"รู้หรือไม่ กำแพงหิมะไม่ได้มีแค่ทาเทยาม่า"

เราเคยอ่านรีวิวอันนึงที่ขึ้นต้นด้วยคำๆ นี้ มันน่าสนใจมาก แสดงว่ามันต้องมีอย่างอื่นสิ

Japan Alps มันกว้างมาก เราลองสำรวจที่อื่นบ้าง!

สวัสดีค่ะทุกค๊นนนน,

ด้วยความที่เราเป็นคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบเที่ยวแลนด์มาร์กที่คนปกติเขาไปกัน หรือแม้แต่จุดเด่นๆ ที่หลายคนมักจะพูดว่าถ้าไปที่นี่ ต้องไปตรงนี้นะ ไม่งั้นจะมาไม่ถึง... มันต้องมีที่อื่นสิวะ ที่คนเค้ายังไม่ค่อยรู้จัก และมันต้องสวยมากๆ ด้วย มัน! ต้อง! มี! คือจุดเริ่มต้นในการหาสถานที่ของเราค่ะ

Remark : รีวิวนี้จะยาวววว มากนะคะ รูปเยอะ เขียนแยะ ครบจบในที่เดียวไปเลย ไม่ทำแยก เพราะถ้าทำแยก จะดองไว้นานเกิน จะทำให้ขี้เกียจค่า 5555

ตารางการเดินทาง และการใช้ Pass ในการเดินทางของเราในครั้งนี้

- 10 ออกเดินทาง

- 11 Matsumoto **Use JR East Nagano

- 12 Hakuba **Use JR East Nagano

- 13 Kamikochi **Use 2 days free pass

- 14 Norikura snow wall **Use 2 days free pass และ JR East Nagano

- 15 Tokyo **Use JR East Nagano

- 16 Bangkok, Thailand (เที่ยวบิน 14.25-19.10) **Use JR East Nagano

ตั๋วที่ใช้

- JR East Nagano

- 2 days free passport

โรงแรม

- Matsumoto 3 คืน (11-14) Hotel Trend Matsumoto

- Tokyo 2 คืน (14-16) Sadou Hostel Tokyo Ueno

วันที่ 1 ถึงแล้ว Matsumoto

ตอนเครื่องกำลังจะลง กัปตันประกาศสภาพอากาศโตเกียว 16องศา เรานี่เงยหน้าทำตาโตทันที เพราะในกระเป๋าเอามาแต่เสื้อแขนกุดดด แง มีแขนยาวแค่ 2 ตัวไว้เดินขึ้นเขา กับเสื้อยีนส์หนักๆ 1 หน่วยเท่านั้น! เอาน่า ต้องรอดแหละ

รับกระเป๋า แลกตั๋ว Jr east pass แล้วมุ่งหน้าสู่เมือง Matsumoto ให้ไว เพื่อการปลดเปลื้องสัมภาระที่แบกมาจากประเทศไทย

ถึงเมือง Matsumoto บ่ายๆ หลังจากเช็คอินโรงแรมเรียบร้อยก็เดินมาชมปราสาทสักหน่อย เอาจริงๆก็เล็กกว่าที่คิดไว้นะ อีกอย่างเมืองนี้ไม่ค่อยมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะเหมือนเมืองหลักๆ ทั่วไป ทำให้เป็นเมืองที่โคตรจะสงบเลย คนไม่เยอะ ไม่วุ่นวาย คือดีย์

วันที่ 2 ปีนเขา Hakuba กัน

04.30 น. เราแหกหู แหกตาตื่น เพราะว่าฟ้าสว่างมากกกก สว่างจนนึกว่าตั้งนาฬิกาผิด! เช้านี้ท้องฟ้าขมุกขมัว มีเมฆมาก แถมเป็นเมฆฝน! น้ำตาจะไหล แล้วแพลนคือไป Trekking!

ขึ้นรถไฟรอบ 05.58น. จาก Matsumoto ไปสถานี Shinano-Omachi เพื่อเปลี่ยนขบวนไปต่อสถานี Hakuba เป็นรถไฟสาย Local สุดๆ เราถึงสถานี Hakuba กันในเวลา 08.00น. กดกาแฟดื่ม พกข้าวปั้นใส่กระเป๋า หาอะไรรองท้อง โบกแท๊กซี่ ... Go to Hoppo information center please.

อ่าาาา .. อาโนนนน? (คุณลุงแท๊กซี่ทำหน้างงไปเลยจ้ะ 5555)

Hoppo!

โอ้! เย่ เย่ (คุณลุงแท๊กซี่ยิ้มแป้น น่ารักดี)

ค่าเสียหาย 1200เยน ทั้งไปและกลับ

ค่าตั๋วในการขึ้นไปบ่อน้ำ Hoppo ด้านบนอยู่ที่ 2900 เยน เป็นราคารวม ไป-กลับเรียบร้อย โดยเราจะต้องต่อกระเช้าทั้งหมด 3 สถานี และเดินต่อไปอีกเกือบ 2 กิโลเมตร ถึงจะเจอบ่อน้ำค่ะ! ขณะที่ซื้อตั๋ว เจ้าหน้าที่ 2-3 คน พยายามย้ำกับเราว่าด้านบนมันอันตรายมากๆ เลยนะ ฝนตกด้วยนะ อากาศหนาวมากๆ พร้อมเดินไปชี้อุณหภูมิที่ติดอยู่บนบอร์ด 9องศา!!!!

อ่ะๆ ย้ำกันขนาดนี้ ฟาดเสื้อแขนยาว กับเสื้อกันฝนไปเลย จากงบที่จะเสียแค่ค่ากระเช้า เกินเบร้อมาหลายเยนเลย แหะๆ

อ่านถึงตรงนี้อย่าเพิ่งตกใจ และถอดใจกันไปนะคะ เจ้าหน้าที่เค้าเตือนเพื่อความปลอดภัยของเราเฉยๆ เนื่องจากด้านบนไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล แถมวันนี้ฝนตกด้วย ใครที่สนใจอยากมา แค่เตรียมรองเท้าที่กันลื่นได้ดีๆ พกเสื้อหนาๆมาสักตัว เสื้อกันฝน ก็พอแล้วค่า เราไปได้ คนอื่นก็ไปได้!

หรือจริงๆ ไปหลังจากเดือนนี้ฝนก็คงไม่ตกละ -_-

กระเช้าแรกเราเริ่มไต่ระดับจาก 770 เมตร มาที่ 1400 เมตร เป็นกระเช้าแบบปิดหมด นั่งสบาย มีความเสียวนิดหน่อยเพราะขึ้นไปสูงมากกกกก ชันมากกก และยังไม่ค่อยมีฝนเท่าไหร่

ชั้นนี้จะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก และห้องน้ำสะอาดค่ะ สำหรับคนที่อยากมาแค่ชั้นนี้ ชมวิวเบาๆ ทานข้าว แล้วกลับลงไปก็ย่อมได้ ค่ากระเช้าไป-กลับจะเหลือแค่ 1780 เยนเท่านั้นค่ะ

และใช่ค่ะ ในภาพด้านบนคือสถานีกระเช้าถัดไปที่เราต้องขึ้น ความหมอกหนา และเมฆฝนนั้นทำเอาปอดแหกไปเลยยย T T เกือบจะถอดใจแล้ว ไม่ขึ้นแล้ว รักชีวิตตัวเองมากกว่า เพราะกระเช้าต่อจากนี้คือกระเช้าแบบห้อยขา ไม่มีเซฟตี้ใดๆ เรานั่งรอสักพักมีแก๊งอาม่า 4 คนเดินมา ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ้มให้เรา 1 ที และเดินไปขึ้นกระเช้าแบบสบายๆ เราจะมายอมแพ้อาม่าเหรอ? ไม่สิ! ไม่ยอมมม! แถมเสียเงินซื้ออุปกรณ์มาเกือบ 10000 เยน! ไปวะ ขึ้นก็ขึ้น!

ห้อยขากันไปยาวๆ จากความสูง 1400เมตร ไปเป็น 1680เมตร ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงปลายทางสถานีที่ 2 แก๊งอาม่ายังคงเดินขึ้นไปกันต่ออย่างกระฉับ กระเฉง .... อาม่าาาา รอน้องด้วยยยย

ด้านบนเริ่มมีน้ำแข็งให้เห็นประปราย หมอกหนาเรื่อยๆ ฝนเริ่มตกปรอยๆ ภาพด้านบนคือกระเช้าขึ้นไปสถานีสุดท้าย แก๊งอาม่าควักร่มออกมา และเดินนำไปแล้ว มีกลุ่มผู้ใหญ่นำไปอีก 1 กลุ่ม ส่วนเรายังคงมีความลังเลว่าจะไปต่อ หรือจะกลับดี ... แต่อาม่ายังไปได้เลยนะ ไป!

ถึงสถานีสุดท้าย เราขึ้นมาจาก 1680เมตร มาสุดที่ 1830เมตร หมอกยังคงหนาเหมือนเดิม ฝนยังคงตกปรอยๆดังเดิม แต่เพิ่มเติมคือแก๊งอาม่าไม่ไปต่อแล้วววว แงงง T T พาหนูมา แต่ไม่พาหนูไปปลายทาง กลับทิ้งหนูไว้กลางทางนะม่าาาา T T

ที่สถานีสุดท้ายจะมีป้ายบอกเวลากระเช้ารอบสุดท้าย ถ้าจำไม่ผิดจะอยู่ที่ 4 โมงเย็นโดยประมาณ เป็นการบอกเป็นนัยว่า จะเดินนานเท่าไหร่ก็เดิน กลับลงมาให้ทันแล้วกัน!

เราเริ่มออกเดิน ปีนขึ้นไปตามทางโขดหิน ไม่ชันมากเท่าไหร่ ไม่ยาก ถ้าไม่มีฝน ในใจเราตอนนั้นคือทำใจแล้วว่าคงไม่ได้เห็นวิวใดๆแน่ ถ้าฝนยังคงตกอยู่ และหมอกยังหนาอยู่อย่างนี้

แต่โชคเข้าข้างเราค่าาา ฟ้าค่อยๆเปิด ฝนหยุดตก เผยให้เห็นทิวภูเขาหิมะที่ล้อมรอบเราอยู่ตลอดเวลา สวยสุดๆ ประทับใจมาก

ระหว่างทางจะมีเสาทั้งหมด 3 เสา ถ้าจำไม่ผิดเสาพวกนี้จะทำหน้าที่คล้ายหลักกิโล พอพ้นเสาที่ 3 ถึงจะเจอบ่อน้ำที่อยู่ด้านบน ตอนเดินก็อย่าก้มหน้า ก้มตาเดินล่ะ เพราะระหว่างทางก็สวยมากๆเลย

ระหว่างทางเดินขึ้นก่อนจะถึงเสาที่ 2 ซึ่งเป็นเสาสุดท้าย ท้องฟ้ายังคนปิด แต่เราก็แฮปปี้กับวิวข้างทางนะ มีหิมะประปราย อากาศกำลังเย็นสบาย ฝนหยุดตกแล้วอาจจะทำให้อากาศอบอ้าวหน่อยๆ แต่เราโคตรจะรู้สึกดีเลย โน่นนนน เห็นแท่งๆตรงกลางภาพนั่นไหม เสาที่ 2 อยู่โน่นแล้วว

ถึงแล้วจ้าาา! เรามาหยุดกันที่ความสูง 2060เมตร ขออนุญาตควักข้าวปั้นออกมาทานเพื่อเติมพลังกันสักหน่อย ชมวิวริมบ่อน้ำ นั่งรอสักพัก เผื่อว่าท้องฟ้าจะเปิดให้เราถ่ายรูปบ่อน้ำ คู่กับภูเขาหิมะที่อยู่รอบๆ ว่าแล้วก็โปรโมทร้านทำเล็บสักหน่อย ร้านนี้ดีมากเว่อร์ ทำก่อนมาญี่ปุ่นประมาณ 1 สัปดาห์ ผ่านการแพ๊คกระเป๋า เปิด-ปิดซิปไม่รู้ตั้งกี่รอบ สระผม ซักผ้า ปีนเขา แอดเวนเจอร์หนักขนาดนี้ยังไม่ถลอก หลุดลอกออกจากนิ้ว ต้องขอบคุณ leblab.studio ที่เนรมิตน้องเซเลอร์มูนออกมาได้น่ารักสุดๆ น่ารักขนาดที่เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นผู้หญิงทุกคนที่เจอมักจะขอดูและพูดว่า ว้าวววว! คาวาอี้!! แล้วทำตาโตใส่เรา 555 ร้านนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ <3 ลายแทงอยู่ในลิ้งค์ กดติดตามกันไปได้เลยจ้า

เมื่ออิ่มท้องเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินชม Hoppo One pond แล้ว น้ำแข็งยังละลายไม่หมด ถ้าฟ้าเปิดคงสวยมากแน่ๆ ขณะนั้นฝนตกหนักขึ้น ทำให้อากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ หมอกหนา ไม่เห็นอะไรเลย วิสัยทัศน์โคตรแย่ ฮ่าๆ ทำให้เราตัดสินใจกลับลงไปดีกว่า ด้วยความที่ถ้าฝนตกแล้วกลัวว่าหินที่ทางเดินจะลื่น มีโคลน และมองไม่เห็นทางจากหมอกที่หนามากๆ จะทำให้อันตรายกว่าเดิม เก็บภาพอีกนิดหน่อย ก็มุ่งหน้ากลับทางเดิมเลยค่ะ เดินลง!

จะบอกว่าฟ้ายังเป็นใจให้เราก็ว่าได้ ฝนหยุดตก ฟ้าเปิดแล้วค่า วิวตรงหน้าทำเอาน้ำตาจะไหลเลย สวยมากๆ สวยแบบไม่ลืมหูลืมตา จะสวยไปไหนอ่ะ

แอ๊คท่าเดินผ่านแบบพยายามจะเท่ห์ จะพยายามแค่ไหนก็สู้ความเท่ห์ของภูเขาหิมะด้านหลังไม่ได้หรอก สวยเกินบรรยายไปเลย ระหว่างทางจะเจอคนญี่ปุ่นทักโคนิจิวะตลอดเส้นทาง โค้งกันจนปวดหลัง เค้าน่ารักมากๆ หลบทางให้เราเดินก่อน ยิ้มแย้ม รัก. เจอคุณลุงชาวฮ่องกงคนเดียวที่เป็นชาวต่างชาติ (ถ้าไม่นับหน่อคนไทย 2 หน่ออย่างเรานะ)

ทางเดินลง สถานีจะอยู่ด้านล่าง พอดีหมอกบังมิดเลย ช่วงนี้คือทางเดินส่วนที่สบาย ทางขึ้นจะค่อนข้างชันและมีแต่หิน อาจจะมีช่วงปีนป่ายนิดหน่อย แล้วมาเจอส่วนนี้คือทางบันได ถัดจากบันไดไปก็เป็นทางที่เต็มไปด้วยหิน และดิน ถ้าฝนตกอาจจะแฉะไปบ้าง แต่ไม่ยากนะ คนไม่ออกกำลังกายแบบเรามาได้ ทุกคนก็มาได้แน่นอน (อาม่ายังมาเลย มาเหอะ) ขอบคุณ รีวิว HAKUBA ปีนเขาฮาคุบะในหน้าร้อน ที่ทำให้เราค้นพบ Hidden place หมายนี้ รัก.

Tips

- ควรขึ้นรถไฟรอบ 05.58น. เพราะรอบต่อไปคือ 9โมงเลย เราจะมาถึง Hakuba สายมาก ทำให้มีเวลาด้านบนเขาค่อนข้างน้อย

- รองเท้าควรจะดีในระดับนึง แต่พี่เราที่ไปด้วยใส่ Vans ก็รอดนะ เอาที่ไม่ลื่นเป็นใช้ได้

- เสื้อกันฝน เสื้อหนาวต้องพร้อม เช็คสภาพอากาศดีๆ

- พกข้าวปั้น น้ำ ขนมหวานขึ้นไปด้วย เผื่อหิวๆ จะได้ควักออกมาทานได้เลย

วันที่ 2 Kamikochi อุทยานวิวหลักล้าน

วันนี้เราจะพาไป Kamikochi กัน เป็นอุทยานที่หลายๆ คนคงรู้จักกันอยู่แล้ว เราเริ่มต้นเช้าวันนี้โดยการไปซื้อ 2 days free passport ในราคา 6000เยน ที่ท่ารถบัสของ Alpico ตรงข้ามสถานี Matsumoto เลย จากนั้นใช้เจ้าพาสตัวนี้แหละ ขึ้นรถไฟสาย Kamikochi line เวลา 8โมงตรง ไปสุดสายที่สถานี Shin-shimashima แล้วต่อรถบัสที่ด้านหน้าเขียนว่า Kamikochi เท่านั้นนะ ดูดีๆด้วยหล่ะ!


เรามาลงกันที่ป้าย K-28 Taisho Ike ไม่ต้องกลัวหลง เพราะส่วนใหญ่จะลงป้ายนี้กัน เริ่มเดินกันไปยาวๆ จนถึงสะพาน Kappa ได้เลย ระยะทางจากป้ายคือประมาณ 3 กิโลเมตร แต่เราเดินรวมทั้งหมด 5 กิโลเมตรจ้า ยิ้มแห้งงง 555 ด้วยความที่เดินกลับไป กลับมา ถ่ายตรงโน้นที เดินไปดูตรงนั้นอีกหน่อย ระยะทางเลยเกินมา 2 กิโลเมตรถ้วน!


ทางเดินเรียบง่าย พื้นราบ อากาศเย็นสบาย อุณหภูมิที่เราไปจะอยู่ที่ประมาณ 15-17องศา เสียงนกร้องดังระงมทั่วป่า ดอกหญ้าปลิวว่อน เข้าหู เข้าจมูกกันบ้างตลอดทาง


เดินแยกทางซ้ายมา 100เมตร จะเจอกับ Tashiro-ike Pond & Wetlands เป็นส่วนของพื้นที่ชุ่มน้ำ เมื่อฝนตก พื้นที่ส่วนนี้จะสามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ กลายเป็นบ่อน้ำเล็กๆขึ้นมา ของจริงคือมีดอกหญ้าปลิว เป็นประกายเหนือผิวน้ำสวยงามมากๆ แต่กล้องถ่ายไม่ติดค่า 555


เดินต่อมาอีกไม่นาน ทักกับคนญี่ปุ่นไป ส่องยอดไม้ไปเรื่อย เราจะเจอกับวิวของสะพาน Tashiro จากนี้จะเป็นเส้นทางที่เราจะเดินเลียบแม่น้ำ Azusa-gawa กันแล้วค่ะ ภาพตรงหน้าคือทำใจเต้นรัวไปเลย ฟ้าเป็นสีฟ้าใส สู้กับสายน้ำด้านล่างที่ฟ้าไม่แพ้กัน บรรยากาศนกร้องแข่งกับเสียงน้ำไหล มันดีไปหมดเลย!


เดินมาเรื่อยๆ ท้องชักงอแง เริ่มส่งเสียงร้อง จนเราต้องหยุดเพื่อทานข้าวกัน ตรงจุดของโค้งแม่น้ำจุดนี้จะมีที่นั่งไว้สำหรับนั่งพัก ปิ๊กนิกกันได้ค่ะ เราควักข้าวกล่องจาก 7-11 ขึ้นมาเปิดทานกันตรงนี้ ข้าวราคาหลักสิบ วิวราคาหลักล้านกันไปเล้ยย!


สำคัญ คือ เตรียมถุงมาใส่ขยะกันด้วยนะ ด้านในอุทยานไม่มีถังขยะ เราเอามาเท่าไหน เราเอากลับไปเท่านั้นเลยค่ะ หรืออาจจะมีตามร้านขายของที่ระลึก แต่เราไม่ได้ถามก็ได้นะ แต่ตามทางเดินทั่วไปไม่มีเลย แม้แต่ในห้องน้ำก็ไม่มี!!


จุดสุดท้ายริมแม่น้ำก่อนที่จะถึงสะพาน Kappa มันจ้าาาา ซะเหลือเกินนน >_<


ตรงสะพานคือวิวดีมากกก สวยมาก นั่งเฉยๆ ยังไงก็ไม่เบื่อ นั่งทั้งวันก็ได้ อยากจะอยู่มันทั้งคืนไปเลย จริงๆที่คามิโคจิมีโรงแรม และจุดให้กางเตนท์แคมปิ้งกันได้นะคะ เผื่อใครสนใจ หากมากันหลายคนแนะนำให้หารกันเช่าเตนท์ไปเลยค่ะ 1 เตนท์ สามารถนอนได้สูงสุดถึง 4 คน อุปกรณ์การนอนสามารถเช่าเอาได้เลย แต่ข้อเสียคือ ทุกครั้งที่จะเข้าห้องน้ำ หรืออาบน้ำจะต้องเสียเงินค่ะ


นั่งพักสักนิด เข้าห้องน้ำสักหน่อย เดินไปสั่งซอฟครีมทานสักอัน แล้วนั่งตากแดดชมวิวต่อ ค่ะ! หนาวแค่ไหนก็ห้ามพลาดซอฟครีมของญี่ปุ่นเด็ดขาด! เพราะมันคือเดอะเบสออฟซอฟครีมที่แท้ทรู


ทาาด๊าาาาาาาา! ภาพตรงหน้าตอนนั้นโคตรสวยยย เหมือนกำลังมองหน้าจอวินโดว์ XP เหมือนโปสเตอร์สามมิติ เหมือนภาพวาด สวยมาก สวยมากเลยโว้ยยยย สวยแบบบ้าไปแล้ววว สวยชนิดที่ว่าไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายว่ามันสวยยังไง คือมันสวยอ่ะ สวยมากกก


วิวดีขนาดนี้ ขาดเครื่องดื่มดีๆ ได้ยังไง เพลินมากเว่อร์ เรานั่งอยู่หน้าวิวแบบนี้อยู่เกือบ 3 ชั่วโมง มองคนเดินผ่านไป ผ่านมา มองอากง อาม่าที่เดินจับมือพากันมาเที่ยว มองเด็กน้อยที่เข้าไปเล่นกับดอกหญ้า (มันปลิวว๊อยยย เป่าทำไม๊) ทุกอย่างคือโคตรเพอร์เฟกวิว มันคือเดอะเบส ออฟเดอะเบสจริงๆ


หลังจากเวลาผ่านไปค่อนข้างนาน กับการนั่งมองวิวเฉยๆ เราตัดสินใจเดินทางกลับ พร้อมแบกขวดเบียร์กลับออกไปทิ้งที่สถานี Shin-shimashima ด้วย อย่านั่งชิลล์จนเพลิน ลืมอยู่เวลารถกลับหล่ะ รถบัสกลับควรที่จะไปถึงก่อนเวลารถออก 30 นาทีถึง 1ชั่วโมง เพราะต้องมีการจองที่นั่งนะ ^^

Tips

- เตรียมถุงขยะไปด้วย เอาขยะออกมาทิ้งด้านนอก รักษาธรรมชาติให้สวยแบบนี้นานๆ

- เตรียมข้าว น้ำ ขนม ไปทานระหว่างทาง

- ค่อนข้างหนาว แต่แดดแรง เตรียมเสื้อที่ถอดง่ายๆ หมวก หรือแว่นกันแดดมาด้วย

- หนังสือสักเล่ม กล้องสักตัว ปากกาสักแท่ง ตอนนั้นความคิดในหัวแล่นไปเยอะมากๆ

วันที่ 3 Norikura snow wall จุดพีคที่ไม่มีใครรู้จัก

เราตื่นเช้ากว่าไป Kamikochi กันเล็กน้อย ใช้ 2 days free passport กันเหมือนเดิมเพื่อเดินทางไปลงสถานี Shin-shimashima เหมือนกันกับการไป Kamikochi แต่ครั้งนี้เราจะขึ้นรถบัสคันที่เขียนว่า Norikura Kogen (Kanko Center) ลงป้ายสุดท้ายที่ N-29 เพื่อเปลี่ยนรถบัสไป Mt.Norikura กันอีกต่อนึง


ระหว่างทางขึ้นไปบนเขา เราคิดตลอดว่ามันจะมีกำแพงหิมะจริงๆ เหรอ? ในเมื่อภูมิประเทศมันโคตรจะเขียวขนาดนี้ ในใจก็กลัวจะเฟล แต่อีกใจก็ดูมีความหวัง เพราะพี่นิปปอนที่ขึ้นมาด้วยแบกอุปกรณ์สกีครบชุดขึ้นรถมากับเราด้วย


ระหว่างทางเริ่มมีหิมะให้เห็นประปราย และเราสังเกตได้ว่าในภูเขานี้มีน้ำตกให้แวะเยอะมากๆ มีรีสอร์ท ออนเซนเล็กๆ เต็มไปหมด ไว้มีโอกาสต้องกลับมาเก็บน้ำตกตรงจุดนี้แน่นอน


ทางขึ้นชันมาก ชันมากกกกๆ เรานั่งหน้าสุด หลังคนขับคือนั่งจิกเท้าตลอดทาง คนขับรถบัสคือเก่งมากๆ ใจเย็นสุดๆ หมุนพวงมาลัยอย่างโปร และทำเหมือนมันเป็นทางราบธรรมดาๆ บนรถมีแค่เราที่เป็นชาวต่างชาติ นอกนั้นคืออาม่าชาวญี่ปุ่น ครอบครัวเล็กๆ ที่หิ้วเด็กน้อยมาเที่ยว กลุ่มวัยรุ่นญี่ปุ่นชวนกันไปเล่นสกี แค่นั้นเลยจริงๆ


ขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ หิมะก็ค่อยๆหนาขึ้นตามระดับความสูง เท้าเรายังคงจิกไปตามโค้งของรถบัสเวลาเลี้ยว ตัดสินใจว่าขาลงจะนอนหลับให้มันรู้แล้ว รู้รอดไปเลย! (แต่ขาลงก็ไม่นอนนะ วิวแบบนี้นานๆ ทีจะได้เห็น ใครจะไปหลับลงหล่ะ)


เราใช้เวลากันทั้งหมด 40 นาที เดินทางจากป้าย Kenko center (N-29) มายังป้าย Daisekkei (N-40) เป็นจุดสิ้นสุดของทางเส้นนี้ จริงๆ ถ้ามาหลังจากนี้ประมาณเดือน กค. เป็นต้นไป (ถ้าจำไม่ผิดนะ) จะสามารถนั่งรถไปต่อได้ เพื่อเดินขึ้นยอดเขา Norikura กันเลย แต่คิดว่าจะไม่เห็นส่วนที่เป็นกำแพงหิมะ เพราะน่าจะละลายเกลี้ยง แต่เนื่องจากช่วงที่เรามา เปิดป้ายสุดท้ายถึงแค่กำแพงหิมะเท่านั้น สำหรับคนที่ต้องการจะเดินขึ้นยอดเขา Norikura จะต้องมาจากทางทาคายาม่าเท่านั้นค่า


ขาวววว แสบตาไปหมด ลมแรง ฟ้าใส ทุกอย่างเป็นใจ (ไม่เหมือนวันแรก) ฮ่าาๆ รู้สึกเหมือนมิชชั่นคอมพลีทมากๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยว้อยยยยย รักที่สุด


รถบัสที่พาเราขึ้นมาจะจอดให้เราถ่ายรูปอยู่ประมาณ 40 นาที แล้วพาเรากลับลงไปด้านล่าง หรือใครที่อยากดื่มด่ำบรรยายกาศก็รอรถคันต่อไปได้ โดยเจ้าหน้าที่จะแจกตารางเวลารถบัสให้เราอยู่แล้ว เราสามารถกะเวลาของเราเองได้เลย แต่ขอเตือนก่อนว่าด้านบนไม่มีอะไรขายเลยนะ เตรียมไปด้วย มีห้องน้ำให้เข้า แต่เราไม่ได้เดินไปดูว่ามันเปิดรึเปล่า ทางที่ดีคือนั่งคันเดิมกลับมานั่นละดีที่สุดแล้ว


เดินมาอีกหน่อยจะเจอกำแพงหิมะคู่กับวิวเทือกเขา Japan Alps ไปเลย!! อยากจะเก็บที่เที่ยวสงบๆ สวยๆ แบบนี้ไว้คนเดียวจริงๆ เลย มันดีงามที่สุดไปเลย รักความไม่มีใครรู้จัก มันเหมือนเป็นสถานที่ลับสุดๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนไทยเคยมานะ มี แต่น้อยยยยยย มากกกกก น้อยจนเราหารีวิวแทบไม่เจอเลย ฮ่าาๆ

พอครบกำหนดเวลา เราวิ่งขึ้นรถบัส เพื่อกลับลงมา Kenko center ที่เดิม และรอรถบัสเพื่อกลับสถานี Shin-shimashima และสุดท้ายนี้ เหลือแค่เรา กับพี่ที่ไปด้วย 2 หน่อยบนรถบัสจ้า

ไป กลับโตเกียวกัน หยิบ JR east pass เดินชิลล์ขึ้นชินคันเซ็นกันไปเลยค่ะ แล้วเจอกันโตเกียว!

Tips

- กะเวลา ดูรอบรถดีๆ มาถึงให้ไว เพราะรถจะหมดด้านบนคือบ่ายสาม

- สงสัยอะไรให้ถาม ถามให้แน่ใจ เพราะคุณจะไม่เจอนักท่องเที่ยวเลย

- ไม่มีไรละ

วันที่ 4 มหานครโตเกียว เมืองแห่งความวุ่นวาย

ฝนตก!!!!

แพลนของเราในโตเกียวคือเราจะมาขับโกคาร์ท!! แล้วโดนยกเลิกเพราะฝนตกหนัก เสียใจมากกกก ร้องไห้อ่ะ แงงงง คือเสียใจจนพูดอะไรไม่ออกอ่ะ เตรียมตัวมาอย่างดี แพลนผ่านฉลุยมาตลอด มาตายเอาวันสุดท้ายเนี่ย!! ใช้เงินแก้ปัญหาซะ ไป! ช้อป! ปิ้ง!!!!


จริงเราสามารถใช้เจ้า JR east pass เดินทางในโตเกียวรถไฟสาย JR ทั้งหมดได้เลย แต่เนื่องจากความที่เราลืม! ดันไปเผลอใช้ขึ้นรถไฟวันที่ไป Kamikochi ซะแล้ว ทั้งๆที่ใช้เจ้า 2 days free passport ได้ ทำให้วันนี้เราเลยต้องหยอดเหรียญขึ้นรถไฟกันไป เพื่อที่เราจะได้เอาเจ้า JR east pass เนี่ย ไปขึ้นรถไฟ NEX เพื่อกลับสนามบิน (งงป่ะ? เออ ไม่งงละ อย่างงเลย เดี๋ยวยาว!)


เราเดินทางกันมาที่สถานี Naka-Mekuro เพื่อมาเยือน Starbucks Reserve Roastery ที่ขึ้นแท่นเป็น Starbucks ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โค่นแชมป์เก่าอย่างเซี่ยงไฮ้ไปเป็นที่เรียบร้อย เพิ่งจะเปิดทำการในเดือน กพ. 2019 ที่ผ่านมาอย่างสดๆร้อนๆเลย และเมนูที่เราสั่งเป็นกาแฟผสมวิสกี้ (Whiskey barrel-aged) (จำชื่อจริงๆ ไม่ได้) ซึ่งเค้าบอกเป็นเมนูแนะนำของที่นี่เลย กลิ่นวิสกี้แรงมาก แต่ไม่เมานะ สัมผัสคือนุ่ม หวาน หอม


ทั้งหมดจะมีด้วยกัน 4 ชั้น โดยชั้นแรกจะเป็นเหมือนร้านกาแฟทั่วไป ให้เราได้สั่งกาแฟ เบเกอรี่ต่างๆ ได้ที่ชั้นนี้เลย จับจองที่นั่งแล้วดูพนักงานชงกาแฟไปเพลินๆ บางอย่างวิธีการชงจะเหมือนกับเราอยู่ในห้องแลปวิทยาศาสตร์เลย เป็นศิลปะที่น่ามองมาก


ชั้นที่ 2 Teavana เป็นเครื่องดื่มชาของ Starbucks เราสามารถมาเดินดมกลิ่นของชาแต่ละชนิด แล้วเลือกซื้อกลับไปได้ด้วยนะ กลิ่นดีมากกสนใจตัวไหนก็สะกิดพนักงานได้เลย


ชั้นที่ 3 Arriviamo เป็นการเอากาแฟมาผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย Starbucks ได้แรงบันดาลใจมากจากเครื่องดื่มค็อกเทลนั่นแหละ แอบไปเปิดเมนูมาราคาแอบแรงอยู่เหมือนกัน แล้วมันยังเช้าอยู่ เลยขอผ่านไม่ลองแล้วกัน (แต่เมื่อกี้เอ็งดื่มกาแฟวิสกี้!)

ชั้นที่ 4 เป็นพื้นที่สำหรับให้ลูกค้ามาเรียนรู้เรื่องกาแฟ วิธีการชง ชนิดของเมล็ดกาแฟต่างๆ ใครที่อยากจะมาเราแนะนำให้มาแต่เช้า เช้าแบบเช้ามากๆเลยนะ (เรามาตั้งแต่ยังไม่ 8โมงเช้า) เพราะว่าคนจะเยอะมากๆ เราออกจากร้านประมาณ 9โมงกว่าๆ จะต้องไปรับบัตรคิวกันที่ตึกข้างๆแล้วค่ะ ลองกะเวลาดูกันเน้อ


เห็นเล็บเราเป็นเซเลอร์มูนขนาดนี้ แน่นอนว่าเป็นสาวกเลยก็ว่าได้ มาโตเกียวต้องไม่พลาด Sailor moon store แน่นอน! สมใจอยากมากๆ แล้วราคาก็แพงมากๆเช่นกัน T T เงินไหลออกเป็นว่าเล่นไปเลย


มาเจอเจ้าบันไดนี้โดยบังเอิญ ที่ห้าง Tokyo plaza ที่อยู่ตรงข้ามกับห้าง Laforet ที่เราไปซื้อเซเลอร์มูนเมื่อกี้พอดีเป๊ะ! เป็นบันไดที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอก แต่เคยเห็นว่ามันสวยดี อ่ะ แวะมาสักหน่อย ไหนๆ ก็ไปขับโกคาร์ทไม่ได้แล้ว ฝนยังตกอยู่เลย แงงง


อีกที่ที่เราตั้งใจมาคือ Game center ที่สถานี Kawazaki ชื่อว่า Anata no Kawasaki Warehouse จะตกแต่งในธีมสลัมเกาลูนในฮ่องกง แล้วทำดีมากกก หลอนมาก เข้าชมฟรี (ถ้าเราไม่เล่นเกม)


ไปถ่ายรูปด้านในก็จะมีความหลอนอยู่มากกกกก เก็บดีเทล รายละเอียดได้ดีสุดๆ ดีชนิดที่ว่าเจ้าหน้าต่างตรงนั้นอาจจะมีอาม่าโผล่หน้าออกมาก็ได้ แล้วคือถ้าโผล่มาจริงๆก็วิ่งนะ วิ่งไป กรี๊ดไปด้วยอ่ะ กลัว!


เราเดินวนๆกันอยู่หลายรอบนั่นแหละ (เพราะข้างนอกฝนมันตกหนัก) ให้โอกาสเสื้อผ้าได้แห้งสักนิด เสพความหลอนอีกนิดหน่อย แล้ววางแผนต่อว่าเราจะไปไหนกันดี สรุปได้คือไปช้อปปิ้งที่ตลาดอะเมโยโกะใกล้ๆที่พัก เราจะไม่รีวิวความล้มละลายของเราทั้งสิ้น แพลนของเราคือตั้งใจจะไม่ซื้อสิ่งใดๆกลับบ้านนะ ถ้าไม่อยากได้จริงๆ พอแพลนโกคาร์ทล่ม ความอยากได้ กิเลสต่างๆพุ่งขึ้นมาเลย!

ฝนยังคงตกต่อไปจนเราเข้านอน...

วันที่ 6 กลับบ้าน

วันนี้ฟ้าใสเชี๊ยะ!! น่าโมโหป่ะ

ออกกันเช้าหน่อย มุ่งหน้าไป Tokyo tower สถานที่สุดท้ายก่อนกลับบ้าน มาโตเกียว 2 ครั้งเพิ่งได้เห็นก็ครั้งนี้แหละ (ครั้งที่แล้วฝนก็ตก โตเกียวใจร้ายกับเราตลอดเลย!) ลายแทงสำหรับเจ้าวิวแบบในรูปก็ตามนี้ไปเลย แจกกกก >> 35°39'25.8"N 139°44'44.5"E

เราใช้เวลาอยู่ที่ Tokyo tower ค่อนข้างนาน รีบกลับมาเอากระเป๋าที่โรงแรม ก็ไม่ทันเจ้ารถไฟ NEX ซะแล้ว ทำให้ JR east pass ของเราเป็นหมันไปเลยนอกจากจะไม่ได้ขับโกคาร์ทแล้วนั้น ยังต้องมาซื้อตั๋ว Sky liner เข้านาริตะใหม่อีกกกก T T

พังกลับบ้านกันไปเลย


ปิดทริป

ขอบคุณพี่ที่ทำงานที่ยอมเดินทางไปด้วยกัน ไม่บ่นแม้ทางจะลำบาก

ขอบคุณผู้คนที่เราเจอระหว่างทาง ที่แม้เราจะไม่สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง แต่ก็ยังยิ้มแย้ม ทักทายเสมอ

ขอบคุณประสบการณ์ ทั้งปลายทางก็ดี ระหว่างทางก็ดี

เราสังเกตตัวเองว่าครั้งที่แล้วที่เรามาโตเกียว เราพูดว่าเราจะไม่มาอีกแล้ว วุ่นวายมากๆ คนเยอะแยะไปหมด แต่อีก 2 ปีถัดมา เราก็มาเหยียบมันอีกครั้ง และเราเชื่อว่ามันจะมีครั้งต่อๆ ไปแน่นอน แน่สิ! ยังไม่ได้ขับโกคาร์ทเลยนี่ ก็นั่นแหละ โกคาร์ทไม่ได้มีที่เดียว แต่บรรยากาศแบบโตเกียว มันมีที่เดียวนะ

การตั้งใจหาที่เที่ยวสุดพีค น้อยคนนักที่จะรู้จักนั้นยากมาก มีคนไทยทำรีวิวน้อย รีวิวที่ละเอียดยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ แต่มันคุ้มค่ามากๆ การเดินทางที่รถไฟทั้งขบวนมีเราเป็นคนไทยแค่ 2 คน เราไม่เจอคนไทยเลยจนเราเข้าโตเกียว มันดีสุดๆ การนั่งรถบัสที่ทั้งรถไม่มีคนเลย การเจอชาวญี่ปุ่นโค้งสวัสดีเราตลอดทาง มันดีมากๆ จริงๆ ทริปนี้ทำให้เราใช้คำว่า "ดี" และ "สวย" ได้สิ้นเปลืองมาก หลายๆอย่างที่เราเจอทำให้เราหลงรักญี่ปุ่นได้ง่ายๆเลยแหละ ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมใครๆก็อยากมาประเทศนี้

รัก.



ความคิดเห็น