ทริปเดือนธันวานี้เราคิดกันอยู่นานว่าจะไปที่ไหนดี ที่อากาศหนาว คนไม่เยอะ เดินทางไม่ไกล สุดท้ายเลยมาลงเอยกันที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์นั่นเอง ทริปนี้ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน เดินทางโดยรถ 2 คัน ทั้งหมด 7 คนค่า ยิ่งคนไปเยอะช่วยกันหารยิ่งถู๊กกถูก
ค่าใช้จ่ายทั้งทริป ประมาณ 2,700 รวมค่าน้ำมันรถ 2 คัน (กรุงเทพฯ-เขาค้อ) ค่าที่พัก 2 คืน และค่ากิน (แหลก)
ขับรถจากกรุงเทพฯไปเขาค้อ ใช้เวลา 5.30 ชม. ต้องออกไวหน่อยจะได้ไม่ถึงมืดค่า
มาดูกันเลยว่าไปไหนกันบ้าง!
สถานที่เที่ยวเขาค้อ
- วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
- ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ทุ่งแสลงหลวง
- น้ำตกศรีดิษฐ์
- Pino Latte
- ทุ่งกังหันลม
- จุดชมวิวทะเลหมอกเขาค้อ
- โรงเตี๊ยม TakMoh
ที่พักเขาค้อ
- คืนแรก Khao Kho Overview Resort (6,000 บาท 7 คน)
- คืนที่สอง Papa Garden Khao Kho (4,000 บาท 6 คน)
ค่าใช้จ่าย (ต่อคน)
- ที่พัก 2 คืน 1524.-
- ค่าน้ำมันรถ 2 คัน 400.-
- ค่าเข้าสถานที่และเครื่องเล่นต่างๆ 150.-
- กิน 700.-
ฝากเพจของเราด้วยน้า www.facebook.com/LeftHomeTraveller
Day 1
พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯตอน 10.30 ซึ่งออกจากเลทไปนิ้ดดด แต่โชคดีที่รถไม่ติดเลย ทำให้ไปถึงเขาค้อประมาณ 16.00
ถึงแล้วก็เข้าไป check in ที่รีสอร์ทแรกกันเลย นั่นก็คืออ “Khao Kho Overview Resort” ตั้งอยู่ใกล้ๆวัดผาซ่อนแก้วเลยค่ะ
เราจองห้องใหญ่สำหรับ 6 ท่าน ราคา 5,500 บาท เพิ่มเตียงเสริม 1 ท่าน 500 บาท มี 1 ห้องน้ำ พร้อมอาหารเช้า
ห้องถือว่าใหญ่พอสมควร อยู่กัน 7 คนสบายๆไม่เบียดเลย หน้าห้องมีชานเล็กๆไว้นั่งชิล ถือว่าดีค่าาา
Check in เรียบร้อยแล้ว ยังเหลือเวลาเที่ยวซักเล็กน้อยก่อนมืด เราเลยตัดสินใจไป “วัดผาซ่อนแก้ว”
ขับรถจากรีสอร์ทมาที่วัดเพียง 10 นาทีเท่านั้นก็ถึง ตอนเย็นๆอากาศเริ่มเย็นสบายเลยค่า
มาถึงก็จอดรถที่ลานจอดด้านหน้า คันละ 30 บาท
วัดผาซ่อนแก้วจะมี 2 ฝั่ง ฝั่งขวามือจะเป็น Landmark เลยคือพระพุทธรูปขนาดยักษ์สีขาว ที่ตั้งตระหง่านบนยอดเขา มองจากถนนใหญ่มาไกลๆจะเห็นเด่นชัดมาก
ที่นี่ก็เป็นทั้งสถานที่ปฏิบัติธรรมและที่ท่องเที่ยวขอเขาค้อเลย เพราะนอกจากพระพุทธรูปแล้วก็มีลานระเบียงกระจกกว้างใหญ่ให้ยืนถ่ายรูปชมวิวได้อย่างอลังมากๆ
มาถึงฝั่งซ้ายมือ ฝั่งนี้จะเป็นเจดีย์สีทองอร่ามที่ประดับด้วยลูกแก้วหลากสีและฝาลายสวยๆ ดีเทลละเอียดมากๆ ใครชอบด้านสถาปัตยกรรมต้องห้ามพลาดมาชมความงามของเจดีย์นี้ค่ะ
อยู่ที่วัดกันจนฟ้ามืด และแล้วก็ถึงเวลาของมื้อเย็น!! ขับรถเลยจากวัดผาซ่อนแก้วขึ้นมาบนเขาอีก 5 นาที จะเจอ “โรงเตี๊ยมตั๊กม้อ” ร้านอาหารแนวจีนๆหน่อย ซึ่งได้รับคำแนะนำมาจากเจ้าของรีสอร์ทเรานั่นเอง
ในร้านมีทั้งโซนอาหารและคาเฟ่ แบบ Indoor&Outdoor แน่นอนว่าอากาศดีแบบนี้เราต้องนั่งด้านนอกแน่นอน!!
อาหารแนะนำของที่นี่ที่พวกเรากินแล้วบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่าอร่อย นั่นก็คือ “ขาหมูสูตรยูนนาน” เสิร์ฟพร้อมหมั่นโถว ใครไปต้องห้ามพลาดเลยยจ้า
ส่วนราคา เราสั่งอาหาร 7 อย่างพร้อมข้าว กินกันแบบอิ่มๆ หารกัน 7 คน ตกคนละ 204 บาท!! ถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับรสชาติ ปริมาณและบรรยากาศดีๆ ขอแนะนำค่ะ
Day 2
วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้า เพราะจุดหมายสำคัญรออยู่!!
เช้านี้เราออกจากที่พักตอนตี 5 (ซึ่งช้าไป) เพราะเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ “ทุ่งแสลงหลวง”
ทุ่งแสลงหลวงเป็นอุทยานในจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่จะสวยที่สุดตอนพระอาทิตย์ขึ้น เพราะพระอาทิตย์จะค่อยๆขึ้นมาจากแนวภูเขาด้านหลัง สาดแสงส่องผ่านทะเลหมอกมายังทุ่งหญ้าที่ใหญ่ที่สุด บรรยายอย่างเดียวอาจไม่เห็นภาพ เดี๋ยวเราไปดูกันเลย!!
ขับรถจากรีสอร์ทไปทุ่งแสลงหลวง ใช้เวลา 50 นาที เพราะค่อนข้างไกลกัน
เมื่อถึงแล้วเราต้องจอดรถที่หน้าที่ทำการ จะอยู่จุดเดียวกับลานกางเต๊นท์ค่ะ มาถึงกันตอน 6 โมงพอดีฟ้ายังมืดอยู่
เราไม่สามารถขับรถเข้าไปจุดชมวิวได้ เพราทางโหดมาก เจ้าหน้าที่อนุญาติแค่มอไซกับรถกระบะ เราเลยต้องเช่าจักรยานกันเข้าไปค่า ค่าเช่าจักรยานคันละ 50 บาท
จากปากทางเข้าไปถึงจุดชมวิวเป็นระยะทาง 4 กิโล ใช้เวลาต่อขา 40นาที !!!
ขุนพระ พระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว เสียดายที่ออกมาช้าไปหน่อย ใครจะไปก็ต้องวางแผนเผื่อเวลาไว้ด้วยน้า
ขี่จักรยานเข้ามาแป๊ปนึง จะเจอหนองน้ำเล็กๆข้างซ้ายมือ เช้าๆมีหมอกลงเหนือน้ำ สวยแบบหลอนๆดีเหมือนกัน เลยแวะถ่ายรูปหมู่กันซัก 1 รูปป
ขี่เข้าไปเรื่อยๆ มีทั้งขึ้นเขาลงเขา ขาขึ้นปั่นไม่ไหวก็ต้องลงเข็นกัน บางจังหวะขี่ไปขี่มาเกียร์ก็พัง สนุกดีค่ะ
แต่เมื่อมาถึงครึ่งทางก็ตกลงกันแล้วว่าขอพักจักรยานไว้ข้างทางแล้วเดินต่อน่าจะไวกว่า
ดีที่อากาศดีมาก ประมาณ 17-18 องศา เลยเดินกันสบายๆ 4 กิโลเท่านั้นเอ๊งง
และแล้วในที่สุด!!! เราก็เดินขึ้นมาถึงจุดชมวิวของทุ่งแสลงหลวง “ศาลามณีศร”
และวิวที่เราเห็นกันเบื้องหน้า คือสำแสงสีทองจากพระอาทิตย์ที่พาดผ่านทุ่งหญ้าและสายหมอกยามเช้า
เสียดายที่มาช้าไปหน่อย กว่าจะถึงจุดชมวิวก็ 7 โมงแล้ว พระอาทิตย์จะสูงขึ้นหน่อย แต่ก็ยังสวยมากๆอยู่ดี
ทุ่งแสลงหลวงยังมีจุดชมวิวอื่นๆอีก แต่ต้องเข้าไปลึกอีก เราเลยอยู่กันแค่ตรงนี้แหละ
บ่ายนี้เรามาเติมพลังกันที่ “Pino Latte” ร้านอาหารและคาเฟ่ชื่อดังของเขาค้อกัน
ตอนบ่ายแดดร้อนใช้ได้เลยทีเดียว แต่ถ้านั่งร่มๆก็ยังลมเย็นอยู่
อาหารที่นี่อาจจะไม่ค่อยมีให้เลือกเยอะมาก เพราะเขาเน้นนั่งชิลดูวิวกันมากกว่า แต่ด้วยชาวแก๊งค์เป็นสายตะลุยกิน เลยสั่งมาเกือบทุกเมนูจัดไป
ราคาอาหารประมาณ 150-250 บาท เครื่องดื่มแก้วละ 90-100 บาท
พอขึ้นมาถึงด้านบนร้าน คนเยอะมากกกกก ดันมาโป้ะเชะตอนเที่ยงครึ่งพอดี ขนาดวันนี้เป็นวันธรรมดาคนยังเยอะขนาดนี้ ใครมา เสาร์อาทิตย์ก็ต้องกะเวลามาหน่อยน้า
ร้านนี้จะโดดเด่นตรงที่นั่งมุมนี้เลยค่ะ Counter bar ไม้ หันหน้าเข้าหาวิวภูเขา บวกกับอากาศเย็นๆมันจะดีมาก มาช่วงเช้าหรือเย็นน่าจะโอ เพราะตอนเที่ยงร้อนนนมากค่ะ
เติมท้องกันเสร็จเรียบร้อย ก็คุยกันว่าร้อนแบบนี้ไปทุ่งกังหันลมตายแน่ เลยมีที่นึงผุดขึ้นมาในใจ นั่นก็คือ “น้ำตกศรีดิษฐ์”
search หาข้อมูลว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเขาค้อ ก็โอเคเลย ร้อนๆแบบนี้ขอหาที่เย็นๆเอาเท้าจุ่มน้ำหน่อยก็ดี
ขับรถจาก Pino Latte ประมาณ 40 นาที ถึงน้ำตกศรีดิษฐ์ เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท
มาถึงแล้วก็ไม่พลาดที่จะถ่ายรูปหมู่กัน เสียดายที่ลงน้ำไม่ได้เพราะน้ำค่อนข้างเชี่ยว
อยู่กันซัก 10 นาที เราก็ไปกันต่อ!! (เพราะมันไม่มีอะไรให้ทำ) อากาศเริ่มดีขึ้นแล้ว ก็เดินทางต่อไปที่ “ทุ่งกังหันลม”
กังหันลมขนาดยักษ์ใหญ่ ที่เรามองเห็นได้ตั้งแต่อยู่รีสอร์ท ที่นี่จะมีจุดกางเต๊นท์ ชมวิว และกิจกรรมให้เล่นมากมาย ที่จอดรถฟรีจ้า
เดินขึ้นมาเราจะเจอทุ่งดอกไม้ ค่าเข้า 80 บาท จะมีดอกไม้นานาชนิด หลากสีสัน ให้ถ่ายรูปกันสวยๆ โดยด้านหลังจะเป็นวิวภูเขาและกังหันลม ชิคๆ
ในทุ่งดอกไม้ก็จะมีชิงช้าให้นั่งเสียวๆด้วย
นอกจากชิงช้า ใกล้ๆกันจะมีมุมที่เซ็ทไว้ให้ถ่ายรูปกับวิวด้านล่างค่า
ถ่ายรุปเล่นกันสักพักก็เห็นว่าด้านข้างทุ่งดอกไม้มีมุมกิจกรรมให้เล่นหลายอย่าง เราเลยลองนั่งชิงช้าสวรรค์ระบบ manual กันดูค่ะ
ชิงช้าไม่ใหญ่มาก แต่ความเสียวมันมาจากการใช้คนในการหมุน!! และเรานั่งกันเต็ม 6 ที่นั่ง ในใจก็เสียวๆว่ามันจะปลอดภัยมั้ย
ใช้คนถึง 3-4 คนในการหมุนกันเลยทีเดียว และลุงๆแกหมุนเอามันส์เลยทีเดียว 5555
ราคาคนละ 50 บาท หมุน 10 ครึ่ง หน้า-หลังค่า
เล่นชิงช้าสวรรค์เสร็จเราก็ยิงธนูกันต่อ ชุดละ 50 บาท ได้ยิง 6 ดอก
ตอนแรกมีความงก กะว่าจะเล่นแบ่งกันคนละดอก55555 แต่เล่นไปเล่นมามันติดลม เลยต้องจัดต่อซะ
เย็นแล้วก็ถึงเวลาเข้าที่พักที่ 2 ของเรา “Papa Garden Khao Kho”
เป็นลานเต๊นท์แบบฮิปๆ ตั้งอยู๋ใกล้ๆกับไปรษณีย์เขาค้อเลยค่ะ
ทุกเต๊นท์จะหันหน้าเข้าหาวิวทิวเขา ด้านพระทิตย์ขึ้นเลย เราเลยแพลนกันว่าจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่เต๊นท์นี่แหละ
ราคาสำหรับเต๊นท์ family 3,000 บาท 4 ท่าน สามารถเสริมเตียงได้ อีก 2 ท่านละ 500 บาท พร้อมอาหารเช้าค่ะ
ห้องน้ำมีเพียงพอ สะอาด มีสบู่และแชมพูให้ พร้อมผ้าเช็ดตัวตามจำนวนคน
ที่นี่จะมีบริการจัดชุดหมูกระทะให้ด้วยตอนเย็นค่า โดยเราสามารถสั่งชุดหมูกับทางจนท.ไว้ได้เลย ที่รีสอร์ทจะเตรียมอาหารและอุปกรณ์ต่างๆไว้ให้ครบค่ะ แถมยังมีน้ำแข็งฟรีตั้งไว้ให้ด้วย ใครจะซื้ออาหารอื่นๆเข้ามาเพิ่มก็ได้ค่ะ
แก๊งค์เราจัดชุดหมูใหญ่กับชุดจัมโบ้ รวมๆราคา 1,000 บาทพอดีเด้ะ
รีสอร์ทจะมีลานกลางไว้ทานอาหาร หรือถ้าหน้าเต๊นท์มีพื้นที่ว่างก็สามารถกางโต๊ะกินกันหน้าเต๊นท์ได้เลย ชิวมากๆ
กินหมูกระทะกันหน้าเต๊นท์ พร้อมกับอากาศ 19 องศา และเงยหน้าขึ้นก็สามารถเห็นดาวได้ชัดมาก
และนี่คือวิวหน้าเต๊นท์ของเราค่าา
Day 3
ตั้งปลุกไว้ 6 โมงเช้าเพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าเต๊นท์ บอกได้คำเดียวเลยว่าที่พักหลักร้อยวิวหลักล้านเลยจริงๆ
อากาศตอนเช้าเย็นๆ กำลังสบาย ไม่หนาวเท่าที่พักคืนแรก
มองออกไปนอกเต๊นท์จะเห็นวิวทิวเขาสลับซับซ้อนกัน เห็นวิวแม่น้ำกลางทิวเขาที่มีหมอกลอยอยู่ พระอาทิตย์ทางด้านซ้ายจะค่อยๆโผล่ออกมาเหนือภูเขาที่บังอยู่
ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะแพคของลงกระเป๋าเดินทางคู่ใจ ที่ไอน้ำเกาะเปียกไปแล้วเพราะวางทิ้งไว้หน้าเต๊นท์ทั้งคืน 5555
ก่อนจะขับรถกลับกรุงเทพฯ ก็แอบแวะมาดูวิวทะเลหมอกที่จุดชมวิวฝั่งตรงข้ามกับรีสอร์ท ถึงจะสายแล้วก็ยังมีทะเลหมอกอยู่หนามากกก
หากใครไม่รีบกลับสามารถหาที่เที่ยวใกล้ๆเพิ่มเติมได้ค่า เช่น จุดชมวิวไปรษณีย์เขาค้อ จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ พระตำหนักเขาค้อ เนื่องจากพวกเรากลับกันแต่เช้า เลยต้องจบทริปเขาค้อไว้เพียงเท่านี้ ใครกำลังแพลนไปเที่ยวเขาค้อช่วงหยุดปีใหม่สามารถอ้างอิงที่เที่ยวที่กิน มุมถ่ายรูปจากโพสต์เราได้เลยน้าา แล้วเจอกันทริปหน้า!!
ติดตามโพสต์ใหม่ๆ www.facebook.com/LeftHomeTraveller
LEFT HOME หนีออกจากบ้าน
วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.20 น.