเต้นท์ คืนนั้นเราทำมาม่ากินกันครับ
ผมให้ไข่เค้าไป 2 ฟอง เค้าก็ทำมาม่าให้ผมกิน ถือว่าแลกกันเนอะ
กินเสร็จก็นอนเลยครับ
ผมนอนไปได้ประมาณ 10 นาที
สรุป นอนไม่ได้ครับ อึดอัดมาก พลิกซ้ายพลิกขวาก็ไม่ได้
คือนอนกันทั้งหมด 5 คน ในเต้นท์หลังเดียว แถมยังมีคนตัวใหญ่ด้วย
ผมเลยบอกกับพวกเค้าว่าผมนอนไม่ได้ ผมจะออกไปผูกเปลนอน เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไร
และแล้วผมก็ได้ผูกเปลนอนสมใจอยาก บอกเลยว่า ลมแรง และหนาวสุดๆ
เป็นคืนที่ทรมานมาก ถุงนอนที่เตรียมมาไม่ได้ช่วยให้คลายหนาวเลย
ด้วยความที่ลมพัดมา ทำให้เปลเย็น และความเย็นนั้นก็แผ่ซ่านเข้ามาที่ถุงนอน
ทำให้ตัวผมเย็นไปด้วย ผมนอนสั่นทั้งตัว เสียงฟันกระทบกันดังกึกๆ
คืนนั้นผมนอนหลับๆตื่นๆทั้งคืน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาหลายรอบ
ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาเช้าซะที
ผมตื่นขึ้นมาตอนตี 4 ด้วยความหิว เลยต้มน้ำร้อน ชงโอวัลตินกินกับขนมปัง
หลังจากนั้น ตอนตี 5 ผมตัดสินใจ เดินขึ้นยอดเขา เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น
แต่เดินขึ้นได้ไม่นาน แสงของวันใหม่ ก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า
แสงของพระอาทิตย์ค่อยๆโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ มันค่อยๆสาดส่องไปทั่วพื้นดิน
ยอดเขา Merbabu ก็ค่อยๆโผล่ขึ้นมาให้เห็น
พอกลับหันหลัง เอ้ย กลับหลังหัน เอ้ย ถูกแล้ว ก็จะพบเจอกับยอดเขา Merapi
มันสวยงาม และยิ่งใหญ่มากๆ ถ้าได้ไปยืนอยู่บนนั้น ก็จะได้เห็นจุดที่นั่งอยู่จุดนี้สินะ
ตอนนั้นผมถอดใจแล้วครับ คิดว่าถึงแค่จุดนี้ก็น่าจะพอแล้ว แล้วก็เหนื่อยด้วย
แต่อยู่ดีๆความคิดหนึ่งก็แว๊บเข้ามา มันบอกว่า ไหนๆก็มาแล้ว ก็ไปให้ถึงยอดเลยสิ
ผมเลยตัดสินใจ เดินขึ้นยอดเขา Merbabu ต่อ
ทางขึ้นยอดเขา ชันและลื่นกว่าเดิม ต้องใช้พละกำลังเป็นอย่างมาก
เดินขึ้นได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดพักเหนื่อย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังไม่ถึงซะที
ผมต้องใช้ขาตั้งกล้อง เป็นไม้เท้า คอยช่วยประคองขึ้นไปเรื่อยๆ
ผมเห็นคนกำลังยืนโบกธงอยู่ ผมใกล้ถึงยอดเขาแล้ววว ....
ในที่สุดดดดด... ก็มาถึงยอดเขาซะที มองย้อนกลับลงไป ผมก็คิด
นี่เราขึ้นมาถึงจุดจุดนี้ได้ไงเนี่ยย ระยะทางไม่ถึง 6 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาขึ้นเป็นวันๆ
ขึ้นมายังล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงตอนลงเลยจริงๆ เฮ้ออ....
มองออกไปรอบๆก็เห็นภูเขาไฟอีกหลายๆลูก
ความสูงของยอดภูเขาไฟ Merbabu คือ 3,142 เมตร จากระดับน้ำทะเล
และหมู่บ้าน Selo ที่เราเริ่มเดินขึ้นมา สูงประมาณ 1,500 เมตร
ซึ่งภูเขาไฟ Merbabu เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว
ขอถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ว่าครั้งนึง เคยพิชิตภูเขาไฟ Merbabu
จากจุดยอด ผมเห็นทางเดินลงอยู่หลายเส้นทาง ซึ่งนั่นแสดงว่า
เราสามารถเดินขึ้น Merbabu จากเส้นทางอื่นๆอีกได้นอกจากหมู่บ้าน Selo
ซึ่งใครสนใจก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ
ผมใช้เวลาชมทรรศนียภาพอยู่บนยอดเขาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ค่อยๆเดินลง
ตอนขึ้นว่ายากแล้ว ตอนลงนี่แหละสุดๆ ทั้งชันทั้งลื่น ต้องใช้ปลายเท้าจิกพื้นดิน ไม่ให้ไถล
บางครั้งมันลื่นซะจนเกือบจะหงายหลังเลยทีเดียว
ขาลงไม่เหนื่อยมากครับ แต่จะเจ็บเท้าและปวดขามากกว่า
ขาขึ้นใช้เวลานาน แต่ขาลงแปปเดียวก็ลงมาถึงจุดที่ผูกเปลนอนเมื่อคืนแล้วครับ
ลาก่อน ยอดเขา Merbabu หวังว่าเราจะได้กลับมาพบกันใหม่
หลังจากลงมาจากยอดเขา ผมก็ทำโจ๊กกิน และรีบเก็บของเตรียมเดินลงไปที่หมู่บ้าน
ขาลงง่ายครับ กะจังหวะดีๆ หาจุดที่เหยียบแล้วไม่ลื่น
ผมเห็นคนลื่นสไลด์หลายคนมาก แต่ผมมีวิชาตัวเบา ลื่นแต่ไม่ล้ม ฮ่าๆๆ
ลงมาจนถึง Pos ll แวะพักถ่ายรูปสัก 5 นาที ก่อนจะเดินลงต่อ
อากาศเริ่มร้อนครับ เลยต้องถอดแจ็คเก็ตออก
ขาลงเจอคนกำลังเดินขึ้นหลายกลุ่มเลยครับ ก็พยักหน้าทักทายกันไป
หลายคนทักผมเป็นภาษาอินโด ก็ไม่รู้จะตอบกลับยังไง
ในรูปนี่ใกล้จะถึงแล้ววว ดีใจจนร้องตะโกนนในใจ
ในที่สุดดด ผมก็กลับมาถึงจุดเริ่มต้น ใช้เวลาจาก Sabana l ประมาณ 2 ชั่วโมง
คือเริ่มเก็บเปลและเดินลงตอน 9.30 น. มาถึงจุดเริ่มต้น 11.30 น.
ลงรวดเดียว ไม่ได้นั่งพักเลยครับ มียืนพักนิดๆหน่อยๆเป็นบางจุด
ลงมาถึงนี่หมดสภาพเลยครับ ขาสั่นผับๆๆๆๆ ตรงนิ้วเท้าก็บวมเป่งทั้งสองข้าง
ฝุ่นทั้งตัวตั้งแต่เท้าจรดหัว แต่โชคดีที่ไม่มีอาการปวดหัว ตัวร้อนใดๆ
หลังจากนั่งพัก เก็บข้าวของอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็แว๊นรถกลับ Yogyakarta เลยครับ
ตอนแรกกะจะไปปีน Merapi ต่อ แต่สภาพร่างกายไม่ไหวครับ ระบมไปทั้งตัว (ตอนนี้ยังรู้สึกเสียดาย)
ก่อนกลับก็แวะทานก๋วยเตี๋ยวไก่ร้านเดิม รสชาติอร่อยไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
ระหว่างทานก็เข้า Booking หาโรงแรมที่ Yogyakarta
และก็ได้มา 1 คืน คือ EDU Hostels ราคาคืนละ 80,000 (212 บาท )
หลังจากนั้นแว๊นยาวไปโรงแรมเลยครับ ยิ่งเข้าใกล้เมือง รถมอเตอร์ไซค์ยิ่งเยอะ
คือเยอะมากๆๆ ขับที่กรุงเทพว่ายากแล้ว ขับที่นี่ยากกว่า
ถึงที่พัก ล้างเนื้อล้างตัว แล้วก็สลบสไลเลยครับ เพลียมากๆ
ช่วงค่ำๆ ก็ตื่นขึ้นมา อยู่ว่างๆก็เลยออกไปเที่ยวที่ถนน Malioboro
ที่นี่จะคึกคักมากๆ เป็นย่านช้อปปิ้งของเมือง Yogyakarta
ร้านค้า ร้านอาหารมากมาย คนก็เดินกันเต็มสองฝั่งถนน
หลังจากเดินเล่นจนร้านค้าเริ่มปิดกันแล้ว ก็ขับรถกลับที่พัก ก่อนจะจบไปอีกหนึ่งวัน
15 สิงหาคม 2558
เช้านี้ตื่นมาพร้อมกับความขี้เกียจ ไม่รู้จะไปไหน
นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จองตั๋วรถไฟไป Probolinggo ในวันพรุ่งนี้
รถไฟอินโดนีเซีย เราสามารถจองล่วงหน้าผ่านเว็ปได้ที่
www.tiket.com
ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากราคาปกติ ประมาณ 20 บาท
แต่ผมไม่อยากเสียค่าธรรมเนียม เลยเลือกที่จะไปซื้อที่สถานีรถไฟเลย
รถไฟจาก Yogyakarta ไปยัง Probolinggo มีวันละ 2 เที่ยว คือเวลา 7.15 น. และ 8.55 น.
รถไฟจะจอดที่ Yogyakarta ที่สถานี Lempuyangan ครับ
ตอนแรกตั้งใจจะจองเที่ยว 8 โมง เพราะราคาถูกกว่า
แต่พอมาจอง ตั๋วเที่ยว 8 โมง ดันหมด เลยได้เที่ยว 7 โมง มาแทน
ราคา 100,000 รูเปีย (265 บาท) เป็นชั้น Economy ครับ
หลังจากนั้นก็ขับรถกลับที่พัก นอนเล่น พักผ่อน เพราะไม่รู้จะไปไหน
บุโรพุทโธ กับ พรัมบานัน ก็ไม่อยากไป เพราะค่าเข้าแพงเหลือเกิน
แค่ 2 ที่ ค่าเข้าก็พันกว่าบาทแล้ว จริงๆสามารถใช้บัตร ISIC ลดเหลือครึ่งนึงได้
แต่สำหรับผมมันก็แพงอยู่ดี บวกกับผมไม่มีบัตร ISIC ด้วย
เกือบเที่ยง ก็ย้ายที่พัก ไปพักที่ Omah Cilik แทน เพราะจองโฮสเทลนี้ล่วงหน้าจากไทย
ราคาคืนละ 80,000 (212 บาท) รวมอาหารเช้า
โฮลเทลนี้หาค่อนข้างยาก อยู่ในซอยแต่ไม่มีป้ายบอก วนรถหาอยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะเจอ
โดยรวมที่พักก็โอเคนะครับ ราคาถูก มีอาหารเช้าให้
ถึงโฮสเทลก็ส่งข้อความผ่าน BBM ไปบอกร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์ ว่าให้มารับรถที่นี่
เพราะวันนี้ครบกำหนดวันที่ต้องคืนรถแล้ว สักพักเค้าก็ส่งคนมารับรถครับ
หลังจากนั้นก็นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในที่พัก ไม่ได้ไปไหนเลย
ช่วงค่ำๆเลยเดินไปถนน Malioboro อีกรอบ เพราะที่พักนี้อยู่ไม่ไกล ประมาณ 800 เมตร
เดินเล่นไปเรื่อยเปื่อย หาอะไรถูกๆกินตามร้านข้างทาง
สิ่งที่ผมชอบกินเวลามาที่ Malioboro คือ น้ำขิงครับ เค้าจะใส่ ขนมปัง และเครื่องอื่นๆ
คล้ายๆบัวลอยน้ำขิง ร้านน้ำขิงนี่จะมีเต็มเลยครับ ราคาชามละ 10 กว่าบาท
นั่งกินน้ำขิงร้อนๆ มองดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาก็เพลินดีเหมือนกันครับ
แนะนำให้มาลอง
เดินจนสุดถนน ก่อนจะเดินกลับที่พัก
รูปนี้ให้ดูว่าที่อินโด ขี่รถมอเตอร์ไซค์กันเยอะจริงๆ และทุกคนจะใส่หมวกกันน็อคเสมอครับ
นานๆทีจะเจอคนไม่ใส่หมวกกันน็อค คนขับมีวินัย แต่การจราจรนี่ไม่ค่อยได้เรื่องเลยครับ 5555
ผมขอจบรีวิว Part แรกไว้เท่านี้ก่อนนะครับ พอดีทริปนี้ค่อนข้างยาว กลัวจะโหลดช้า เลยแบ่งเป็น 2 Part
Part ต่อไป จะพาไปเที่ยว Bromo, Kawah Ijen และ Bali ครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ
Part 2 ครับ
เข้าไปพูดคุย สอบถามได้นะครับ
https://www.facebook.com/hoyberryz
หรือ Instagram : hoyberry
hoyberry
วันพฤหัสที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.21 น.