สวัสดีค่ะ,
หลายๆ คนคงเคยมีความคิดที่ว่า "อยากไปเที่ยวคนเดียว" กันใช่ไหมคะ? ใช่ค่ะ! เราคือ 1 ในหลายๆ คนนั้นแหละ แต่ติดที่ว่ากลัว และไม่กล้า เลยทำให้ทุกทริปที่ตัดสินใจจะไปคนเดียวจะต้องเอ่ยปากชวนใครสักคนนึงไปด้วยเสมอ จนมาถึงคราวที่กำลังจะต้องเรียนต่อแล้ว หลังจากนี้จะหาเวลาไปเที่ยวได้ยากละ เลยตัดสินใจ เอาวะ! ลองกันดูสักตั้ง ลุยเดี่ยวคนเดียวซะ เอาที่ที่ไปง่ายๆ ใกล้ๆบ้านก่อนเนี่ยละ ..มาเลเซีย
Malaysia จะ truly asia จริงหรือไม่ มาดูกัน!
ที่เราเลือกมาเลเซีย เนื่องมาจาก "ช่องแคบมะละกา" ที่เคยได้ยินติดหูมาตั้งแต่สมัยเรียนสปช. เอาจริงๆก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมาเนี่ยละว่าเจ้าช่องแคบนี้มันอยู่ใกล้บ้านเราแค่นี้เอง! และอีกเหตุผลหนึ่งของเราคือ อยากใส่เสื้อคลุมเป็นแฮร์รี่พอตเตอร์ที่ปุตราจายา ณ มัสยิดสีชมพู๊วว
ระยะเวลา : 14-17 มีค. 2019 via Air Asia
เราเดินทางมาถึงสนามบิน KLIA2 เวลา 00.50 น. หาที่อาบน้ำและที่นอนก่อนอันดับแรก ขอบคุณ รีวิว ห้องอาบน้ำฟรี! ณ สนามบิน KLIA2 มาเลเซีย ห้องน้ำจะทำความสะอาดประมาณ 1 ชั่วโมงช่วง ตี1-ตี2 ระหว่างรอทำความสะอาด เข้าห้องที่ไว้สำหรับให้นมแม่ ล้างหน้าแปรงฟัน นอนบนโซฟากันไปชิวๆเลยค่า ;)
จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย เดินลงมาชั้น 1 เพื่อซื้อตั๋วไปมะละกากัน เคาท์เตอร์ไหนก็ได้มั้ง เราก็จิ้มมั่วๆไป ได้ตั๋วรอบแรกจากสนามบินไปมะละกามาในราคา 24.30 RM นอนรอขึ้นรถกันไปยาวๆจ้า
06.30 น. รถเทียบชานชาลา เอากระเป๋าเก็บ ขึ้นไปนั่งที่เรียบร้อย มีลางสังหรณ์แปลกๆจนต้องเดินไปถามคนขับว่ารถคันนี้ไปมะละการึเปล่า สรุป... ผิดคัน! และมีคนผิดแบบเราเยอะมาก! เพราะฉะนั้นเพื่อให้แน่ใจ ให้! ถาม! ทุก! ครั้ง!
ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงมะละกาแล้วค่ะ ตามหาท่ารถหมายเลข 17 เลย เพื่อเข้าเมืองไปยัง Christ church ค่าเสียหาย 1.5 RM เท่านั้น! ถูกเฟร่อออ
ถึงแล้วจ้า มะละกาาา ขอเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อน เราพักกันที่ Ola Lavanderia Cafe อยู่ถัดจาก Jonker Street แค่ 1 ซอย ราคา 36 RM ที่พักน่ารักมาก ด้านหน้าเป็นคาเฟ่ ด้านหลังเป็นโฮสเทล มีแค่ 5 ห้อง เป็นห้องรวมเด้อ และคืนที่เราไปพัก ชาย 4 หญิง 1 ไปเลยจ้าาา 555555
เดินกลับมาที่เจ้าโบสถ์แดง ที่แทบจะหาช่องทางถ่ายรูปไม่ได้เลย มีแต่ทัวร์จีน! จีน! และจีน!!! เลยไม่ขอใช้เวลาอยู่ที่นี่นานมากนัก รีบไปที่อื่นก่อนแล้วค่อยกลับมาอีกทีน่าจะเวิร์คกว่ามากๆ แต่ก็นั่นละ เห็นตลอดจนลืมถ่ายไปเลยค่ะ
เดินขึ้นเนินเขามาสักหน่อย พอให้หอบ จะเจอกับ St Paul's Church สังเกตได้ว่ามือข้างขวาของนักบุญเนี่ยหักไป เกิดจากโดนฟ้าผ่าต้นไม้ แล้วต้นไม้มาโค่นลงโดนตรงนั้นพอดี ประจวบเหมาะกับที่ว่าครั้งหนึ่งมือข้างเดียวกันนั้นโดนตัดออกเพื่อส่งให้ทางวาติกันพิสูจน์ เนื่องจากศพของท่านนักบุญเนี่ย ไม่เน่า ไม่เปื่อย แถมตอนที่ตัดมือส่งวาติกัน เลือดยังไหลอยู่อี๊กก! บางทีความเชื่อ บูชานับถือก็ไม่ได้มีแค่ศาสนาพุทธจริงๆนั่นแหละ
ถ้ายืนอยู่หน้าโบสถ์ แล้วหันหลังกลับ เราจะเห็นวิวเมืองมะละกาแทบทั้งเมือง และสุดภาพโน้นนนน ก็คือช่องแคบมะละกานั่นเองงงง อยากจะส่งภาพไปให้อาจารย์สมัยเรียนสปช. แล้วขอโทษที่ตอนนั้นไม่ตั้งใจเรียนอ่ะ อยู่ใกล้แค่นี้เองทำไมถึงเพิ่งได้มา!
ลงเนินเขา เดินมาอีกนิด เจอเจ้าป้อมประตูซานดิเอโก้ ซึ่งเหลือเพียงแค่ซากประตูจากการทำลายลงของทหารอังกฤษให้เราชมเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ทางด้านข้างของป้อมจะเป็น Melaka Sultunate Palace Museum เก็บค่าเข้าชม และ อะไรที่เสียเงินเราก็ไม่ได้เข้าค่า 5555 ซึ่งที่นี่จะเป็นพระราชวังเก่าของสุลต่านเมืองมะละกา ซึ่งปัจจุบันก็ได้ดัดแปลงมาเป็นพิพิธภัณฑ์เก่าเมืองมะละกาเรียบร้อยแล้ว
ถัดมาข้างๆกันนั่นแหละคือ พิพิธภัณฑ์การประกาศเอกราชมาเลเซีย ซึ่งความพิเศษของที่นี่คือใช้เป็นที่ประกาศเอกราชของมาเลเซียนั่นเอง และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือที่นี่เข้าฟรี!!! และ ติดแอร์!!! คู่ควรแก่การเข้าไปศึกษาอย่างยิ่ง!
และนี่คือเรื่องที่เศร้าที่สุดในทริปนี้ ขาตั้งกล้องหักกกก!! คือทุกคนเข้าใจใช่มั้ยคะว่าถ้าเราไปคนเดียว นอกจากที่จะไม่มีเพื่อนคุยด้วยแล้วนั้น ยังไม่มีคนถ่ายรูปให้เราอีก เราเลยเอาขาตั้งกล้องไปเพื่อจะได้ถ่ายรูปตัวเองได้ และมันหักกกก T_T
"เราประคองกันมาได้แค่นี้จริงๆ มันคงสุดทางสำหรับเราแล้วหล่ะ
ต่อจากนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆนะ"
ขออนุญาตมาพักใจ ด้วย Chicken rice ball บริเวณทางเข้า Jonker street แล้วกัน จัดมาพร้อมไก่ต้ม และไก่อบ ข้าวปั้นอีก 4 ก้อน เจ้าตัวไก่อบนี่เราว่ารสชาติใช้ได้เลยนะ แต่ไก่ต้มเนี่ย จืดไปหน่อย ส่วนข้าวปั้นกลมๆ แน่นอนว่ามันแปลก สำหรับเรา แปลกทั้งหน้าตาและรสชาติเลยด้วย ข้าวมันจะออกแนวร่วนๆ เละๆ กินไปก็นึกถึงข้าวมันไก่ที่ไทยไป ของที่ไทยอิสเดอะเบสสส
ระหว่างทางเดินกลับโฮสเทลของเราเพื่อไปเชคอินอย่างเป็นทางการ และอาบน้ำซะหน่อย ก่อนที่เราจะไปที่ต่อไป ก็แวะถ่ายรูปกับสตรีทอาร์ทเล็กน้อย ใช่ค่ะ ขาตั้งกล้องเราหักไปแล้ว เอากล้องตั้งกับขอบกระถางต้นไม้เอานะรูปนี้ ฮือออ คิดถึงขาตั้งกล้องมากก T_T
"เราคิดถึงเธออยู่เสมอแหละ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว
เธอจะไม่มีวันกลับมาก็ตาม"
เราเดินทางมาที่ Melaka white sand dune โดยการเรียก Grab เลยค่ะ เนื่องจากสถานที่อยู่อยู่ค่อนข้างห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 นาทีได้ ทะเลทรายที่นี่เกิดขึ้นมาจากทางการมาเลเซียกำลังจะก่อสร้างอะไรสักอย่างแถวๆนั้น แล้วเอาทรายมากองสุมๆไว้เฉยๆเองค่ะ แต่กองทรายดันกองรวมกันค่อนข้างสูง และค่อนข้างมีสีขาว สวยอยู่นะ
แต่ข้อแนะนำของเราคือไม่ควรเข้าไปคนเดียวค่ะ ทางเดินเข้าค่อนข้างเปลี่ยว และร้อนมาก เดินไปจากจุดลงรถจนถึงกองทรายประมาณ 1 กม. ไม่รวมปากทางเข้าอีกเกือบๆ 1 กม. อันตรายสำหรับผู้หญิงคนเดียวมาก 5555 เราเลยมีรูปมาแค่นี้ ไม่กล้าเดินเข้าไปต่อ หลอนเสียงลมที่กระทบผ่านต้นไม้ มันดังแบบ หวืออออ หวื๊อออออ ตลอดเวลา น่ากลัวมากกก เลยตัดสินใจจ้ำเท้าเดินออกให้ไวที่สุดดีกว่า
เดินออกมาที่ทางเข้าของทะเลทราย จะเป็น Klebang beach ที่นี่ไม่สามารถลงเล่นน้ำได้นะคะ มานั่งชมวิวแล้วกัน พร้อมด้วยเจ้า Coconut shake ที่เป็นเครื่องดื่มขึ้นชื่อของที่นี่เลยก็ว่าได้ กินไปคำแรกนี่ดึงพลังสดชื่นมาได้เกือบเต็ม 100% เลยหล่ะ สดชื๊นนนนน
นั่งพัก ชมวิว เช็คโซเชี่ยลสักพัก เราก็เรียก Grab มาดูพระอาทิตย์ตกกันที่ Melaka Straits Mosque โดยเกาะที่เจ้ามัสยิดนี่ตั้งอยู่ ทางการมะละกาเค้าต้องการให้คนย้ายมาอยู่อาศัยกันที่นี่ด้วย มีการสร้างอาคาร คอนโดเอาไว้เยอะอยู่ แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงเหลือแค่เจ้ามัสยิดแห่งนี่ที่สามารถใช้การได้ และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้อีก
"Even sunset or sunrise, You'll always see me beside you
even not your love but I'll always be the one that cares about you."
กลับมาเดินเล่นที่ Jonker street ทำให้เราสังเกตได้ว่าถนนคนเดินนี่ไม่ว่าจะที่จังหวัดไหนในไทย หรือไม่ว่าจะที่ประเทศอะไรก็ตาม ของที่ขายก็จะดูคล้ายๆกันไปหมด ร้านต่างๆก็จะขายของไม่แตกต่างกันมากนัก สำหรับคนไทยอย่างเราก็จะค่อนข้างคุ้นชินกับของเหล่านี้แล้ว แต่มันก็อาจจะแปลกตาสำหรับชาวต่างชาติก็ได้
จบวันด้วยการมานั่งจิบเบียร์ริมแม่น้ำมะละกาชิวๆ ปนเหงาเพราะไม่มีคนคุยด้วย 5555 ยังดีที่มีพี่เจ้าของร้านมาชวนคุยให้คลายเหงาไปบ้าง ชวนลองเบียร์ยี่ห้อใหม่ๆบ้าง ก็เพลินไปอีกแบบนั่นแหละ :)
ตื่นแต่เช้า Check out ทานข้าวเช้านิดหน่อย วันนี้มาลองอาหารจีนกันหน่อย สิ่งนี้คือ "ก๋วยเตี๋ยว" ใช่ นั่นแหละ ก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละค่ะ แต่รสชาติมันออกจะจืดๆ มันๆ แต่ก็อร่อยดีนะ เป็นรสชาติที่เกือบจะคุ้นเคย 5555 ถือว่าผ่านค่า
รีบเรียก Grab มา Melaka Sentral เพื่อหาบัสเข้า KL Sentral กันค่ะ ตอนแรกก็ว่าจะรอรถเมล์นั่นแหละ แต่ดูทรงแล้วนานแน่ๆ เรายังจะต้องไปอีกหลายที่ ขอใช้เงินแก้ปัญหาละกัน 5555 ค่ารถบัสอยู่ที่ 13.40 RM ค่ะ การซื้อตั๋วก็กดง่ายๆที่ตู้ขายอัตโนมัติเลย ถ้าทำไม่เป็นก็กระพริบตาปริบๆเรียกพนักงานตรงนั้นมาได้ค่ะ เค้าเต็มใจช่วยมาก ก่อนขึ้นรถก็ต้องดูดีๆหน่อยนะ ให้แน่ใจก็ถามแล้วถามอีก ถามยันหน้าประตูรถนั่นแหละ!
ลาแล้วมะละกา เราชอบเมืองนี้มาก ผู้คนคือเฟรนลี่มาก พร้อมช่วยเราสุดๆ ที่พักก็น่ารัก บรรยากาศริมน้ำตอนกลางคืนก็ดี ค่ารถถูกมากกกก การเดินทางมาเที่ยวคนเดียวของเราครั้งแรกถือว่าโคตรดี :)
ตอนต่อไปจะพาไปทัวร์ปุตราจายา มีทั้งมันยิดสีชมพู มัสยิดเหล็ก และกลับเข้าความเจริญสู่เมืองหลวงแห่งมาเลเซีย กัวลาลัมเปอออออร์
See you soon guys!
Mermaid on Earth
วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 23.04 น.