ดอยสองจังหวัด..."ดอยหลวง-ดอยหนอก"
. . . หากใครมาเที่ยวกว๊านพะเยาแล้วมองเห็นยอดเขาลักษณะเหมือนหนอกแล้วหละก็ นั่นแสดงว่าคุณกำลังมองยอดดอยหนอก ตั้งตระหง่านอยู่บนสันเขาดอยหลวงซึ่งกั้นระหว่างอำเภองาวจังหวัดลำปาง และอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา จุดสูงสุดอยู่บนยอดดอยหนองมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,694 เมตร
. . . เส้นทางการเดินป่าศึกษาธรรมชาติ สามารถขึ้นได้สองเส้นทาง คือเส้นทางด้านฝั่งบ้านห้วยหม้อ ตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร เส้นทางค่อนข้างชัน ส่วนเส้นทางที่สองคือฝั่ง บ้านปากบอก อำเภองาว จังหวัดลำปาง ระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร เส้นทางไกลกว่าเส้นแรก แต่ทางเดินง่ายกว่าเส้นแรกมาก การเดินป่าที่นี่จะต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางเท่านั้น
. . . 1 ตุลาคม ของทุกปีคือวันเปิดให้เริ่มเดินป่า ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ธรรมชาติยังสมบูรณ์เพราะเพิ่งพ้นหน้าฝนมา ดอกไม้หลากหลายชนิดยังคงบานสะพรั่ง อวดโฉมกันสลอน แต่หญ้าข้างทางก็รกทึบเช่นกัน
. . . การเดินป่าครั้งนี้เราเลือกเดินขึ้นเส้นบ้านปากบอก พักค้างแรมที่ดอยหลวง และเดินลงฝั่งจังหวัดพะเยา โดยเราจะเดินไปยังดอยหนอกของวันเดินทางกลับ เส้นทางฝั่งเดินค่อนข้างเดินสะบายแตาระยะทางไกลหน่อย เส้นทางเดินลงทางรกทึบหญ้าสูง บวกกับทางช้นทำให้เดินลำบากเพราะทางค่อนข้างลื่นต้องใช้ความระมัดระวัง อีกทั้งทางช่วงที่เดินเลียบลาธารสังเกตุทางเดินได้ยาก เพราะเป็นโขดเห็น และกรวด ต้องสังเกตุสัญลักษณ์ตามทางเดินให้ดี เพราะอาจเดินผิดเส้นทางได้
. . . บันทึกการเดินทาง 5 ตุลาคม 2562
#แสงจันทร์ #ดอยหลวง #ดอยหนอก #พะเยา
. 01 ดอยหลวงพะเยา
อันดับแรกต้องบอกก่อนเลยว่า กลุ่มเราเป็นกลุมที่ 2 สำหรับฤดูการเปิดป่าในปีนี้ เพราะฉะนั้นป่ายังถือว่าใหม่และทางเดินจากการบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่คือทางรก หญ้าขึ้นสูง เพราะฉะนั้นต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะอาจเดินผิดเส้นทางได้ โอเค!! จุดตั้งต้นของเราคือที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยหลวง บ้านปากบอก จังหวัดลำปาง เราต้องนั่งรถกระบะต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อไปยังจุดเริ่มเดิน
ทางเดินช่วงแรกจะเดินผ่านป่าโปร่ง ลักษณะเป็นเนินเขา เดินง่าย ถือว่าเป็นช่วงวอร์มร่างกาย
เดินลักเลาะป่ามาได้ประมาณ 5 กิโลเมตร สันเขาข้างหน้าเป็นป่าโปร่ง ประกอบไปด้วยต้นสนเป็นหลัก หญ้าที่ขึ้นเชียวขจีช่วงฤดูเพิ่งจะผ่านหน้าฝนเขียวขจีเป็นลานกว้างทะลุผ่านเข้าไปในกลุ่มเมฆที่ลอยละเรี่ยยอดเขา อากาศร้อนอบอ้าวเริ่มรู้สึกเย็นลงบ้างเมื่อมีลมลอยมาประทะใบหน้า พักหายเหนื่อยเราก็เดินต่อกัน
หญ้าสูง และรกทึบ บางช่วงไม่สามารถมองเห็นทางเดิน ต้องย่ำลงไปบนหญ้าแหวกทางเดินต่อไป
เดินมาสักพักก็เจอป้ายบอกทาง "สันหมู่แม่ด้อง" ใช!! บนป้ายเขียนไว้แบบน้จริงๆ เล่นเอางงกันไปเลยว่าความหมายคืออะไร แต่ดูจากลักษณะทางที่เราจะต้องเดินต่อกันนั้น ป้ายก็เขียนเตือนไว้อยู่ว่า "ระวัง! อันตราย" นี่คงบ่งบอกได้ว่าเราต้องเจอกับทางที่ต้องใช้สติ ต้องเดินกันอย่างระวัดระวัง เพราอะไรก็คงดูจากสองทางที่เราเดินผ่านมองไม่เห็นพื้นดินเลย มองเห็นแต่เมฆที่ลอยมาคลุมพื้นที่เอาไว้ เราจึงต้องเปลี่ยนขบวนการเดินมาเป็นแถวเรียงหนึ่ง ค่อยๆเดินไต่เขาตามหลังกันไป
หลังจากต้องเดินใต่สันเขาที่สูงและชันมา เราก็เดินเข้าป่ากันอีกครั้ง ครั้งนี้ป่าค่อนข้างทึบกว่าช่วงแรก เราไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากเพราะเริ่มเหนื่อยแล้ว อากาศที่เคยเย็นสะบายก่อนหน้านี้ก็ถูกแทนที่ด้วยความร้อน ลมที่เคยพัดมาหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ เดินไปสักพักใหญ่เราก็มาเจอเนินหญ้าขนาดใหญ่ ที่ไร้ซึ่งร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ เราจึงต้องกัดฟันเดินฝ่าแสงแดดอันร้อนแรงยามบ่ายรีบเดิมจ้ำอ้าวไปพักร่มไม้ที่ขึ้นหร่อมแหรมในป่าข้างหน้าเรา
พักเหนื่อยเดิมน้ำกันเสร็จก็จำใจเดินต่อ แต่ป่าที่นี่ช่างแห้งแล้งเหลือเกินเมื่อเทียบกับป่าที่ผ่านมา ต้นไม้ขึ้นอย่างหร่อมแหรมบนเนินเขาหิน ทางเดินก็มองไม่ชัด เดินไปๆมาๆหลงไปเดินทางน้ำไปผิดทางจนต้องร้องถามทางกันจ้าละหวั่น ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ เดินตามเจ้าหน้าที่และลูกหาบละกัน หลังจากกันฟันเดินมาสักพักเหมือนเจ้าป่าเจ้าเขาจะสงสารหรือป่าว เราก็เข้าสู่ป่าทึบที่มีละอองเหมือนฝนเพิ่งจะผ่านไปเมื่อสักครู่ อากาศเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นสะบายขึ้นทันที เดินลัดเลาะไปเตาไหล่เขาก็มาเจอป้ายข้างหน้า "ทางไปดอยหลวง ดอยหนอก " แม่เจ้า! นี่ไกลถึงแล้วใช่ไหม ไม่รอช้า เรารีบเดินจ้ำอ้าวไปต่อ เพราะขาเริ่มจะไม่มีแรงเดินต่อแล้ว
"บันไดก่ายฟ้า" มาอีกแล้วป้ายบอกทางชื่อแปลก คราวนี้เราพอเด่าได้น่าจะหมายถึง ทางเดินที่เหมือนไบไดที่วางพาดไปบนฟ้า น่าจะถูกนะ 5555 แต่จากลักษณะทางที่เราจะต้องเดินขึ้นไปน่าจะความหมายแบบนี้ ทางเดินแคบและชั้น แต่ไม่ชันมากเท่าไหร่ มีโขดหินให้เกาะไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ แม่เจ้า! ต้องอุทานคำนี้กันเลยแหละ จากทางเดินที่ผ่านมาเหมือนไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ป่าบังทัศนียภาพไว้หมด ยอดเขาลูกนี้เหมือนเบิกเนตร เปิดวิว 360 องศา ให้เราชมวิวกันอย่างเพลิดเพลิน แต่ก็นะ เมฆเจ้ากรรมก็ยังมาบดบังวิวเขาบ้างแล้วแต่บูญกรรม คนไหนอยากได้รูปสวยต้องรอฟ้าเปิด เราถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลินกันเลยที่เดียว บรรยากาศยิ่งพระอาทิตย์กำลังคล้อยลงต่ำแสงแดดเริ่มอ่อนแสงลงยิ่งทำให้บรรยากาศรอบด้านสวยงามขึ้นไปอีก
หลังจากถ่ายรูปเสร็จเราก็เดินต่อกัน เพราะยังไม่ถึงจุดกางเต็นท์ จุดหมายของเราวันนี้คือยอดดอยหลวง ทางเดินต่อคือเราต้องลงเนินเขากัน หลังจากเดินลงเนินมาก็จะมาเจอยอดเขาอีกยอดด้านหน้าเรา ใช่แล้ว นั่นคือยอดดอยหลวงเราจะกางเต็นท์พักแรมคืนนี้ที่นี่กัน
เดินกันมาทั้งวันเกือบ 12 กิโลเมตร ตั้งแต่ตอนเช้า ในที่สุดเราก็มาถึงจุดกางเต็นท์กับประมาณบ่ายสี่โมงกว่า ขณะที่รอลูกหาบลงไปตักน้ำสำหรับทำอาหารกันคืนนี้นั้น ทุกคนก็เลือกจุดกางเต็นท์กันเสร็จแล้วก็จัดการธุระส่วนตัวต่อให้เรียบร้อย
จุดกางเต็นท์คืนนี้ของเรานั้นมองลงไปด้านล่างจะเห็นแสงจากอาคารบ้านเรือนฝั่ง อำเภอเมืองพะเยา ส่องประกายระยิบระยับเหมือนดาวบนดิน เป็นทัศนียภาพตอนเย็นที่สวยงามอีกที่หนึ่ง เนื่องจากคืนนี้อากาศหนาว และลมพัดแรงพี่ลูกหาบเลยก่อกองไฟให้ พี่เจ้าหน้าที่นำทางก็มาร่วมวงผิงไฟกับเรา หลังจากรับประทานสุกี้แสนอร่อยมื้อเย็นเสร็จ เราก็มานั่งล้อมวงคุยกัน ชมบรรยากาศยามค่ำคืนอันแสนงดงามอีกคืนหนึ่ง ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายเข้านอน เพราะทนอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ น้ำค้างก็เริ่มลง คืนนี้ต้องนอนเอาแรงเพื่อเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ จุดหมายต่อไปของเราคือ "ดอยหนอก"
.
02 ดอยหนอก
ดอยหนอก มีลักษณะเป็นหินที่มีลักษณะคล้ายหนอกวัวหรืออูฐ เป็นเขาหินที่ประหนึ่งแทงทะลุขึ้นมาจากสันเขาหลวง วันนี้เราจะเดินไปที่นี่กัน โดยเส้นทางจะอยู่คนละเส้นจากที่เรามา เส้นทางจะเป็นการเดินลงขับสลับกับขึ้นเนินเตี้ยๆ
อากาศเช้านี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกรอบด้าน มองไปด้านไหนก็ขาวโพลนไปหมด เจ้าหน้าที่ลุกขึ้นมาก่อไปผิงตั้งแต่เช้าๆ หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็มาทานอาหารมื้อเช้า นั่นก็คือมาม่ากระป๋องกับหมูที่เหลือจากเมื่อคืน มีผักอีกนิดหน่อย วันนี้เราต้องเดินทางกันแต่เช้า เพราะเส้นทางวันนี้จะชันและลื่นกว่าขามา เก็บเต็นท์เสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อ
เดินไต่เนินเขาลงมาเรื่อยประมาณเกือบสองชั่วโมงเราก็มาถึงตีนดอยหนอก ตลอดเวลาที่เดินมามองไม่เห็นทัศนีภาพใดใดเลย เพราะหมอกลงจัดมาก มองเห็นแค่ไม่เกินสามเมตร เดินจนจะชนตีนดอยหนอกถึงรู้ว่ามาถึงแล้ว เราต้องลัดเลาะเขาไปด้านซ้ายมือเพื่อไปปีนขึ้นอีกด้านหนึ่ง หญ้าที่สูงและรกทึบทำให้เราเดินค่อนข้างลำบากกัน
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดปีน เราต้องวางสัมภาระกันไว้ตรงนี้ นำแค่ขวดน้ำขึ้นไปเพื่อความสะดวก และความปลอดภัยในการปีน เพราะทางชัน บางช่วงต้องไต่เชือกขึ้นไป ด้านบนมีเจดีย์ และพระพุทธรูป เราจะไปสักการะกัน
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินลง เพื่อดินต่อ หลังจากเดินมาได้สักพักฟ้าก็เปิดให้เราเห็นดอยหนอกแบบเต็มๆ มองย้อนกลับไปเป็นภาพที่แปลกตามากที่บนสันเขามีหนอกตั้งตระหง่านมีหมอกลอยเคลียระเรี่ยบริเวณยอดอยู่ตลอดเวลา
ทางเดินลงช่วงต่อมาป่าหญ้ารกทึบ ชัน และลื่นมาก ต้องระมัดระวังกันอย่างมาก มีบ้างที่ลื่นล้มก้นกระแทกกัน เพราะทางลื่นจริงๆ บริเวณนี้เราจะพบกับดอกไม้ป่าชนิดหนึ่งที่หน้าตาคุ้นๆ เหมือนจะรู้จัก นั่นก็คือดอกลิลลี่ป่านั่นเอง
ทางช่วงสุดท้ายชันมากๆ ถึงมากที่สุด เราจะเดินลัดเลาะลงไปทางน้ำ ช่วงหน้าฝนน้ำคงไหลบ่าเต็มบนเส้นทางนี้ ทางร่วนและชัน ต้องระวังตลอดเวลาขณะเดินลง ผ่านมาสักพักก็จะเป็นทางลาดลงเลียบธารน้ำที่น้ำแห้งไปเยอะแล้ว ทางช่วงนี้เดินยากหน่อยเพราะมีป่าใผ่ขวางเส้นทางเดินตลอด อีกทั้งทางที่ต้องเดินบนโขดหินริมน้ำ และทางกรวดทำให้สังเกตุทางเดินได้ค่อนข้างยาก โอกาจเดินผิดเส้นทางมีมาก แต่จะมีธงผ้าผูกไว้ตรงต้นไม้ตลอดทางเดินเพียงแต่บางช่วงหาจจะหายไปเพราะเก่าเนื่องจากคงผูดไว้นานแล้ว
เราใช้เวลาเดินลงกันเกือบเท่าตอนเดินขึ้น บ่ายสองกว่ากลุ่มแรกที่เดินนำไปก่อนก็ถึงจุดจอดรถ ที่จะมีรถอีแต๋นขนาดยี่สิบที่นั่งจอดรอเราอยู่พร้อมคขับและโค้กเย็นๆ หลังจากมากันคบทีมเราก็นั่งอีแต๋นออกไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรตามที่เจ้าหน้าที่บอก แต่เราว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 4 กิโลเมตร เพราะนั่งนานพอสมควร มาถึงหมู่บ้านราก็ต้องย้ายสัมภาระกันไปที่รถกระบะเพื่อนั่งต่อไปยังที่ทำการอุทยานอีกต่อหนึ่ง ตรงจุดนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวและน้ำเงี้ยวไว้คอยบริการนักเดินป่าด้วยแหละ
ทริปดอยหลวงดอยหนอกก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว อยากขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคนที่ช่วยกันให้ทริปนี้สำเร็จด้วยดี ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่และพี่ๆลูกหาบทุกคน เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ
. . . แสงจันทร์ . . .
แสงจันทร์
วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลา 10.37 น.