หนองเขียว
… เมืองที่ต้องอยู่ในลิสต์ ของเหล่า Backpackers ทุกคน
และนักเดินทางสาวไทยคนนี้
ภาพจาก ig ของนักเดินทางทุกคนที่ได้มาเยือนหนองเขียว จากวิวภูเขาสูง ที่เบี้องล่างเป็นเมืองเล็กๆ มีแม่น้ำไหลผ่าน สะพานเชื่อมให้ผู้คนสัญจรไปมาหาสู่ระหว่างกัน หมอกสีขาวคลอเคลียไปกับภูเขาน้อยใหญ่ เห็นแล้วช่างดึงดูดนักท่องเที่ยวขาลุยแบบเราให้ไปเยือนยิ่งนัก แล้วใครจะรู้ว่าวันนี้ การมาเที่ยวลาวครั้งแรกในชีวิต เราได้มาเหยียบเมืองในฝัน พิชิต View Point อย่างที่ต้องการแล้ว
นี่เป็นแผนที่เมืองหนองเขียวที่เราบังคับให้น้องสาววาดให้ แล้วเอามาทำต่อในคอมอีกเล็กน้อย เพื่อที่จะให้เห็นบรรยากาศโดยรวมของเมืองหนองเขียว ที่เราได้ไปประสบพบเจอมาด้วยตัวเอง หากข้อมูลหากผิดพลาดประการใด แนะนำติชมได้เลยนะคะ
ออกเดินทางสนามบินดอนเมืองไปกับสายการบินแอเอเชียร์บินตรงสู่หลวงพระบาง ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงหลวงพระบางแล้ววว หลังจากเช็คเที่ยวรถไปหนองเขียวแล้ว เราต้องค้างคืนที่หลวงพระบางก่อน เพราะเราบินมาถึงที่นี่ก็ 4 โมงเย็น เที่ยวรถไปหนองเขียวมีแค่ 3 เที่ยวเท่านั้น คือ รอบ 9 โมง 11 โมง และรอบ บ่าย 2 โมง
เช้าวันเดินทางไปหนองเขียว เราตื่นเช้าตักบาตรข้าวเหนียว หามื้อเช้าทานแถวๆ ที่พัก เช็คเอ้าท์ตอน 8 โมง หลังจากสอบถามกับ หนุ่มชาวลาวพนักงานของ Pakhongthong Villa, Saynamkhan ที่มาต้อนรับเราเมื่อวาน เค้าบอกว่าถ้าพี่เรียกรถไปเองจะดีกว่า เพราะถ้าให้ที่นี่เรียกให้เค้าจะบวกเพิ่ม เช้านี้เราจึงต้องแบกกระเป๋าเพื่อหาตุ๊กตุ๊กเพื่อไปส่งเราที่ บขส.สายเหนือ
ได้รถไปส่งที่ บขส. แล้ว คิดเหมาราคา 50,000 กีบ สำหรับ 2 คน ในตอนนั้นไม่รู้ว่าถูกหรือแพง เพราะไม่รู้ว่า บขส.สายเหนือ อยู่ไกลขนาดไหน
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึง บขส.สายเหนือ ภาพที่เห็นคล้ายกับคิวในต่างจังหวัดบ้านเรา อาคารที่พักผู้โดยสารขนาดเล็ก ด้านหน้าเป็นจุดขายตั๋ว ฝั่งซ้ายและขวาเป็นรถที่จอดคอยเวลา รอผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังเมืองนั้นๆ มีทั้งรถตู้ รถบัสขนาดเล็ก หรือรถสองแถวที่คล้ายกับตุ๊กตุ๊กแต่มีขนาดใหญ่กว่า ผู้โดยสารส่วนใหญ่จะมีแต่ชาวลาว มีชาวต่างชาติบ้างบางตา
ตั๋วรถไปหนองเขียว ราคา 40,000 กีบ คนลาวเค้าพูด สี่สิบพัน คนขายตั๋วบอกกับเราว่ารถที่ไปหนองเขียวมี 2 แบบ คือแบบรถตู้และรถตุ๊กตุ๊ก เลือกเลยจะไปแบบไหน ...เห็นจากสภาพรถตุ๊กตุ๊กแล้ว ไปรถตู้แน่นอล
ความประทับใจแรกที่ลาวคือเราสามารถพูดไทยได้เลย เค้าฟังเข้าใจ ส่วนเราก็ฟังเข้าใจบ้าง บางคำก็ต้องนึกนานหน่อย คำที่เจอก็อย่างเช่นคำว่า เครื่อง ประโยคที่ว่า เอาเครื่องมายัง ก็คือ เอาของมาหรือยัง คงความหมายประมาณ ข้าวของเครื่องใช้ ก็เป็นได้
หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อยเราก็เตรียมขึ้นรถเลย รถตู้สีขาวขนาดเล็ก สภาพเก่า คนขับกำลังแพ็คของ กระเป๋าเดินทางขึ้นไว้บนหลังรถ ด้านในเป็นเบาะที่นั่ง 3 แถว นั่งได้แถวละ 3 คน แถวแรกมีคนลาวนั่งอยู่ก่อนแล้ว 2 คน แถวถัดมามีฝรั่งนั่งอยู่ด้านในติดหน้าต่าง ส่วนที่นั่งฝั่งประตู ก็มีของวางไว้ทำเครื่องหมายเป็นการจอง คงเหลือแถวสุดท้ายที่เรากับเพื่อนจะเข้าไปนั่งด้วยกันได้ ใกล้เวลารถออกมีฝรั่งอีก 3 คน ก็มาขึ้นรถคนเดียวกับเรา
9 โมงได้เวลารถออกจากท่า ระยะทางจากหลวงพระบางไปหนองเขียว ประมาณ 150 กิโล ใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการเดินทาง ถนนที่รถวิ่งเป็นถนนเล็กๆ สองเลน แค่รถพอวิ่งสวนกันกันได้ บางช่วงลาดยาง บางช่วงเป็นดินแดง ทางค่อนข้างขรุขระ ชาวลาวที่เดินทางเส้นนี้บ่อยๆ คงรู้กันดีว่าฝุ่นค่อนข้างเยอะ ทุกคนจึงพกหน้ากากกันฝุ่นติดตัวมา ส่วนนักเดินทางมือใหม่แบบเราใช้มือปิดกันไป
รถวิ่งมาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็แวะจอดเข้าไปในร้านข้างทาง อารมณ์ประมาณเหมือนอู่ซ่อมรถ คนขับเปิดประตูให้ทุกคนออกจากรถ แล้วพูดว่า “แวะเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้” แล้วหันไปพูดกับผู้ชายคนนึงว่า “ขับไปแล้วตรงนี้มันดังตลอดเลย” ได้ยินก็รู้เลยว่ารถเสียนี่เอง….
ใช้เวลาซ่อมไปอีก 1 ชั่วโมง เรามาถึงท่ารถปากมอง ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ จุดนี้ห่างจากตัวเมืองหนองเขียวประมาณ 2 กิโล ใครจะเดินไปหรือนั่งรถตุ๊กตุ๊กไปก็ได้ ค่าตุ๊กตุ๊ก 10,000 กีบ ไปส่งถึงหน้าที่พัก
จองที่ผ่าน Booking เข้าพักที่ Nam Ou River Lodge คืนละ 400 บาท เป็นห้องพัดลม เตียงเดี่ยว ด้านหลังเป็นระเบียงมองเห็นวิวแม่น้ำอู ห้องพักก็โอเคในระดับนึง ไม่มีทีวี ไม่มีที่ฉีดตรูด …..
เก็บข้าวของเครื่องเรียบร้อย เราก็เดินเท้าออกไปสำรวจเมืองกัน
เราเดินเท้าออกจากที่พักตอนประมาณบ่าย 2 กว่าๆ ช่วงเวลานี้แดดค่อนข้างแรงมาก เพิ่งรู้ว่าที่พักที่เราจองอยู่ไกลจากสะพานมากก็ต่อเมื่อเดินมาถึงสะพานแล้ว ก่อนถึงสะพานเราเดินผ่านท่าเรือหนองเขียว ซึ่งใครจะเดินทางไปเมืองงอยเก่า ก็ต้องมาลงเรือเรือที่นี่ เราเองก็อยากไปเมืองงอยเก่าสักครั้งเหมือนกันค่ะ แต่เนื่องจากเวลาเที่ยวไม่พอ รอบนี้ขอมาแค่หนองเขียวก่อน
สะพานข้ามลำน้ำอู สะพานคอนกรีตที่ตั้งอยู่กลางเมือง ยาวประมาณ 200 เมตร ผู้คนใช้สัญจรไปมาหากันทั้ง 2 ฝั่ง บริเวณจุดนี้เราสามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา จะชมพระอาทิตย์ขึ้นก็ดี พระอาทิตย์ตกก็ได้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายที่แดดร้อนจัด เราจึงต้องรีบเดินหาร้านนั่งทานมื้อเที่ยงและหลบร้อนให้เร็วที่สุด
ข้ามสะพานมาอีกฝั่ง เห็นได้ว่าฝั่งนี้จะมีที่พักและร้านอาหารค่อนข้างเยอะ แตกต่างจากอีกฝั่งที่เราเดินมาคือจะเป็นชุมชน โรงเรียน บ้านชาวบ้านซะส่วนใหญ่ ร้านที่เราเลือกใช้หลบร้อนและทานมื้อเที่ยงในตอนบ่ายไปด้วยคือร้าน JOY กับเมนู ตำลาว ไคแผ่นทอด ลาบหมู และข้าวเหนียว ชอบอะไรมากที่สุดก็คงเป็นข้าวเหนียวกับไคแผ่น ไคก็คือสาหร่ายสีเขียวที่เกิดขึ้นตามแหล่งน้ำธรรมชาติ นำมาตากแดดจนแห้งแล้วทอดด้วยไฟอ่อนๆ โรยด้วยงา ใครจะไปรู้ว่าข้าวเหนียวกินกับสาหร่ายก็เข้ากันดีนะ
เราเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ รอแสงเย็นเพื่อที่จะได้มาถ่ายรูปแถวสะพาน สอบถามกับเจ้าของร้านเรื่องทางไปจุดชมวิวหนองเขียวเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินไปยังจุดชมวิวผาแดง หรือ Nong Khiaw View Point ในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้
รอจนพระอาทิตย์จะตกดิน เราจึงเดินออกมาถ่ายรูปบนสะพานกัน ว่ากันว่าช่วงเช้าและเย็น บรรยากาศบนสะพานจะดีมาก เป็นจังหวะที่เด็กนักเรียนชาวลาวกำลังปั่นจักรยาน หรือเดินกลับบ้านหลังโรงเรียนเลิกพอดี
ก่อนกลับเข้าที่พักเราแวะเข้าไปที่บริษัททัวร์เพื่อสอบถามราคาการเดินทางกลับหลวงพระบางในวันพรุ่งนี้ โดยเรามีความอยากรู้อยากเห็นว่า ถ้าจองกับบริษัททัวร์เราจะได้รถแบบดีกว่าที่เรามาหรือไม่ ก็ได้ราคามา 70,000 กีบ จะมีรถไปรับเราถึงที่พักและไปส่งที่คิวรถปากมอง ถ้าอยากให้รถไปส่งถึงที่พักที่หลวงพระบางก็ต้องมาให้ทันรอบ 9 โมง โอเค…. เราจะพยายามมาให้ทันรอบ 9 โมง
เดินผ่านชุมชนก่อนเข้าที่พัก ความอิ่มยังไม่ย่อยไปไหน เลยแวะซื้อลูกชิ้นปิ้ง ไก่ปิ้งของชาวบ้านแถวนั้นก่อนกลับที่พัก ยืนมองดูบ้านเรือน ร้านค้าของชาวบ้านแถวนี้ ทำให้นึกสมัยที่เรายังเด็กๆ กับบ้านในต่างจังหวัดไม่มีผิดเพี้ยน
ขณะยืนหลบแดดรอไก่ปิ้งอยู่นั่น หนุ่มน้อยชาวลาว บนหน้ามีรอยเขียนปากกาก็เดินมากล่าวสะบายดีกับสาวไทยคนนี้ เรากล่าวสะบายดีกลับ พร้อมถามว่าถ่ายรูปมั้ย หนุ่มน้อยพยัคหน้าแบบเข้าใจที่เราพูด ยืนเตรียมตัวพร้อมถ่ายแล้ว
เราถามต่อว่า
"หน้าโดนอะไรมา?"
หนุ่มน้อยยิ้มแห้ง พลางเอามือมาจับที่หน้า แล้วรีบเดินหายไป
ตลอดทางกลับที่พักเราเจอเด็กๆ มากมาย บ้างก็จับกลุ่มเล่นน้ำกันอยู่ที่แม่น้ำอู บ้างก็นั่งอยู่บนบ้านลักษณะเหมือนเป็นบ้านพัก บ้างก็เดินเล่นวิ่งไล่กันอยู่แถวนั้น
น้องๆ 3 คนนี้กำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ด้านหลังที่พักเรา คุยไปคุยมาก็แนะนำตัวสอบถามชื่อเสียงเรียงนาม น้องยั่ว น้องคิม น้องทอง สามสาวกำลังจับจักจั่นกัน วิธีจับก็คือตบมือให้มีเสียงดัง จักจั่นก็จะบินแล้วก็วิ่งไล่จับมาใส่ขวดไว้ แล้วจะเอาไปทอดกินกัน
น้องๆ เล่าให้ฟังว่า บ้านอยู่ฝั่งนู้นนนนนนน พร้อมชี้นิ้วไปทางภูเขาลูกด้านหลังที่พัก มาอยู่ที่นี่เพราะมาเรียนหนังสือ ตอนนี้อยู่ชั้น ม.1 แล้ว ได้นั่งเรือกลับบ้านก็วันศุกร์ พอน้องรู้ว่าเป็นคนไทย ก็บอกว่าอาทิตย์ก่อนมีคนไทยมาบริจาคเครื่องให้ที่ รร นี่ก็งงว่าเครื่องอะไร..สรุปว่าอ้ออออ เครื่องก็คือ เสื้อผ้า ของใช้อะไรพวกนี้ ก็ถามต่อว่าแล้วได้ด้วยมั้ย น้องก็บอกว่า "ไม่ได้ ทำไงได้เนอะเรามันจน" ได้ยินก็สะเทือนใจนะ ทุกวันนี้ คนรวยก็รวยเอารวยเอา คนจนก็ยังจนอยู่ แต่ก็รู้สึกดีใจที่ยังมีคนไทยใจดี ที่คอยมาบริจาคของให้น้องๆ ไกลถึงที่นี่
เช้าวันต่อมา วันที่เราต้องตื่นขึ้นมาทำฝันให้เป็นจริง คือการไปพิชิตผาแดง หรือ NongKhiaw View Point
เดินเท้าออกจากที่พักเวลาประมาณ ตี 5 ครึ่ง ผ่านท่าเรือ ผ่านสะพานที่เราแวะถ่ายรูปเมื่อวาน เช้านี้หนองเขียวทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาวแล้วว
วิวจากบนสะพานมองเห็นชาวบ้านที่กำลังพายเรืออยู่ด้านล่าง ภาพที่เห็นแตกต่างจากการพายเรือที่ไทยมาก เพราะที่นี่คนพายจะนั่งพายอยู่ด้านหน้า ส่วนไทยบ้านเรานั้น คนพายจะต้องพายอยู่ด้านหลัง
ยืนถ่ายรูปอยู่สักพักเจอพี่คนไทยกำลังยืนถ่ายรูปอยู่ที่สะพานพอดี (เพื่อน)พูดคุยทักทายกันเล็กน้อย ส่วนเรายืนถ่ายรูปอยู่อีกฝั่งนึง พี่เค้าบอกว่าไปเลยยวิวพ้อยต์ สวยมากก วันนี้นี้น่าจะมีหมอกอยู่นะ
ไกลจากสะพานประมาณ 200 เมตร เราก็มาถึงจุดทางขึ้น Nongkhiaw View Point แล้ว จ่ายค่าตั๋วคนละ 20,000 กีบ ป้ายด้านหน้าบอกใช้เวลาเดิน 1 ชั่วโมงครึ่ง
…… 1 ชั่วโมงครึ่ง เองงงงง!!!!
เดินขึ้นเนินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย เหนื่อยก็หยุดพัก ทางเดินขึ้นไม่ยากอย่างที่คิด บางจุดที่เป็นเนินชัน ดินลื่น ก็มีการทำเชือกไว้ช่วยพะยุงตัวให้ดึงตัวเองขึ้น บางจุดก็ทำบันไดไว้ให้ เดินไปด้วยกันกับเพื่อนสักพัก ก็หันมาบอกว่า “เมิงขึ้นไปก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องรอกู เดี๋ยวเดินตามไป” เพื่อนพูดขณะกำลังพักหอบ ไอเราก็ให้กำลังใจ “เดินเรื่อยๆ อย่าหยุด ก้าวขาสั้นๆ เมิงงง” ดูท่าจะไม่เป็นผล เราจึงเดินนำเพื่อไปก่อนล่วงหน้า
1 ชั่วโมงผ่านไป ระหว่างทางไม่เจอใครเลย มีพูดทักทายกับมด กับ แมลงบ้างเล็กน้อย กลัวจะจำภาษาไทยไม่ได้ เดินต่อไปอีกสักพักเจอหนุ่มชาวลาวกำลังฟันกิ่งไม้ใบหญ้าอยู่ข้างทาง เราจึงหยุดถามว่า “อีกไกลมั้ยคะ?”
พี่เค้ามองนาฬิกาแล้วบอก
“อีก 20 นาที”
“…. โห.. แล้วระยะทางจากข้างล่างขึ้นมาบนนี้กี่กิโลคะ”
เราถาม
“ไม่รู้เลย แต่ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง”
พี่เค้าตอบอีกครั้ง
จนกระทั่งเดินมาถึงป้ายบอกระยะทางเวลา..อีกแค่ 5 นาทีจะถึงจุดหมาย แต่ที่ป้ายมีรอยปากขาขีดเลข 5 ทิ้งแล้วเขียนว่า 10 นาที ฮึบบบบ… โอเคใกล้แล้ววววว ใกล้ช๊อคแล้ววววว
ระหว่างนั้นเจอฝรั่งผู้ชายกำลังเดินสวนทางลงมา ฮีกล่าวว่าอีกแค่ 5 นาทีถึงแล้ว พร้อมพูดอะไรยาวๆ เราฟังไม่ค่อยถนัด( คือฟังไม่รู้เรื่อง!!) ประมาณว่า เป็นทางลาดแล้วก็จะเจอทางชั้น $%^&**()))( ด้านบนสวยมาก สู้ๆ บ๊าบบาย ……
เนินสุดท้าย
ขึ้นมาถึงแล้วโว้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
.
.
.
.
.
.
.
สวยจังโว้ยยยยยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
นั่งพักเหนื่อยบนนี้สักครู่ มองดูวิวแล้วผุดคิดขึ้นมาว่าถ้าเป็นวิวพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าได้มอกจากมุมนี้คงสวยมากแน่ๆ แต่คงต้องเดินขึ้นตั้งแต่ตี 4 ละมั้ง อืม... แค่คิดก็ง่วงละ และในที่สุดเราก็เดินขึ้นมาถึงตรงนี้แล้วจริงๆ สินะ ภาพที่เคยเห็นในไอจี วันนี้เราได้มาเห็นกับตาตัวเองแล้ววว ปลื้มจังงง ภูมิใจ...
และถ้าวัดระยะทางกันเป็นนาที ต่อให้นั่งอยู่กับที่ก็คงเดินไม่ถึง ขอบคุณขาล่ำๆ 2 ข้างที่เป็นก้าวกำลังสำคัญพาร่างมายังที่นี่...
นั่งเปิดมือถืออ่านไลน์ที่เพื่อนรักส่งมาตอนไหนไม่รู้
“อยู่ที่เชือกน๊าาาาา”
“รอตรงนี้น๊าาา”
“เซลฟี่เอานะ”
“คนไทยกำลังขึ้นไปให้เค้าถ่ายให้เล
เห้อ.เหนื่อยย คิดถึงเพื่อนจัง....
น้ำอยู่ที่เพื่อน ....
โอ้ยยยยยย …..กรูต้องการน้ำ
ไม่น่าฝากน้ำไว้เลย น่าจะแบกขึ้นมาเอง
5555555555555
เอาวะ...เพื่อนไม่ขึ้นมาแล้ว ให้พี่คนลาวที่ขึ้นมาอนุบาลทางบนนี้ถ่ายให้ละกัน มันก็จะเขิลๆ หน่อยเนอะ ไม่กล้าโพสท่าชิคๆ ก็จะได้ท่านั่งเกร็งๆ ยืนทื่อๆ กันไป
ยืนถ่ายรูปสักพัก พี่คนลาวก็เดินเข้ามาบอกว่า “พี่ครับ ผมขอยืมกล้องพี่ถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยครับ ผมจะใส่แมมผมลงไป ส่งภาพให้พีชายที่ไปทำงานที่เมืองไทย เค้าไม่ได้กลับบ้านมา 4 ปี แล้วครับ”
เราก็ยืนคิดสักพักพิจารณาเค้าคงไม่หลอกเราและคงไม่ผลักเราตกเขาหรอกมั้ง พร้อมยื่นกล้องให้แล้วบอกว่า “ให้ถ่ายรูปให้มั้ยคะ”
เผื่อเค้าส่งภาพให้พี่ชายที่ทำงานอยู่ที่อุดรเนอะ ได้เห็นภาพน้องชายกับวิวภูเขา เห็นแล้วอยากกลับมาเยี่ยมบ้านบ้าง พี่เค้าเอากล้องไปถ่ายมุนนั้นมุนนี้ แล้วเอากล้องมาคืน เรารับกล้องมาใส่แมมตามเดิม มองไปที่จอก็ชีบหายละ ไฟล์ Raw. พี่เค้าได้ไฟล์ Raw. ไป ก็เลยไปอธิบายกับพี่เค้าว่า ต้องแปลงไฟล์นะ นู่นนี่นัน ไม่รู้พี่เค้าจะเข้าใจที่เราพูดหรือเปล่า แต่เห็นยิ้มและพยัคหน้าไป เราก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าจะเอาไปเปิดได้มั้ยเนอะ เพราะคอมบางเครื่องนี่ถ้าไม่มีโปรแกรมก็เปิดไฟล์นี้ไม่ได้ … แฮร.. พี่คะ หนูขอโทษจริงๆ
ประโยคหนึ่งจากหนังสือ เดินข้างเขา หนาวข้างเธอ
"เราทุกคนต่างเดินทางมาพบกันเพียงชั่วขณะสั้นๆ
ณ ตำแหน่งที่เส่นทางของเราเดินตัดกัน
สิ่งที่เราพบเจอ ณ จุดนั้น
อาจไม่ใช่ทั้งหมดของสิ่งที่เขาเป็นหรือมี"
ถ่ายรูปบนนี้ไม่นาน เราก็บอกลาพี่เค้าว่าจะกลับแล้วค่ะ พี่ก็ถามว่าเอ้า แล้วไม่รอเพื่อนขึ้นมาหรอ ก็ตะโกนบอกไปว่า เพื่อนไม่ขึ้นมาแล้วค่ะ
….. ก็อยากอยู่ถ่ายรูปต่อนะ แต่ตอนนี้หิวน้ำมาากกกกกก
เดินลงมาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ ทำเวลาดีกว่าตอนขึ้น อาจคงเพราะหิวน้ำมาก เลยรีบเดินให้ถึงด้านล่างไวไว ตอนเดินลงสวนทางกับนักท่องเที่ยวไทยที่มากัน 4 คน ฝรั่งสูงอายุ 2 คน และ ฝรั่ง 2 สาวน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ก็ได้แต่บอกไป สะบายดี… ไฟติ้งๆๆๆ
วันนี้คงไม่ทันรถรอบ 10 โมงเพื่อกลับหลวงพระบางแล้ว
เพราะเดินลงมาถึงด้านล่างก็ 9 โมงกว่าๆ แล้ว
.
.
.
.
แวะทานมื้อเช้าที่ร้าน วงมะนี ร้านอาหารชื่อดังที่เปิดมานานหลายปี ร้านนี้ที่ตามหาเมื่อวานแต่ไม่เจอ ดันมาเจอขากลับซะนี่ ด่วนๆ น้ำเปล่า 1 แป๊ปซี่ 1 ทานมื้อเช้าเสร็จเดินกลับที่พัก เตรียมตัวอาบน้ำ เก็บข้าวของกลับหลวงพระบางกัน ผ่านสะพานหนองเขียว สายหมอกที่เห็นเมื่อเช้า จางหายไปหมดแล้ว
เนื่องจากไม่ทันรถเที่ยว 10 โมง เราจึงนัดเวลาใหม่ให้คนขับรถตุ๊กตุ๊กมารับเราตอน 11 โมงที่ที่พักค่ะ คนขับมารับตรงเวลามาก ขับรถมาส่งเราที่ท่ารถปากมอง เหมือนตอนขามา สรุปคือ ไม่ว่าจะติดต่อบริษัททัวร์หรือมาเอง ก็ต้องมาขึ้นรถที่นี่ แต่ถ้าบ.ทัวร์ จะชัวร์กว่าหน่อย เพราะเรามีรถกลับหลวงพระบางแน่นอน
ลองคำนวนเงินก็ต่างกันแค่ไม่กี่กีบ
มาเอง ตุ๊กตุ๊กมาท่ารถสายเหนือ คนละ 25,000 กีบ (2 คน)
รถตู้ไปหนองเขียว 40,000 กีบ
รถตุ๊กตุ๊กเข้าหนองเขียว 10,000 กีบ
รวม 75,000 กีบ
กลับ บ.ทัวร์. ตุ๊กตุ๊ก+ รถตู้ 70,000 กีบ
ตุ๊กตุ๊กจากท่ารถสายเหนือเข้าหลวงพระบาง 20,000 กีบ
รวม 80,000 กีบ
ขากลับเข้าหลวงพระบาง ได้รถดีกว่าขามาเยอะมากก ถึงแม้แอร์จะไม่เย็นเลย ลมด้านนอกรถก็พอช่วยทำให้บรรยากาศในรถไม่อบอ้าวไปบ้าง เจอพี่คนไทยที่เจอตรงสะพานหนองเขียวอยู่บนรถคันเดียวกันด้วย ถึงได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลการมาเมืองหนองเขียวกัน ระหว่างทางกลับหลวงพระบางมีคนโบกรถตู้ขึ้นระหว่างทางด้วย แต่ลงก่อนถึงหลวงพระบาง ตอนลงบอกคนขับว่าไม่มีเงิน แล้วก็เดินไปเลย 5555 ที่พีคยิ่งกว่าคือคนที่นั่งข้างหลังอยากแวะจอดลงไปซื้อที่เค้าขายผักข้างทาง คนขับก็จอดให้ลงไปซื้อนะ เป็นร้านขายของข้างทางประมาณ 7-8 ร้าน มีทั้งมันเผา พืชผักต่างๆ กบ เขียด ไข่มดแดง ตัวเหรี้ย(แถวบ้านเรียกแลน) ก็มี!!!
จากหนังสือ เดินข้างเขา หนาวข้างเธอ
"ข้างหลังทุกภาพสวยงาม มีความตรากตรำซ่อนอยู่เสมอ
ความตรากต่ำที่ต้องใช้ความพยายาม
เพื่อพลิกด้านที่สวยงามของภาพนั้น ...กลับคืนมา"
ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่ไม่ได้อินไม่ได้รักเขา แต่ก็ร่วมทางมาพิชิตยอดเขากับเราด้วย
วันศุกร์ขึ้นเขา วันเสาร์ลงห้วย
วันพฤหัสที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.07 น.