#แบกเป้เที่ยว ดอยหลวงตาก
ป่าหน้าฝน สายหมอก และทุ่งหญ้าลู่ลมที่ตามหา บนความสูง 1,175 เมตร จากระดับน้ำทะเล
#นี่ลมหรือพายุคะ
ไม่รู้กลายเป็นผู้หญิงสายป่า สายเขา ตั้งแต่ตอนไหน แต่ที่รู้ๆ คือตอนนี้หลงรักภูเขาเข้าซะแล้ว นี่คือการเดินทางของ 5 สาว 1 เจ้าหน้าที่ และ 1 ลูกหาบ ตะลุยดอยหลวงตากเมื่อยามหน้าฝน เมื่อวันที่ 12-13 สิงหาคม ที่ผ่านมานี่เองค่ะ เค้าว่ากันว่าช่วงฤดูฝนจะเป็นช่วงที่ป่าไม้อุดมสมบูรณ์มากที่สุด ลมแรงมากที่สุด ทากเยอะ และอากาศแปรปรวนมากที่สุด บอกเลยว่าต้องไปลุ้นเอาข้างหน้า อยู่ที่จังหวะและโอกาสล้วนๆ และต้องแบกเป้เดินเท้าขึ้นไปประมาณ 11 กิโล ใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงโดยประมาณ
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมไป
ต้องเตรียมไปเองทุกอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเต้นท์ ถุงนอน อาหาร เสื้อผ้า ถุงกันทาก เสื้อกันฝน น้ำดื่ม เพราะด้านบนนั้นไม่มีอะไรเลย มีแค่ลานกางเต้นท์ แหล่งน้ำตามธรรมชาติ(ที่กินได้) และส้วมหลุมเท่านั้น เราพยายามเอาเสื้อผ้าของใช้ไปให้น้อยที่สุดค่ะ เพราะเราต้องแบกกระเป้ขึ้นไปเอง หรือใครจะจ้างลูกหาบก็ได้ค่ะ
ตั้งอยู่ในวนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข ต.ทุ่งกระเชาะ อ.บ้านตาก จ.ตาก เปิดให้ขึ้นเฉพาะวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ต้องมีเจ้าหน้าที่ของอุทยานขึ้นไปด้วย ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปเองเพราะรับรองเลยว่าหลงทางแน่นอน
ค่าใช้จ่าย
คนละ 2,090 บาท
ค่ารถทัวร์ VIP ไปบ้านตาก 695 บาท
ค่ารถ (รถเสริม) กลับกรุงเทพ คนละ 420 บาท
ค่าของกิน+อื่นๆ 1275 ( รวม 5 คน คนละ 255 บาท)
ค่าเจ้าหน้าที่ 1,200 บาท
ค่าลูกหาบ 1,200 บาท
ค่ารถรับ-ส่ง 1,200 บาท
การเดินทาง
คนไม่มีรถ : นั่งรถทัวร์มาลงที่ แยกบ้านตาก จะมีรถของเจ้าหน้าที่อุทยาน/หรือรถกระบะของชาวบ้านมารับ จะแวะตลาดเช้าเพื่อซื้อเสบียง แล้วพาเราไปยังเทศบาล ต.ทุ่งกระเชาะ อาบน้ำ แพคกระเป๋า แพคของที่จะให้ลูกหาบ แล้วนั่งรถจากจุดนี้ไปยังทางขึ้นดอยหลวงตาก
ราคา 1,200 (ไป-กลับ ท่ารถแยกบ้านตาก - เทศบาล ต.ทุ่งกระเชาะ - ทางขึ้นดอยหลวงตาก)
รถส่วนตัว : สามารถนำรถมาจอดไว้ที่เทศบาล ต.ทุ่งกระเชาะ ได้เลยค่ะ แล้วต้องนั่งรถไปยังทางขึ้นดอยหลวงตาก
ราคา 600 (ไป-กลับ เทศบาล ต.ทุ่งกระเชาะ - ทางขึ้นดอยหลวงตาก)
เริ่มเดินทางกันเลยค่ะ
...
..
.
01
"ศาลารอ"
พวกเรานั่งสมบัติทัวร์มาถึงแยกบ้านตากตอนเกือบๆ ตี 5 ค่ะ พี่นพดลจะมารับพวกเราตอน 6 โมงเช้า ก็นั่งรอตรงศาลาข้างทางนี้ได้เลยค่ะ
ถ้าใครอยากเข้าห้องน้ำ สามารถข้ามถนนไปอีกฝั่ง ห้องน้ำจะอยู่ที่ป้อมตำรวจค่ะ
02
"ตลาดเช้าที่บ้านตาก"
พี่นพดลพาพวกเรามาเดินตลาดเช้า ซื้อน้ำ ซื้อเสบียง ดูวิถีชีวิตอาหารการกินของชาวบ้านตากกัน นอกจากจะมีตลาดแล้ว ใกล้ๆ กันมีโลตัส และเซเว่น(กำลังสร้าง)
อาหารที่เราต้องเตรียมไปทั้งหมด 4 มื้อ คือ มื้อเช้าของวันนี้ มื้อเที่ยงตอนเดินขึ้นเขา มื้อเย็นก่อนนอนบนเขา และมื้อเช้ากับมื้อเที่ยงตอนเดินลงจากเขาอีกวันนึงค่ะ
ง่ายเลยๆ ข้าวเหนียวหมูฝอย ข้าวเหนียวไก่ทอด ไข่ต้ม กล้วย มาม่า
03
"เตรียมตัวก่อนขึ้นเขา"
มาถึงเทศบาลตำบลทุ่งกระเชาะก็แยกของที่จะให้ลูกหาบหาบขึ้นไป โดยลูกหาบจะเตรียมถุงมา 1 ถุง เท่าถุงกระสอบไว้ใส่ของของพวกเราค่ะ
ใครขับรถมาก็มาจอดไว้ที่นี่ และแนะอาบน้ำให้เรียบร้อย เพราะขึ้นไปบนดอยหลวงตากจะไม่ได้อาบน้ำแน่นอน
พร้อมแล้ว!!!
ขึ้นรถของพี่นพดลคนเดิม 5 สาวจากแดนใต้ มาพร้อมกับ ลุงบุญธรรม ลูกหาบของเรา และ เจ้าหน้าที่พล เจ้าหน้าที่ที่คอยนำทางดูแลพวกเราในทริปนี้
04
"สุขสันต์วันแม่"
ก่อนขึ้นเขาวันนี้ ฤกษ์งามยามดี มีกิจกรรมดีดี เนื่องจากเป็นวันที่เราขึ้นตรงกับวันแม่ 12 สิงหาคม พวกเราทุกคนจึงได้ร่วมกันปลูกต้นไม้คนละ 1 ต้นค่ะ มีต้นพิกุล ต้นราชพฤกษ์หรือดอกคูน อยากปลูกต้นไหน เลือกปลูกได้เลย
เราเลือกปลูกดอกคูนค่ะ เพราะเงินเดือนจะได้คูนๆ ฮ่าๆๆๆๆ เกี่ยวมั้ย
05
"ออกเดินทาง"
ช่วงเช้าทางเดินขึ้นไปยังดอยหลวงตาก เป็นทางสบายๆ ไม่อยาก เดินผ่านน้ำตก ผ่านป่าไผ่ มีจุดแวะให้ถ่ายรูปบ้าง แนะนำว่าให้ถ่ายรูปตั้งแต่ตอนขึ้นเลย เพราะขากลับลงมาก็อาจจะไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปแล้ว 555
อ้ออ อย่าลืมพกน้ำดื่มติดตัวไปด้วยนะคะ คนละ 1 ขวด ไว้ดืม ไว้จิบระหว่างการเดินทาง ขนาดขวด 1.5 ลิตรกำลังดีค่ะ ขากลับค่อยเติมน้ำจากข้างบนลงมา
06
"ขออนุญาตผ่านทางค่ะ!!!"
ก๊องแก๊ง ก๊องแก๊ง
เสียงกระดิ่งคล้องคอวัว ส่งเสียงให้เราได้ยินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นเรื่องปกติที่เราจะเจอกับฝูงวัวหลายตัว ยืนมองคนแปลกหน้าแบบเราเราแบบไม่ละสายตา มองกันไปมองกันมา แถมยืนอยู่ตรงจุดที่เราต้องใช้เดินผ่านไปด้วย นาทีนี้ต้องให้เจ้าหน้าที่พลส่งเสียงไล่วัวไป พวกเราถึงจะได้เดินทางกันต่อ ฮาาาา
07
"ไม่ไหวอย่าฝืน กินมื้อเที่ยงกัน"
เรานั่งทานมื้อกันตรงจุดนี้ค่ะ จุดที่จำชื่อไม่ได้ ตรงจากจุดนี้เป็นต้นไป ทางจะค่อยๆ ชันขึ้นไปเรื่อยๆ แล้ว
08
"ใช่เลย!!!"
หน้าตามื้อเที่ยงของเรา ดูแปลกๆ คุ้นๆ ข้าวเหนียวหมูฝอย ไข่ต้ม กล้วยน้ำว้า เพื่อนตะโกนมาบอกว่า ถ้าปักธูปด้วยนี่เหมือนเลย อ๋ออออออ 555555555
09
"มือที่ 3"
อย่างที่บอกไปค่ะว่าทางจะค่อยๆ ชันขึ้นไปเรื่อยๆ ใครที่ไม่ได้นำไม้ค่ำมาก็ต้องอาศัยหาเศษไม้ที่ขนาดเหมาะมือไว้ช่วยค่ำเดิน
10
"ลุงคือผู้ช่วยชีวิต!!"
แน่นอนว่าแค่เดินแบกเป้ธรรมดาก็เหนื่อยมากแล้ว ถ้าบวกกับเดินขึ้นเนินชันๆ ไปเรื่อยๆ ความเหนื่อยก็เพิ่มเข้าไปอีก การมีไม้ค้ำจึงเป็นเรื่องที่ดีค่ะ ลุงตัดไม่ไผ่จากต้นไผ่ข้างทาง ตอนที่พวกเรากำลังนั่งพักเหนือยกัน ไม้ไผ่ขนาดเหมาะมือกำลังดีเลย
นอกจากหยิบกล้องมาถ่ายรูปวิวไปเรื่อยๆ แล้ว เดินตามผู้ชายก็คืออีกหน้าที่ของพวกเราค่ะ 555
11
"จุดหมายอยู่ตรงนู้น"
ยอดแหลมๆ ที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่นคือจุดที่เราต้องเดินไปให้ถึง ส่วนโล้นหลวงจะอยู่ตรงเนินเขาถัดไปตรงที่หมอกบังไว้อยู่
สันแคบๆ ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดิน
ทางค่อยๆ ชันขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าหน้าที่พลบอกกับพวกเราว่า ต้องพักประมาณ 15 จุด แล้วจะถึง ยิ่งเดินขึ้นไปยิ่งชัน จุดที่นั่งพักจึงมีถี่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็นั่งพักกันทุกจุด ฮ่าๆๆ
ภาพนี้ถ่ายตอนกำลังนั่งพักอยู่จุดจุดหนึ่ง เห็นมดดำตัวใหญ่กำลังเดินขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ที่กำลังเอนเหมือนจะล้มต้นนี้ มดดำก็คงเหมือนพวกเราที่กำลังค่อยๆ เดินไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าปลายทางอยู่ข้างหน้าแล้ว ขอแค่ใจสู้ ก้าวขาเดิน ยังไงก็ถึงแน่นอน
"ต้นไทรยักษ์" ที่เจอระหว่างทาง
มองเห็นวิว จ.ตาก อยู่ไกลๆ
12
"ด่านโหดสุดท้าย แต่ไม่ท้ายที่สุด"
ก่อนจะถึงขึ้นถึงเนินสนสองใบ เรายกให้จุดนี้เป็นจุดที่เดินขึ้นยากที่สุดค่ะ เพราะเป็นเนินทางชันมาก เอียงเกือบ 90 องศาแหนะ!!! แถมเป็นดินเละๆ ลื่นๆ ยิ่งเพิ่มความยากขึ้นไปอีก
ในรูปเป็นภาพที่ถ่ายตอนเดินลงค่ะ เดินขึ้นนี่ไม่มีอารมณ์หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเลย ขึ้นมาถึงเนินสนสองใบได้ นี่ก็แทบจะนอนยาว เขวี้ยงกระเป๋าทิ้ง แล้วก็บ่นกับตัวเองว่า นี่กุขนอะไรมาเยอะแยะวะ
ต้นสนสูงใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในจูราสสิกเวิล ฮ่าาๆ
13
"หายเหนื่อย"
เดินจากลานสนสองใบไปอีกไม่ไกล เราก็มาเจอกับวิวแบบนี้ โอ้ยยย หายเหนือยเลย เจอวิวแบบนี้เหมือนได้ชาร์ตพลังให้เราลุยกันต่อ
ยอดแหลมๆ ที่เราเห็นจากด้านล่าง ก็คือยอดตรงนี้นี่เองค่ะ ได้ยินเพื่อนเรียกว่าผาหน้าลิง แต่เราไม่ได้เดินขึ้นไปบนยอดตรงนั้นนะคะ เราจะต้องฝ่าดงกล้วยไปกางเต้นท์กันก่อน แล้วค่อยกลับมาถ่ายรูปตรงนี้กัน
คุณลุงบุญธรรมกับเจ้าหน้าที่เล่าให้เราฟังว่า โชคดีมากที่วันนี้ฟ้าเปิดให้เห็นวิวและลมไม่แรง พวกเราจึงยืนถ่ายรูปกันได้ เพราะปกติแล้วลมจะพัดแรกมากๆ แทบจะยืนกันไม่ได้เลย
แต่อีกวันตอนขากลับ เจอกับตัวเองเลยว่า ลมที่เค้าบอกว่าแรงนั้น มันแรงยังไง
วิวข้างหน้าคือ "โล้นหลวง"
14
"พร้อมฝ่าดงทาก"
ก่อนจะถึงลานกางเต้นท์นั้น เราต้องผ่านป่ากล้วยกันก่อนค่ะ ป่ากล้วยที่เค้าร่ำลือว่าคือดงทาก ใครมีถุงกันทากก็หยิบมาใส่เตรียมพร้อมได้เลย สเปรย์ตะไคร้ฉีดกันทากกันแมลงที่เตรียมมาก็เอามาฉีดให้หอมฟุ้งให้หมด ตอนนี้ทุกอย่างได้ห่อหุ้มร่างกายเราไว้หมดเลย (เหลือแค่หน้าและมือ) ไม่เหลือพื้นที่ให้นังทากมาดูดเลือดได้ ร่างกายพร้อมปะทะมากค่ะ
15
"ของจริง"
ป่ากล้วยของจริงน่าเกรงขามไว้อย่างที่เราคิดเปะๆ อากาศชื้นๆ ต้นกล้วยที่สูงเลยหัวเราไปอีก แถมทางที่เดินทั้งลื่นและเละอีก พื้นที่แบบนี้มิน่านักทากถึงชอบกันนัก เราใช้เวลาเดินอยู่ในดงป่ากล้วยประมาณ 7 นาทีค่ะ โชคดีที่ไม่มีใครเสียเลือด
แหม่!! กลิ่นตะไคร้แรงซะขนาดนั้น เรียกว่าแทบจะอาบกันเลยก็ว่าได้
แต่ไม่เจอทากก็เหมือนมาไม่ถึงป่าหน้าฝนสิคะ เจอเลยค่าาาา เจอตอนกำลังชุลมุนกางเต้นท์กัน เกาะตรงไหนให้ทาย...
เกาะตรงปลายนิ้วมือจ้าาา จุดที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด คือจุดที่อันตรายที่สุดค่ะ 5555 เห็นปุบเราก็แหกปากร้องปั๊ป พร้อมทำท่าดีดมันออกไป แต่ทากมันเกาะแน่นมาก ยืนมือไปตรงไหน เพื่อนพร้อมกระโดดหนี สุดท้ายยื่นไปให้ลุงเอาออกให้ทัน แบบไม่ต้องเสียเลือด
หลังจากตอนนั้นเราก็มีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวงตลอด 5555 ลุงบุญธรรมบอกเราตอนหลังว่า ทากตัวที่เกาะที่นิ้วเรานั้นเป็นชนิด "หลังเขียว" คือมันจะอาศัยอยู่ตามที่สูงๆ ตั้งแต่หัวเข่าขึ้นไป ลุงบอกบางทีเกาะมาถึงเอว เกาะถึงหน้าเลยก็มี
16
"ค่ำคืนที่โหดร้าย"
ทันทีที่มาถึงลานกางเต้นท์ ฝนก็เทลงมา ไม่มาคนเดียวนะ เอาทั้งลมแรงและลมหนาวมาด้วย !! แรงขนาดที่ว่า สมอบกที่ปักดินไว้ก็ไม่อยู่
ทุกคนชุลมุนกับการช่วยกันสร้างบ้านหลังเล็กๆ ทำบ้านหลังนี้ให้แข็งแรง มีเจ้าหน้าที่พลมาช่วยเราตอกท่อนไม้ลงดินไว้ยึดกับเต้นท์เพื่อให้บ้านของเราดูแข็งแรงยิ่งขึ้น ลุงบุญธรรมรวบรวมเอาขวดเปล่าที่มี ไปเติมน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาให้พวกเราได้กินได้ใช้กัน
สภาพอากาศแบบนี้พวกเราจึงไม่ได้กลับลงไปที่ยอดแหลมๆ ที่จะลงไปเก็บภาพกันหลังจากกางเต้นท์เสร็จ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ลมที่พัดมากลับก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากปาร์ตี้มาม่าจบลง ทุกคนต่างเข้าประจำเต้นท์ของตัวเอง เพราะไม่สามารถทนกับลมหนาวที่พัดมาให้เย็นจี๊ดดดๆ ได้
ในรูปคือสภาพเต้นท์ของพวกเราในเช้าวันถัดมาค่ะ เราหลับไปตั้งแต่ 6 โมงเย็น 55555555555 หลับสนิทแต่ก็ยังได้ยินเสียงลมทั้งคืน มากันเป็นพายุ กลัวมาก กลัวตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองไปนอนอยู่บนยอดไม้
สะดุ้งตืนมาตอนตี 4 ครึ่ง เพื่อนบอกว่าบลูชีทที่เราทำเป็นหลังคามันขาดวะ ต้องออกไปผูกใหม่ สักพักฟลายชีทขาดอีก ไม้ที่ตอกไว้หลุด เชือกก็ขาด และอะไรที่ผูกกับเชือกฟางนี่ขาดหมดเลย ได้แต่ภาวนาให้เช้าเร็วๆ เพราะลมอาจจะเบาลงก็ได้
17
"เช้าสักที"
เช้าแล้วลมก็ค่อยเงียบและเบาลง เราตื่นออกมาดูเห็นสภาพเต้นท์ของกลุ่มข้างๆ คงผ่านศึกหนักมาพอสมควร เพราะได้ยินเสียงตอกเต้นท์ ซ่อมเต้นท์กันทั้งคืน
อ้อลืมบอกไปว่า วันที่เราไปดอยหลวงจากมีนักท่องเที่ยวกันแค่ 3 กรุ๊ปเท่านั้น
18
"พร้อมออกไปเจอวิวสวย"
หลักจากทานมื้อเช้า ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย คนก็ต้องสวยเพื่อออกไปเจอวิวสวยๆ ด้วย ไม่ใช่อะไรหรอกเพื่อนบอกว่า กูเคยมีประสบการณ์ไปเที่ยวเขาแบบนี้หน้าศพแล้วออกไปถ่ายรูปกัน สรุปคือพังทุกรูป!!! ครั้งนี้เลยอยากมีรูปสวยๆ พร้อมหน้าก็ต้องสวยด้วย
โอเค กูเอาด้วย 5555555555
19
"จังหวะ และ โอกาส"
บอกเลยว่าพวกเราเป็นกลุ่มที่โชคดีมากค่ะ ที่วันนี้ฟ้าเปิดให้เราเห็นวิวกัน แต่ลมด้านบนนี้ยังคงแรงเหมือนเดิม
20
"ภาพหมู่"
ไหนๆ ก็ขึ้นมาตรงจุดนี้ได้ ก็ต้องขอถ่ายภาพเป็นที่ระทึกกันหน่อยค่ะ
ได้เห็น "โล้นหลวง" แล้วลมโคตรแรงงงงง!!! และถ้าเราเดินข้ามโล้นหลวงไป เราจะไปเจอกับต้นสนเดียวดายค่ะ
21
"อากาศเปลี่ยนตลอดเวลา"
เมื่อกี้ฟ้ายังเปิดอยู่เลย ตอนนี้หมอกเริ่มลงหนาอีกแล้ว ลุงบุญธรรมและเจ้าหน้าที่บอกให้พวกเราเริ่มเดินกลับกัน เพราะเห็นฝนกลุ่มใหญ่กำลังมา
ตรงจุดนี่เมื่อกี้ฟ้ายังเปิดเห็นวิวไกลๆ อยู่เลย ตอนขาวโพลนไปด้วยหมอก มองไม่เห็นอะไรเลย แถมลมก็เริ่มแรงมากขึ้นไปอีก พวกเราจึงรีบกลับลงไปเก็บเต้นท์กันค่ะ
22
"สุขาอยู่หนใด"
ในทริปนี้จะไม่พูดถึงห้องน้ำก็คงไม่ได้ แน่นอนค่ะว่าบนนี้ไม่มีห้องน้ำ ผู้หญิงแบบเราๆ นี่ลำบากมากจริงๆ จะไม่ปวดปัสเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ จะอิจฉาผู้ชายก็ตรงนี้แหละ 5555
ในรูปที่เห็นก็คือห้องน้ำสำหรับผู้หญิงแบบเราๆ ค่ะ เป็นเวจแบบดิบๆ ที่แท้ทรู ส้มที่ถูกขุดเป็นหลุม มีแผ่นไม้รองไว้ด้านบน ก้นด้วยสแลนตาข่ายสีเขียว ประตูใช้ระบบมืดเปิดปิด เอามือจับให้ดีดีเพราะลมแรงระวังประตูเปิด ฮ่าาา
ก่อนใช้นี่เราเดินทำใจอยู่ 2 รอบ เอาวะ สว่างจ้าแบบนี้ก็ดีว่าปัสข้างเต้นท์ละวะ เรื่องกลิ่นไม่ต้องพูดถึงนะคะ มีคนจัดหนักจัดเต็มไว้หมดแล้ว แนะนำว่าอย่าก้มลงไปดู เงยหน้ามองฟ้าวนไปค่ะ เพราะเราก้มไปดูแล้ว คือบับบบ 55555555555
23
"ขากลับยากกว่าขาไป"
ขาไปเราใช้เวลา 6 ชั่วโมง ขากลับใช้เวลาเดินแค่ 4 ชั่วโมง ที่ว่ายากกว่าขาไปคือทางลื่นมากโดยเฉพาะที่ดงกล้วย ทางอย่างเละ เพราะฝนเพิ่งตกมาหมาดๆ
ยิ่งไปกว่านั้นคืออาการปวดเข่าของเราก็เริ่มสำแดงฤทธิ์เดชออกมาให้รู้สึกปวดแปรบๆ ตลอดทางเดินลง ทำให้เราต้องเดินช้าลงไปอีก
24
"แปปซี่ความหวังและกำลังใจ"
เจ้าหน้าที่พลให้ความหวังพวกเราไว้ตั้งแต่ตอนเดินขึ้นไปแล้วค่ะ ว่าข้างบนมีรถมาขายแปปซี่ด้วย พวกเราจึงมีกำลังใจ แรงใจเดินมากขึ้นเพื่อที่จะได้กินแปปซี่ แต่พอไปซึ่งเรากลับเจอแค่รถมอเตอร์ไซค์จอดไว้ เปิดไปที่ฝาลังด้านหน้าก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า กับ รองเท้า 1 คู่ ใช่ค่ะ แปปซี่!! ของเรา!! หมดแล้ว!! โคตรเสียใจเลย
ขากลับลงมาก็ไม่ได้หวังว่าจะเจอแปปซี่อีกเลย จนเกือบใกล้จะเดินถึงจุดหมาย ก็พบว่ามีแปปซี่เย็นๆ รอเราอยู่ข้างหน้าแล้ว
เป๋ซ้าย (เรา) เป๋ขวา (เพื่อน) ที่เดินอยู่รั้งท้ายกลุ่ม มีเสียงตะโกนบอก "ครึกครื้นหน่อยเฮ้!!!" ของเจ้าหน้าที่พล และ แป๊ปซี่เย็นๆ ที่คอยเป็นแรงใจให้เรารีบเดินมาอยางรวดเร็ว 5555
"ชื่นใจโว้ยยยยยยยยยยยย"
25
"จบทริปกลับบ้านแบบมีความสุขพร้อมอาการปวดขา"
ดอยหลวงตากจะเป็นอีก 1 ทริปดีดีในความทรงจำ โหด มัน ฮา นึกถึงพูดถึงเมื่อไหร่จะยิ้มได้ตลอด ขอบคุณที่ทำให้พวกเราได้เจอคนดีดี เพื่อนร่วมทางที่ดี ขอบคุณพี่นพดล(เพิ่งรู้ว่าพี่นพดลเป็นหัวหน้าวนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข) ที่เป็นธุระช่วยติดต่อประสานทุกอย่างให้หมด ก่อนไปส่งพวกเราที่ป้อมตำรวจ ก็พาพวกเราไปไหว้พระก่อนกลับ กทม. อีกด้วย T^T
บันทึกผู้พิชิตยอดดอยหลวงตาก 12-13 สิงหาคม 2561 เย้!!!
ติดต่อ
facebook : ดอยหลวงตาก วนอุทยานน้ำตกห้วยแม่ไข
หัวหน้านพดล 089-566-3202 , 083-012-6713
ดอยหลวงตากเปิดให้เดินช่วงเข้าหน้าฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนหมดหน้าหนาวและจะปิดช่วงหน้าร้อนเพราะมีไฟป่า
ตามไปเที่ยวกัน วันศุกร์ขึ้นเขา วันเสาร์ลงห้วย