หลายๆคนคงเคยเห็นรีวิวปีนังมาหลายรีวิวกันแล้วนะคะครังนี้เราจะมาเล่าปีนังในมุมที่เราสนใจ และมุมที่ทำให้เราอยากไปปีนังกันค่ะ

.

.

ด้วยความที่เราเป็นคนที่ชอบประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมของเมืองแต่ละเมืองมาก และสมัยเรียนเราเคยเรียนกันมาว่าปีนังเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อนที่จะได้เอกราช และหลายๆประเทศเองก็อยากได้เกาะปีนังแห่งนี้ เกาะปีนัง มีอีกชื่อนึงคือเกาะหมาก เพราะมีต้นหมากขึ้นเยอะ

ในยุคที่การล่าอาณานิคมจากชาติฝั่งตะวันตกเข้ามาเยอะมาก ทางอังกฤษเห็นว่าที่นี่ทำเลดีที่จะขุดช่องแคบของเกาะหมากให้กว้างขึ้นเพื่อสะดวกในการเดินเรือขนสินค้ากลับอังกฤษได้ง่าย ไม่ต้องอ้อม ทำให้ประหยัดเวลา ของตัวเองเลยขอเช่าที่จากสุลต่าน แต่ต่อมาพอเกิดสงครามกับไทย อังกฤษเลยบอกว่าเดียวช่วยรบแต่อังกฤษขอเมืองนี้เป็นค่าตอบแทน จากนั้นต่อมาอังกฤษก็ขนแรงงานชาวทมิฬ จากอินเดียใต้มาที่เกาะปีนังเพื่อเป็นทาส ในการสร้างเมือง จากนั้นปีนังกลายเป็นท่าเรือขายสินค้าจากทั่วทุกมุมโลก ชาวจีนจำนวนมากก็ได้อพยพมาที่นี่เพื่อที่จะทำการค้า ทำให้เมืองนี้มีความหลากหลายของเชื้อชาติที่เขามา สถาปัตยกรรม และวิถีชีวิต เราจะเดินทางตามรอยประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง...เริ่ม!!!

จุดเริ่มต้นของทริปนี้เราเดินทางจากขอนแก่น ไปหาดใหญ่ บินตรงเลยจ้า ของแอร์เอชีย ชั่วโมงครึ่งก็ถึง สะดวกมากๆสำหรับคนอยู่อีสานแต่ทำตัวเป็น ผู้สาวขาเลาะแบบเรา ไม่ต้องเข้า กทม ก็ไปที่อื่นได้

เช้ามากจ้า ที่สนามบิน จุดหมายปลายทางคือ หาดใหญ่ จ.สงขลา

จากสนามบินเราต้องไปขึ้นรถไฟ ที่ชุมทางรถไฟหาดใหญ่

เส้นทางรถไฟ

ชุมทางหาดใหญ่ - ปาดังเบซา ( จองไม่ได้เป็นรถไฟโลเคิล ไปซื้อตั๋วที่สถานี แต่เช็คเวลาได้ พยายามให้ทันรอบแรก 7.30 จะไปพอดีกับรถฝั่งมาเลย์)

ปาดังเบซา - บัตเตอร์เวิร์ธ (ซื้อที่สถานี้เลยเช่นกัน)

มาถึงสถานีรถไฟ แนะนำให้เปิดเพลง คำสัญญาที่หาดใหญ่ ไปด้วยจะให้ความรู้สึกที่ดีมากๆเลยจ้า ค่าตั๋วอยู่ที่ 50 บาท

บรรยากาศบนรถไฟ เด็กอีสานที่บ้านไม่มีทางรถไฟผ่านนี่ การเดินทางไปกับรถไฟนี่เป็นอะไรที่พิเศษมากๆเลยนะคะ บนรถไฟนี่เปิดเพลง นักแสวงหา ของพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ เลยค่ะ เพิ่มสุนทรียในการเดินทาง

ใช้เวลาประมาณนึง ไม่นานมาก เราก็ถึงสถานีปาดังเบซา รถไฟจะจอด ปาดังฝั่งมาเลย์นะคะ คนไทยก็ตรวจคนเข้าเมือง ที่สถานีเลยค่ะ ขั้นตอนนี้จะช้านิดนึง

ได้ตั๋วแล้วที่นี่จ่ายเป็นเงินริงกิตแล้วเด้อ ราคา 11.40 ริงกิต เป็นเงินไทยก็ 89 บาท เรามาดูว่ารถไฟมาเลย์จะเป็นไง อ่านรีวิวมาเขาว่ามันดีย์อ่ะแกร

เห้ยยยย พอประตูเปิด แม่เจ้า นี่มันดีงามมากมายค่ะ สะอาดมากๆ แอร์เย็นมากจ้า สบายกว่าที่คิดเด้อ การเดินทางต่อไปยาวๆ 1.50 ชม. ยาวไปจ้า

วิวข้างหน้าต่าง วิวนี้แนะนำเพลง 500 mile เอาเวอร์ชั่นประกอบภาพยนต์ Inside Llewyn Davis นะ

สถานีอะไรไม่รู้ แต่อาคารสวยเด้อ ได้กลิ่นอายศิลปะอาหรับมาแล้วจ้า

และแล้วก็มาถึงค่า สถานี บัตเตอร์เวิร์ธ แต่เราต้องเดินทางต่ออีกนิ๊ดนึง คือการข้ามเรือเฟอร์รี่ไปยังเกาะปีนัง คนที่นี่เรียกบัตเตอร์เวิร์ธ ว่าแผ่นดินใหญ่ ถึงตรงนี้แท็กซี่จะเข้ามาหาเราเยอะมากเพราะเขาจะให้เรานั่งแท็กซี่ไป ซึ่งต้องข้ามสะพาน ทั้งไกล และ อ้อมไกลกว่านั่งเรือมาก เราต้องหนักแน่นและเดินตามหาเรือเฟอร์รี่ ซึ่งไม่ยากเลย เขาจะมีสัญญลักษณ์ รุปเรือเฟอร์รี่สีส้ม เดินเข้าไปในห้างเดินตามป้ายเหมือนเล่นเกม แต่ไม่ยากเลยค่ะ

อันนี้ตั๋ว เรือราคา 1.2 ริงกิต 9.26 บาท แต่เรือนี้ซื้อแค่ครั้งเดียวเพราะรวมไปกลับมาแล้วค่ะ ขากลับไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก

บรรยากาศท่าเรือ มีทั้งเรือเล็ก เรือขนสินค้าขนาดใหญ่ลองนึกภาพย้อนไป ที่มีเรือสำเภา เรือโจรสลัดแบบใน Pirate of the Caribbean

ปีนัง...อยู่ใกล้แค่เอื้อม นั่งเรือข้ามฝากแปปเดียวเท่านั้น ก็ถึงท่าเรือ ที่พักเราเลือกอยู่ใกล้ท่าเรือ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง

เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อย ก็เริ่มสำรวจเมืองปีนัง ปีนังเป็นเมืองมรดกโลก การจัดการทางวัฒนธรรมจึงเข้มแข็งมาก ปีนังจะแบ่งเป็นโซนๆ


โซนแรก เรียง Core zone(สีเขียว) ส่วนที่เรียกว่า George Town คือส่วนที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ เราจะสังเกตได้จาก ตึก จะมีลักษณะใกล้เคียงกัน โทนสี หลังคา ความสูงของตึก เหล่านี้จะถูกควบคุมให้เหมือนเดิม

โซนสอง Buffer zone(สีม่วง) โซนนี้จะอยู่รอบๆ core zone จะเริ่มมีสิ่งปลูกสร้างที่มีหลากหลายวัสดุ มีพื้นที่โรงเรียวเอกชน บ้านเรือนสร้างใหม่บ้าง ประปราย

โซนสาม(สีส้ม) โซนเมืองใหม่ มีตึกสูงๆ คอนโด ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ว่าง่ายๆคือแหล่งรวมความเจริญนั่นจะอยุ่โซนนี้นั่นเอง

รีวิวของเราจะไม่เรียงตามวันนะคะ ว่าวันแรกจะไปไหน เพราะเราเดินรวมๆ แต่จะแยกแป็นหมวดๆ

สิ่งที่พบเห็นทั่วไปคือ รถสามล้อแบบนี้ ซึ่งมันคือรถเข็นปืนใหญ่ ในช่วงยุคล่าอาณานิคม ที่อังกฤษทิ้งเอาไว้ต่อมาชาวจีนที่อาศัยอยู่ที่นี่จึงเอามาดัดแปลงทำเป็นรถโดยสาร หลายๆที่ในเอเชียที่เป็นเมืองขึ้นของยุโรปจะมีอะไรแบบนี้เหลือเอาไว้ เช่นที่ฟิลิปปินส์ ที่เหลือรถเอาไว้ ทำให้คนที่นั่นมีรถ jeepney เป็นรถสองแถวสาธารณะ (ใครสนใจเรื่องราวฟิลิปปินส์ตามอ่านได้นะคะ เขียนเอาไว้แล้วค่ะ)

จุดแรกที่ราจะพาไปคือ จุดที่เรียกว่า Jetty เป็นโซนท่าเรือ บ้านแถบนี้จะเป็นบ้านไม้ ทางเข้าเราจะเจอตาแป๊ะนั่งเม้ากัน

บรรยากาศบริเวณ Jetty บริเวณนี้เป็ยชุมชนชาวจีน บ้านจะเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูง บริเวณนี้จะไม่มีหาด เพราะเป็นฝั่งที่เรือขนส่งใช้เป็นที่หลบมรสุม เนื่องจากเป็นบริเวณคลื่นไม่แรง ลมมรสุมไม่เข้า จึงเหมาะจะทำเป็นท่าเรือ ทำให้บริเวณนี้มีบ้านของชาวประมง พ่อค้า อยู่มาก

ที่เราชอบมากอีกสิ่งหนึ่งในปีนังคือ จะเล่าประวัติศาสตร์ไปด้วยว่าพื้นที่สร้างตรงนี้เกิดจากการขุดลอกให้น้ำลึกขึ้น แล้วเอาดินที่ขุดขึ้นมาถมที่ตรงนี้ ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นย่านที่มีบริษัทเกิดขึ้นมากมาย ใครไปแนะนำให้ตามปักเหล็กดัดเลยนะ สนุกมาก เดี๋ยวรอบหน้าจะเก็บให้ครบ

รูปนี้อยู่เขต Buffer zone ตรงนี้พูดถึงย่านการค้า ที่มีชาวจีนขายข้าว กับชาวมาเลยเซียที่ขายบุก สื่อสารด้วยการแต่งกาย การพูดทักทาย ทำให้นึกภาพตามย่านนี้ช่วงเวลาที่คึกคัก

ร้านนี้อยู่ใน Core zone จะเป็นร้านเก่าแก่ ที่ขายปิ่นโต เครื่องใช้ ในการสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวที่ปีนังจะมีอีกเส้นทางคือ Heritage Trail ตามรอยร้านค้าเก่าแก่ ในปีนังที่ยังคงทำธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน บางที่ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วย

สถานที่ของบุคคลสำคัญ นั่นคือ บ้านของ ดร. ซุนยัดเซ็น นักประชาธิปไตยและนักปฏิวัตชาวจี เคยมาใช้ชีวิตที่ช่วงการเมืองที่จีน บ้านของ ดร.ถูกออกแบบมาเพื่อการศึกมาก มีการเลือกทำเล ที่ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินจะหนีออกได้ง่าย ประตู หน้าต่าง ทุกอย่างถูกออกแบบอย่างละเอียด

บ้านตอนนี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ค่าเข้าชมแค่ 5ริงกิต ถูกกว่าพิพิธภัณฑ์เอกชนหลายแห่งในปีนังมากๆ ในบ้านนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ที่หลายๆคนไปแล้วมองผ่าน อยากให้มาที่นี่ จะเห็นผังการสร้างบ้านของชาวจีน ที่ออกแบบเพื่อคนที่อยู่อาศัย

เตาไฟ และหม้อต่างๆ ยังคงอยู่ การออกแบบครัวที่อยู่ในบ้านของคนจีนจะยกเพดาลขึ้นสูง มีช่องลมระบายอากาศ ต่างจากบ้านของไทยที่นิยมทำครัวออกนอกตัวบ้าน หรืออยู่ที่โล่งๆ

อันนี้เป็นแผนที่ ถ้าใครสนใจจะตามเส้นทางนี้นะคะ

Map ที่ปักหมุดไว้สำหรับใครที่สนใจเส้นทาง Heritage trail นะคะ

ที่ปีนังจะมีพื้นที่ส่วนสำคัญทางประวิติศาสตรอีกที่นั่นก็คือ ส่วนที่เรียกว่า Fort Cornwallis เป็นป้อมปราการที่ อังกฤษได้สร้างเอาไว้เพื่อป้องกันศัตรูทางน้ำ ตั้งอยู่บริเวณโค้งน้ำของเกาะปีนัง

ปืนใหญ Seri Rambai (ศรีรัมไบ) ปืนใหญ่สำริด สร้างโดยชาวดัตช์ มุมของปืนใหญ่ ใน Fort Cornwallis ถ้าเรือรบจากชาติอื่นๆเข้ามานี่ยิงก่อนได้เลย ทำเลการเลือกตั้งป้อมปราการ ไม่ใช่แค่สร้างเพื่อป้องกัน แต่ยังสามารถรุกกลับได้ นึกภาพตัวเองเป็น อลิซาเบธ สวอน เลยตอนนั้น

กำแพงของ Fort Cornwallis เป็นกำแพงก่ออิฐหนา มีปืนใหญ่อยู่เป็นจุดๆ เพื่อยิงตอบโต้ข้าศึก


การเที่ยวเมือง ในยุค Colonial นี้ต้องมาดูการสร้างป้อมปราการเลยค่ะ จะเห็นวิธีการออกแบบเพื่อให้เป็นประโยชน์ทางการศึก ป้อมของอังกฤษสร้างแบบนึง ป้อมของฝรั่งเศษอสร้างอีกแบบ ป้อมของจีน สร่างอีกแบบ เป็นเรื่องที่นาสสนใจมากๆเลยค่ะ

ปล.ค่าเข้าดูป้อมแอบแพงนิดนึง 20 ริงกิต ขนาดเราชอบ ประวัติศาสตร์ยังรู้สึกเลยว่าแพงไป

ถัดจากป้อมมานิดนึง จะเจอ หอนาฬิกา Queen Victoria Memorial Clock Tower ที่สร้างขึ้นในสมัยที่อังกฤษเข้ามาอยู่ที่นี่ ข้างๆจะมีประติมากรรม ชิ้นนึงให้ทายว่าเป็นรูปอะไร

.

.

.

เฉลย เป็นรูปหมาก ตามชื่อเดิมคือเกาะหมากนั่นเอง

หอนาฬิกากาญจนาภิเษก ให้กับควีนวิกตอเรีย หอนาฬิกานี้ผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่2 มาทำให้หอนาฬิกานี้เอียงเล็กน้อย

Town Hall เป็นอาคารว่าราชการที่อังกฤษปัจจุบันยังใช้เป็นสถานที่ราชการ สร้างในปี 1880 เราตามหาอาคารหลังนี้จากฉากหนึ่งในหนังเรื่อง Anna and The King ปี 1999 ที่โจว เหวินฟะ เป็นพระเอก

ตึกสวยๆย่านราชการของปีนัง

ปกติเราจะเป็นคนชอบเดินดูเมืองมากๆ แต่ด้วยอากาศความร้อนระดับสิบนั้น ทำให้ต้องตัดสินใจนั่งรถเพื่อที่จะไปพิพิธภัณฑ์ ของเมืองปีนัง จากที่ได้ศึกษามา ที่นี่เขาทำเส้นทางรถเมล์ไว้ดีมาก มีทั้งรถเมล์ฟรีและเสียตัง ต่อไปเราจะพาไปขึ้นรถเมล์ปีนังกัน

ที่ปีนังเป็นรถเมล์แบบ real time เราสามารถหาจุดหมายปลายทาง จาก google จะเห็นดังภาพ

google map จะบอกว่าเราต้องเดินไปขึ้นรถที่ไหน รถสายอะไรผ่านบ้าง และจากที่ขึ้น ถึงจุดหมายกี่ป้าย ถ้าเราไม่เคยไปก็นับป้ายได้เลยค่ะ ที่ชอบที่สุดคือต้องรอรถแต่ละสายนานแค่ไหน อันนี้ว้าวมากค่ะ


รถเมล์สายที่เราขึ้นเป็นรถเมล์ฟรี มีหลายสาย จำไว้จะเขียนว่า CAT รถเมล์ที่นี่จะมีป้ายบอก ว่าสถานีต่อไปอะไร จอดตามป้ายเท่านั้น ขึ้นประตูห้า ลงประตูกลาง ห้ามเดินลงผิด และถ้ารถเมล์ยังไม่จอดห้ามไปยืนตรงหน้าประตูเด็ดขาด โอ้โหววว รถเมล์ดีมากที่ประเทศที่เราจากมาไม่มีเลยจ้า

ปล.รถเมล์ ที่จ่ายตัง จะขึ้นอยู่กับระยะทาง จะมีแค่ 3ราคา จำได้ไม่หมด จำได้แต่ 1.4 กับ 2.7 ริงกิต เตรียมเงินให้พอดีเพราะไม่มีเครื่องทอนเด้อ หยอดเงินใส่ตู้ เพราะไม่มีกระเป๋ารถเมล์

แล้วพอถึงที่หมายที่เราต้องการ ไม่นานมากแปปเดียวเอง

สิ่งที่เราจะไปดูต่อไปคือพิพิธภัณฑ์ปีนัง ที่จะบอกเราได้ทุกอย่างในปีนัง ความตื่นเต้นก็มีเยอะนิดนึง พอไปถึงที่ที่ปรากฎตรงหน้าคือ ปิดปรับปรุง!!!!! อัลไลอ่า เสียใจอ่ะ จากนั้นเราก็เดินคอตกไปเจอสิ่งนี้.

.

.

โบสถ์สวยมาก ST. George's Church สร้างในศตวรรษที่19 เป็นการสร้างตามแบบ Anglicanism ซึ่งเป็นหนึ่งในนิกายที่ชาวอังกฤษนิยม ที่เรียกว่า Church of England

จากที่เปลี่ยนเป้าหมายกระทันหันเลยเดินดูเมืองเล่น

อากาศร้านมากกกกก แป้งตรางูคือคำตอบ มันช่วยชีวิตมากๆเลยเด้อ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ) แต่มันดีจริงๆ

นั่งกินไรกันอ่ะ??

อ่อ ของหวาน อยากกินด้วยเลย แต่เสียใจด้วย เขาขายหมดแล้ว น่าจะเป็นเจ้าดังคนเยอะมากก มีกราฟฟิตี้ด้วย

โรงทำเส้นก๋วยเตี๋ยวเล็กๆที่เราดินผ่าน เขาทำเส้นก๋วยเตี๋ยวมานานกว่า 100 ปีแล้วนะ มีการใช้เครื่องจักร ผสมกับคนทำ แต่ถ้าใครอยากดูเขาทำเส้นก๋วยเตี๋ยวต้องมาช่วงเช้า เพราะเขาจะทำแค่ถึงเที่ยงเท่านั้น ไปบ่ายอดจ้า

พอเดินเรื่อยๆหน้าตาผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปจากขาวตี๋ เริ่มเปลี่ยนเป็นคมเข้ม แสดงว่าน่าจะเดินมาถึงโซนที่เป็นชาวอินเดียอยู่แน่ๆเลย

เขาทำไรกันอ่ะ ขายข้าวแกงหรอ ? เปล่าจ้า อยู่ดีๆอาบังที่นั่งกินข้าวอยู่มาบอกเราไปต่อแถว บอกว่า free kitchen เราก็งง อ้าวทำไมมีแจกข้าวฟรี

ไหนๆเขาก็ชวนไม่ให้เสียน้ำใจ ก็ต่อแถวกินกับเขาเลยจ้า เลยถามว่าวันนี้วันอะไร ทำไมมีแจกข้าฟรี เขาบอกว่าเป็นวันเฉลิมฉลองของชาวทมิฬ จะจัดงาน3วัน วันนี้วันแรก ตอนเย็นมีแห่ด้วยนะ อาบังบอกมา

ศาสนสถานชาวฮินดู ปกติจะเปิดแค่ตอนเช้า แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันสำคัญ เราเลยมีโอกาสได้เข้าไปดูตอนเขาทำพิธีตอนกลางคืน แต่ภาพข้างในไม่สามารถถ่านรูปได้ค่ะ

เรารอจนค่ำเพื่ออยู่ร่วมขบวนพิธี ได้สอบถามคนที่นี่ว่ามันคือวันสำคัญแบบไหน ได้ความมาว่า เทศกาล Chitra Pournami เป็นเทศกาลของชาวทมิฬ จะจัดทุกปี ปีนี้ดันตรงกับข่วงที่เรามาปีนังพอดี นับเป็นฏอกาสดีๆที่ได้เห็นพิธีกรรมโบราณของชาวทมิฬ

ทำพิธี แห่พระเจ้าที่ชาวทมิฬให้การเคารพนับคือเรียก Lord murugan หรือ ขันทกุมาร เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เป็นบุตรของพระศิวะ กับนางปราวตี ลักษณะมี 6 พักตร์ 12 กร และทรงนกยูง ในตำนานคือพี่ชายของพระพิฆเนศ ตอนแรงงงมากว่าเทพองค์ไหน ต้องค่อยๆดูลักษณะ ขี่อะไร ในมือถืออะไร จึงรู้ว่าเป็น ขันทกุมาร คนอินเดียที่นี่ให้ความสำคัญมาก จะเตรียมเครื่องไหว้ ผ้า พัด เพื่อให้คนทำพิธีเอาขึ้นถวายขันทกุมาร แล้วส่งกลับลงมาเพื่อเอาไปบูชาต่อที่บ้าน

ของฝากจากงานเทศกาล ที่บริจาคไป 1 ริงกิต เป็นแป้งหอมที่เอาไว้แต้มหน้าผาก

เราร่ำลาปีนังด้วยเทศกาลที่สุดพิเศษ แบบไม่ได้คิดว่าจะได้มาเจองานที่ทำให้เราได้เข้าถึงวิถีชีวิต ของคนที่นี่มากขนาดนี้ เป็นการจากลาปีนังสุดประทับใจมากๆค่ะ

ขากลับจากปีนังนั่งรถไปหลับมาหาดใหญ่แบบเดิม แต่รถไฟที่ขึ้นไม่เหมือนเดิม เป็นแบบโลเคิลกว่าเดิมเล็กน้อย แต่มีความสุขเป็นพิเศษ


การได้เห็นผู้คน มีความสุขบนรถไฟแออัด เห็นพี่น้องหยอกกัน บางคนไม่มีที่นั่งก็นั่งกับพื้น บางคนพูดภาษายาวีกับเรา ซึ่งเราพูดไม่ได้ แต่ก็สื่อสารได้ การเที่ยวในแบบของเราคือการได้ไปใช้ชีวิต การได้เห้นมุมที่แตกต่างกันออกไป

ลาก่อนปีนัง....

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านจนถึงข้อความนี้นะคะ ขอบคุณที่สนใจเรื่องราวการเดินทางเขาองเรา แล้วการเดินทางครั้งต่อไป...ที่ไหนยังไม่รู้รอติดตามนะคะ

เพราะจุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม

ค่าใช้จ่ายรวมตลอดทริป 2500 บาท

ที่พัก 1514 บาท

ค่าเครื่องไปกลับ ขอนแก่น หาดใหญ่ 5000 บาท

ความคิดเห็น