สวัสดีครับ
เมื่อเดือนพฤศจิกายน ผมมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นมาครับ
ตอนแรกผมจองไว้ไปซัปโปโรตั้งแต่ Airasia เปิดเส้นทางบินใหม่
แต่ดันมายกเลิกเที่ยวบินซะได้ ทำให้ทริปซัปโปโรล่มไป
และเมื่อตอนเดือนตุลา มีโปรแลกแต้มของ Airasia ออกมา
โดยราคาไปกลับ กรุงเทพ - โอซาก้า ใช้แค่ 500 แต้ม + 46xx บาท เท่านั้น
ประกอบกับเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีพอดี และมีเวลาว่าง ทำให้ผมกดจองอย่างไม่ลังเล
ทริปนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น
เดินทางทั้งหมด 14 วัน 13 คืน ตั้งแต่วันที่ 13-27 พฤศจิกายน 2558
โดยแพลนเที่ยวคร่าวๆไว้ประมาณนี้ครับ
13/11/58 ถึงสนามบิน Kansai 22.40 น. นอนสนามบิน
14/11/58 เที่ยว Koyasan (KTP)
15/11/58 นั่งรถไฟไปเมือง Kanazawa เที่ยวรอบๆเมือง (Takama-Hokuriku Pass)
16/11/58 Shirakawago (Takama-Hokuriku Pass)
17/11/58 เที่ยวหมู่บ้าน Gokayama และ Ainokuraguchi (Takama-Hokuriku Pass)
18/11/58 เที่ยวเมือง Toyama (Takama-Hokuriku Pass)
19/11/58 กลับ Osaka เที่ยว Kyoto (Takama-Hokuriku Pass) (Kyoto City Bus)
20/11/58 เที่ยว Kyoto, Arashiyama (Hankyu Tourist Pass) (Kyoto City Bus)
21/11/58 Minoh Waterfall (Hankyu Tourist Pass)
22/11/58 Himeji , Kobe (KTP)
23/11/58 Nara (KTP)
24/11/58 Arashiyama , Kyoto (KTP)
25/11/58 Kyoto (KTP)
26/11/58 เที่ยว Uji ตอนเย็นเดินทางไปสนามบิน (KTP)
27/11/58 เครื่องออก 00.10 ถึงประเทศไทย ตี4
Pass ที่ใช้ทั้งหมดก็มี
Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass 13,500 Yen (ซื้อจากไทย)
Kanazawa Loob Bus One Day Pass 500 Yen
Kansai Thru Pass 3 Day (KTP) 2 ใบ ใบละ 5,200 Yen
Hankyu Tourist Pass 2 Day 1200 Yen
Kyoto City Bus 2 ใบ ใบละ 500 Yen
ค่าใช้จ่าย
ทริปนี้หมดรวมๆประมาณเกือบๆ 28000 บาทครับ แบ่งออกเป็น
ค่าเครื่องบิน 4620 บาท
ค่าพาส+ค่ารถไฟ 7000 บาท
ค่าที่พัก 13 คืน 7000 บาท
ที่เหลือเป็นค่าอาหาร และค่าเข้าชมอีกประมาณเกือบๆ 9000 บาท
ผมจัดกระเป๋าก่อนเดินทางประมาณวันสองวัน ตื่นเต้นมากก จะได้ไปญี่ปุ่น
ครั้งนี้พยายามเอาของไปให้น้อยที่สุด เพราะว่าไม่ได้ซื้อน้ำหนักกระเป๋ากับสายการบิน (งก)
ไอเทมสำคัญเลยก็คือ รองเท้า เพราะทริปนี้เป็นทริปที่เดินเยอะมากก
ควรจะเลือกรองเท้าที่ใส่แล้วรู้สึกกระชับ เดินสบาย ไม่กัดเท้า
พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลยดีกว่าครับ
ไฟท์ XJ 610 ออกเดินทาง 15.20 น. ถึงสนามบินคันไซประมาณ 22.40 น.
และตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป จะปรับเวลาใหม่
โดยเวลาขาออกเป็น 14.15 น. และถึงสนามบินคันไซ 21.40 น. ซึ่งจะทำให้
สามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
หลังจากอยู่บนเครื่องบินมานานกว่า 5 ชั่วโมง และแล้วก็มาถึงสนามบินคันไซ
ผมเลือกนอนที่สนามบินอีกเช่นเคย เพราะไม่อยากเสียตังค่าโรงแรม (งกอีกแล้ว)
มุมที่สงบที่สุดก็คงจะเป็นข้างๆ Lawson ซึ่งตอนนี้รู้สึกจะไม่ให้นอนในอาคารนี้แล้ว
แต่ให้ไปนอนที่ Aero Plaza แทน ใครจะนอนสนามบินก็ลองหาข้อมูลดูนะครับ
เคาท์เตอร์ Nankai จะเปิดเวลา 5.00 น. ส่วน JR Ticket Office จะเปิดเวลา 5.30 น.
หลังจากหลับๆตื่นๆจนถึงเวลา ตี 5 ผมเลยตัดสินใจ ไปซื้อ Kansai Thru Pass
เพื่อใช้เดินทางเข้าสู่เมืองโอซาก้า แล้วไปเที่ยว Koyasan ในตอนเช้า
ส่วนพาสอื่นๆค่อยไปซื้อตามสถานีรถไฟ เพราะเคาท์เตอร์ที่ขายพาสในสนามบินยังไม่เปิด
ใช้เวลาประมาณเกือบๆชั่วโมงก็มาถึงเมือง Osaka
ผมจองที่พักไว้ที่ Hotel Toyo ราคาคืนละเกือบๆ 500 บาท สภาพห้องก็อย่างที่เห็น
เป็นห้องเล็กๆ มีฟูกสไตล์ญี่ปุ่น และผ้าห่มหนาๆให้หนึ่งผืน (ถ่ายตอนเย็น)
เวลาจะอาบน้ำต้องลงไปที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งจะมีห้องอาบน้ำให้ใช้หลายห้อง
เดินทางสะดวกมาก เพราะอยู่ใกล้สถานีรถไฟ Dobutsuen-mae และ Shin-Imamiya
เดินไม่ถึง 2 นาทีก็ถึงสถานีรภไฟ
เนื่องจากโรงแรมให้เช็คอินตอนบ่าย ผมเลยขอฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรม
น้ำเนิ้มไม่ได้อาบ ก็ตัดสินใจเดินทางไปเที่ยว Koyasan ต่อ
การเดินทางไป Koyasan แนะนำให้ใช้ Kansai Thru Pass เพราะน่าจะประหยัดที่สุดแล้ว
โดยต้องนั่งหลายต่อสักหน่อยครับ ตามรูปเลยยครับ
รถไฟที่ญี่ปุ่นตรงต่อเวลามากๆ โดยเราสามารถใช้เว็ป Hypeydia วางแผนการนั่ง
รถไฟจากบ้านไปได้เลย สะดวกสุดๆ
รถไฟมาแล้วววว ปู๊นๆๆ
ระหว่างทางไป Koyasan วิวสองข้างทางสวยมากก ผ่านหมู่บ้าน ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร
แต่เนื่องจากความเพลีย ผมเลยหลับๆตื่นๆเกือบตลอดทาง
ตื่นมาดูวิวได้ไม่ถึง 10 วิ ก็หลับต่ออีกแล้ว 555555
พอถึงสถานี Hashimoto เราต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟหนึ่งรอบ ไปขึ้นอีกคันหนึ่งแทน
นั่งรถไฟต่อมาอีก 40 นาที ก็จะถึงสถานี Koyasan ซึ่งจะอยู่ในหุบเขา บรรยากาศดีสุดๆ
แต่เราจะต้องนั่งรถรางต่อขึ้นไปด้านบนอีก ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ก็จะถึงด้านบน
เดินออกมาจากสถานี ก็จะเจอลานจอดรถบัสอยู่ด้านหน้าครับ
อากาศหนาวมากกก ลมแรงสุดๆ
ที่สถานีจะมีแผนที่รถบัส และตารางเวลารถบัสแจก อย่าลืมหยิบครับ
Koyasan หรือ โคยะซัง เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่ในจังหวัด Wakayama ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นมรดกโลกแห่งหนึ่ง
เป็นเมืองที่มีอายุเก่าแก่ถึง 1200 ปี และยังเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธ นิกายวัชรยาน
ปัจจุบันที่นี่ยังคงมีวัดอยู่ 117 วัด ที่ยังคงสืบทอดหลักธรรมมาจนถึงปัจจุบัน
โดยผมแนะนำให้เริ่มเที่ยวจาก Daimon ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือสุด แล้วค่อยๆเดินเที่ยวไปเรื่อยๆจนจบที่สุสาน Okunion ทางขวามือสุด
ระยะทางไม่ไกลมาก บรรยากาศดี เดินได้สบายๆครับ
นั่งรถบัสมาไม่นาน ก็ถึง Daimon แล้วครับ
ประตู Daimon เป็นทางเข้าสู่โคยะซังในอดีต และเป็นประตูที่เก่าและสำคัญที่สุด
สร้างขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว ทั้งสองด้านของประตู จะมีเทพ ที่นิยมสร้างไว้เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ตัวเมืองได้
จาก Daimon เราสามารถค่อยๆเดินไปยังวัด Kongobuji ได้
ตลอดสองข้างทางจะเป็นบ้านเรือนที่เรียบง่าย แต่บรรยากาศกลับเงียบเหงา
แทบไม่มีคนเลย
ตอนแรกกะจะมาดูใบไม้แดงที่ Koyasan แต่ก็ต้องผิดหวัง
เพราะใบไม้เริ่มร่วงไปหมดแล้ว เหลือให้ดูเพียงเล็กน้อย
แต่บรรยากาศของที่นี่ดีมากจริงๆ เป็นเมืองที่สงบ ไม่วุ่นวาย
เดินมาจนเจอประตูคล้ายๆที่ Daimon ลองเข้าไปเดินเล่นกันดูดีกว่า
ภายในบรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้สูงใหญ่อายุเก่าแก่มากมาย
เดินมาจะเจอเจดีย์สไตล์ Pagoda สูง 2 ชั้น ใหญ่โตมากก
สามารถเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในได้
นักท่องเที่ยวที่นี่ไม่ค่อยเยอะมาก ส่วนมากจะเป็นทัวร์มาลงมากกว่า
เดินเที่ยวเรื่อยๆ เพลินๆ
สองข้างทางถนน เต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย ผมชอบมาก
เดินจนมาถึงวัด Kongobuji แต่เนื่องจากถ้าเข้าไปชมภายใน ต้องเสียค่าเข้าชม
เลยคิดว่าเดินต่อเพื่อไปสุสาน Okunoin เลยดีกว่า
ระหว่างทางดันมีฝนตก ยังดีที่เสื้อสามารถกันฝนได้
แต่คนญี่ปุ่นนี่พกร่มกันแทบทุกคนเลย
เดินมาเรื่อยๆประมาณ 20 นาที และแล้วก็เจอทางเข้าสุสาน Okunoin
จริงๆสามารถนั่งเมล์มาได้ แต่ผมไม่ได้รีบร้อนอะไร เลยเลือกที่จะเดินมา
ทางเข้าสุสานจะมีอยู่หลายทาง ผมเข้าทาง Ichinobashi-guchi Bus Stop
และเดินไปจนถึง Gobyo ก่อนจะเดินย้อนกลับมาที่ Okunoin-mae เพื่อนั่งรถบัสกลับ
รวมระยะทางประมาณ 3.2 กิโลเมตร
Okunion เป็นที่ตั้งของสุสานของท่าน Kukai ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธนิกาย Shigon
หรือนิกายวัชรยาน และเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีผู้นับถือมากที่สุดในประวัติศาตร์ของญี่ปุ่น
ที่สุสานแห่งนี้มีหลุมฝังศพกว่า 2 แสนหลุม ตั้งเรียงรายกันอยู่
ภายในมีสุสานมากมาย บรรยากาศเงียบสงบ จนแอบวังเวง
และเป็นสุสานที่แอบน่ารักเล็กน้อย
บางสุสานก็มีการจัดตกแต่งอย่างสวยงาม
เดินมาเรื่อยๆ ผ่านสุสานเก่าแก่มากมาย
ตลอดสองข้างทางจะมีต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุหลายร้อยปีเรียงรายกันอยู่ ร่มรื่นสุดๆ
ด้านในจะมีสุสานของท่าน Kukai แต่ว่าห้ามถ่ายรูป
หลังจากเดินจนสุดทาง ก็ได้เวลาเดินกลับ
เดินไปก็คิดไป ท้ายที่สุดเราก็ต้องจากโลกนี้ไปเหมือนกัน มาตัวเปล่าก็ต้องไปตัวเปล่า
ความสุข ความทุกข์ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราไม่ควรยึดมั่น ถือมั่นอะไรสักอย่าง
ขากลับผมก็นั่งหลับตลอดทางอีกเช่นเคยย ไม่รู้ไปเพลียจากไหนมา
หลังจากกลับจาก Koyasan ผมก็เข้าไปเช็คอินที่โรงแรม และรีบอาบน้ำทันที
เพราะรู้สึกว่าตัวเองเน่ามากก ไม่ได้อาบน้ำมากว่า 30 ชั่วโมง 555555
หลังจากนั้นก็นั่งรถไฟไปที่สถานี Osaka เพื่อนำใบ Exchange Order ไปแลกเป็น
Takayama-Hokuriku Pass ซึ่งจะเปิดใช้เดินทางในวันพรุ่งนี้
ช่วงเย็นมีเวลาว่าง เลยออกมาเดินเล่นแถวๆ Shinsekai ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก
เวลาแค่ 5 โมง ที่นี่ก็เริ่มมืดแล้วครับ แถวๆนี้จะเต็มไปด้วยร้านอาหารต่างๆมากมาย
แต่ฝนดันตกลงมาซะงั้น เลยต้องรีบกลับที่พัก
ช่วงค่ำหลังจากฝนหยุดตก เลยนั่งรถไฟมาเที่ยวที่ Namba
ซึ่งขาช้อป ไม่ควรพลาด เพราะที่ Namba จะมีแหล่งช้อปปิ้ง ที่จะเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ
มากมาย และช่วงกลางคืน ป้ายร้านค้าต่างๆจะเปิดไฟสวยงาม เหมาะแก่การเดินเล่นชิวๆ
มากี่รอบๆ ที่นี่ก็ยังคึกคักเหมือนเช่นเคย
มาถึง Namba สิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยคือถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะยอดฮิต 55555
จาก Dotonbori ผมเดินมาเที่ยวที่ Namba Park ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสถานีรถไฟฟ้า Namba
เป็นสวนลอยฟ้าใจกลางเมือง ยามค่ำคืนจะเปิดไฟที่ประดับอยู่ตามต้นไม้
บรรยากาศเหมาะแก่การมานั่งเล่น เดินเล่น และยังมีห้างสรรพสินค้าให้เดินช้อปปิ้งอีกด้วย
เจ้าสวนลอยฟ้านี่จะมีอยู่หลายชั้นเลยครับ
วิวยามค่ำคืนจาก Namba Park
หลังจากเดินเล่นจนเหนื่อย เมื่อยตุ้ม ก็ได้เวลากลับที่พัก แค่วันแรกก็ทำเอาปวดขาซะแล้ว
15/11/58
ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง รีบอาบน้ำ เก็บข้าวเก็บของ เช็คเอาท์ออกจากที่พัก
และตรงดิ่งไปยังสถานีรถไฟ
วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มเปิดใช้ Takayama-Hokuriku Pass
ผมนั่งรถไฟไปยังสถานี Osaka เพื่อให้ทันรถไฟ Thunderbird ที่จะไปยังเมือง Kanazawa
มาถึงทันเที่ยวแรกเวลา 7.10 น. พอดี
รถไฟไป Kanazawa ระหว่างทางจะวิ่งผ่านเมือง Kyoto,Fukui
ผ่านวิวทุ่งนา ภูเขา สวยๆมากมาย
เวลาเกือบ 10 โมง ก็มาถึงเมือง Kanazawa ที่เมืองนี้อากาศดีมาก ลมเย็น สบายๆ
ถึงสถานีรถไฟปุ้บ ผมก็ตรงไปที่ Office ของ Hokutetsu Bus
เพื่อจองตั๋วรถบัสไป Shirakawago ในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับซื้อ Loop Bus One Day Pass
ซึ่งใช้สำหรับขึ้นรถบัสเที่ยวในเมือง Kanazawa ได้ไม่จำกัดในหนึ่งวัน
ที่พักเมือง Kanazawa ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างสูง
ผมจองห้องพักไว้ที่ Good Neighbors Hostel ราคาคืนละ 846 บาท (แอบแพง)
เป็นโฮสเทลเล็กๆ อยู่ใกล้สถานีรถไฟไม่กี่ร้อยเมตร
ก่อนจะออกไปเที่ยว เลยเดินเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โฮสเทลซะก่อน
วันนี้เป็นวันว่างๆ สบายๆ ตั้งใจไว้ว่าจะเที่ยวรอบๆเมือง Kanazawa ครับ
เริ่มต้นกันด้วยตลาด Omicho Market นั่ง Loop Bus จากสถานีรถไฟมาไม่ไกล
ที่นี่จะเน้นขายอาหารทะเลสดใหม่ ส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปทางปู
ไข่หอยเม่นทะเล แค่เห็นหนามของมันก็ไม่กล้ากินแล้ว 5555
เห็นเค้าว่ารสชาติอร่อย แต่ผมยังไม่เคยลองเหมือนกัน
อาหารที่ปรุงสุกแล้วก็มีให้ซื้อทาน แต่ผมก็ไม่ได้ลองอีกเช่นกัน พลาดมากก
ใช้เวลาเดินเพลินๆประมาณครึ่งชั่วโมงก็ทั่วตลาดแล้วครับ
พ่อค้าคนนี้เห็นผมจะถ่ายรูปหน่อย ยืนเก๊กเท่เลย ฮ่าๆ
หลังจากเดินตลาด Omicho จนทั่ว ก็ออกมารอ Loop Bus เพื่อไป Oyama Shrine ต่อ
นั่งรถบัสมาเพียง 2 ป้ายก็ถึงแล้วครับ และแล้วฝนก็ได้เทลงมา
จากป้ายรถเมล์ เดินไปไม่ไกลก็ถึง Oyama Shrine
ที่นี่เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ไม่มีอะไรมาก เอาจริงๆไม่ต้องมาก็ได้ 55555
ใบไม้ในสวนบริเวณศาลเจ้าเริ่มแดงแล้ว
มีป้ายให้เขียนคำอธิษฐานขอพรจากเทพเจ้า
หลังจากนั้นก็ออกมารอรถบัสอีกรอบ ตั้งใจจะไปที่สวน Kenrokuen
เห็นรถบัสมาก็งงๆ ใช่คันนี้ป่าวว้า ลองดูแล้วกัน
สรุปรถบัสพาออกเมืองไปไกลลมากกก กว่าจะหาทางกลับได้ ใช้เวลาเป็นชั่วโมง
คือรถบัสที่นี่มันจะมีหลายสาย เป็นรถบัสท่องเที่ยว และรถบัสประจำเมือง
เวลาขึ้นต้องดูดีๆครับ ไม่งั้นหลงแน่
กลับมาถึงใจกลางเมือง ฝนก็ยังไม่หยุดตก ยังดีที่ตกไม่แรงมาก
ดูแผนที่ในโทรศัพท์แล้ว สวน Kenroluen เดินไปไม่ไกล เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ
ระหว่างทาง เดินไปเจอถนนอีกเส้น ใบไม้แดงเรียงเป็นแถบๆ บรรยากาศดีมากกก
อากาศก็เย็นสบาย ชิวไปอีกกก
เดินต่อมาจนถึงพิพิธภัณฑ์ 21st Century Museum of Contemporary Art
ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะรูปแบบใหม่ จัดแสดงศิลปะร่วมสมัยแนวทดลอง
งานศิลปะบางส่วนให้ชมฟรี บางส่วนต้องเสียเงินครับ
เสียดาย ผมไม่ได้เข้าไปชม เพราะเห็นว่าคนเยอะมากๆ ยืนเรียงแถวต่อคิวยาวเลย
ผนังโค้งเป็นแม่สี เข้ามาถ่ายรูปได้ สนุกดีครับ
จากพิพิธภัณฑ์ เดินข้ามถนนมาไม่ถึง 100 เมตร ก็จะถึงสวน Kenrokuen
ซึ่งเป็นสวนที่ติด 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
สวนนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Kanazawa ซึ่งใกล้กับปราสาท Kanazawa
เพราะแต่เดิม สวนแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของปราสาท
ในสวนจะมี บ่อน้ำ สระน้ำ ต้นไม้ทั้งเล็ก และใหญ่ มีการจัดสวนตามแบบญี่ปุ่น
ถ้ามาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ก็จะได้เห็นใบไม้แดง สวยสดงดงามเลยทีเดียว
ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชมสวน 310 Yen
สามารถนั่งรถบัสมาจากสถานีรถไฟ Kanazawa ได้เลย โดยลงที่ป้าย Kenrokuen-shita
ที่สวนแห่งนี้จะมีทางเข้า ออก อยู่หลายทาง
หากเข้าทางพิพิธภัณฑ์ เดินเข้ามาก็จะเจอกับสระน้ำ
สวนที่นี่ใหญ่ และกว้างขวางพอสมควร ถ้าเดินเล่นชิวๆ ก็ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ใบไม้ที่นี่กำลังแดงสวยเลยครับ
ถ้าเป็นช่วงปลายเดือนน่าจะร่วงหมดแล้ว หรือถ้ามาช่วงเดือน มกรา กุมภา
ก็มีโอกาสได้เจอหิมะ ซึ่งก็จะสวยไปอีกแบบแน่นอน
Kenrokuen หมายถึง “ปัจจัย 6 ประการ" สาเหตุที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากคุณสมบัติ 6 ประการ
ที่ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่งดงามสมบูรณ์แบบของสวนแห่งนี้
คือ ขนาดใหญ่ สงบ มีลูกเล่น ความเก่าแก่ ทางน้ำไหล และทัศนียภาพจากในสวน
สวนที่นี่สวยมากๆ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงติด 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
เดินเล่น ชมนกชมไม้ ไปเรื่อยๆ เราไม่เหนื่อย เราไม่เมื่อย
วิธีการดูแลรักษากิ่งของต้นสนในสวนคือการผูกเชือกตามกิ่งขึ้นเป็นทรงกรวย
อย่างเป็นระเบียบเพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งไม้หัก และยังทำให้ต้นไม้มีกิ่งที่สวยงามอีกด้วย
เดินเล่นเพลินๆจนถึงเวลา 4 โมงเย็น ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้ถึงมีนักท่องเที่ยวเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ผมเห็นว่าใกล้มืดแล้ว เลยเดินออกจากสวน ไปที่ปราสาท Kanazawa
จากสวน Kenrokuen เดินข้ามถนนมาไม่ไกล ก็จะถึงทางเข้าภายในบริเวณรอบๆ
ปราสาท Kanazawa
ปราสาท Kanazawa นั้นถูกสร้างขึ้นในปี 1583 เพื่อใช้เป็นที่พักของตระกูลคากะ (Kaga)
ในอดีตเคยถูกไฟไหม้หลายต่อหลายครั้ง ทำให้อาคารหลายส่วนเสียหายและพังทลายลง
จึงมีการสร้างขึ้นใหม่ โดยมีต้นแบบมาจากอาคารเดิมก่อนที่จะถูกไฟไหม้
เนื่องจากผมมาถึงค่อนข้างเย็นแล้ว ใกล้ถึงเวลาปิดให้เข้าชม
เลยเดินขึ้นเนินบริเวณข้างปราสาท มาชมวิวด้านบนแทน
เดินเล่นบริเวณรอบๆปราสาท จะถึงเวลา 5 โมงเย็น ซึ่งท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
ก็ได้เวลากลับที่พักไปพักผ่อน
จากปราสาท ผมเดินกลับมาบริเวณถนนเส้นหลัก
ตอนแรกจะรอรถเมล์กลับไปที่สถานีรถไฟ
แต่เห็นว่าบรรยากาศดี ลมเย็นสบาย เลยเดินเล่น ชิวๆ ไปจนถึงตลาด Omicho
แล้วก็ขึ้นรถเมล์กลับไปยังสถานีรถไฟ Kanazawa ก่อนจะเดินกลับไปยังที่พัก
ช่วงกลางคืน นึกขึ้นได้ว่า พรุ่งนี้จะไป Shirakawago และนอนพักอีก 1 คืน
ถ้าแบกกระเป๋าไปด้วย ก็กลัวจะไม่มีที่ฝากกระเป๋า และเกะกะป่าวๆ
เลยคิดว่าจะนั่ง Shinkansen ไปเมือง Toyama
เพื่อฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่โรงแรมล่วงหน้าก่อน 2 วัน
นี่เป็นการขึ้นชินคันเซนครั้งแรกในชีวิต ตื่นเต้นน
เบาะกว้าง นั่งสบาย ใช้เวลาจาก Kanazawa เพียง 23 นาที
ด้วยความเร็วสูงสุด 260 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็มาถึงเมือง Toyama
สรุปพอไปถึงโรงแรมที่ Toyama ดันเข้าโรงแรมไม่ได้
ประตูโรงแรมล็อค ซึ่งต้องใช้กุญแจไข ประตูถึงจะเปิด
เลยต้องเดินนั่งรถไฟกลับเมือง Kanazawa ด้วยความเซ็งเล็กน้อย 55555
และตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่อีกรอบในตอนเช้าตรู่
16/11/58
ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 รีบอาบน้ำ เก็บข้าวเก็บของ
รีบตรงดิ่งไปสถานีรถไฟเพื่อนั่งชินคันเซนไปฝากกระเป๋าที่เมือง Toyama อีกรอบ
ที่ไปแต่เช้าเพราะต้องรีบกลับมาให้ทันรถบัสไป Shirakawago ที่จองไว้เวลา 8.10 น.
สรุปพอไปถึง ประตูโรงแรมก็ยังล็อคอยู่ เข้าไม่ได้ ทำไงดีว้าาาา
เดินไปเดินมาอยู่นาน ตอนแรกจะตัดใจ ไม่ฝากแล้ว
แต่จู่ๆก็มีคนเดินออกมาหยิบของที่หน้าประตู
ผมเลยชิงจังหวะนั้น รีบตามเข้าไป ก่อนที่ประตูจะปิด
เดินขึ้นไปก็เจอล็อบบี้ ที่ปิดประตูอยู่ แต่ว่าไม่ได้ล็อค
เลยเดินเข้าไป เอากระเป๋าวางไว้ และเขียนโน้ตสั่นๆ บอกไว้ว่าอีก 2 วันจะกลับมาเช็คอิน
ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปที่สถานีรถไฟ นั่งชินคันเซนกลับ Kanazawa
เห้อออ เหนื่อยแต่เช้าเลย 55555
และแล้วก็กลับมาถึง Kanazawa ทันเวลาพอดี
ออกมายืนรอประมาณ 10 นาที รถบัสไป Shirakawago ก็มาถึง
ผมจองไว้เที่ยวเช้าสุด เวลา 8.10 น. และนี่คือหน้าตาของตั๋วซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ
พร้อมแล้วก็ขึ้นรถกันเลยดีกว่า
ระหว่างทางจะผ่านภูเขามากมาย โดยจะมีอุโมงค์ลอดผ่านภูเขาตลอด
วิวข้างทางสวยมาก แต่ผมก็หลับเกือบตลอดทาง ไม่รู้ไปทำอะไรมา ถึงเพลียขนาดนี้
จาก Kanazawa ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงหมู่บ้านมรดกโลก Shirakawago
ที่นี่อากาศเย็นสบาย อยู่ท่ามกลางหุบเขา ตอนเช้านักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมาก
หมู่บ้านแห่งนี้มีอายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี ตั้งอยู่บนภูเขาในเขตจังหวัด Gifu
และ Toyama ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู
สิ่งที่ผมชื่นชอบที่สุดก็เป็นรูปทรงของหลังคา ที่มีความชันมากถึง 60 องศากับพื้นดิน
จนดูเหมือนคนพนมมือ
แถมยังทำจากวัสดุที่มาจากธรรมชาติ ดูเรียบง่ายและสวยไปอีกแบบ
เราเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าเป็นรูปแบบกัสโช (Gassho-zukuri)
จากจุดจอดรถบัส เราต้องเดินข้ามสะพาน เพื่อไปยังตัวหมู่บ้าน
วันนี้มีเวลาเที่ยวที่นี่ทั้งวัน ผมเลยเดินเที่ยวไปรอบๆ เข้าซอยนู้น ทะลุซอยนั้น
เรียกได้ว่าเดินมั่วมากๆ ลองถ่ายรูปคู่กับตัวบ้านซะหน่อย คนนี่ดูตัวเล็กไปเลย
หมู่บ้านชิราคาวาโกะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538
ทำให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ขึ้นในพริบตา บ้านเรือนต่างๆกลายเป็น
ร้านขายของที่ระลึก ร้านค้า ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์
ในเดือนมกรา และกุมภา ของทุกปี ที่นี่จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
และจะมีการจัดแสดงไฟ Light Up ที่เป็นการเปิดไฟแสดงแสง สี ในช่วงเวลาค่ำคืน
ส่วนจะมีการเปิดไฟวันไหนบ้าง ลองหาข้อมูลดูนะครับ
เดินไปเจอน้องหมา ไม่รู้ปากเป็นอะไร ลิ้นหอยต่องแต่งอยู่มุมปาก
เจ้าของก็ไม่รู้ไปไหน ปล่อยให้น้องหมานั่งเหงาหงอย โชว์ปิกาจู้อยู่หน้าบ้าน 5555
ที่นี่อากาศดีมาก และแดดก็แรงมากเช่นกัน
นักท่องเที่ยวมาเดินเล่นกันมากมาย
เดินไปเจอต้นเมเปิ้ล กำลังแดงสวยเลย
ที่นี่จะมีจุดชมวิวอยู่บนเนินเขา ที่สามารถมองเห็นหมู่บ้าน Shirakawago จากมุมสูงได้
สามารถเดินจากตัวหมู่บ้านมาได้ ระยะทางไม่ไกล
พอมองจากมุมสูงแล้ว อย่างกับหมู่บ้านในเทพนิยาย
จะเห็นได้เวลาส่วนใหญ่ตัวบ้านจะหันหน้าไปทางเดียวกันตามทิศทางลม
เพื่อช่วยให้บ้านเย็นสบายในฤดูร้อน และสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว
ลงมาจากจุดชมวิว แวะทานไอติมซะหน่อย
ผมใช้เวลาเดินเที่ยวในหมู่บ้านตั้งแต่ 9 โมงครึ่ง จนถึงเกือบๆสี่โมงเย็นก็กลับมารอรถบัส
ตอนนี้ยังงงอยู่เลย ว่าเราทำบ้าอะไรตั้ง 6 ชั่วโมง
ทั้งที่ความจริง ใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงก็เดินทั่วหมู่บ้านแล้ว
คืนนี้ผมจองที่พักไว้ที่ Guest House YAMASHITA-YA ราคาคืนละ 800 กว่าบาท
ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านมรดกโลก Gokayama ห่างจาก Shirakawago ประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร
ตอนแรกนึกว่าบรรยากาศจะคึกคัก ที่ไหนได้ พอนั่งรถบัสมาถึงก็ต้องอึ้ง
บรรยากาศเงียบเหงามาก ไม่มีคนสักกะคน ร้านค้า ร้านอาหารก็ไม่มี
ที่พักที่นี่เป็นบ้านแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เจ้าของที่พักใจดี วันนี้มีผมคนเดียวที่มาพัก
เข้ามาเช็คอิน เจ้าของก็แนะนำร้านอาหารให้ ซึ่งอยู่ไกลออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร
เจ้าของที่พักอาศัยขับรถไปส่งให้ แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปเอง
ภายในห้องนอนเป็นเตียงสองชั้น มีฮีทเตอร์ให้หนึ่งตัว
บริเวณพื้นปูด้วยเสื่อทาทามิ
ทางเดินบริเวณหน้าห้องนอนเป็นพื้นไม้ เดินทีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด
เวลาเดินต้องใส่รองเท้าสำหรับเดินในบ้าน
ส่วนประตูจะเป็นแบบบานเลื่อน ทำจากกรอบไม้หนาๆ คลุมด้วยกระดาษสีขาวขุ่น
อันนี้บริเวณห้องนั่งเล่น มีโต๊ะเตี้ยๆอยู่กลางห้องหนึ่งตัว และหมอนใช้สำหรับรองนั่ง
เคยดูแต่ในการ์ตูนเรื่องโดราเอมอน แต่วันนี้ได้มาสัมผัสของจริง 555555
หลังจากเช็คอิน เก็บข้าวของเรียบร้อย ผมก็เดินไปยังร้านอาหาร
บรรยากาศเงียบเหงามาก ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ทุกบ้านปิดเงียบไร้วี่แววของผู้คน
เดินผ่านร้านขายเนื้อหมีด้วย แต่ราคาค่อนข้างแพง
เลยเดินต่อไปเรื่อยๆเพื่อไปยังร้านที่เจ้าของที่พักแนะนำ
กว่าจะเจอร้านอาหาร ท้องฟ้าก็มืดสนิทพอดี ตอนนั้นคือหิวมากกก ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า
ผมสั่งข้าวเทมปุระกับซุปมาทาน แต่พลาดมากก ตอนแรกนึกว่ากุ้งเทมปุระ
ที่ไหนได้ เป็นแค่ผักชุบแป้งทอด
ที่เมนูเขียนวงเล็บไว้ว่า Vegetable ไอเราก็ไม่ทันคิด นึกว่าเป็นผักเคียงไรงี้ 555555
มื้อนี้หมดไป 750 เยน เป็นมื้อที่แพงที่สุดในทริปเลยก็ว่าได้ 55555
หลังจากกินเสร็จ ก็เดินกลับที่พักท่ามกลางความมืดมิด
คืนนี้นอนหลับสบายครับ ผ้าห่มอุ่น แถมยังมีฮีทเตอร์ให้อีก17/11/58
เช้านี้ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย บรรยากาศรอบๆที่พักดีสุดๆ
มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นวิวภูเขาสวยงาม ถ้ามาช่วงมกรา แถวนี้คงเต็มไปด้วยหิมะ
ผมจิบกาแฟ นั่งชมวิวอยู่สักพัก ก่อนจะรีบเก็บของ และเช็คเอาท์ออกจากที่พัก
เช้านี้มีแพลนจะไปที่ Suganuma Village ซึ่งเป็นหมู่บ้านมรดกโลกอีกแห่ง
อยู่ห่างจากที่พักไปประมาณ 3.5 กิโลมเตร
จริงๆสามารถนั่งรถบัสไปได้ แต่เที่ยวเช้าสุดก็ 9 โมงครึ่งแล้ว
ผมเลยเลือกที่จะเดินชมวิวไปเรื่อยๆในตอนเช้าดีกว่า
เดินไปเรื่อยๆ ผ่านเขื่อนกั้นน้ำ
ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ
ผ่านหุบเขาและแม่น้ำ
ในที่สุดก็เดินมาถึง Suganuma Village
ที่นี่จะมีบ้านสไตล์ Gassho-zukuri เหมือนกับที่ Shirakawago แต่จะมีจำนวนน้อยกว่า
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ นักท่องเที่ยวไม่เยอะมาก
เดินเล่นชมหมู่บ้านกันดีกว่า
บางบ้านใช้พื้นที่หน้าบ้านปลูกต้นไม้
บางบ้านใช้เป็นที่เก็บของ
ส่วนบ้านนี้เปิดเป็นร้านขายของฝาก ของที่ระลึก
ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงก็ทั่วหมู่บ้านแล้ว
แต่กว่ารถบัสจะมาก็เวลาเที่ยง เลยใช้เวลาที่เหลือประมาณชั่วโมงนิดๆ
เดินชมวิว ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย
เดินเล่นจนถึงเวลาเที่ยง ก็ออกมายืนรอรถบัสที่ป้าย
จากหมู่บ้าน Suganuma เราจะไปต่อกันที่ หมู่บ้าน Ainokura
สามารถนั่ง Kaetsuno Bus ที่วิ่งระหว่าง Shin-Takoka กับ Shirakawago ไปได้
Kaetsuno Bus ที่วิ่งระหว่าง Shirakawago กับ Shin-Takaoka นั้น ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า
สามารถยืนรอที่ป้าย และขึ้นรถได้เลย
รถบัสใช้เวลาเพียง 15 นาที ก็มาถึงป้าย Ainokuraguchi
และจากป้าย เราต้องเดินขึ้นเนินขึ้นไปอีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึงหมู่บ้าน Ainokura Village
ที่นี่ถูกแต่งตั้งให้เป็นหมู่บ้านมรดกโลกเช่นเดียวกับหมู่บ้าน Shirakawago
และหมู่บ้าน Suganuma
บรรยากาศเงียบสงบ นักท่องเที่ยวไม่เยอะเหมือนที่ Shirakawago
ที่นี่จะมีพิพิธภัณฑ์อยู่หลายหลัง สามารถเข้าชมได้โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 200-300 Yen
หรือถ้าไม่อยากชมพิพิธภัณฑ์ก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟเล็กๆ ให้นั่งชิวๆชมวิวภูเขาเพลินๆ
หมู่บ้านนี้จะมีขนาดใหญ่กว่า Suganuma หน่อย
บ้านบางหลังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปพัก
ผมเห็นคนไทยลากกระเป๋าเดินทางกันมาหลายคนเลย
ทิวทัศน์รอบหมู่บ้านส่วนใหญ่ก็จะเป็นภูเขา ภูเขา และก็ภูเขา 55555
อากาศเย็นๆ แดดอ่อนๆ เหมาะแก่การนอนหลับซะจริงๆ
คุณยายคนนี้ก็เก่ง นั่งรถบัสมาเที่ยวคนเดียว เดินปร๋อเลยย
หลังจากเดินเล่นได้สักพัก ดูนาฬิกาก็ใกล้ถึงเวลาที่รถบัสไป Shin-Takaoka จะมาแล้ว
เลยค่อยๆเดินลงไปรอที่ป้ายรถบัส และระหว่างยืนรอรถบัสอยู่ ฝนก็ได้โปรยปรายลงมา
ตั้งแต่เมื่อวานที่ไป Shirakawago จนถึงตอนนี้ ยังไม่เจอฝนเลย
แต่พึ่งมาเจอฝนตอนกำลังจะกลับ ถือว่าโชคดีมาก
รถบัสจะขับขึ้นเขามาเรื่อยๆ และจากภูเขาก็ค่อยๆกลายเป็นที่ราบลุ่มธรรมดา
ผ่านท้องทุ่งนามากมาย ฝนก็ตกมาตลอดไม่ขาดสาย
จากหมู่บ้าน Ainokura ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ก็จะมาถึงสถานี Shin-Takaoka
ที่เป็นสถานีรถไฟที่ Shinkansen วิ่งผ่านระหว่างเมือง Kanazawa กับ Toyama
และเมือง Takaoka ก็เป็นบ้านเกิดของนักเขียนการ์ตูนชื่อดัง Mr.Fujiko F Fujio
ที่เขียนการ์ตูนเรื่องโดราเอมอนที่ทุกคนรู้จักนั่นเอง
ผมจองโรงแรมไว้ที่ Weekly Sho Hotel Toyama ราคาคืนละ 500 กว่าบาท
อยู่ใกล้สถานีรถไฟ Toyama เดินเพียง 5 นาทีก็ถึง
ห้องพักสภาพดีมาก มีแอร์ ตู้เย็น โต๊ะทำงาน โคมไฟ แต่ว่าไม่มีห้องน้ำในตัว
โดยต้องขึ้นลิฟต์ไปอาบที่ชั้น 8 ซึ่งจะเป็นห้องน้ำรวม
ถ้าไม่นับเรื่องห้องน้ำ ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามากๆ
เพราะที่พักในบริเวณภูมิภาค Chubu ส่วนใหญ่จะราคาตั้งแต่ 800 บาทขึ้นไป
ถึงโรงแรม หลังจากหาข้าวจากมินิมาร์ทกิน ผมก็สลบไสลไปหลายชั่วโมง
และนี่คือหน้าตาอาหารที่ผมกิน มันคือข้าวผัดกับปลาซาบะนั่นเอง ซื้อมาเวฟกินที่ห้องพัก
ส่วนใหญ่ทริปนี้ก็จะซื้อแบบนี้มากิน เพราะว่าประหยัด มื้อนึงประมาณ 300-400 เยน
และเงินส่วนใหญ่จะหมดไปกับค่าขนมมากกว่า 55555
ตื่นมาอีกที ฝนก็ยังไม่หยุดตก
เช็คพยากรณ์อากาศก็พบว่าที่เมืองนี้จะต้องเจอฝนไปอีกหลายวัน
เพราะฉะนั้น หลับต่อดีกว่า...คร่อก
18/11/58
เช้าวันใหม่ ตื่นขึ้นมา หน้าตาสดใส
วันนี้ตั้งใจว่าจะเดินเที่ยวรอบๆเมือง Toyama และช่วงบ่ายไป Kanazawa
เช้านี้อากาศดี ฝนหยุดตกแล้ว เดินออกมาจากที่พักก็เจอกับลมปะทะเข้ากับหน้า
มันหนาววววมากก
ในเมือง Toyama จะมีรถรางที่วิ่งให้บริการอยู่รอบๆเมือง
เดินมาทางทิศใต้จากสถานีรถไฟ Toyama ก็จะเจอกับปราสาท Toyama
เป็นปราสาทหลังเล็กๆ ส่วนรอบๆปราสาทจะเป็นสวนสาธารณะ
เดินเล่นรอบๆปราสาท จู่ๆฝนก็เทลงมา ความหนาวที่มีอยู่ ก็ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
ทำให้ต้องเข้าไปหลบฝน และหลบหนาวในมินิมาร์ท
พอฝนเริ่มซาลง ก็ออกไปเดินเที่ยวกันต่อ
ผ่านดอกไม้ริมคลอง
ต้นไม้ริมถนน
และคนริมทางเดิน เดี๋ยวๆ นี่มันรูปปั้น
ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอามาตั้งไว้ริมถนนเหมือนกัน แต่ก็ดูเก๋ไก๋ดีเหมือนกันนะครับ ว่ามั้ย 5555
เดินจนไม่รู้จะไปไหนแล้วว แถมยังง่วงมากๆอีกด้วย
เลยคิดว่าเดินกลับไปนอนที่ห้องพักดีกว่า ... หาววว
ช่วงบ่าย ตื่นขึ้นมาฝนก็ยังไม่หยุดตก เลยคิดว่าลองนั่งชินคันเซนไป Kanazawa ดูดีกว่า
เผื่อว่าที่นั่นฝนจะไม่ตกเหมือนที่นี่
สรุปที่ Kanazawa ฝนก็ตกเช่นเดียวกัน เลยฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า
บริเวณสถานีรถไฟ Kanazawa ก่อนจะเดินลุยฝนไปเที่ยวตลาด Omicho อีกรอบ
และเดินกลับสถานีรถไฟ นั่งชินคันเซนกลับที่พัก โดยไม่ได้ถ่ายรูปแม้แต่รูปเดียว 55555
พุดดิ้งอันนี้อร่อยยมาก ราคา 113 เยน มีขายในร้านมินิมาร์ททั่วไป
เนื้อนุ่ม แทบจะละลายในปาก นั่งกินไป ชมวิวบนชินคันเซนไป ฟินสุด 5555
19/11/58
เช้านี้ตั้งใจจะนั่งรถไฟกลับ Osaka เลยตื่นตั้งแต่เช้าตรู่
เพื่อไปให้ทันรถไฟ Thunderbird เที่ยวแรก จะได้มีเวลาเที่ยวทั้งวัน
ถึงโอซาก้า ไม่รอช้า รีบดิ่งตรงไปยังที่พักเพื่อฝากกระเป๋า
ผมจองโรงแรมไว้ที่ Park Inn ราคาคืนละประมาณ 300 บาท จองไว้ทั้งหมด 2 คืน
แต่เมื่อมาถึงที่พัก ก็มีห้องว่างพอดี เลยสามารถเช็คอินได้เลย
ภายในห้องพักมีฟูกญี่ปุ่น พร้อมกันผ้าห่มหนาๆให้อีกหนึ่งผืน
และมีชุดสำหรับอาบน้ำให้อีก 1 ชุด
แน่นอนว่า โรงแรมราคาถูกขนาดนี้ ห้องอาบน้ำก็ต้องเป็นห้องรวม
หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็ออกไปเที่ยวกันต่อ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่สามารถใช้ Takayama Hokuriku Pass ได้อยู่
และสามารถขึ้น Thunderbird ได้ไม่จำกัด
เลยใช้โอกาสนี้ นั่งรถไฟไปเที่ยวเมือง Kyoto
ที่เมืองเกียวโต แนะนำให้ซื้อ Kyoto City Bus Pass ราคาวันละ 500 เยน
ซื้อได้จากคนขับรถบัสหรือที่เคาท์เตอร์หน้าสถานีรถไฟก็ได้
สามารถใช้นั่งรถบัสเที่ยวเมืองเกียวโตได้ไม่จำกัด
เริ่มต้นกันที่วัดน้ำใส หรือวัด Kiyomizu-dera เพราะไม่รู้จะไปไหนดี
วัดนี้เป็นสถานที่ชมใบไม้แดงที่มีชื่อเสียงมากของเมืองเกียวโต
และที่นี่ยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
จากสถานีรถไฟเกียวโต ให้นั่งรถบัสสาย 100 และ 206 ลงที่ป้าย Kiyomizu-michi
และจากป้าย เราต้องเดินขึ้นเนินไปอีกประมาณ 10 นาที
ซึ่งสองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านขนมมากมาย
และแล้วก็เดินมาถึงวัดน้ำใส
ที่นี่นักท่องเที่ยวจะเยอะตลอดทั้งปี เพราะว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองเกียวโต
บริเวณโดยรอยจะพบคนใส่ชุดกิโมโนมากมาย เข้ากับบรรยากาศของวัดได้เป็นอย่างดี
เดินขึ้นบันไดมาและหันหลังกลับไป ก็จะเห็นเมืองเกียวโตจากมุมสูง
ถ้าเข้าชมบริเวณด้านในของวัด จะต้องเสียค่าเข้าชม 300 เยน
แต่เนื่องจากวันที่ผมไป ใบไม้ยังแดงไม่ค่อยเยอะ
เลยคิดว่าค่อยกลับมาเที่ยวที่นี่ในวันท้ายๆดีกว่า เลยไม่ได้เข้าไปชมบริเวณอาคารด้านในวัด
จากวัดน้ำใส ผมนั่งรถเมล์มาแถวๆย่าน Gion
ซื้อขนมจากมินิมาร์ท และก็เดินมานั่งกินบริเวณริมคลอง
ฟังเสียงน้ำไหลไป กินไป บรรยากาศดีสุดๆ
กินเสร็จก็มาเดินเล่นชมเมืองไปเรื่อยๆ
เดินมาที่ย่าน Kawaramachi
เดินผ่านถนนช้อปปิ้ง Teramachi เลยเข้ามาเดินเล่นสักหน่อย
ตลอดสองข้างทางจะมีร้านค้า ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหารมากมาย
เดินเล่นจนมาโผล่อีกถนนหนึ่ง ตั้งใจจะนั่งรถบัสไป Heian Shirne
แต่ว่าหาป้ายรถบัสไม่เจอ เลยคิดว่าเดินไปเลยละกัน ง่ายดี
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็เดินมาเจอ เสา Torii ขนาดใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า
เดินต่อไปอีก 100 เมตรก็ถึง Heian Shrine แล้ว
เจอเด็กๆมาทัศนศึกษาเยอะมากก ปีก่อนที่เคยมานี่แทบไม่มีคน
ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในโอกาสครบรอบ 1100 ปีของเมืองเกียวโต
บริเวณด้านหลังของศาลเจ้า จะมีสวนขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากผมมาเย็นแล้ว
เลยไม่ได้เข้าไปเดินเที่ยวชม
เดินเที่ยวศาลเจ้า Heian จนทั่ว ก็นั่งรถเมล์กลับมาที่ย่าน Gion อีกรอบ
ที่ Gion จะมีถนนอยู่เส้นนึง ที่บ้านเรือนจะเป็นอาคารไม้แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม
บรรยากาศดี เหมาะแก่การมาเดินเล่นถ่ายรูปชิวๆ
สองข้างทางส่วนใหญ่จะเป็นร้านชา และร้านของที่ระลึก
เดินเล่นย่าน Gion จนทั่ว ก็ไม่รู้จะไปไหนดี
จำได้ว่าปีที่แล้วเคยไปเดินเล่นที่ Fushimi Inari ในช่วงเวลากลางคืน
แต่ว่าไม่ได้ขึ้นไปถึงข้างบนสุด งั้นวันนี้ไปเดินขึ้นอีกรอบแล้วกัน
จาก Gion นั่งรถเมล์ไปลงแถวๆสถานีรถไฟ Tofukuji
และต่อรถบัสสาย 5 เพื่อไปยัง Fushimi Inari
วิธีที่สะดวกที่สุดในการมา Fushimi Inari คือนั่งรถไฟของ JR มาครับ
ลงสถานี Inari ก็เจอทางเข้าเลย
แต่ผมไม่อยากเสียตังค่ารถไฟ เลยนั่งรถบัสมา
ถึงแล้ววว ลุยกันเลยดีกว่า
Fushimi Inari หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า ศาลเจ้าจิ้งจอก
มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากเสาโทริอิ (Torii) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงกันเป็นจำนวนหลาย
หมื่นต้นจนทั่วทั้งภูเขา Inari ศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่ คาดว่าถูกสร้างมาประมาณ
1000 กว่าปีแล้ว
ทางเดินขึ้นบริเวณด้านบนจะเต็มไปด้วยเสาโทริอิ
ระยะทางรวมแล้วประมาณ 5 กิโลเมตร วนเป็นวงกลม ใช้เวลาเดินประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ตอนกลางคืนบรรยากาศแอบน่ากลัว ทางเดินบางช่วงก็ไม่มีไฟ
ช่วงประมาณ 1 กิโลเมตรแรก จะมีจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นเมืองเกียวโตได้
คนส่วนใหญ่มักจะขึ้นมาถึงแค่จุดนี้ แล้วก็เดินลง
เพราะเดินขึ้นไปด้านบนก็ไม่ค่อยมีอะไรต่างจากเดิมมาก
แต่วันนี้ผมมีเวลาเยอะ เลยลองเดินขึ้นไปดูดีกว่า
ทางเดินจะเป็นทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆ มีศาลเจ้าเยอะแยะมากมาย
ครั้งนี้ผมเดินขึ้นตาม สาวๆญี่ปุ่น เค้าตะโกนคุยกันตลอดทาง
ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไรครับ 55555
และแล้วก็ขึ้นมาถึงด้านบน เหนื่อยพอสมควรเลยครับ
ด้านบนก็ไม่มีอะไรมาก เป็นศาลเจ้า และก็มีเสาโทริอิเล็กๆเต็มไปหมดเลย
ใครที่อยากเดินเล่น ท่ามกลางบรรยากาศหลอนๆ น่ากลัวๆ
ลองมาเดินที่ Fushimi Inari ในช่วงเวลากลางคืนดูนะครับ
อากาศเย็นสบาย ได้คิดอะไรเพลินๆ
ก่อนกลับแวะถ่ายรูปซะหน่อยย
แต่ก็ต้องตกใจ เห็นเป็นเงาใครยืนอยู่ก็ไม่รู้
^
^
ล้อเล่นนะครับ เงาผมเอง 555555555
นั่งรถเมล์กลับมาที่สถานีเกียวโต ก่อนจะนั่งรถไฟกลับ Osaka
หิวและง่วงนอนสุดๆ
20/11/59
เช้าวันใหม่ อากาศหนาวๆ ทำให้ไม่อยากลุกออกจากที่นอนเลยสักนิดด
วันนี้ผมเปิดใช้ Hankyu Tourist Pass เป็นวันแรก
ซึ่งสามารถใช้นั่งรถไฟสาย Hankyu ได้ไม่จำกัด
แต่สถานีต้นทางที่ Osaka คือสถานี Umeda ทำให้ต้องเสียค่ารถไฟไปสถานี Umeda
อีกนิดหน่อย แต่ก็ถือว่ายังคุ้มอยู่ดี
ผมนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Kawaramachi ใจกลางเมือง Kyoto
แดดอ่อนๆ ลมอ่อนๆ ยิ้มอ่อนๆ ชิวดีจริงๆ
ผมนั่งรถเมล์สาย 5 ไปยังวัด Enkoji แต่เนื่องจากป้ายรถบัสนี้อยู่นอกเส้นทางที่สามารถใช้ Kyoto City Bus Pass ได้
ทำให้ต้องเสียเงินค่ารถบัสเพิ่มอีก 160 Yen
จากป้ายรถเมล์ เดินต่อประมาณ 10 นาทีก็จะถึงทางเข้าวัด
ที่นี่เสียค่าเข้าชม 500 Yen
เดินเข้าไปจะเจอสวนหินก่อนเลย
วัดแห่งนี้ เป็นของนิกายรินไซเซน
เป็นแหล่งชมใบไม้แดงที่นิยมแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต
ภายในมีการจัดสวนอย่างสวยงาม มีต้นเมเปิ้ลที่ใบกำลังเปลี่ยนสีมากมาย
มีอาคารให้นั่งชมใบไม้แดงเพลินๆ
บรรยากาศเงียบสงบ
วันที่ผมไป ใบไม้ยังไม่ค่อยแดงเท่าที่ควร
ถ้ามาช่วงปลายเดือนน่าจะแดงสวยกว่านี้
บริเวณด้านหลังของวัด มีเนินเล็กๆ สามารถเดินขึ้นไปชมวิวเมืองเกียวโตด้านบนได้
อากาศดีสุดๆไปเลยย
จากวัด Enkoji ตอนแรกผมจะไปวัด Ginkakuji และวัด Eikando ต่อ
แต่เห็นว่าใบไม้ยังไม่ค่อยแดงเท่าที่ควร เลยเก็บไว้ไปวันท้ายๆดีกว่า
ช่วงบ่าย เลยนั่งรถไฟ Hankyu มาเที่ยวที่ Arashiyama
เนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ ทำให้คนเยอะมากๆๆ
จริงๆแล้วที่นี่ก็คนเยอะทุกวัน
ที่นี่ใบไม้แดง กำลังสวยเลยครับ เหมาะแก่การมาเดินเล่นสุดๆ
ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ
เจอคุณตาคุณยายเดินจับมือกัน โรแมนติกไปอีกกก
เดินมาจนถึงทางเข้าวัด Adashino Nenbutsu-ji เห็นด้านในมีใบไม้กำลังแดง
เข้าไปชมกันดีกว่า
เสียค่าเข้าชม 500 Yen
บริเวณด้านในจะมีสุสานมากมาย
มีทางเดินผ่านป่าไผ่ ขึ้นไปชมสุสานเล็กๆด้านบน
และมีรูปปั้นหินขนาดเล็กตั้งเรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด
เป็นดั่งที่ระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
ผมเดินเล่นจนท้องฟ้าเริ่มจะมืด จึงค่อยๆเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ
มืดแล้ว แต่ผู้คนยังคงคึกคัก
ร้านค้า ร้านอาหาร ต่างเปิดไฟสวยงาม
และแล้วก็เดินกลับมาจนถึงสถานีรถไฟ Arashiyama
ที่สถานีนี้จะมีโคมไฟ ที่เปิดไฟเรียงราย อย่างสวยงาม
จบไปอีกหนึ่งงวันน ครบครึ่งทริปพอดี
ผมขอจบ Part แรกไว้เพียงเท่านี้นะครับ ทริปนี้ค่อนข้างยาว เลยแบ่งออกเป็น 2 Part
อ่านต่อที่ Part 2 ได้เลยครับ https://th.readme.me/p/1849
hoyberry
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.58 น.