เช้าวันที่ 31 ธันวาคม 2561 เวลา 8.00 น.

พี่ชูได้มารอรับเราที่หน้าโรงแรมแต่เช้า ตามเวลานัด วันนี้เราจะเดินทางกันด้วยรถยนต์ค่ะ ห่างออกไปจากตัวเสียมเรียบประมาณ 2 ชั่วโมง กระโดดขึ้นรถ หากาแฟกิน และนั่งยาวๆกันไป ที่แรกที่เราจะไปกันคือ เบ็ง มาเลีย...


เราเรียกมันว่านครล่มสลาย แต่จริงๆเราไม่รู้หรอกว่าประวัติของปราสาทแห่งนี้คืออะไร แต่ด้วยลักษณะที่กลายเป็นซากปรักหักพังของทั้งปราสาทแล้วนั้น มันก็ดูเหมาะกับชื่อนี้ดีนะ ที่นี่จะทำให้เราเหมือนได้บุกตะลุยลงดันเจี้ยนลึกลับมากๆ เราจะได้เห็นซากปราสาทในอีกมุมมองที่ต่างออกไปจากปราสาทต่างๆ โดยมุมมองของที่นี่เราจะได้เห็นซากต่างๆจากมุมสูงนั่นเอง และที่นี่เราต้องเสียค่าเข้า 5$ นะคะ ไม่ได้รวมอยู่ในตั๋วของนครวัด

ขอตั้งชื่อรูปนี้ว่า "นั่งงงกลางดงจีน" ใช่ค่ะ ทัวร์จีน จีน และจีนนน นั่งรออยู่นานมากกว่าทัวร์จีนจะหมด แต่ไม่หมดสักที ถ่ายมันแบบนี้แหละ! นี่คือภาพจากมุมสูงของเราเองค่ะ 5555 ปราสาทเบ็ง มาเลียแห่งนี้ได้จัดทำสะพานพาดข้ามกองซากของตัวปราสาท เพื่อที่เราจะได้เดินเข้ามาสำรวจด้านในตัวปราสาทได้

ความพิเศษของที่นี้คือตัวปราสาทมีป่าค่อนข้างทึบภายนอก และภายในตัวปราสาทอย่างในภาพจะค่อนข้างมืด ทำให้เราสามารถถ่ายรูปโดยการเล่นแสง และเงาได้สนุกมาก หามุมถ่ายรูปกันเพลินไปเลย ทำให้เราใช้เวลากับที่นี่ค่อนข้างนานค่ะ ส่วนหนึ่งคือรอกรุ๊ปทัวร์จีนกลับ อีกส่วนคือเดินวนๆ เพื่อหาจุดที่แสงลง เพื่อภาพที่สวยงามมม อิอิ

ทับหลังรูปกวนเกษียนสมุทร อยู่จุดเดียวกับภาพนั่งงงกลางดงจีนด้านบนค่ะ ไกด์จีนคือตั้งใจอธิบายมาก แต่ลูกทัวร์ตั้งหน้า ตั้งตาถ่ายรูป ไม่ฟังกันเลย พอมองแล้วก็เสียดายแทน ถ้าฟังภาษาจีนออกก็อยากผันตัวไปเป็นลูกทัวร์ให้แทนเลย

นอกจากปราสาทจะพังแล้ว ทางเดินก็พังจ้า 5555 ทำให้เราไม่สามารถดูได้ครบทุกส่วนของที่นี่ และถ้าหากว่าเราเยี่ยมที่เบ็ง มาเลียนี้กันในหน้าฝนนั้น ก้อนหินทุกก้อนของปราสาทจะเต็มไปด้วยตะไคร้ มอส ที่มีสีเขียวเต็มไปทั่วอาณาบริเวณ น่าจะสวยมากแน่เลย

พวกเราใช้เวลากับที่นี่ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ ก็ได้เวลาเกือบๆเที่ยงพอดี จึงเริ่มเดินทางต่อไปกันอีกที่

ป่ะ ไปกัน!

นั่งรถได้ไม่นานนัก เราก็มาถึง กบาลสะเปียนกัน ที่นี่เราต้องเดินเท้าเข้าป่ากันมาถึง 2 กิโลเมตร ซึ่งประวัติของที่นี่ก็คือ ถูกสร้างขึ้นมาจากความเชื่อของศาสนาฮินดูที่ว่า เมื่อนำน้ำมาไหลผ่านศิวลึงค์ และฐานโยนีแล้วนั้น น้ำที่ได้ จะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตัวกบาลสะเปียนเองเป็นต้นน้ำของแม่น้ำต่างๆ ที่ไหลผ่านภายในนครวัด ทางกษัตริย์ในยุคสมัยนั้น ต้องการที่จะให้ประชาชนได้รับน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอดเวลา แล้วจะทำยังไงหล่ะ? จะให้เหล่าพราหมณ์มานั่งรดน้ำ ทำน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งวันก็ไม่ได้ ถูกม่ะ?

ทางกษัตริย์ในยุคสมัยนั้นจึงสั่งให้แกะสลักก้อนหินที่ต้นน้ำนี่ออกมาทั้งสาย บนภูเขา โคตรฉลาด! ตอนเราฟังเรื่องนี้ครั้งแรกนั้น เรายอมใจคนขอมสมัยก่อนมาก เค้าเก่ง และฉลาดมากๆ และด้วยวิธีนี้นั้น ประชาชนด้านล่างของเขาพนมกุเลน รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นครวัด แม่น้ำทุกสายที่ต้นน้ำนี้ไหลไป จะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ หมายความว่าทุกคนจะได้รับน้ำศักดิ์สิทธิ์นี่อยู่ตลอดเวลาจนถึงปัจจุบันนี้

จะเห็นได้ว่าก้อนหินก้อนใหญ่ๆ ส่วนใหญ่นั้นจะถูกนำมาแกะสลักทั้งหมด บ้างก็เสียหาย บ้างก็ถูกเจาะนำไปขาย น่าเสียดายมาก สงสัยกันมั้ยคะว่าวิธีการแกะสลักหินต่างๆที่มีน้ำไหลผ่านตลอดเวลาเค้าทำกันยังไง? วิธีการสร้างที่นี่ก็คือเค้าจะแกะสลักทีละครึ่งค่ะ โดยจะทำการกั้นน้ำครึ่งนึงก่อน แกะสลักให้เสร็จจนครบ แล้วค่อยไปกั้นอีกครึ่ง แล้วแกะสลักต่อค่ะ ต้องใช้ความพยายาม และใจเย็นมากจริงๆ

และที่นี่ถูกขนานนามว่า The river of the thousand linga เพราะที่นี่ถูกแกะสลักเป็นรูปศิวลึงค์นับพันลึงค์เลยก็ว่าได้ การได้มาเห็นสิ่งนี้ซึ่งจัดได้ว่าเป็นนวัตกรรมของคนสมัยก่อนที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ได้ใช้ประโยชน์ ทำให้การเดินกว่า 2 กิโลเมตรของเรานั้นโคตรคุ้มค่า และนวัตกรรมนี้ก็ยังมีประโยชน์ให้กับคนรุ่นหลัง และคนรุ่นต่อๆไปอีกด้วย ก็คือในปัจจุบันหรืออนาคตก็ตาม ประชาชนที่นี่ก็ยังคงได้รับน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอดเวลาอยู่ดี ...เจ๋งโคตร

หลังจากเราสำรวจที่นี่เสร็จแล้ว เรารีบจ้ำเดินออกเลยค่ะ เรายังเหลืออีกที่ แต่เวลาไม่ค่อยเหลือให้เราเท่าไหร่ ถ้าเกิดช้ากว่านี้ จะไม่ทันพระอาทิตย์ตกแน่

ไม่นานนักเราเดินทางมาถึงปราสาทบันทายศรี เป็นปราสาทขนาดเล็กมากๆ เพราะปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยเหล่าพราหมณ์ จึงทำให้ไม่สามารถสร้างปราสาทให้ใหญ่เท่าปราสาทอื่นๆ ได้ ปราสาทถูกสร้างขึ้นมาจากหินทรายสีชมพู แห่งเดียวในเขมร ซึ่งเป็นหินชนิดเดียวกันกับปราสาทพนมรุ้งเลย และลวดลายการแกะสลักที่นี่อลังการมาก ละเอียดที่สุดในบรรดาปราสาททุกที่ที่เราไปมาเลยก็ว่าได้

สังเกตนางอัปสราที่ปราสาทบันทายศรี เท้าของนางอัปสราจะหันตรง แตกต่างกับที่นครวัด ที่เท้าของนางอัปสราจะหันข้างค่ะ พามาดูแล้วนะ มาตามสัญญา แถมใช้เวลาไม่นานด้วยค่ะ 5555 รูปทรงของนางอัปสราที่นี่ จะมีความอวบกว่าที่นครวัดนิดๆด้วยนะ

ให้มันเป็นสีชมพู ตึ๊ดตึดตึ่ดด

เราไม่สามารถเข้าไปในตัวปราสาทได้นะ เค้าจะกั้นเชือกไว้ การแกะสลักของที่นี่มันสุดจริงๆ และจะเห็นได้ว่าประตูด้านในปราสาทนั้นเล็กมากๆ เค้ามีเหตุและผลในการสร้างอยู่ค่ะ โดยประตูทางด้านหน้าจะใหญ่ที่สุด และจะค่อยๆเล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ เพื่อเป็นอุบายให้กับคนที่เข้ามาที่นี่ ค่อยๆคำนับสถานที่ เป็นการทำความเคารพสถานที่ไปในตัวค่ะ เราว่า ประตูสุดท้ายนี่คงต้องคลานเข่าเข้าไปแน่ๆ

มีเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเพื่อที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกกัน วิ่งงง

17.30 น. เราเดินทางมาถึงปราสาทแปรรูป สถานที่ดูพระอาทิตย์ตกของเรากัน เราวิ่งค่ะ วิ่งจริงๆนะ พอถึงตัวปราสาทเราปีนค่ะ 5555 ปีนป่ายเหมือนลิงเลยเพราะพวกเรากลัวว่าจะไม่ทันพระอาทิตย์กัน ปีนโดยที่ไม่รู้ว่าบันไดมันชันขนาดไหน รอบข้างเป็นยังไง ปราสาทเป็นแบบไหน ลืมทุกสิ่งและมุ่งตรงไปพระอาทิตย์อย่างเดียว

เรามาทัน

แสงสุดท้ายของปี 2018 เราถ่ายมันได้แค่นี้ และจากนั้นเรานั่งมองจนแสงนั้นลาลับเราไป ความรู้สึกหลายอย่างมันพุ่งเข้ามาหาเราหมด มันทำให้เราคิดทบทวนตัวเองในปี 2018 ว่าเราเจออะไรมาบ้าง เรากำลังทำอะไรอยู่ เรายินดีกับเรื่องไหน เราทุกข์กับสิ่งใด สิ่งไหนที่เราตั้งใจทำมันเมื่อต้นปี ตอนนี้เราทำสำเร็จมั้ย

..โคตรติส

กลับห้อง อาบน้ำ แต่งตัว ได้เวลาปาร์ตี้ ส่งท้ายปี 2018 กันแล้วค่ะ

ค่ะ! นี่คือหน้าตาของ Pub street ในช่วงคืนสุดท้ายของปี เต็มไปด้วยวัยรุ่นแคมโบเดียเลยว๊อยยยย โอ๊ยยย! ความมุ่งมั่นที่จะมาฉลองกับประชาชนฝั่งยุโรปหายแว้บ! เลิกค่ะ เลิกกก เราไม่เข้าไปแตะในซอยนี้อีกเลยจ้า เบียร์ในซอยนี้จะแพงขึ้นมาก ถ้าอยากฉลองแบบสนุก ไม่แออัด เบียร์ถูก ออกมารอบนอกเลยค่ะ และฝรั่งตาน้ำข้าวทั้งหลายก็จะอยู่ข้างนอกเช่นกัน

กินเบียร์ไป แกล้ม หมึ๊ก หมึกกะตอยคั่วน้ำจิ้มเจ้าเก่าจากปากน้ำปราณฯ (โคตร Hard sale) ใครสนใจ ไปสั่ง ไปจับ ไปจอง ไปชิมกันได้ค่ะ 5555 เราดื่มกันสักพักก็ได้เวลา 5 4 3 2 1 ......Happy New Yearrrrr!!!!

ค่ะ.. มันส์มาก 555 เรานั่งดื่มกันสักพัก มีคนมาคุยกับเรา เป็นคนเขมรเนี่ยละ ภาษาอังกฤษดีโคตร คุยกันค่อนข้างถูกคอ เค้าเลยชวนเราไปร้านข้างๆ ซึ่งเพื่อนเค้ากำลังปาร์ตี้อยู่ เบียร์ฟรี เราก็ไปสิ นั่นละค่ะคือจุดจบของความตั้งใจที่จะมาเต้นกับผู้ฝรั่งของเราเอง พอไปถึง วัยรุ่นแคมโบเดียกำลังเปิดเพลง จั่งซี่มันต้องถอนนน 55555555 เซิ้งกันมันไปเลยจ้าาา งึกงึกงักงัก มันเป็นงึกงึกงักงัก โอ๊ยยยยยย ฮ่าาาาๆ

ตี 3 ลากสังขารกลับห้อง นัดพี่ชูไว้ 9 โมงเช้า และ เราตื่น 9 โมงเช้า 5555

วันที่ 1 มกราคม 2562 วันแรกของปี แต่เป็นวันสุดท้ายของเราที่เสียมเรียบนี้

พี่ชูพาเรามายังปราสาทพระขรรค์ แต่สภาพเรานี่อยากกลับไปนอนมาก เมาค้างงงง!

ไม่ค่อยจะมีแรงถ่ายอะไรเท่าไหร่ เหนื่อย เมื่อย เมา ร่างใกล้ถึงขีดจำกัด แต่ยังไปต่อได้นะ ค่อยๆไป ช้าๆ ค่อยๆเดิน มีอาการเซนิดๆ แต่ยังไม่ล้มก็ถือว่าได้อยู่

ภายในปราสาทนี้จะบรรจุเจดีย์ทรงระฆังคว่ำเอาไว้ เชื่อว่าภายในเจดีย์ได้บรรจุอัฐิของพระราชบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เอาไว้ค่ะ ป่ะ ไปต่ออย่างรวดเร็ว

ปราสาทนาคพัน ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ตัวปราสาทจะตั้งอยู่กลางน้ำ สร้างขึ้นตามตำนานของสระอโนดาต ซึ่งน้ำที่อยู่ในสระนี้ก็เปรียบได้ว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีความเชื่อว่าผู้ใดได้ดื่มน้ำที่สระนี้ ที่ออกจากปากของรูปปั้น ราชสีห์ ช้าง ม้า และมนุษย์ ที่อยู่ทางศาลาทั้ง 4 ทิศของปราสาทนั้นจะสามารถรักษาโรคได้ เพราะฉะนั้นปราสาทแห่งนี้ก็สามารถเปรียบได้กับว่าเป็นโรงพยาบาลในสมัยนั้นนั่นเอง

แต่ดูจากสีน้ำดิ ถ้าดื่มเข้าไป จะหายจากโรค หรือหายจากโลก?

เรากลับมาเก็บการขึ้นยอดที่สูงที่สุดของพระปรางค์นครวัดแห่งนี้กัน ให้ตายสิ! กลับมาอีกครั้งก็ยังคงตะลึง ยังคงชอบสถานที่นี้อยู่ดีแหะ ซึ่งเชื่อว่าเป็นทั้งเทวาลัย และที่ฝังพระศพของผู้สร้าง ก็คือพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 นั่นเอง เพราะอะไรถึงนำมาไว้จุดที่สูงที่สุด? ก็เพราะว่าสมัยก่อนผู้ที่เป็นกษัตริย์จะถือว่าเป็นร่างอวตารของเทพในศาสนาฮินดู จุดสูงสุดก็คือเขาพระสุเมรุนั่งเองค่ะ อืมมม สูงจริง สูงมาก ปืนขึ้นมาขาสั่นเลยแหละ

ได้เวลาบอกลานครวัดกันแล้ว เราเดินทางออกจากนครวัด ซื้อของฝาก ทานข้าว และได้เวลาตรงกลับสนามบินกันแล้ว สรุประยะทางการเดินทางหมดของเรานั้นนน

60.48 กิโลเมตรถ้วนจ้า เหมือนพาตัวเองมาวิ่งมาราธอน รวมกับฮาฟมาราธอนอีกที แต่จำนวนแคลที่หามาได้ หมดไปกับเบียร์เมื่อคืนวันปีใหม่หมดแล้วค่ะ 555555

ขอลาจากกันด้วยรูปนี้ค่ะ ลาก่อนเสียมเรียบ

สิ่งที่เราได้จากการมาเสียมเรียบครั้งนี้ แน่นอนอยู่แล้วว่าจุดประสงค์ของเราคือการมาตาม Dream destination ของตัวเองคือนครวัด ที่แห่งนี้เราเห็นทุกครั้ง มันมักจะดึงเราให้อยากมาเสมอ และในขณะที่เราพิมพ์รีวิวนี้อยู่ เราก็ยังอยากที่จะกลับไปเสมอ เรามีสิ่งที่อยากฝากไว้ในท้ายที่สุดนี้ คือ

ถึงคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ไม่นับถือศาสนา... เราจะบอกว่าเราไม่กีดกัน และขัดขวางความคิดของคนเหล่านั้น แต่เราอยากให้มองในมุมที่ข้ามเรื่องศาสนาไป เราอยากให้มองว่าที่แห่งนี้มันสร้างขึ้นมายังไง มันยิ่งใหญ่ อลังการขนาดนี้ จะต้องใช้คนกี่คน ช้างกี่เชือก เพื่อที่จะสำเร็จได้สวยงามขนาดนี้ ถ้าคุณยังคงมีความคิดว่ามันคือศาสนา ชั้นไม่ไปหรอก มันจะเท่ากับว่าคุณไม่ได้เรียนรู้โลกใบนี้เลย

ถึงคนที่คลั่งศาสนา... ลองหันมามองวิถีชีวิต มองความเป็นจริง มองชีวิต ความเป็นอยู่ที่อยู่บนพื้นที่แห่งนี้ ตลอดเกือบ 1000 ปีที่มีปราสาทเหล่านี้ตั้งอยู่ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยคือวิถีชีวิตของคนในบริเวณโดยรอบ ซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามบุคสมัยอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือผู้คนเหล่านี้ยังคงนับถือสิ่งที่มีมาก่อนพวกเขา

และสุดท้ายนี้ การเป็นนักเดินทางของเรา เราชอบที่จะเดินทางไปเยือนที่ต่างๆ พูดคุยกับคนเหล่านั้น ดูสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างตั้งใจ โดยที่เราเข้าไปเรียนรู้ ไม่ใช่เข้าไปด้วยความขัดแย้ง และที่แห่งนี้ทำให้เราโคตรประทับใจ ทั้งสิ่งก่อสร้างต่างๆ ทุกที่มีประวัติ ความเป็นมา มีความเชื่อ สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน ได้ปีนป่ายซากปราสาท ได้เรียนรู้วิธีการสร้าง วิธีการคิดต่างๆ และที่สำคัญเลยคือ เสียมเรียบไม่หลอกนักท่องเที่ยวในเรื่องของค่ารถ และค่าอาหาร (แต่เวลาซื้อของก็ต้องต่อระนาวเป็นเรื่องปกติ) ซึ่งมันอเมซิ่งเรามาก

Just live your life

See you again in the next journey

Good luck


ฝากงาน ฝากบทความ ฝากตัว ฝากใจ ฝากทุกสิ่ง เข้าไปดุ๊

เสียมเรียบ เงินราบ ..ปีใหม่นี้ ณ เขมร Ep.1

ใครไม่อิน เราอินโด [โบรโม่ อีเจี้ยน บาหลี] 6 วัน 5 คืน กับ 4 สหายผู้โดนเท

ความคิดเห็น