ผมเป็นคนชอบเที่ยว รักการเดินทาง มีวันหยุดเป็นไม่ได้ ต้องวางแผนเที่ยวเปิดหูเปิดตา หาประสบการณ์ให้กับตัวเองไปเรื่อย ตะเวนเที่ยวมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่...”ลพบุรี” บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองแท้ๆ ยังตะลอนเที่ยวไม่ทั่วเลย รู้สึกสำนึกรักบ้านเกิดขึ้นมา ลองหันกลับมามองลพบุรีดูบ้าง เฮ้ย...ลพบุรีบ้านฉัน ก็มีอะไรดีๆ ที่สู้จังหวัดอื่นๆ ได้เหมือนกันนี่หว่า!!!
“วังนารายณ์คู่บ้าน ศาลพระกาฬคู่เมือง ปรางค์สามยอดลือเลื่อง เมืองแห่งดินสอพอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เกริกก้อง แผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์“
“ลพบุรี” หรือหลายคนเรียก “เมืองลิง” เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโบราณหลายสมัย เดิมเรียก “ละโว้” นับตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจ มีหลักฐานสำคัญคือ พระปรางค์สามยอด ศิลปะเขมร สมัยบายน คำว่า “ละโว้” สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “ลวะ” ซึ่งเป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “น้ำ” ลพบุรี ไม่ได้มีดีเพียงเมืองประวัติศาสตร์ แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ลพบุรีมีอะไรดีบ้าง ตามไปชมกันเลยครับ
ขอเริ่มในเขตอำเภอเมืองก่อน ตั้งต้นในเขตเมืองเก่าครับ
พระนารายณ์ราชนิเวศน์
พระนารายณ์ราชนิเวศน์ หรือชาวลพบุรีเรียกกันติดปากว่า วังนารายณ์ เป็นพระราชวังที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2209 เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ล่าสัตว์ ออกว่าราชการ และต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และพระองค์ทรงประทับ ณ พระราชวังแห่งนี้ประมาณ 8-9 เดือน ในช่วงปลายรัชกาลและเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระราชวังแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้าง จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้บูรณะพระราชวังแห่งนี้และสร้างพระที่นั่งขึ้นใหม่ และพระราชทานนามว่า “พระนารายณ์ราชนิเวศน์” ครับ
ศาลพระกาฬ
ศาลพระกาฬ หรือชื่อเดิมคือ ศาลสูง เนื่องจากศาลตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดมหึมา สันนิษฐานกันว่าฐานศิลาแลงดังกล่าวเป็นฐานพระปรางค์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ หรือไม่ก็สร้างสำเร็จแต่พังถล่มลงมาภายหลัง โดยไม่ได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม ศาลพระกาฬเป็นสิ่งก่อสร้างของขอมครับ
หากจะมาบนบานศาลกล่าวเจ้าพ่อพระกาฬ ไม่ให้โดนเกณฑ์ทหาร แนะนำว่าให้ไปบนที่อื่นครับ เพราะเท่าที่ผมได้ยินเรื่องเล่าต่อๆ กันมา บอกว่าท่านสนับสนุนให้คนเป็นทหาร อันนี้เท็จจริงอย่างไรไม่รู้นะครับ
เมื่อพรที่ขอไว้สัมฤทธิ์ผล ก็คงต้องมีการแก้บน แต่ละคนก็บนกันคนละแบบ บ้างก็บนด้วยไข่ต้มหรือหัวหมู บ้างก็บนด้วยการรำ ซึ่งถ้าหากใครไม่อยากรำเอง ด้านข้างของศาลพระกาฬจะมีบริการรำแก้บนด้วย สำหรับราคาคงต้องต่อรองกันอีกทีครับ
พระปรางค์สามยอด
พระปรางค์สามยอดเป็นโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของลพบุรีครับ ลักษณะเป็นปราสาทขอมในศิลปะบายน โครงสร้างเป็นศิลาแลงประดับปูนปั้น เรียงต่อกัน 3 องค์ เชื่อมต่อกันด้วยมุขกระสัน สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่อใช้เป็นพุทธสถานในลัทธิวัชรยานประจำเมืองละโว้ ซึ่งในขณะนั้นเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรขอม แต่เดิมภายในปราสาทประธานประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรกทรงเครื่อง ปราสาททิศใต้ประดิษฐานรูปพระโลเกศวรสี่กร และปราสาททิศเหนือประดิษฐานรูปพระนางปรัชญาปารมิตาสองกร
พระปรางค์สามยอดเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท ต่างชาติ 30 บาทครับ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวศาลพระกาฬและพระปรางค์สามยอด หากจะจอดรถไว้ข้างถนนใกล้ๆ พระปรางค์สามยอด คงต้องระวังลิงด้วยนะครับ เพราะจะมีฝูงลิงขึ้นมางัดแงะยางที่ติดขอบกระจก ขอบประตู ขาดวิ่นอย่างแน่นอน บางทีผมเห็นมีรถป้ายแดงมาจอด แล้วโดนลิงรื้องัด ยังแอบนึกสงสารเจ้าของรถมากๆ รู้ทันทีว่าเจ้าของรถคันนั้นต้องไม่ใช่คนลพบุรีแน่นอน เนื่องจากคนลพบุรีส่วนใหญ่จะไม่จอดรถบริเวณนั้นกัน เพราะรู้ถึงกิตติศัพท์ลิงลพบุรีเป็นอย่างดี หากเพื่อนๆ ต้องการจอดรถ แนะนำให้จอดรถไว้ที่ลานข้างศาลพระกาฬ เพราะบริเวณนั้นจะมีคนคอยเฝ้าไล่ลิงให้ แต่จุดนี้จะเสียค่าจอดรถด้วย นอกจากนี้ยังสามารถจอดรถได้แถวสถานีรถไฟ ไล่ไปจนถึงวังนารายณ์ บริเวณนั้นจะค่อนข้างปลอดภัยจากฝูงลิงครับ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟลพบุรีเลยครับ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่มีการปรับปรุงซ่อมแซมหลายครั้งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เรียกได้ว่าลงรถไฟมา ออกมายืนหน้าสถานี ก็จะมองเห็นวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอย่างชัดเจน
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.300-16.30 น.ค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท ต่างชาติ 30 บาท
บ้านวิชาเยนทร์ หรือ บ้านหลวงรับราชทูต
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับเจ้าพระยาวิชาเยนทร์กันก่อนนะครับ แฟนละครบุพเพสันนิวาส ละครดังที่ออกอากาศทางช่อง 3 คงรู้จักเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ หรือหลวงสุรสาคร (คอนสแตนติน ฟอลคอน) กันเป็นอย่างดีแล้ว หลวงสุรสาครเป็นสมุหนายกชาวกรีก ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงโปรดปรานยิ่งนัก ด้วยเพราะได้ทำความดีความชอบไว้มาก เลยได้รับพระราชทานที่พักอาศัยให้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของบ้านหลวงรับราชทูต จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านวิชาเยนทร์นั่นเอง

ด้านหลังของลานมหากางเขนเป็นที่ตั้งของโรงสวด หรือโบสถ์ในคริสต์ศาสนา โรงสวดนี้ถวายแก่พระเจ้าในนาม “นอเตรอะ-ดาม เดอ ลอแรตต์” (Notre-Dame de Laurette) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “แม่พระ แห่ง ลอแรตต์” ซึ่งหมายถึงพระนางมารีย์พรหมจารี โดยประดิษฐานพระแท่นด้านทิศตะวันออกของอาคารด้านหลัง มีช่องประตูทางออกด้านเหนือและใต้ ส่วนบริเวณโถงกลางมีประตูทางออกสามด้าน คือด้านทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก ด้านทิศเหนือและทิศใต้ แบ่งเป็นห้องปีก มีบันไดขึ้นไปด้านบน เป็นหอระฆัง ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว มีปลายเสาเป็นรูปกลีบบัวยาว สันนิษฐานว่ารูปแบบหลังคาของโรงสวดหลังนี้เป็นอาคารที่มีหลังคา 3 ตับ ยกซ้อน 2 ชั้น โดยมีหลังคาของมุข transept 2 ตับ วิ่งมาชนที่กึ่งกลางหลังคา เป็นศิลปะแบบอย่างไทย โรงสวดแห่งนี้ นับเป็นโรงสวดหรือโบสถ์หลังแรกของโลกที่ตกแต่งด้วยลักษณะของโบสถ์ทางพระพุทธศาสนา ผสมผสานสถาปัตยกรรมยุโรปยุคเรเนซองส์ครับ
ด้านหน้าของโรงสวดเป็นหอพักคณะสงฆ์ การใช้สอยอาคารนี้มีนัยยะที่สัมพันธ์กับพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นที่ตั้งของโบสถ์และลานไม้กางเขน สันนิษฐานว่าอาคารหลังนี้เคยเป็นที่อยู่นักบวชและผู้ติดตามคณะทูตครับ
พื้นที่ด้านตะวันตก (ด้านซ้ายมือของพื้นที่ส่วนกลาง) เป็นอาคารพักของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์และท้าวทองกีบม้า ผู้ซึ่งเป็นภรรยา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมอบหมายให้เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ทำหน้าที่รับรองราชทูตจากฝรั่งเศส ณ เมืองลพบุรี เมื่อคราวรับราชทูตฝรั่งเศส (อาแล็กซ็องดร์ เชอวาลีเย เดอ โชมง) ที่มาเยือนในปี พ.ศ.2228 ระหว่างที่ไม่มีคณะทูต สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ให้ออกญาวิชาเยนทร์เป็นผู้ดูแลหมู่ตึกเหล่านี้ ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นบ้านของออกญาวิชาเยนทร์จึงเรียกว่า “บ้านวิชาเยนทร์” ตั้งแต่นั้นมา ตัวอาคารเป็นตึก 2 ชั้นหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐครับ
อาคารหลังนี้เป็นห้องอาหาร เป็นอาคารทรงจั่ว มีชั้นใต้ดินสำหรับเก็บไวน์ พื้นที่ชั้นบนใช้ต้อนรับแขกส่วนชั้นล่างใช้เพื่อเก็บของที่มีน้ำหนักมาก มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาคารหลังนี้ถูกสร้างต่อเติมขึ้นมาภายหลังจากที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามาพักอาศัยในบ้านหลังใหญ่แล้ว โดยอาจสร้างขึ้นเป็นที่เลี้ยงต้อนรับใช้รับประทานอาหารและเครื่องดื่ม (ไวน์) แก่แขกผู้มาเยือน
ส่วนนี้เป็นอาคารพักอาศัย สันนิษฐานว่าเดิมอาคารหลังนี้อาจใช้เป็นบ้านยาม ต่อมาเมื่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามาอาศัย อาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น เช่น ห้องคนงานรับใช้ครับ
ติดกับอาคารพักอาศัย เป็นครัวประจำบ้าน เป็นอาคารที่มีอิทธิพลตะวันตก มีหลังคาจั่ว มีปีกหลังคาด้านข้าง สร้างเมื่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้ามาอยู่อาศัยแล้ว (พ.ศ.2228) น่าจะเป็นสถานที่ที่ท้าวทองกีบม้านั่งทำทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองครับ
ติดกับครัวประจำบ้าน เป็นโรงอาบน้ำ ประกอบด้วยห้องเล็กๆ 3 ห้อง ที่ประกอบด้วยห้องร้อนและห้องเย็นคู่กัน อันเป็นแบบฉบับที่ปรากฏในวัฒนธรรมการชำระล้างแบบเปอร์เซียครับ เห็นโรงอาบน้ำแล้ว แอบสงสัยว่าคนสมัยโบราณคงตัวเล็กมากๆ เพราะซุ้มประตูทางเข้าโรงอาบน้ำมีความสูงประมาณเมตรครึ่งเองครับ
ถังเก็บน้ำ (สิ่งก่อสร้างเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างโรงสวด) สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นอาคารกลุ่มเดียวกับโรงอาบน้ำแบบอิทธิพลอินโด-เปอร์เซียครับ
สำหรับพื้นที่ด้านตะวันออก (ด้านขวามือของพื้นที่ส่วนกลาง) เป็นบ้านพักของคณะทูตชาวฝรั่งเศส ประกอบด้วยกลุ่มอาคารใหญ่ 2 ชั้น มีบันไดขึ้นทางด้านหน้าเป็นรูปครึ่งวงกลม ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นศิลปะแบบเรอเนอซองส์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบยุโรปครับ
เพียงหนึ่งปีหลังจากคณะราชทูตเดินทางกลับฝรั่งเศสก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติที่นำโดยพระเพทราชา เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ถูกจับกุม บ้านของเขาถูกรื้อค้นจนถึงขั้นทำลายอาคารพีระมิดด้านหน้าของหอพระ และสุดท้ายก็ถูกประหารชีวิต ก่อนโดนประหารชีวิต เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ต้องทนทุกข์ทรมานและอดอาหารนานถึง 14 วัน จนเกือบจะเหลือแต่ซี่โครง ในที่สุดก็ถูกปลดโซ่ตรวนกุมตัวไปในยามพลบค่ำ ที่แรกที่ไปถึงคือบ้านของตนเอง ซึ่งปรากฏว่าถูกรื้อค้นไว้ยุ่งเหยิง ท้าวทองกีบม้าถูกจับขังไว้ในโรงม้า และเมื่อพบหน้าสามี แทนที่นางจะร่ำลาไว้อาลัย กลับถ่มน้ำลายรดหน้า ซึ่งไม่ทรมานใจเขาเท่ากับการก้มลงจุมพิตบุตรชายอายุ 4 ขวบ ซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียว ลูกชายอีกคนก็เพิ่งตาย ยังไม่ได้ทำศพ จากที่นั้นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ถูกนำตัวไปนอกเมืองและเข้าสู่แดนประหาร
เมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคต สมเด็จพระเพทราชาก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยพระองค์มีรับสั่งให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยาในทันที หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นบ้านวิชาเยนทร์และบ้านหลวงรับราชทูตก็ถูกทิ้งร้าง สิ้นสุดบทบาทหน้าที่ไปพร้อมกับชีวิตอันมีสีสันของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ในที่สุด
บ้านหลวงรับราชทูตหรือบ้านวิชาเยนทร์เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ค่าเข้าชม คนไทย 10 บาท ต่างชาติ 30 บาทครับ
วัดปืน (ร้าง)
วัดปืน (ร้าง) ไม่พบประวัติที่ชัดเจน คำว่า ปืน อาจมาจากศรพระรามหรือปืนพระราม เนื่องจากวัดนี้อยู่ใกล้ศาลลูกศร (ศาลหลักเมือง) หรืออาจมาจากในบริเวณนี้สมัยก่อนมีร้านทำปืนตั้งอยู่ จึงเรียกวัดปืน จากลักษณะศิลปกรรมของพระวิหารภายในปรากฏซุ้มรูปกลีบบัวและช่องแสงบริเวณผนังหุ้มกลองด้านบน สันนิษฐานว่าวัดปืนน่าจะมีการสร้างหรือบูรณะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตามที่ปรากฏในแผนที่เก่าของเมืองละโว้ (พ.ศ.2230) บริเวณวัดปืนตั้งอยู่ท่ามกลางกลุ่มบ้านพักของชาวต่างประเทศในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช วัดปืนได้รับการบูรณะเมื่อปี พ.ศ.2550-2552 จากการดำเนินการทางโบราณคดีพบว่าบริเวณวัดปืนมีชุมชนอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบร่องรอยโบราณสถานสมัยทวารวดีและสมัยวัฒนธรรมเขมร ก่อสร้างศาสนสถานในพระพุทธศาสนาขึ้นในสมัยอยุธยา
เทวสถานปรางค์แขก
ไม่ไกลจากบ้านวิชาเยนทร์ เป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งโบราณสถานเล็กๆ นั่นคือ เทวสถานปรางค์แขกครับ
เทวสถานปรางค์แขก หรือที่ชาวลพบุรีเรียกกันสั้นๆ ว่า ปรางค์แขก ตั้งอยู่บนเกาะกลางถนนเล็กๆ บริเวณแยกถนนวิชาเยนทร์กับถนนสุระสงคราม นับเป็นปราสาทขอมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของลพบุรีเลยทีเดียว
ปรางค์แขก ถูกสร้างขึ้นเมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด บ้างก็ว่าสร้างราวพุทธศตวรรษที่ 15 บ้างก็ว่าสร้างตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 16และไม่ทราบด้วยว่าสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด แต่มีผู้สันนิษฐานว่า อาจจะสร้างขึ้นตามพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ หรือสร้างจากการอุปถัมภ์ของผู้นำท้องถิ่น
ลักษณะของปรางค์แขกมีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบสมัยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 2 ประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 องค์ เรียงตัวกันในแนวเหนือใต้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตามธรรมเนียมที่พบในกัมพูชา แต่ละปรางค์จะมีประตูทางเข้าเพียงทางเดียว ส่วนอีก 3 ประตูจะเป็นประตูหลอก ปรางค์องค์กลางมีขนาดใหญ่กว่าองค์อื่นๆ เดิมก่อด้วยอิฐไม่สอปูน และคาดว่าเกิดการพังทลายลง
ต่อมา สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรับสั่งให้ทำการปฏิสังขรณ์ปรางค์ทั้งสามองค์ขึ้นใหม่ในรูปแบบถืออิฐสอปูนแต่ละก้อนเชื่อมด้วยยางไม้ และสร้างอาคารอีกสองหลังขึ้นเพิ่มเติม โดยอาคารแรกเป็นวิหารทางด้านหน้า ส่วนอาคารอีกหลังทางทิศใต้สร้างเป็นถังเก็บน้ำประปา อาคารที่สร้างใหม่ทั้งสองหลังเป็นศิลปะไทยผสมยุโรปตามพระราชนิยม โดยประตูทางเข้ามีลักษณะโค้งแหลมครับ
วัดบันไดหิน
วัดบันไดหินเป็นวัดเล็กๆ ที่อยู่ติดกับด้านข้างของสถานีรถไฟลพบุรี สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันวัดบันไดหินเหลือเพียงผนังสองด้าน ประตู หน้าต่างเป็นวงโค้งแหลมคล้ายกลีบบัว ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบนี้เป็นที่นิยมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ด้านหลังวัดมีเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมที่ได้รับการบูรณะแล้ว
วัดนครโกษา
วัดนครโกษาตั้งอยู่ระหว่างศาลพระกาฬและสถานีรถไฟลพบุรี บริเวณวัดนครโกษาพบโบราณสถานที่สร้างทับซ้อนกันหลายสมัย โดยเจดีย์องค์ใหญ่สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี โบสถ์และวิหารสร้างในสมัยพระนารายณ์มหาราช และปรางค์สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 18 อีกองค์หนึ่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ดำเนินการก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ สันนิษฐานว่าเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เป็นผู้ดำเนินการในครั้งนั้น วัดแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า วัดนครโกษา ครับ
วัดอินทรา
วัดอินทราอยู่ตรงข้ามกับวัดนครโกษา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อยู่ภายในเขตกำแพงเมืองชั้นใน ปัจจุบันวัดอินทราหลงเหลือเพียงซากวิหารที่ตั้งอยู่บนเนินดิน ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นศิลปะอยุธยาตอนต้น ช่องหน้าต่างทำเป็นช่องเล็กๆ คล้ายกับการทำช่องหน้าต่างแบบลูกมะหวดในศิลปะเขมรครับ
การเที่ยวชมในเขตเมืองเก่านั้นสามารถใช้การเดินเท้าเที่ยวชมในแต่ละจุดได้ครับ ใครที่นำรถมาก็หาที่จอดรถเหมาะๆ สักจุด อาจจะจอดไว้ที่ด้านข้างของศาลพระกาฬก็ดี เพราะมีคนเฝ้า ปลอดภัยจากฝูงลิงแน่นอน หรือถ้าใครเดินทางโดยรถไฟ ก็สามารถเดินเที่ยวได้เช่นเดียวกัน แต่ละจุดสามารถวางแผนเดินเที่ยวเป็นวงกลมได้ครับ
วัดสันเปาโล
หลุดจากเขตเมืองเก่าออกมานิดหน่อย เป็นที่ตั้งของวัดสันเปาโล อีกหนึ่งโบราณสถานสำคัญในเมืองลพบุรี และของเมืองไทยครับ
จุดเด่นของวัดสันเปาโล คือ หอดูดาว ซึ่งเป็นหอดูดาวมาตรฐานสากลที่ใช้ในกิจกรรมทางวิชาดาราศาสตร์อย่างแท้จริงแห่งแรกในประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมือ พ.ศ.2230 เป็นอาคารที่ประกอบด้วยศาสนสถานและหอดูดาว ดำเนินการโดยบาทหลวงคณะเยสุอิตชาวฝรั่งเศส เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หอดูดาวแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้าง ไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป
วัดสันเปาโลแห่งนี้ มีชื่อเรียกในเอกสารชั้นต้นของชาวฝรั่งเศสว่า วิทยาลัยแห่งเมืองลพบุรี ประกอบด้วยอาคารสำคัญๆ คือ หอดูดาว ที่พักบาทหลวง และโบสถ์ สำหรับคำว่า “วิทยาลัย” น่าจะเพราะที่แห่งนี้ใช้เป็นสถานที่ศึกษาวิชาดาราศาสตร์ตะวันตกได้จริง ตั้งแต่ครั้งปลายรัฐสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั่นเอง
วัดสันเปาโล มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมยุโรป คล้ายบ้านวิชาเยนทร์ ปัจจุบันเหลือเพียงซากของผนังหอดูดาวทรงแปดเหลี่ยมบางส่วน กับฐานของอาคารที่สันนิษฐานว่าเป็นที่พักและโบสถ์ฝรั่งที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเท่านั้น
ภาพวาดสีน้ำของหอดูดาวเมืองลพบุรี เมื่อครั้งยังสมบูรณ์ เก็บรักษาอยู่ ณ หอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส และมีคำบรรยายประกอบว่า เป็นวัดที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้างพระราชทานให้กับบาทหลวงเยสุอิตชาวฝรั่งเศส เพื่อประกอบกิจกรรมศึกษาค้นคว้าวิชาดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ ตรงกลางเป็นหอดูดาวซึ่งเป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยมสูงสามชั้น มีปีกเป็นตึกสองชั้นเป็นที่พัก สำหรับฐานอาคารที่อยู่ใกล้ๆ มีผังเป็นรูปไม้กางเขนที่กำลังเริ่มก่อสร้าง นั่นคือโบสถ์ครับ
พระที่นั่งไกรสรสีหราช
พระที่นั่งไกรสรสีหราช หรือที่ชาวลพบุรีเรียกกันติดปากว่าพระที่นั่งเย็น เป็นพระที่นั่งที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสร้างเพื่อทรงสำราญพระราชอิริยาบถ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อน พ.ศ.2228 นับเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชใช้ศึกษาจันทรุปราคา ร่วมกับบาทหลวงเยซุอิตและบุคคลในคณะทูตชุดแรกที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ส่งมาเจริญสัมพันธไมตรี
วงเวียนเทพสตรี
มาลพบุรี แล้วไม่มาสักการะองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เหมือนมาไม่ถึงลพบุรี เราสามารถมาสักการะพระองค์ท่านได้ที่วงเวียนเทพสตรี หรือที่ชาวลพบุรีเรียกกันติดปากว่า วงเวียนพระนารายณ์ครับ
วงเวียนพระนารายณ์ตั้งอยู่หัวถนนนารายณ์มหาราช หากเดินทางจากกรุงเทพ ตามถนนพหลโยธิน ก่อนที่จะเข้าตัวเมืองลพบุรีจะผ่านที่วงเวียนพระนารายณ์ นับเป็นปราการด่านแรกเมื่อมาถึงลพบุรี วงเวียนนี้รายล้อมด้วยสถานที่ราชการหลายแห่ง เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานีตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ และโรงเรียน วงเวียนพระนารายณ์เป็นวงเวียนขนาดใหญ่ เป็นที่ตั้งของพระราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในลักษณะประทับยืน ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบ และก้าวพระบาทซ้ายออกมาเล็กน้อย หล่อด้วยโลหะรมดำ ขนาดเท่าพระองค์จริง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชถือเป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีคุณูปการต่อลพบุรีเป็นอย่างมาก และเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกเหนือจากเจ้าพ่อพระกาฬ ที่ชาวลพบุรีให้ความเคารพนับถือครับ
ตัวเมืองลพบุรี มีวงเวียนหลักๆ อยู่ 3 วงเวียน คือ วงเวียนพระนารายณ์ วงเวียนศาลพระกาฬ และอีกหนึ่งวงเวียนคือ วงเวียนศรีสุริโยทัย
วงเวียนศรีสุริโยทัย
วงเวียนศรีสุริโยทัย หรือที่คนลพบุรีรู้จักกันดีในชื่อ วงเวียนสระแก้ว เป็นวงเวียนที่มีสิ่งก่อสร้างคล้ายเทียนตั้งอยู่บนพานขนาดใหญ่ เดิมทีเดียววงเวียนแห่งนี้มีการสร้างประติมากรรมคล้ายทหารปืนใหญ่ในท่าเตรียมพร้อมอยู่บนแท่นสูงกลางสระ ต่อมาจึงได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ด้วยการสร้างประติมากรรมลักษณะคล้ายเชิงเทียนตั้งอยู่กลางพาน มีสะพานเชื่อมจากขอบสระทั้งสี่ทิศ ขอบพานมีตรากระทรวงต่างๆ ในขณะนั้น เช่น กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง ในสระจะมีพญานาคให้น้ำสี่ตัว มีรูปปั้นคชสีห์หมอบซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารอยู่เชิงสะพานทั้งสี่ทิศรวมแปดตัวครับ วงเวียนนี้สร้างขึ้นในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในเมืองลพบุรีครับ
วันลอยกระทงของทุกๆ ปี ทางจังหวัดลพบุรีจะมีการจัดงานลอยกระทงย้อนยุคกันที่บริเวณวงเวียนแห่งนี้ และทุกๆ วัน ช่วงเย็นไปจนถึงดึกๆ ด้านข้างของวงเวียนสระแก้ว จะมีตลาดโต้รุ่ง มีร้านอาหารให้เลือกชิมหลากหลายเลยทีเดียวครับ
สถานที่สำคัญที่อยู่บริเวณวงเวียนสระแก้ว มีทั้งสถานีขนส่งจังหวัดลพบุรี สวนสัตว์ลพบุรี รวมถึงโรง “ภาพยนต์ทหานบก” (สะกดด้วย ทหาน) ที่สร้างขึ้นในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นับเป็นโรงภาพยนตร์แห่งที่ 2ต่อจากโรงภาพยนตร์เฉลิมกรุง ด้านหน้าโรงภาพยนต์ทหานบกมีอนุสาวรีย์ของจอมพล ป.พิบูลสงครามด้วย เสียดายที่ปัจจุบันโรงภาพยนต์แห่งนี้ได้เปลี่ยนเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัย รวมถึงสมาคมกีฬาไปแล้วครับ
สวนสัตว์ลพบุรี
ด้านหลังของอดีตโรงภาพยนต์ทหานบก เป็นที่ตั้งของสวนสัตว์ลพบุรี หรือที่ชาวลพบุรีเรียกกันว่า สวนสัตว์สระแก้วครับ
สวนสัตว์ลพบุรี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2483 ในสมัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อใช้เป็นที่อนุรักษ์สัตว์ป่าหายากของไทย และให้เป็นสถานที่พักผ่อนแห่งที่ 2 ของประเทศไทยรองลงมาจากสวนสัตว์ดุสิต (เขาดิน) มีการนำสัตว์ที่จับได้จากป่าธรรมชาติ รวมถึงสัตว์ที่ประชาชนนำมาบริจาค และบางส่วนยังได้มาจากสวนสัตว์ดุสิตด้วย หลังสิ้นยุคสมัยของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม สวนสัตว์จึงถูกทิ้งและร้างไปในที่สุด เหลือเพียงร่องรอยซากกรงสัตว์เก่าๆ ให้เห็น
ต่อมาในสมัยพลตรีเอนก บุนยถี ผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการปรับปรุงบูรณะสวนสัตว์แห่งนี้ขึ้นมาใหม่ ให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและเป็นแหล่งสำหรับศึกษาหาความรู้ในเรื่องสัตว์และพืชต่างๆ สวนสัตว์ลพบุรีจึงกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินข่าวการแต่งงานของลิงอุรังอุตัง “ไมค์-ซูซู” ซึ่งนับเป็นคู่รักบันลือโลก เหตุการณ์นั้นสร้างชื่อเสียงให้กับสวนสัตว์ลพบุรีเป็นอย่างมาก มีผู้คนหลั่งไหลมาเยี่ยมชมเจ้าไมค์และซูซูกันอย่างไม่ขาดสาย จนเมื่อปี 2545 เจ้าไมค์ได้จากไปอย่างสงบด้วยโรคปอดอักเสบและระบบหายใจล้มเหลว แต่ก็ได้ทิ้งทายาทอย่างเจ้าจ้อย ที่เกิดจากไมค์และซูซู นอกจากนั้นยังมีเจ้าลำไย ซึ่งเกิดจากไมค์และมะลิอีกตัวหนึ่งด้วย
หลังจากที่สวนสัตว์ลพบุรีขาดตัวชูโรงอย่างเจ้าไมค์ไปแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมสวนสัตว์ก็เริ่มน้อยลง บรรยากาศในสวนสัตว์ไม่ครึกครื้นเหมือนเก่า ผมว่าชนิดของสัตว์ต่างๆ เริ่มน้อยลง หลักๆ จะเป็นตระกูลลิง และนก ช่วงเสาร์อาทิตย์ จะมีชาวลพบุรีมาพักผ่อนหย่อนใจกันพอสมควรครับ หากเพื่อนๆ มีเวลามากพอ สามารถแวะมาพักผ่อน มาให้อาหารสัตว์กันที่สวนสัตว์ลพบุรีได้ครับ
ตลาดโบราณบ้าน 4 ภาค
ตลาดโบราณบ้าน 4 ภาค แหล่งชอปปิ้งในบรรยากาศย้อนยุค แห่งใหม่ของลพบุรี เป็นตลาดที่จำลองบรรยากาศตลาดสมัยโบราณด้วยบ้านเรือนไทยสองชั้น สร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลังลักษณะคล้ายเรือนแถว มาประยุกต์เป็นร้านค้าจำหน่ายของกิน ของฝาก ของที่ระลึกมากมาย นอกจากร้านค้าที่อยู่ในเรือนแถวแล้ว ยังมีร้านค้าที่เป็นรถเข็นขายอาหารอีกด้วย ตลาดโบราณบ้าน 4 ภาค อยู่ติดกับวิทยาลัยนาฏศิลป์ลพบุรี เปิดให้เที่ยวชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น.ครับ
หมู่บ้านหินสองก้อน
หมู่บ้านหินสองก้อน แหล่งผลิตดินสอพองที่มีคุณภาพดีที่สุดของเมืองไทย ตั้งอยู่ริมคลองชลประทานบริเวณสะพาน 6 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนสัตว์สระแก้วมากนัก แทบทุกครัวเรือนในหมู่บ้านหินสองก้อนมีอาชีพหลักคือทำดินสอพองครับ อาจมีข้อสงสัยว่า แล้วทำไมชาวบ้านที่นี่ถึงได้มาผลิตดินสอพอง เหตุเพราะดินบริเวณหมู่บ้านหินสองก้อนเป็นดินสีขาว หรือที่เรียกกันว่า ดินมาร์ล เนื้อดินเนียนขาว ละเอียดแน่น ไม่เหมาะกับการปลูกพืช แต่ด้วยภูมิปัญญาของคนท้องถิ่น จึงนำดินขาวในพื้นที่มาผลิตเป็นดินสอพองครับ
ตลาดซาโม่น
ลพบุรี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ได้รวบรวมคนหลายเชื้อชาติไว้ในจังหวัดเดียว ไม่ว่าจะเป็น คนไทยเชื้อสายจีน ลาวพวน หรือแม้กระทั่งมอญครับ
มาเที่ยวลพบุรีแล้ว ไม่อยากให้พลาดมาชมวิถีชีวิตของชาวมอญที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในลพบุรี ที่ "ตลาดซาโม่น" บริเวณวัดอัมพวัน ต.บางขันหมาก อ.เมือง ตลาดแห่งนี้จะเปิดเดือนละ 2 ครั้งเท่านั้น คือเปิดวันเสาร์และวันอาทิตย์แรกของเดือน ช่วงแดดร่มลมตกครับ
ตลาดซาโม่น หรือตลาดมอญเมืองละโว้ เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน มีจุดประสงค์คือต้องการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ดำรงอยู่คู่กับชุมชนตลอดไป ชาวบ้านที่ตลาดซาโม่นส่วนใหญ่เป็นชาวมอญ ที่มาตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาอย่างยาวนาน เรียกได้ว่าเป็นจุดกำเนิดทางภูมิปัญญาในหลายๆ เรื่อง เช่น วัฒนธรรมประเพณี อาหารการกิน รวมถึงวิถีชีวิตริมสองฝั่งแม่น้ำลพบุรี
บรรยากาศในตลาดซาโม่นค่อนข้างมีสีสันในช่วงพลบค่ำ ยามแดดร่มลมตก เมื่อแสงไฟจากไฟราวดวงเล็กๆ ส่องไปยังธงทิว เกิดเป็นสีสันที่สดใส เหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างพร้อมใจกันแต่งชุดรามัญ ยิ่งทำให้ตลาดแห่งนี้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นครับ
สารภาพเลยว่าอาหารบางอย่าง ผมก็เพิ่งจะเคยเห็นที่ตลาดแห่งนี้เป็นครั้งแรก บางอย่างก็เคยเห็นในสมัยเด็กๆ แล้วก็ไม่เคยเห็นอีกเลย อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารและขนมพื้นบ้าน แถมชื่อก็ยังแปลกๆ ด้วย อย่างกระจองงอง ฟะกาว ฟานฮะกอฟานฮะเปรียง ขนมกวน แกงบอน แกงมะตาด แกงกระเจี๊ยบ น้ำพริกมอญ ข้าวแช่ครับ
อ่างซับเหล็ก
อ่างซับเหล็กเป็นอ่างเก็บน้ำที่ถูกใช้ประโยชน์มาตั้งแต่สมัยโบราณ มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรับสั่งให้ช่างต่อท่อดินเผาเพื่อนำน้ำจากอ่างซับเหล็กเข้าไปใช้ในเขตพระราชวัง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ อ่างซับเหล็กก็ยังคงเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญของลพบุรี นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งพักผ่อนของชาวลพบุรีอีกด้วย แนวสันอ่างเก็บน้ำจะมีร้านอาหารแบบเรือนแพมากมาย ขอบอกเลยว่าบรรยากาศดีเลยทีเดียว สำหรับทิวทัศน์รอบอ่างซับเหล็กสามารถมองเห็นเขาตะกร้าและเขาโด่ได้ด้วยครับ
วัดเขาวงพระจันทร์
เขาวงพระจันทร์ นับเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่ในเขต ต.ห้วยโป่ง อ.โคกสำโรง อยู่ห่างจากตัวเมืองลพบุรีประมาณ 28 กิโลเมตร บริเวณเชิงเขาเป็นที่ตั้งของวัดเขาวงพระจันทร์ครับ
วัดไลย์
วัดไลย์ ตั้งอยู่ริมน้ำบางขาม ในเขต ต.เขาสมอคอน อ.ท่าวุ้ง เป็นวัดเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ภายในวัดมีพระวิหารเก่า ซึ่งถูกบูรณะขึ้นใหม่ แต่ก็ยังคงรูปลักษณ์เหมือนเดิม ฐานรับตัวอาคารทำเป็นบัวคว่ำชั้นเดียว ไม่มีหน้าต่าง แต่จะเจาะช่องลมแทนผนังแทนหน้าต่างทั้งสองข้าง ข้างละห้าช่อง อันเป็นความนิยมของสถาปัตยกรรมก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายในวิหารมีพระประธานปางมารวิชัยองค์ใหญ่ ศิลปะอู่ทอง ลงรักปิดทอง มีซุ้มเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช และอีกสิ่งที่เป็นจุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือที่ด้านหน้าและด้านหลังวิหาร มีลายปูนปั้นเต็มพื้นผนัง ผนังด้านหน้าเป็นเรื่องพุทธประวัติและทศชาติชาดก ส่วนด้านหลังยังไม่ฟันธงว่าเป็นเรื่องอะไร บ้างก็ว่าเป็นพุทธประวัติตอนมารผจญ บ้างก็ว่าเป็นตอนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ บ้างก็ว่าเป็นเรื่องมโหสถชาดก ที่ผนังมุขตอนในเป็นเรื่องพุทธประวัติตอนเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช สภาพของลายปูนปั้นค่อนข้างสมบูรณ์ มีลวดลายที่อ่อนช้อยงดงาม ถือได้ว่าเป็นภาพประติมากรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญชิ้นหนึ่งของชาติเลยทีเดียว
วัดเขาสมอคอน
วัดเขาสมอคอนเป็นวัดเก่าอีกหนึ่งวัดในจังหวัดลพบุรี ตั้งอยู่บนเทือกเขาสมอคอน เขตอำเภอท่าวุ้ง เขาสมอคอนเป็นเสมือนสำนักตักศิลาสำคัญในสมัยโบราณ เป็นที่อยู่ของสุกกทันตฤาษี อาจารย์ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพระยางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา เมื่อครั้งทั้งสองพระองค์ยังทรงพระเยาว์ได้เสด็จมาศึกษาศิลปวิทยา ณ เขาสมอคอนครับ
วัดเขาสมอคอนมีเจดีย์ทรงลังกาย่อมุมไม้สิบสองที่ทำบัวกลุ่มรองรับองค์ระฆัง เป็นเจดีย์แบบนิยมของสมัยอยุธยามาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
วัดเกริ่นกฐิน
วัดเกริ่นกฐิน ตั้งอยู่ใน ต.บ้านชี อ.บ้านหมี่ ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่ชาวบ้านรู้ว่าวัดนี้มีคู่กับหมู่บ้านมาเนิ่นนานแล้ว หลังจากที่หลวงพ่อเพี้ยน พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เป็นเจ้าอาวาสวัดเกริ่นกฐิน หลวงพ่อและชาวบ้านได้ร่วมกันพัฒนาวัดให้ดีขึ้น ท่านได้พัฒนาวัดโดยการสร้างถาวรวัตถุขึ้นมากมาย เช่น ศาลาการเปรียญ พระอุโบสถ วิหาร กุฏิสงฆ์ และได้ทำการซื้อที่ดินเพิ่มอีกด้วย จนทำให้ทุกวันนี้วัดเกริ่นกฐินเป็นวัดที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่งของลพบุรี มีพุทธศาสนิกชนหลั่งไหลมาที่วัดนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งต้องการมาชื่นชมบารมีของหลวงพ่อเพี้ยน ร่วมกันบริจาคทรัพย์ หรือจะมาเช่าบูชาวัตถุมงคลที่หลวงพ่อท่านได้ปลุกเสกแล้ว ปัจจุบันหลวงพ่อเพี้ยนได้มรณภาพลงแล้ว แต่สิ่งที่ท่านสร้างไว้ก็จะอยู่คู่กับวัดเกริ่นกฐินไปอีกนานแสนนานครับ
วัดห้วยแก้ว
วัดห้วยแก้ว ตั้งอยู่ใน ต.มหาสอน อ.บ้านหมี่ จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่พระมหาเจดีย์มหาเมตตารัตนะรังสี ซึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำของวัดห้วยแก้ว ลักษณะเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองรูปแบบศิลปะการก่อสร้างเป็นงานศิลปะผสมผสานความเป็นไทย ขอม พม่า คล้ายกับเจดีย์ทางสุโขทัย ประดับลวดลายที่อ่อนช้อยรอบองค์พระเจดีย์คล้ายปราสาทหินแบบขอม ประดิษฐานพระพุทธรูป 8 องค์ประจำทั้ง 8 ทิศ บริเวณสะพานที่ทอดยาวไปยังองค์เจดีย์จะมีซุ้มประตูที่เหมือนกับโคปุระของขอมครับ
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งอยู่ในเขต อ.พัฒนานิคม ห่างจากตัวเมืองลพบุรีประมาณ 50 กิโลเมตรครับ
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นเขื่อนพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นเขื่อนดินที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ด้วยความยาวถึง 4,860 เมตร สร้างขึ้นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง บริเวณกรุงเทพและปริมณฑลครับ
มีบริการรถรางนั่งชมวิวบนสันเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ข้าม 2 จังหวัด คือจังหวัดลพบุรีและสระบุรีด้วย ถ้าหากมีเวลามากพอ ผมไม่อยากให้พลาดกิจกรรมนี้ครับ จากฝั่งลพบุรี นั่งข้ามไปยังฝั่งสระบุรี ซึ่งจะมีจุดแวะให้นักท่องเที่ยวได้ลงสักการะ “หลวงปู่ใหญ่ป่าสัก” ในฝั่งจังหวัดสระบุรีด้วย
เมื่อรถรางวิ่งเข้าสู่พื้นที่ของ อ.วังม่วง จ.สระบุรี จะมองเห็น “หลวงปู่ใหญ่ป่าสัก” องค์ใหญ่ สีขาวบริสุทธิ์ พระพักตร์ดูอิ่มเอิบ เปี่ยมด้วยความเมตตา ประดิษฐานอยู่ริมเขื่อน หลวงปู่ใหญ่ป่าสัก พระนามเต็มว่า พระพุทธรัตนมณีมหาบพิตรชลสิทธิ์มงคลชัยครับ
หากใครมีเวลามากพอจริงๆ อยากจะให้มานอนค้างที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ดูสักคืนครับ ที่เขื่อนป่าสักฯ มีบ้านพักไว้ให้บริการด้วย ใครอยากจะนอนริมน้ำแนะนำให้มาใช้บริการบ้านพักของโครงการเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เลยครับ แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องวิว ก็จะมีรีสอร์ทของเอกชนอยู่ด้านหน้าเขื่อน ที่ผมแนะนำให้มาพักค้างคืนที่เขื่อนป่าสักนั้น เพราะที่เขื่อนป่าสักฯ มีอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่อยากให้พลาด นั่นคือการนั่งรถไฟลอยน้ำครับ
ยามเช้าบน “เส้นทางรถไฟสายลอยน้ำ” ทุกๆ เช้า เราสามารถนั่งซึมซับบรรยากาศยามเช้าบนรถไฟ ชมดวงตะวันที่กำลังทอแสงสีทอง สาดส่องไปบนผิวน้ำ สะท้อนแสงระยิบระยับตา ใครที่สนใจจะมาชมดวงตะวันขึ้นกลางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สามารถมาขึ้นรถไฟได้ที่สถานีรถไฟเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โดยช่วงเวลาที่อยากจะแนะนำคือ รถไฟรอบ 06.10 น. ตีตั๋วไปลงสถานีรถไฟโคกสลุงขบวนนี้นับเป็นขบวนที่เหมาะกับการนั่งซึมซับบรรยากาศมาก คือจะเป็นช่วงเวลาที่จะได้เห็นแสงสีทอง รวมถึงเมื่อไปถึงสถานีรถไฟโคกสลุงแล้ว จะไม่เสียเวลารอรถไฟรอบกลับนาน เพราะจะมีรถไฟรอสลับรางเพื่อกลับไปยังเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ในทันทีครับ
ทุ่งทานตะวัน
ราวปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงสิ้นเดือนมกราคม ท้องทุ่งรอยต่อบริเวณอำเภอเมืองลพบุรีและอำเภอพัฒนานิคม จะเต็มไปด้วยทุ่งทานตะวัน เมื่อดอกทานตะวันบานเต็มทุ่ง ดูไม่ต่างอะไรกับการปูด้วยพรมสีเหลือง พรมที่ถูกถักทอด้วยกลีบของดอกทานตะวัน จุดที่จะชมดอกทานตะวันคงจะระบุพิกัดแน่ชัดไม่ได้ เพราะแต่ละทุ่งจะเบ่งบานไม่พร้อมกัน ทุ่งนี้โรย ทุ่งใหม่บาน แต่ละทุ่งจะบานอวดโฉมให้ได้ชมเพียง 1 อาทิตย์เท่านั้น

จุดที่ 2 คือ เขาโด่ ถึงแม้ว่าจุดนี้จะไม่กว้างเท่าเขาจีนแล แต่เมื่อดอกทานตะวันเบ่งบานเต็มที่ ก็เด็ดไม่แพ้เขาจีนแลครับ ฉากหลังของจุดนี้จะมองเห็นยอดเขาโด่ ยอดเขาที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมากๆ
งานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี จังหวัดลพบุรีจะมีการจัดงาน “แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” เพื่อรำลึกถึงองค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้ทรงสร้างความเจริญให้กับเมืองลพบุรี โดยงานจัดขึ้นที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์ งานมีทั้งภาคกลางวันและกลางคืน โดยภาคกลางวันมีการจำลองบรรยากาศย้อนยุคกลับไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีการแสดงมหรสพทางด้านศิลปวัฒนธรรม มีขบวนพิธีเปิดที่มีตามจุดต่างๆ ภายในเขตเมืองเก่าลพบุรี
สำหรับภาคค่ำมีการประดับประดาไฟหลากหลายสีสัน เป็นที่งดงามมากๆ ครับ
เทศกาลโต๊ะจีนลิง
ทุกเช้าวันอาทิตย์สัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน บริเวณพระปรางค์สามยอดจะมีการจัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนลิง นับเป็นเทศกาลงานประเพณีที่จัดได้ว่าเป็น 1 ใน 10 ของเทศกาลที่แปลกที่สุดในโลก งานนี้จัดเพื่อเลี้ยงบรรดาลิงที่มาอาศัยอยู่ในบริเวณศาลพระกาฬ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นศิษย์ของเจ้าพ่อพระกาฬ รวมถึงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เดินทางมาเที่ยวชมความน่ารักน่าเอ็นดูของเหล่าศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬครับ การเลี้ยงโต๊ะจีนลิงเริ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2532 และจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
หากมาเที่ยวลพบุรี แล้วมาถูกช่วงถูกเวลา ก็เหมือนกับการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว วางแผนมาเที่ยวลพบุรีในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ช่วงเช้ามากินโต๊ะจีน เอ๊ย..มาดูลิงกินโต๊ะจีน บ่ายไปชมทุ่งทานตะวัน เป็นอีกหนึ่งทริปสั้นๆ ในลพบุรีครับ
กระท้อนหวาน ของดีเมืองลพบุรี
ช่วงปลายเดือนมิถุนายน-กลางเดือนกรกฎาคม เป็นช่วงที่กระท้อน นับ 1,000 ไร่ ในเขต ต.ตะลุง จะออกผลมากมาย กระท้อนที่นี่เป็นกระท้อนพันธุ์ปุยฝ้าย ผลมีรสหวาน เปลือกนิ่ม เม็ดมีปุยเหมือนปุยฝ้าย ปัจจุบันมีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระท้อนแช่อิ่ม กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนทรงเครื่อง กระท้อนกวน กระท้อนหยี มีให้เลือกชิมมากมายครับ ใครคอกระท้อนสามารถหาซื้อได้ริมถนนคันคลองชลประทานสายลพบุรี-บ้านแพรก-ท่าเรือ ใกล้ๆ สี่แยกบายพาส จะมีเพิงของชาวบ้านมาตั้งอยู่ริมถนนเป็นแนวยาวเลยครับ
ไข่เค็มศรีสกุล
อีกหนึ่งของฝากที่ขึ้นชื่อของลพบุรีนั่นคือ ไข่เค็มดินสอพอง สามารถหาซื้อได้ที่ร้านศรีสกุล ร้านตั้งอยู่ในหมู่บ้านหินสองก้อน แหล่งผลิตดินสอพองครับ
ไข่เค็มศรีสกุล เป็นสินค้า OTOP ของลพบุรี มีจำหน่ายทั้งปลีกและส่งครับ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 036-640125, 081-9469267
ไปดูที่พักกันบ้าง สำหรับที่พักที่ผมจะแนะนำเป็นที่พักที่อยู่ในเขตเมืองใหม่และเมืองเก่า อยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยว และเป็นที่พักที่ค่อนข้างใหม่ เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่กี่ปีที่ผ่านมาครับ
O2 Hotel
O2 Hotel อยู่ในเขตเมืองใหม่ ตั้งอยู่ระหว่าง Big C และโลตัส ลพบุรี O2 Hotel จะอยู่ในซอย ห่างจากถนนพหลโยธินไม่เกิน 500 เมตร เข้าทางเดียวกับโรงเรียนพระนารายณ์ มีที่จอดรถกว้างขวางเลยทีเดียว
บริเวณ Lobbyค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว
ห้องพักของ O2 Hotel จะมี 3 แบบ แบบแรกคือห้อง Deluxe VIP ภายในจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือห้องนอนและห้องนั่งเล่นครับ เมื่อเปิดห้องเข้ามาจะพบกับส่วนที่เป็นห้องนอน บริเวณห้องนอนจะมีมุมโต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า และทีวี บริเวณห้องนอนสามารถออกไปสูดอากาศด้านนอกระเบียงได้ด้วยครับ
Standard room เตียงเดี่ยว การจัดวางทุกอย่างเหมือนห้องเตียงคู่ครับ แตกต่างกันที่แบบของเตียงเท่านั้น ห้อง Standard Room ราคา 699 บาทครับ
ราคาห้องที่นี่รวมอาหารเช้าแล้ว อาหารเช้า ณ ตอนนี้จะเป็นโจ๊ก และครัวซองแฮมชีส สลับวันกันไป แต่เมื่อห้องอาหารสร้างเสร็จแล้ว ทางโรงแรมจะจัดอาหารเช้าแบบ Buffet ครับ พื้นที่ภายในโรงแรม Free wifi และใช้ระบบ Key Card สำหรับเปิดประตูห้องครับ
เบอร์โทรโรงแรม 064-9677474
The Tempo
The Tempo อยู่ในเขตเมืองใหม่ ไม่ไกลจาก Big C ลพบุรี มีที่จอดรถกว้างขวางเลยทีเดียว
เบอร์โทรโรงแรม 080-5805580, 036-422555
The Grand Place
The Grand Place อยู่ในเขตเมืองใหม่อีกเช่นกัน อยู่ระหว่าง Big C 1 และ Big C 2 ซอยทางเข้าอยู่ตรงข้ามศูนย์ Nissan Lopburi ครับ
The Grand Place เข้าซอยมาไม่ไกล จากถนนพหลโยธิน สามารถมองเห็นโรงแรมได้เลยครับ
ห้องเตียงคู่ธรรมดา ภายในห้องมีตู้เสื้อผ้า ตู้เย็น มุมโต๊ะนั่งทำงาน ทีวี เครื่องปรับอากาศ ราคา 480 บาทครับ
ห้องเตียงเดี่ยวธรรมดา ราคา 480 บาทเช่นกัน
ห้องเตียงคู่ VIP มี 2 ห้องนอน มีทีวีให้ห้องละเครื่อง ราคา 700 บาทครับ
ห้องเตียงเดี่ยว VIP แปลนของห้องเป็นแปลนเดียวกับห้องเตียงคู่ VIP แต่จะเอาเตียงออกไป 1 เตียง และจะเสริมด้วยชุดโซฟาให้นั่งเล่นดูทีวี ราคา 650 บาทครับ
ห้องพักที่นี่ไม่รวมอาหารเช้าครับ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thegrandplacelopburi.com เบอร์โทร 092-4964566, 036-680550
HOP INN
HOP INN อยู่ในเขตเมืองใหม่เช่นกัน อยู่เยื้องกับ Big C ลพบุรี ตั้งอยู่ริมถนนพหลโยธินเลยครับ ห้องพักจะเป็นแบบมาตรฐานของ HOP INN ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ราคาห้องละ 600 บาท ไม่รวมอาหารเช้า แต่จะมีเครื่องดื่มร้อนอย่างกาแฟ และโกโก้ร้อนไว้บริการครับ
เบอร์โทร 063-2057368, 02-6592899
PJ Loft
PJ Loft ตั้งอยู่ใกล้เขตเมืองเก่า อยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของลพบุรีมากนัก อยู่บนถนนสายคันคลอง ลพบุรี-บ้านแพรกครับ
แนวการตกแต่งสไตล์ Loft ครับ
ห้อง VIP มีเพียง 1 ห้อง โดยห้องนี้จะแยกเป็นห้องนั่งเล่นและห้องนอนครับ ภายในห้องนั่งเล่นมีมุมจัดเตรียมอาหารให้ด้วย ห้องนี้ราคา 2,990 บาท ราคารวมอาหารเช้าครับ
ห้อง Standard ราคา 499 บาท ไม่รวมอาหารเช้าครับ การจัดวางอุปกรณ์อำนวยความสะดวกจะเหมือนกันทุกห้อง ยกเว้นภาพวาดตกแต่งบนหัวเตียง แต่ละห้องจะไม่เหมือนกัน ทางโรงแรมจะดึงเอาเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศมาวาดไว้บนหัวเตียง
ด้านหน้าของโรงแรมเป็นที่ตั้งของ LA NOIR Café ด้วยครับ
สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้คือ Free wifi, ทีวีจอแบนพร้อมช่องเคเบิล, ตู้เย็น และมีระเบียงทุกห้องครับ เบอร์โทร 094-9524246
Windsor
Windsor ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า อยู่ห่างจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของลพบุรีเพียงไม่ถึง 1 กิโลเมตร อยู่บนถนนสายคันคลอง ลพบุรี-บ้านแพรก ติดทางรถไฟ ห้องพักของที่นี่จะมี 2 ประเภท คือแบบรีสอร์ทเป็นหลังๆ และแบบเป็นโรงแรมปาร์คครับ
ไปดูแบบรีสอร์ทกันก่อนครับ ห้องนี้เป็นแบบ Double Bedded VIP Room และ Twin Bedded VIP Room รูปแบบของห้องเหมือนกันหมด ยกเว้นเตียงเป็นแบบเตียงใหญ่ และเตียงเล็ก 2 เตียง ราคาห้องละ 690 บาท เข้าพักได้ 2 ท่าน ราคาไม่รวมอาหารเช้า แต่ถ้าต้องการอาหารเช้า (ข้าวต้ม กาแฟ ขนม น้ำดื่ม น้ำอัดลมในห้องพัก) เพิ่ม 100 บาท/ห้อง ทุกห้อง Free Wifi ครับ
ห้องพักอีกแบบหนึ่งเป็นแบบโรงแรมปาร์ค มีห้องพัก 2 แบบ คือแบบ Double Bedded Room ราคา 650 บาท และแบบ Twin Bedded Room ราคา 690 บาท พักได้ 2 ท่าน ราคารวมอาหารเช้าแบบ Buffet ทุกห้อง Free Wifi ครับ
เบอร์โทรติดต่อ 036-422554, 036-422844
ไปต่อกันที่ร้านอาหารกันบ้างครับ ขอเริ่มที่...
บ้านสหายคาเฟ่
บ้านสหายคาเฟ่ตั้งอยู่เยื้องๆ ด้านหน้าวังนารายณ์และเยื้องด้านหลังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ร้านเปิด 11.00-22.00 น. ครับ
ร้านนี้เป็นร้านอาหารตามสั่ง เมนูหลากหลาย แต่ผมว่าเมนูเด็ดของที่นี่ ที่ผมมาทุกครั้งจะต้องสั่งคือเมนูอาหารอีสานครับ ไม่ว่าจะเป็นส้มตำปลาร้า ส้มตำหอยแครง ยำขนมจีน ยำถั่วพู ยำเนื้อกระเทียมโทน ปีกไก่ทอด ขอบอกเลยว่าถ้าใครคอปลาร้า รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน รสชาติแซบนัว อาหารมาค่อนข้างเร็ว ราคาไม่แพงด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีกาแฟร้อน กาแฟเย็น รวมถึงเบเกอรี่ด้วย ร้านนี้นับเป็นร้านประจำของผมไปแล้ว แนะนำว่าให้โทรสำรองโต๊ะล่วงหน้าก่อนที่เบอร์090-9247147 ครับ
เตี๋ยวเรือชามอ่าง
พิกัดร้านอยู่เลยหมู่บ้านหินสองก้อน และร้านของฝากไข่เค็มศรีสกุลไปเล็กน้อย ร้านนี้ไม่ได้ขายแต่ก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกอย่างเดียว ยังมีก๋วยเตี๋ยวต้มยำโบราณ เย็นตาโฟ เกาเหลา รสชาติแทบไม่ต้องปรุงรสเพิ่มเลยครับ ผมไปทีไรก็ไม่เคยปรุงรสเพิ่มสักที สำหรับขนาดมี 3 Size คือ Size ธรรมดา พิเศษ และ ชามอ่าง (ชามอ่างคือชามสีเขียว โดยปริมาณคือธรรมดา 2 ชาม)
โดมข้าวมันไก่
ใครคอข้าวมันไก่ ไม่อยากให้พลาดกับร้านโดมข้าวมันไก่ครับ ข้าวนุ่ม ไก่นุ่ม น้ำจิ้มเด็ด น้ำซุปหอมหวาน พิกัดอยู่หน้าโลตัส ลพบุรีครับ
เจ๊หมวย
ร้านเจ๊หมวย อยู่ถนนรอบนอกวงเวียนสระแก้ว ตั้งอยู่เยื้องๆ สวนสัตว์ลพบุรี เปิดให้บริการช่วงเย็น เป็นร้านข้าวต้มและอาหารตามสั่งครับ จริงๆ ร้านข้าวต้มยังมีอีกหลายร้านที่ดัง เช่น ร้านฮ้อ อยู่ในเขตเมืองเก่าด้านหน้าสถานีรถไฟ ร้านนี้ก็เป็นร้านชื่อดังของลพบุรีครับ
บุญศรีสมบัติ
ร้านเก่าร้านแก่ที่อยู่คู่อำเภอบ้านหมี่มากว่า 53 ปี ร้านนี้ขายอาหารตามสั่ง ทั้งกับข้าวและก๋วยเตี๋ยวครับ ของเด็ดร้านนี้อยู่ที่ลูกชิ้นปลากรายแท้ที่ขูดเอง ทำเอง สำหรับเมนูเด็ดประจำร้านคือ เชิงปลากรายทอดกระเทียมพริกไทย แกงป่าลูกชิ้นปลากราย ยำลูกชิ้นปลากราย ลูกชิ้นปลากรายลวกจิ้ม ส่วนเมนูก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ได้น้อยหน้าครับ บะหมี่ที่นี่ทำเอง เส้นเหนียว นุ่ม มาร้านศรีสมบัติแล้ว ไม่อยากให้พลาดเมนูเกยซี่หมี่ ซึ่งเดี๋ยวนี้หาทานยากแล้ว เพราะกรรมวิธีค่อนข้างยุ่งยากในการทำเส้น ที่จะต้องลวกแล้วนำมาทอดให้ได้ที่ จึงทำให้เส้นบะหมี่มีความกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นกระทะ เกยซี่หมี่มีทั้งหมู กุ้ง และรวมมิตรครับ
ร้านเด็ดร้านดังของลพบุรีไม่ได้มีแค่นี้นะครับ ยังมีอีกหลายร้านเลยที่ผมยังไม่ได้ออกไปถ่ายภาพมาลงให้ แต่ขอแนะนำในนี้ก่อนละกัน ถ้าเป็นร้านอาหารตามสั่งประเภททานกับข้าว แนะนำร้านมัดหมี่, บัวหลวง, บ่อเงินปลาเผา, แพบ้านริมน้ำ, ไทยสว่างเรือนไทย แต่ถ้าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ต้องเฉลิมไทยก๋วยเตี๋ยวต้มยำ, ล้วน, ผัดไทยบุรีครับ
นอกจากนี้ทุกๆ ค่ำ บริเวณถนนรอบนอกของวงเวียนสระแก้ว (ติดกรมทหาร) และบริเวณถนนเลียบทางรถไฟในเขตเมืองเก่า จะมีตลาดโต้รุ่ง มีร้านค้ากว่า 20 ร้านมาเปิดขายอาหารทั้งคาวหวานให้เลือกชิมกันตามอัธยาศัยเลยครับ
สำหรับการเดินทางมายังลพบุรี มาได้ทั้งทางรถยนต์และรถไฟ
ทางรถยนต์ หากมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวสามารถมาได้ทั้งถนนพหลโยธิน ผ่านสระบุรี และเข้าสู่ลพบุรี หรือจะมาทางสายเอเชียก็ได้ โดยสามารถแยกเข้ามาทางอำเภอท่าเรือ ขึ้นสะพานต่างระดับเพื่อเลี้ยวขวา แล้วเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกเจ้าปลุก จากนั้นตรงดิ่งอย่างเดียวสู่ อ.เมืองลพบุรีเลยครับ หรืออีกหนึ่งเส้นทาง วิ่งตรงตามสายเอเชีย จนถึงจังหวัดสิงห์บุรี จะมีสะพานต่างระดับเข้าเมืองลพบุรีโดยขึ้นสะพานเพื่อเลี้ยวขวา จากนั้นตรงดิ่งสู่ อ.เมืองลพบุรีได้เช่นกัน
การเดินทางโดยรถตู้โดยสาร จากกรุงเทพ สามารถขึ้นได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต รถตู้หมดระยะที่ลพบุรีมี 4 วิน โดยจะแยกเป็นวิ่งสายเอเซีย 2 วิน และสายพหลโยธิน 2 วินครับ สำหรับท่ารถตู้ที่ลพบุรี ที่แต่ละวินจะมาจอดรับส่งผู้โดยสารกระจายอยู่ในตัวเมือง 2 จุดคือ หน้าสถานีรถไฟ และหน้าศาลพระกาฬ อีกหนึ่งวินจะอยู่ตรงวงเวียนสระแก้ว บริเวณปากทางเข้าสวนสัตว์ลพบุรี และอีกหนึ่งวินจะอยู่ตรงวงเวียนพระนารายณ์ บริเวณหน้าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคลพบุรีครับ
สำหรับทางรถไฟ ก็ค่อนข้างสะดวกครับ ลงรถไฟที่สถานีรถไฟลพบุรี แล้วสามารถเดินเที่ยวในเมืองเก่าได้เลย
ลพบุรีไม่ได้มีดีแค่สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อย่างเดียวนะครับ แต่ยังมีวัดวาอาราม มีเขื่อน มีอีกหลายสิ่งอย่างที่น่าสนใจ หากเพื่อนๆ มีเวลาไม่มาก ลองหาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มาเที่ยวลพบุรีดูนะครับ จะมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ หรือจะเที่ยวแบบสบายๆ ค้างคืนสัก 1 คืน แล้วถ้าหากว่ามาเที่ยวถูกช่วงถูกเวลาด้วย จะทำให้วันหยุดของเพื่อนๆ เป็นวันหยุดสุดพิเศษแน่นอนครับ หวังว่ารีวิวนี้คงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่วางแผนจะมาเที่ยวที่จังหวัดลพบุรี ขอให้มีความสุข สนุกกับการท่องเที่ยวในจังหวัดลพบุรีนะครับ
ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ : วิกิพีเดีย
ภาพประวัติศาสตร์ : เพจ ตามรอยวัดเก่า ลุ่มน้ำลพบุรี
ลุงเสื้อเขียว
วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 23.16 น.