"ภูเขาไฟคาวาอิเจียน" หนึ่งในภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชะวาตะวันออก (East Java) อยู่ไม่ไกลจากเมือง โปรโบลิงโก (Probolinggo) เหตุผลที่ทำให้ภูเขาไฟคาวาอีเจียนมีชื่อเสียงนั่นนก็คือ ความมหรรศจรรย์ของเปลวไฟสีน้ำเงิน ที่เกิดจากแก๊สกัมมะถันที่ดันทะลุผ่านรอยแยกของแผ่นเปลือกโลก แล้วเกิดการลุกไหม้ในบรรยากาศ และทะเลสาปสีฟ้าบนปากปล่องของภูเขาไฟที่เกิดจากกรดกำมะถัน
การเดินทาง
ขาไป Donmuang >> Changi Airport (Singapore)
Changi Airport (Singapore) >> Surabaya (Indonesia)
ขากลับ Surabaya (Indonesia) >> Kuala Lumpur (Malesia)
Kuala Lumpur (Malesia) >> Donmuang
แผนการเดินทาง
Day1: Surabaya (Juada International Airport) - Homestay Arabica
Day2: Ijen Creater - Hotel Lumajang
Day3: Sewu Waterfall - Homestay Bromo
Day4: Brobo Creater, Whisper sand - Madakaripura Waterfall
Day5: Surabaya (Juanda International Airport) - BKK
หลังจากการเดินทางอันยาวนานเกือบ 12 ชั่วโมง เราก็มาถึงสนามบิน Juanda
International Airport เมือง สุราบายา (Surabaya) จุดหมายปลายทางของเราวันนี้ คือ Homestay Arabica ซึ่งเป็นที่พักก่อนเดินขึ้นภูเขาไฟคาวาอิเจี้ยน เพราะคืนนี้เราต้องเริ่มเดินกันตีสอง เพื่อไปชมความสวยงามของเปลวไฟสีน้ำเงินบนปากปล่องภูเขาไฟ เนื่องจากเปลวไฟสีน้ำเงินนี้เราจะสามารถมองเห็นได้ในตอนกลางคืนเท่านั้น
01
ภูเขาไฟคาวาอิเจียน ความสวยงามที่แฝงไปด้วยอันตราย
ปกติแล้วช่วงเวลาตีหนึ่งครึ่งคงไม่ใช่เวลาที่เราจะลุกออกจากที่นอน โดยเฉพาะในเวลาที่อากาศแสนจะเยือกเย็นเช่นตอนนี้ แต่คืนนี้พิเศษแตกต่างไปจากปกติ เพราะเปลวไฟสีน้ำเงินของภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนคือเป้าหมายของเรา
นอกจากอากาศที่หนาวเย็นจะเป็นอุปสรรคในการเดินของเราแล้วนั้น ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายตลอดระยะทางเกือบ 3 กิโลเมตรก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้เราเดินช้าลง ไม่นับความมืดของบรรยากาศตอนดึกและความชันของเส้นทาง แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นของเราก็ทำให้เราเดินมาถึง ณ ปากปล่องภูเขาไฟจนได้ แต่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายของเรา เพราะจุดหมายของเราคือจุดกำเหนิดของเปลวไฟสีน้ำเงินซึ่งอยู่ตรงทะเลสาปด้านล่าง เราต้องเดินเท้าลงไปอีกประมาณ 700 เมตร
ยิ่งเดินลงไปใกล้เป้าหมายเท่าไหร่ กลิ่นกำมะถันที่ลอยมาตามลมก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น จนเราไม่สามารถทนหายใจเข้าไปโดยไม่ใช้หน้ากากกรองอากาศได้เลย ทุกคนเดินลงไปโดยใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทางทั้งแคบและลื่น อีกทั้งยังต้องคอยหลบหลีกผู้คนที่เดินสวงทางขึ้นมา เดินลงมาได้สักพักครึ่งทางน่าจะได้ สมาชิกในกลุ่มเริ่มทนไม่ค่อยไหวกับกลิ่นกำมะถัน สมาชิกส่วนใหญ่จึงตัดสินใจที่จะหยุดเดินลง แต่เลือกเพื่อรอให้พระอาทิตย์ขึ้น สำหรับผมนั้นยังคงทำตามความตั้งใจเดิมที่จะไปต่อ
หลังจากที่เดินแยกจากลุ่มเดินลงไปเรื่อยๆคนเดียวมาสักพัก ตอนนั้นเราถอดใจแล้วที่จะไปต่อเพราะแก๊สกำมะถันรุนแรงมากควันฟุ้งไปหมด บางขณะต้องหลับตายืนนิ่งๆเพื่อรอให้ควันแก๊สหายไป เพราะแสบตามากถึงขนาดไม่สามารถแม้กระทั่งจะหรี่ตามองได้เลย แต่โชคดีมากมาเจอไกด์พอดี ไกด์จึงนำทางเราลงไปเพื่อดูเปลวไฟสีน้ำเงินซึ่งเราต้องเข้าไปดูใกล้มากๆ ครั้งแรกที่ลืมตามาแล้วเจอกับภาพตรงหน้ามันเป็นอะไรที่บรรยายไม่ถูก ได้แต่นึกในใจเห้ยโคตรคุ้มที่เรายอมเสี่ยงมากๆ เปลวไฟสีน้ำเงินที่พริ้วไหวอยู่ตรงหน้ามันสวยมาก ธรรมชาติสร้างสิ่งมหรรษจรรย์ขนาดนี้ได้เลยหรอ
หลังจากที่ชมเปลวไฟสีน้ำเงินได้อย่างตั้งใจแล้วก็ต้องยอมถอยเดินกลับขึ้นมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แสงจากพระอาทิตย์เริ่มส่องแสงเข้ามาบริเวณปากปล่อง ทำให้มองเห็นบรรยากาศโดยรอบ ทะเลสาปสีฟ้าอมเขียวด้านล่างเริ่มปรากฎแก่สายตาพวกเราเป็นภาพที่สวยงามมาก
ลมก็ยังคงพัดแรงต่อเนื่องทำให้แก๊สกำมะกังฟุ้งกระจายตลอดทั่วทั้งปากปล่อง ยังคงต้องใช้หน้ากากปิดครอบจมูกไว้ตลอด
กลิ่นกำมะถันที่ลอยคละคลุ้งอยู่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน บ่งบอกให่เรารู้ว่านอกจากเปลวไฟสีน้ำเงินที่คอยให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสแล้วนั้น ที่นี่ยังถือเป็นเหมือนแร่กำมะถันที่คอยผลิตกำมะถันปริมาณหลายร้อยกิโลในแต่ละวัน นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของอาชีพที่เสี่ยง และอันตรายต่อสุขภาพมากที่สุดอาชีพหนึ่งนั่นก็คืออาชีพ ลูกหาบ ถึงแม้จะอันตรายแค่ไหนลูกหาบก็จำเป็นต้องขุดแร่กำมะถันและหาบกำมะถันน้ำหนัก 80-90 กก. เพื่อนำไปขายในราคาที่หลายคนอาจมองว่าไม่คุ้มกำความเสี่ยง แต่หากมีทางเลือกที่ดีกว่านี้เขาคงไม่เลือกที่จะทำ แต่นั่นแหละหลายคนไม่มีทางเลือกจำต้องทำอาชีพนี้แม้ว่าจะเสี่ยงสักแค่ไหนซึ่งคนแถวนี้ไก้มองอาชีพนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาไปแล้ว
นักท่องเที่ยวทะยอยเดินกลับขึ้นไปยังปากปล่องเพื่อที่จะเดินลงไปยังพื้นล่าง และอีกหลายคนเลือกที่จะเดินชมบรรยากาศบริเวณปากปล่องด้านอื่น
รั้วกันตามแนวสันของปากปล่องภูเขาไฟสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินชมบรรยากาศ และต้องการถ่ายรูปเก็บภาพเป็นความทรงจำก่อนกลับ
หลังจากเดินขึ้นมาซ้ายมือจะมองเห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นมุ้งน่าไปทางนี้กันเยอะพอสมควร เราจึงเลือกที่จะเดินไปด้วย สมาชิกบางส่วนเลือกที่จะเดินลงไปก่อน สองข้างทางเต็มไปด้วยพืชคลุมดินต้นเตี้ยขึ้นเขียวพรืดไปตลอดทาง เดินมาสักพักเราจะเจอกับดงไม้ที่เหลือแต่ลำต้นและกิ่งก้านเนื่องจากโดนไฟป่าเล่นงานเผาเรียบทั้งดง
อีกจุดวิวพ้อยที่น่าสนใจคือบริเวณต้นไม้ที่ยืนตันตายบริเวณขอบปากปล่องภูเขาไฟ แต่น่าเสียดายวันนี้ควันจากแก๊สกำมะถันลอยฟุ้งเต็มไปหมดจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นทะเลสาปด้านล่างได้เลย
พอเริ่มสายหน่อยความร้อนแรงจากพระอาทิตย์เริ่มทวีนขึ้นเป็นลำดับ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินลงเขาไปเกือบหมดแล้ว เหลือกลุ่มเรากับคนอื่นอีกไม่กี่สิบคนเริ่มทะยอยเดินลงกันบ้าง ในระหว่างทางที่เดินลงก็ยังคงเจอนักท่องเที่ยวที่เดินสวนทางมาเป็นระยะๆ
ใช้เวลาเดินลงเขาประมาณชั่วโมงกว่าๆ เราก็เดินทางกลับไปยังที่พัก เพื่อเตรียมเดินทางต่อไปยังเมือง Lumajang ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางพอสมควรเลยทีเดียว จุดหมายต่อไปของเราคือ Sewu Waterfall หุบผาน้ำตกอันโด่งดั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะชะวาตะวันออก
02
Sewu Waterfall หรือน้ำตกพันสาย
Sewu Waterfall ตั้งอยู่ที่เมือง Lumajang ใช้เวลาเดินทางจาก ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน ประมาณเกือบ 7 ชั่วโมง วันนี้เราเปลี่ยนจาก Homestay มาพักที่โรงแรมในเมือง ตัวน้ำตกอยู่ห่างจากเมืองนั่งรถประมาณครึ่งชั่วโมง ตัวน้ำตกได้รับฉาว่า "น้ำตกพันสาย" นั้นเนื่องจาก บริเวณน้ำตกเป็นหุบเขาที่เกิดจากการยุบตัวของแผ่นเปลือกโลก เป็นแอ่งขนาดใหญ่และมีความยาวกว่า 500 เมตร มีความสูงจากพื้นถึงด้านบน 120 เมตร เลยทีเดียว ด้านบนจะมีจุดให้เราไปถ่ายรูปเพื่อชมบรรยากาศมุมสูงของตัวน้ำตกเอง
น้ำตกพันสายนี้เราสามารถเดินลงไปยังบริเวณด้านล่างของน้ำตกได้ ทางเดินต้องเรียกว่าชันมาก บางช่วงมีความชันเกือบเก้าสิบองศาต้องเกาะเชือกหรือราวไม้ใผ่ลงไปกันเลยทีเดียว
ละอองน้ำบริเวณด้านล่างค่อนข้างแรงมากหากใครที่จะนำกล้องลงมาเก็บภาพบรรยากาศต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก หรือาจต้องใช้กล้องแอคชั่นคาเมรามาถ่าย แต่ความยากก็ยังคงมีเพราะละอองน้ำจะคอยพัดเข้ามาบังเลนส์ตลอดเวลาทำให้ถ่ายภาพยากมาก
หลังจากใช้เวลาค่อนข้างนานในการเก็บภาพบรรยากาศก็ถึงเวลาที่ต้องเดินกลับ เพราะทุกคนเริ่มหิวกันแล้ว ทางกลับเราจะกลับอีกด้านหนึ่งซึ่งต้องเดินลัดเลาะไปตามน้ำตก และแล้วไกด์ก็พาเรามาที่สามารถเล่นน้ำได้ เพราะแต่ละคนทั้งเหนื่อยและเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว และชื้นไปด้วยละอองน้ำกันทุกคน น้ำที่นี่ใสมากสามารถมองทะลุเห็นพื้นข้างล่างได้เลย
เป้าหมายต่อไปของเราคือ ดินแดนลมหายใจของเทพเจ้า ภูเขาไฟโบรโม่ รอติดตามกันนะครับ.....
สุดท้ายนี้..."ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยนสอนให้เราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น หลายคนอาจต้องเลือกสิ่งที่เราอาจจะมองว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยง แต่เพราะทั้งหมดของเขามีแค่นี้ สิ่งที่เขาเลือกจึงอาจหมายถึงสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่อาจตัดสินใครได้เพียงมองจากภายนอก และเราคงไม่อาจเอาความรู้สึกของเราไปตัดสินคนอื่นได้" #แสงจันทร์
แสงจันทร์
วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 08.42 น.