ทริปเที่ยวสบายๆ วันธรรมดา สงขลา-สตูล ถ้าพูดถึงสตูลหลายคนคงนึกถึงหลีเป๊ะ แต่ครั้งนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวที่ใหม่ ๆ ให้เพื่อนๆ ได้รู้ว่าสตูลไม่ได้มีดีแค่หลีเป๊ะ


แผนการท่องเที่ยว เส้นทาง หาดใหญ่ - สตูล 3 วัน 2 คืน สำหรับ Trip นี้ค่ะ



กล้อง

Nikon D7200 + 18-140 & Tokina 11-20
Fuji XA2 + 18f2

---------------------------------------------------------------------

ฝากกดไลค์ และติดตามได้ที่
เพจ >> ที่นี่ก็ดีนะ : Tee Nee Gor Dee Na

https://www.facebook.com/TeeNeeGorDeeNa

พร้อมแล้วไปกันเลย

DAY 1

เราออกเดินทางจากกรุงเทพ มุ่งหน้าสู่ สนามบินหาดใหญ่ จ.สงขลา ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง


เช้านี้ Air Asia จัด ข้าวหน้าไก่เทอริยากิ สไตล์ญี่ปุ่น มาให้ทานรองท้องกันก่อน


ตามแผนการ วันนี้เราจะเที่ยวในย่านเมืองเก่าสงขลากันก่อนค่ะ ศึกษาประวัติศาสตร์ ความเป็นมา วัฒนธรรม วิถีชีวิตแต่ดั้งเดิมของจังหวัดสงขลา จากนั้นก็จะไปถ่ายรูปคู่กับ นางเงือกทอง (Golden Mermaid) เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของแหลมสมิหลากันด้วยนะ



ถึงหาดใหญ่แล้วค่ะ คุณกัปตันมาพามาถึงก่อนกำหนดเวลานิดหน่อย




ลงจากเครื่องแล้วก็รอรับกระเป๋ากันก่อนนะ อย่าลืมล่ะ!!




ขึ้นรถตู้มุ่งหน้าสู่ย่านเมืองเก่าสงขลา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง นั่งหลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทาง พอเริ่มเข้าสู่เขตตัวเมืองสงขลา ถนนก็เริ่มแคบลง รถเคลื่อนตัวได้ช้าลง มองสำรวจออกไปรอบๆ ตึกรามบ้านช่องหนาแน่นขึ้






รถตู้พามาจอดที่ ด้านหลังโรงสีแดง หับ โห้ หิน มีเวลาให้เดินเที่ยว 1 ชั่วโมงนิดๆ ก่อนหน้านี้เราได้รับแจกแผนที่ย่านเมืองเก่าสงขลามาคนละ 1 ใบเพื่อที่จะได้เดินตามลายแทงได้ถูกทาง



ด้านหลังที่จอดรถเป็นท่าเทียบเรือ


พร้อมแล้วก็ยกเป้ขึ้นบ่า เตรียมกล้องให้พร้อม ไปเดินสำรวจเมืองกัน






ย่านเมืองเก่าสงขลา อยู่ในเขต อ.เมืองสงขลา บนถนนครนอก, ถนนใน, และถนนนางงาม ผสมผสานสถาปัตยกรรม ศิลปะและวัฒนธรรม ไทย จีน ยุโรป ไว้ได้อย่างลงตัว เป็นชุนชมเก่า ที่อนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบเดิมได้เป็นอย่างดี





บ้านนครนอก



บ้านนครใน เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมฟรี ภายในคงบรรยากาศแบบบ้านสมัยเก่า บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ จากอดีตสู่ปัจจุบัน มีของโบราณ ของใช้เก่านำมาจัดแสดงให้ชม และมีนิทรรศการเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ได้ชมกันด้วย










ช่วงเช้าๆ อากาศยังไม่ร้อนมาก เราเดินลัดเลาะเข้าซอยนั้น ไปโผล่ซอยนี้ บรรยากาศแบบนี้เริ่มหาได้น้อยลงแล้ว หากมีโอกาสเหมาะๆ ลองแวะมากันซักครั้ง แล้วจะติดใจ มีภาพวาดฝาผนังแนว Street Art ให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ อยู่กระจายกันไปตามถนนย่านเมืองเก่า





ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา อยู่บนถนนนางงาม ลักษณะเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีน สร้างเมื่อปี 2385 และอัญเชิญ "เซ่งอ๋องเหล่าเอี๋ย" มาประดิษฐาน สิ่งประดับตกแต่งล้วนสวยงาม เพราะคัดสรรจากสินค้าที่มากับเรือสำเภา มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำเป็นอย่างดี





ถัดจากศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา เป็น ศาลเจ้าพ่อกวนอู





นอกจากนี้ตลอด 2 ฝั่งถนนยังมีอาหารและขนมอร่อยๆ ทั้งไทย-จีน ให้เลือกลองลิ้มชิมรสเยอะมาก เรียกได้ว่าหากได้ลองชิมทุกร้าน พุงคงแตกแน่นอน


แผงล๊อตเตอรี่นี่ มองดูคล้ายๆ กับแผงขายปลาหมึกย่าง เอ๊ะ หรือเราหิว???




ยังเดินไม่ทันครบทุกที่ ก็หมดเวลาซะก่อน เสียดายเหมือนกัน เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส จะกลับมาใหม่แน่นอน

ไปต่อกันที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา

เริ่มกันที่งานป้ายก่อนเลย



ในครั้งนี้เรามีไกด์สาวแสนสวย คอยต้อนรับและให้คำแนะนำในจุดต่างๆ เพื่อให้เข้าใจประวัติความเป็นมากันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ขอบคุณมากๆ ค่ะ



เดินผ่านกำแพงเข้าไปด้าน ก็ต้องร้องโอ้ โหววว อาคารด้านในสวยมาก เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมตะวันตก




ตัวอาคารมี 2 ชั้น



ที่นี่เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ทางด้านโบราณคดี และศิลปวัตถุภาคใต้ตอนล่าง มีวัตถุโบราณเก่าแก่รวบรวมไว้มากมาย










ปิดให้เข้าชม วันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 9.00 น. - 16.00 น. (หยุดวันจันทร์-อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
ค่าเข้าชม คนไทย คนละ 30 บาท / นักเรียน นักศึกษา พระภิกษุ-สามเณร ในเครื่องแบบ รวมถึงผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เข้าฟรี


เดินถัดมาไม่ไกล ก็มาถึง พิพิธภัณฑ์พธำมะรงค์ เป็นบ้านเกิดของคุณเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 16 ของไทย




ห้องครัวที่มีเครื่องใช้สมัยเก่า ให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก




สวิตไฟ หน้าตาโบราณ แปลกดี



(หยุดวันจันทร์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เปิดให้เข้าชม เวลา 08.30 - 16.00 น. ไม่เสียค่าเข้า


สำหรับมื้อเที่ยงนี้เราฝากท้องไว้ที่ร้าน แต้เฮี้ยงอิ้ว (ร้านแต้) อยู่บนถนนนางงาม เยื้องๆ กับศาลหลักเมืองสงขลา เป็นร้านเก่าแก่อยู่คู่เมืองสงขลามานาน ร้านนี้เปิด 2 ช่วง คือ 11.30-14.00 และ 17.00-20.00 น. มานอกช่วงเวลานี้ ต้องรอเวลาร้านเปิดกันซักนิดนะจ๊ะ




เมนูที่เราได้ทานกันวันนี้จร้า สำหรับเรา ยกให้ ต้มยำแห้งเนื้อท้องปลากะพง และยำมะม่วง เป็นเมนูในดวงใจ




ซาลาเปาลูกยักษ์





มาถึงเมืองสงขลาแล้ว ก็ต้องแวะไปถ่ายรูปกับ นางเงือกสีทอง แหลมสมิหลา ซักหน่อย
เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง (แอบคิดว่าทำไมนางเงือก ถึงหนีมาอยู่ไกลจาก พระอภัยมณี อย่างนี้ล่ะเนี่ย ^^)





หลังจากนี้เราเดินทางกลับไปยัง อ.หาดใหญ่ค่ะ วันนี้เราพักกันที่ โรงแรม เซ็นทาราหาดใหญ่




ได้คีย์การ์ดห้องมาแล้ว ไปดูด้านในกันดีกว่า







ห้องกว้าง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน



มีสระว่ายน้ำด้วยนะ แต่เราได้แค่นั่งดู ก็ว่ายน้ำไม่เป็นนินา



โรงแรมอยู่ไม่ไกลจากตลาดกิมหยง สามารถเดินไปได้นะคะ เราก็เดินไปช๊อปปิ้งปลาหมึกที่ตลาดกิมหยงมาเหมือนกัน เลือกร้านที่มีบริการซีลปิดปากถุงอย่างดี แค่นี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นรบกวนคนอื่นแล้ว


ค่ำวันนี้เรามีงานดินเนอร์กันค่ะ เวอร์วังอลังการมากกกกก
แต่ก่อนทานข้าว ฟังคำแนะนำและเทคนิคดีๆ ในการเขียนรีวิวกัน เราจดแทคนิคมาได้หลายข้อเลย ขอบคุณมากๆค่ะ



หลังจากนี้ก็ทานข้าวเย็นกันซิคะ จะรออะไร ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ ห่วงกินมากกว่า มีเกมส์ให้ร่วมเล่น ชิงรางวัล แน่นอนค่ะ รางวัลใหญ่ๆ เราเสียสละให้เพื่อนๆ ได้กันไป ส่วนตัวเรานั้นเก็บไว้เพียงผ้าขาวม้าและผ้าพันคอก็พอใจแล้ว


-- ราตรีสวัสดิ์ --


DAY 2

วันนี้ตื่นแต่เช้า เพราะเราต้องแยกย้ายไปตามเส้นทางที่เราได้เลือกไว้ ... ใช่ค่ะ วันนี้เราจะไป สตูลกันแล้ว


ห้องอาหาร ของเช็นทารา เปิด 6.30 มีโรตีทำกันสดๆ ใหม่ๆ ให้ทานกันด้วยนะคะ เข้ากับบรรยากาศยามเช้าแบบชาวใต้มากๆ ชอบเลยขอบอก หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปจังหวัดสตูลกันค่ะ นั่งหลับๆ ตื่นๆ อยู่ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง สวนควนข้อง


สงสัยกันมั๊ยคะว่าคืออะไร??


นี่เลยค่ะ จริงๆ แล้วก็คือ สวนหม้อข้าวหม้อแกงลิง นั่นเอง!!


ชื่อสวนนี้มาจากนามสกุลของคุณวรวิช ควนข้อง (เสื้อสีเขียว) ผู้ที่ชื่นชอบหม้อข้าวหม้อแกงลิง เพราะเป็นพืชที่มีความพิเศษ หาวิธีลองผิดลองถูก ทดลองปลูกอยู่นาน จนสุดท้ายก็ปลูกและขยายพันธุ์ ได้สำเร็จ ส่วนเสื้อสีน้ำเงินคือ คุณณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูล




ที่นี่มีหม้อข้าวหม้อแกงลิง หลายสายพันธุ์





รูปทางด้านซ้ายและรูปกลาง เป็นเกสรตัวผู้ ส่วนทางขวาเป็นเกสรตัวเมีย
(ปล.เกสรตัวผู้นี้ เราไม่ได้เด็ดเองนะคะ พี่เจ้าของสวนเค้าเด็ดมาให้ดูและถ่ายรูปค่ะ)



เราได้ลองทำขนมหม้อข้าวหม้อแกงลิงกันด้วยค่ะ โดยการนำข้าวเหนียวมูล ใส่เข้าไปในหม้อข้าวหม้อแกงลิง แล้วนำไปนึ่ง สัมผัสตอนทานเหมือนกับเยื่อไผ่ เวลากินข้าวหลามเลย




ไปต่อกันที่ พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า ค่ะ มาถึงที่พิพิธภันฑ์ ก็เที่ยงพอดีค่ะ ทานข้าวกลางวันก่อนซิคะ จะรออะไร

เมนูอาหารกลางวัน วันนี้ค่ะ เป็นอาหารพื้นบ้าน สำหรับเรา มื้อนี้ขอยกนิ้วโป้งให้กับ ห่อหมกทะเล และแกงไก่ยอดมะพร้าว ที่อร่อยถูกใจ จนต้องขอเติมข้าวรอบสองเลยทีเดียว



อิ่มแล้ว ก็ได้เวลานอน Z...z
ไม่ใช่ซิ!! ทานข้าวอิ่มแล้ว เรามาศึกษาประวัติของอุทยานธรณีโลกสตูลกันซักนิด


คุณณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูล เล่าให้พวกเราฟังว่า แผ่นดินอุทยานธรณีสตูลเริ่มต้นจากพื้นทะเล “ยุคแคมเบรียน” อายุเก่าแก่กว่า 500 ล้านปี ที่อุดมไปด้วยสัตว์ทะเลรูปร่างแปลก ๆ หลากหลายชนิด





ทางยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานธรณีสตูล เป็นอุทยานธรณีโลก หรือ Satun UNESCO Global Geopark แห่งแรกของประเทศไทย ทั้งยังเป็นอุทยานธรณีโลกประเทศที่ 36 ของโลก เป็นแหล่งที่ 5 ของอาเซียนอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า



สำหรับพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า เกิดจากเมื่อหลายปีก่อนชาวบ้านได้พบกระดูกอยู่ภายในถ้ำ จากการตรวจสอบพบว่าเป็นฟันกรามช้างสเตโกดอน อายุประมาณ 1.8 ล้านปี!! เก่าแก่กว่าช้างแมมมอธไปอีก หลังจากนั้นจึงได้มีการสำรวจอย่างละเอียด และค้นพบซากดึกดำบรรพ์ และฟอสซิลของสัตว์ทะเลอีกหลายชิ้น จึงรวบรวมสิ่งได้ที่ค้นพบ มาจัดแสดงให้ผู้คนที่สนใจได้ทราบประวัติและเรื่องราวความเป็นมา ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้







ได้เวลาไปตามหาหัวใจที่ปลายอุโมงกันแล้ว

ถ้ำเล สเตโกดอน



เป็นถ้ำ ที่อยู่ภายใต้เขาหินปูน ระยะทางจากปากทางเข้าจนถึงทางออก ประมาณ 4 กิโลเมตร ปากทางเข้าเป็นน้ำจืด ออกไปสู่น้ำเค็ม ใครที่กังวลว่าเข้าถ้ำแล้วต้องอึดอัด อากาศจะน้อย หายใจไม่สะดวก ที่นี่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยจ้า เพราะถ้ำกว่างใหญ่มาก อากาศถ่ายเทสะดวก บรรยากาศเย็นสบายมากๆ



เราต้องนั่งเรือแคนูเข้าไปในถ้ำค่ะ ซึ่งนั่งได้ลำละ 2 คน (แต่สำหรับคนที่น้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ นั่งคนเดียวสบายกว่านะ) แต่ละลำจะมีฝีพายประจำเรือ พาเราเข้าไปชมด้านในค่ะ ซึ่งก็จะคอยเป็นไกด์ส่วนตัว แนะนำข้อมูลต่างๆ ภายในถ้ำให้เราด้วย



พี่ไกด์บอกว่า เข้ามาอยู่ในถ้ำแล้วต้องเป็นนักจินตนาการค่ะ ถึงจะเที่ยวถ้ำได้สนุก เพราะด้านในจะมีหินงอกหินย้อย รูปร่างต่างๆ ตามแต่ที่เราจะจินตนาการเลยค่ะ





บางก้อนก็มีประกายระยิระยับกระทบแสงไฟ จากแร่แคลไซต์ที่ปะปนอยู่






มีบางช่วงที่เราได้ผจญภัยเล็กๆ ด้วยค่ะ ต้องลงเดินเพราะเรือไม่สามารถผ่านช่องแคบไปได้ค่ะ หากมาช่วงน้ำลงก็ได้ลงเดินเยอะหน่อย สนุกสนานกันไป


พี่ไกด์บอกว่าในถ้ำนี้อุดมสมบูรณ์มากค่ะ มีกุ้งอยู่เยอะเลย พูดยังไม่ทันขาดคำ เราได้เห็นพี่ไกด์จับกุ้งให้ดูกันเห็นๆ เลย ว่ามันสมบูรณ์มากจริงๆ (จับแล้วปล่อยคืนสู่ธรรมชาติไปนะคะ)



หินน้องกระต่ายหมายจันทร์ มาแอบมาซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ







ก่อนออกจากถ้ำ พี่ไกด์ให้ลองดับไฟ ทุกดวง มันมืดมากค่ะ มืดแบบชนิดที่ว่า จะลืมตาหรือหลับตา ก็ไม่ต่างกัน มันเงียบเหงาวังเวงแบบบอกไม่ถูก

เจอแล้วจ้า “หัวใจที่ปลายอุโมงค์” เย้ๆ



เราต้องออกจากถ้ำ พร้อมกับลากเรือออกมาด้วย เพื่อมาขึ้นเรือยนต์ชมป่าโกงกาง



แสงยามบ่าย สาดทะลุใบไม้ลงมาด้านล่าง สวยอย่าบอกใครเลย





** การเที่ยวถ้ำเล สเตโกดอน ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับน้ำขึ้น - น้ำลง สอบถามรายละเอียดได้ที่
องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า (074-789317) หรือคุณกัลยา เกตุศรี (084-8585100)

จากที่นี่เราต้องรีบไปให้ทันดูพระอาทิตย์ตกกันที่
เขตข้ามกาลเวลา … เขาโต๊ะหงาย
งานป้ายมาอีกแล้ว



จากนี้ก็รีบเดินกันหน่อยค่ะ พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ทางเดินเป็นสะพานปูนเลาะไหล่เขา แข็งแรง เดินง่าย เราต้องเดินอ้อมไปอีกด้านของภูเขา





มาทันเวลา ได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าพอดี... จริงๆแล้วเป็นขอบภูเขา ซะมากกว่า เราชอบดูพระอาทิตย์ตกนะ ช่วงเวลานี้ แสงบนท้องฟ้า จะสวยแปลกตา แตกต่างกันไป แค่เวลาต่างกันไม่กี่นาที ท้องฟ้าสามารถ เป็นสีเหลือง สีส้ม สีชมพูอมม่วง ได้ราวกับเวทมนต์




จริงๆแล้ว เขตข้ามกาลเวลานี้มีที่มาที่ไป นะคะ
เขาโต๊ะหงายประกอบไปด้วยหิน 2 ยุคประกอบกัน สังเกตุจากในรูปจะเห็นเป็นหินคนละสีกัน สีแดงนั้นเป็นหินทรายในยุคแคมเบรียน ส่วนหินสีเทาๆนั้นเป็นหินปูนในยุคยุคออร์โดวิเชียน ส่วนรอยตัดเฉือนที่เห็นคือรอยเลื่อนที่บรรจบกันนั่นเองค่ะ



หลังจากทำกิจกรรมกันหนักหน่วงมาทั้งวัน ท้องก็เริ่มประท้วงร้องขออาหาร เย็นวันนี้เราทานอาหารกันที่ร้าน “ครัวริมเล” ปากบารา




ร้านอาหารติดชายหาด บรรยากาศดี อาหารทะเลสด ราคาไม่แรง เมนูที่เราทานกันเย็นนี้จ้า



สำหรับเราแล้วอาหารมื้อนี้ เราชอบ ปลากหมึกนึ่งมะนาว กับหอยท้ายเภาผัดฉ่า หอยอาจจะเหนียวๆ แต่เราก็ชอบนะ ที่จริงแล้ว กุ้งผัดสตอก็รสชาติใช้ได้เลย ปลากะพงอร่อย จะว่าไปก็เกือบครบทุกอย่างล่ะเนี่ย


แต่ยังค่ะ ยังไม่หมด ยังมีต่อ กินคาวแล้วก็ต้องกินหวานซิ จะได้ครบรส
“ร้านชาชัก ปากบารา”



สั่งของหวานกันแล้วก็ได้แต่รอๆ



แก้วนี้คืออพอลโล่ค่ะ เป็นชาชักแบบแยกชั้น



เห็นคนทำมีความสุขที่ได้ทำ คนกินอย่างเราก็อิ่มทั้งกายและใจไปด้วย ^^ (ไม่อิ่มได้ไง กินไปตั้งเยอะขนาดนั้นนะตัวเธอ)





งื้อๆ หนังท้องตึงขนาดนี้ หนังตาไม่ต้องพูดถึงแล้ว พร้อมนอนแล้ว คืนนี้เรานอนกันที่
“โรงแรมเลค เทอเรส” ปากบารา





เตียงนุ่มนอนสบาย ขอเอนกาย พักร่าง เตรียมลุยพรุ่งนี้...


DAY 3
วันนี้ตื่นเช้าอีกแล้ว ขอออกไปเดินสำรวจโลกซักหน่อยดีกว่า
บรรยากาศของที่พักยามเช้า





จากที่พักเดินไปไม่ไกล จะมีหาดหินหลากสี และยังสามารถเดินไปถึงเขตข้ามกาลเวลาได้อีกด้วย แต่ดูจากระยะทางและเวลาแล้ว ขอไปแค่หาดหินหลากสีก็แล้วกัน





สีแดงเป็นหินทรายในช่วงยุคแคมเบรียน สีเทาหรือสีฟ้ามาจากหินปูนยุคออร์โดวิเชียน สีเหลืองหรือน้ำตาล เป็นหินทรายผุ



หลังจากทานข้าวเช้ากันจนอิ่มแล้วเราก็เคลื่อนทัพไปกันที่ บ้านบ่อเจ็ดลูก



ตามตำนานเล่ากันว่า ชาวเลที่อพยพ มาอาศัยอยู่ที่นี่ ต้องการน้ำจืดไว้ใช้ จึงได้ขุดบ่อ แต่ขุดแล้วก็ไม่เจอน้ำจืด จึงขุดมาเรื่อยๆ จนกระบ่อที่ 7 จึงได้น้ำจืดไว้ตามที่ต้องการ เชื่อกันว่า บ่อน้ำนี้เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ขออะไรก็ได้สมหวังดั่งใจ ภายใน 7 วัน
(สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน จันทร์ - อาทิตย์ ไม่นอกเหนือไปจากนี้แน่นอน พี่ไกด์ได้กล่าวไว้)
จะรออะไร ขอมั่งซิค่ะ พลาดได้ที่ไหน



มะพร้าว 2 ยอด



เฮฮฮฮฮ จะพาเธอนั้นไปลอยทะเล……. ไปท่องทะเลกันจ้า



นั่งเรือออกมาไม่ไกล ที่แรกที่เรือจอดแวะคือ ทะเลแหวก สันหลังมังกร



สันทรายเป็นระลอกคลื่น เหมือนน้ำกำลังหลีกทางให้ทรายได้โผล่ขึ้นมา






หินตาหินยาย
พี่ไกด์ได้ขับร้องเป็นเพลง เกี่ยวกับตำนานหินตาหินยายให้พวกเราได้ฟังกันด้วย





เรือที่เราพานั่งมาจะลากแคนูมาด้วย 2 ลำ เอาไว้ทำอะไร ตามมาดูเฉลยกัน





เรือก็พาเราล่องเรื่อยๆ บนผิวน้ำที่ใสราวกับกระจก ไม่ไกลมาก็มาถึง ถ้ำลอดพบรัก


ช่องตรงกลาง หากมองดีๆ จะคล้ายๆ รูปหัวใจ ที่เราเห็นคือหัวใจส่วนบน หากใครอยากเห็นส่วนล่างคงต้องดำน้ำลงไปดูกันเอาเอง



เจอชาวบ้านมาลอยเรือ ช้อนแมงกระพรุนกัน



แล้วก็มาถึงจุดไฮไลต์ของการล่องเรือเที่ยวในวันนี้ ถึงแล้วค่ะ ปราสาทหินพันยอด มองจากตรงนี้อาจจะดูงงๆ คล้ายปราสาทตรงไหน??



นี่เลยค่ะ เราก็เลยต้องพายเรือแคนูเข้าไปด้านใน นั่งได้ลำละ 2 คนค่ะ



ต้องพายลอดช่องนี้เข้าไป



เริ่มมองเห็นความสวยงามด้านในแล้ว



พอเข้ามาด้านในแล้วต้องร้องกรี๊ดในใจ เบาๆ (เดี๋ยวเพื่อนร่วมทริปจะตกใจ)
ไม่เคยคิดมาก่อน และไม่เคยรู้เลยว่า เมืองไทยมีที่เที่ยวแบบนี้ด้วย เหมือนอยู่ท่ามกลางกำแพงภูเขา โอบล้อมเราไว้ทุกด้าน ตรงกลางมีน้ำใสสวยราวกับกระจก ไม่น่าเชื่อว่า เราจะได้เห็นทั้งภูเขาและน้ำทะเลในที่เดียวกัน ได้สวยขนาดนี้







มีซากฟอสซิล นอติลอยด์ ด้วย



ถ่ายรูปจนพอใจ นั่งเรือออกไปตามหาหัวใจที่ปลายผากัน



พี่ไกด์ทำมะม่วงน้ำปลาหวาน และขนมตาหยาบ ขนมพื้นบ้านของสตูล มาให้ลองชิมกัน



อ่าวโต๊ะบ๊ะ จุดเรียนรู้ฟอสซิลล้านปี



เดินขึ้นเขากันซักเล็กน้อย


นี่จ้าลานหินหัวใจสีฟ้า



และนี่ หัวใจอีกดวงที่เรามาตามหา







เวลาผ่านล่วงเลยมาจนเกือบบ่าย ท้องร้องประท้วงขออาหารกลางวัน มื้อนี้เราทานกันที่นี่จ้า




กับ Concept ทานอาหาร ตามมีตามเกิด โอ๊ยย….พ่อจ๋า แม่จ๋า มันฟินมากเลย


หากใครสนใจอยากตามรอย สามารถติดต่อได้ที่ เพจการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก (คุณยูหนา หลงสมัน Tel. 081-5420071)

ทานข้าวอิ่มแล้วก็ไปหาขนมทานกันต่อ ขนมผูกรัก บ้านเจ๊ะบิลัง


แต่ก่อนทาน ต้องทำก่อนนะ วัตถุดิบสำหรับทำใส้ขนม



ขั้นตอนการทำใส้ขนม สูตรลับเฉพาะ
- คัดปลาทูสดแล้วนำมาต้ม
- แกะปลา ใช้เฉพาะเนื้อปลาเท่านั้น
- ปั่นปลาให้ละเอียด
- ผสมเครื่องแกง พร้อมปรุงรส
- นำปลาไปผัดกับเครื่องแกงจนเข้ากันดี

ส่วนขั้นตอนการผูกรักก็ตามภาพเลยจ้า


เสร็จแล้วก็นำขนมไปทอดน้ำมันลอย หน้าตามพร้อมทานก็จะเป็นเยี่ยงนี้


กรอบอร่อย กินเพลิน มีกลิ่นหอมของเครื่องแกง ซื้อเป็นของฝากกลับบ้านก็ได้นะ


ขากลับ สายการบิน Air Asia เช่นเดิมจ้า ได้กินไก่อบซอสเพรสโต หอมเนย อร่อยดี


สำหรับทริปนี้ คงเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่น่าจดจำ ได้เพื่อนใหม่ ที่แม้จะแค่ 3 วัน แต่เหมือนรู้จักกันมานานกว่านั้น


ก่อนหน้านี้ พูดถึงจังหวัดสตูล ก็นึกถึงแต่เกาะหลีเป๊ะ
แต่วันนี้สามารถบอกได้ว่า สตูลมีที้เที่ยวอื่นๆ อีกเยอะเลย
ทั้งทะเล เกาะแก่ง ทะเลแหวก มุดถ้ำ พายเรือแคนู มีหมดจ้า
และธรรมชาติที่นี่ก็ยังสมบูรณ์อยู่มาก อยากให้มาเจอ
…. ที่นี่ก็ดีนะ ...







ความคิดเห็น