ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูร้อนเต็มตัวแล้ว หยุดเสาร์ อาทิตย์ จะมานอนเล่นอยู่บ้านก็ร้อน (รน... ตามประสาคนชอบเที่ยว) ซะเหลือเกิน เลยหว่านล้อมเพื่อนๆ ให้ไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุด มาปักหมุดที่พัทยา (อีกแล้ว) ทริปนี้ไม่มีโปรแกรมอะไรมากมาย เพียงแค่อยากมาเที่ยวเล่น มานอนเย็นๆ ในโรงแรม มาหาอาหารทะเลทาน แค่นี้ก็ช่วยทุเลาความร้อน (รน) ในตัวผมได้แล้วครับ

ผมออกเดินทางช่วงสายๆ ขับรถมาเรื่อยๆ แบบไม่เร่งรีบ จุดหมายแรกของผมอยู่ที่วัดญาณสังวราราม มาไหว้พระขอพรให้เป็นสิริมงคลกับชีวิตกันก่อนครับ

วัดญาณสังวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดวรมหาวิหาร สังกัดธรรมยุตินิกาย มีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นองค์ประธานจัดสร้างวัด การสร้างวัดญาณสังวราราม มีจุดมุ่งหมายให้เป็นสำนักปฏิบัติ คือ เน้นทางด้านสมถและวิปัสสนาและเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ใน ทางการศึกษาอบรมพระธรรมวินัยครับ

ภายในวัดมีพื้นที่กว้างมากๆ ผมคงเลือกชมเฉพาะบริเวณจุดสำคัญเท่านั้นครับ

เริ่มกันที่ พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและพระบรมราชวงศ์จักรี ภายในมีทั้งหมด 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นห้องโถงใหญ่ ชั้นสองเป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์ทองบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ

ใกล้ๆ กันเป็นหอไตรกลางน้ำ

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ครับ


พระอุโบสถแห่งนี้ดัดแปลงจากแบบพระอุโบสถเก่าวัดบวรนิเวศวิหาร ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระประธานที่มีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช การเข้าไปด้านในพระอุโบสถ จะต้องคลานเข่าทั้งเข้าและออก อาจจะไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ข้อเข่าไม่ดีครับ


เจดีย์พุทธคยาจำลองที่จำลองมาจากเจดีย์พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา เป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าครับ

พระวิหารพระศรีอริยเมตไตรย ลักษณะอาคารทรงจตุรมุข สร้างเป็นแบบศิลปไทยแท้อันปราณีตบรรจง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทองเหลืองปางสมาธิ พระนามว่า พระพุทธศรีอริยเมตไตรย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับน้อมเกล้าถวายจากคณะผู้สร้าง และทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานในพระวิหารแห่งนี้ครับ

ฝั่งตรงข้ามของพระวิหารพระศรีอริยเมตไตรย เป็นบึงบัว ช่วงที่ผมไป บัวกำลังเบ่งบานเต็มบึง สวยงามมากๆ ครับ

ศาลานานาชาติ หรือ ศาลามังกรเล่นน้ำ เป็นศาลาที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมประจำชาติของแต่ละชาติ ศาลาเหล่านี้ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำคลองบ้านอำเภอ มีรูปมังกรเล่นน้ำเป็นสัญลักษณ์ประจำศาลาแต่ละชาติ ศาลามังกรเล่นน้ำมีทั้งหมด 6 ชาติ รวม 7 ศาลา คือ ศาลาไทยล้านนา และศาลาไทยภาคกลาง ของชาติไทย, ศาลาจีนนอก ของสิงคโปร์, ศาลาจีนใน ของพสกนิกรชาติไทย, ศาลาญี่ปุ่น ของญี่ปุ่น, ศาลาฝรั่ง ของสวิตเซอร์แลนด์ และศาลาอินเดีย ของอินเดียครับ

จากนั้นเดินทางกันต่อ ผ่านวิหารเซียน เลยขอจอดถ่ายภาพด้านหน้าสักหน่อยครับ

จากหน้าวิหารเซียน เราเลี้ยวขวา และขับรถต่อไปเรื่อยๆ จนมาพบสามแยก ป้ายบอกทางบอกว่าเลี้ยวขวาไป Swiss Sheep Farm และออกสู่ถนนสุขุมวิท ส่วนด้านซ้ายไปเขาชีจรรย์ และไร่องุ่น Silverlake แนะนำว่าให้ไปเขาชีจรรย์และไร่องุ่นเป็นอันดับแรกครับ และค่อยย้อนกลับมาที่ Swiss Sheep Farm เพื่อออกถนนสุขุมวิทได้เลย ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาครับ

มาเขาชีจรรย์รอบนี้ เลยขอหามุมใหม่ๆ บ้าง ทุกทีจะเข้าไปจอดถ่ายด้านในเลย รอบนี้ขอจอดถ่ายภาพข้างทางก็แล้วกัน จุดเด่นของเขาชีจรรย์อยู่ที่การสร้างพระพุทธรูปโดยวิธีแกะสลักบนหน้าผาเขาชีจรรย์ด้วยการยิงเลเซอร์ ในลักษณะพระพุทธฉายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพระพุทธรูปแบบประทับนั่งปางมารวิชัยเลียนแบบพระพุทธนวราชบพิตร ศิลปะสุโขทัยผสมล้านนา สร้างขึ้นเพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 9 น้อมเกล้าถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติปีที่ 50 ของในหลวงครับ ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่ 06.00-18.00 น.

ติดกับเขาชีจรรย์จะเป็นพื้นที่ของไร่องุ่น Silverlake ไร่องุ่นแห่งนี้เป็นของคุณสุพรรษา เนื่องภิรมย์ อดีตนางเอกชื่อดังของเมืองไทยครับ

ยืนอยู่ตรงนี้ มองเห็นเขาชีจรรย์เลยครับ รอบๆ บริเวณไร่องุ่นมีการจัดตกแต่งสวนได้อย่างสวยงาม มีซุ้มให้นักท่องเที่ยวได้นั่งเล่นด้วยครับ

ด้านในอาคารนี้เป็นที่จำหน่ายเครื่องดื่มเย็นๆ ครับ

ส่วนอาคารหลังนี้เป็นที่จำหน่ายของฝากมากมาย ไม่ว่าจะเป็น องุ่นสด หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่น


บริเวณนี้จะเป็นมุมชิมไวน์ และมี Pizza จำหน่ายด้วย พื้นที่ในส่วนด้านนอกนี้ไม่เสียค่าเข้าชมครับ


จากบริเวณร้านจำหน่ายผลผลิต สามารถมองเห็นไร่องุ่นอยู่เบื้องหน้า กินพื้นที่กว้างขวางมากๆ ถ้าหากนักท่องเที่ยวต้องการเข้าไปสัมผัสไร่องุ่นอย่างใกล้ชิด รวมถึงเข้าไปถ่ายรูปในบริเวณที่มีการจัดสวนหย่อมด้านใน สามารถเข้าไปชมได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมครับ


ผมแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่ในช่วงเช้าๆ หรือไม่ก็ช่วงสัก 5 โมงเย็นไปแล้ว จะได้ไม่ร้อนมากครับ

ฝั่งตรงข้ามลานจอดรถเป็นร้านอาหารของ Silverlake จริงๆ ณ เวลานี้ก็เกือบบ่าย 2 แล้ว เรายังไม่ได้ทานอาหารกันเลย แต่ทริปนี้เราตั้งใจมาเที่ยวทะเลก็เพื่อจะมาหาอาหารทะเลทาน ผมเลยไม่ได้ไปใช้บริการของร้านอาหารนี้ครับ

จากที่ตั้งใจว่าจะแวะเที่ยว Swiss Sheep Farm กันต่อ เห็นทีต้องขยับโปรแกรมไปเป็นวันพรุ่งนี้แทน บ่ายนี้ขอไปหาอาหารทะเลทานกันก่อน แล้วเข้าที่พักเพื่อ ไปพักผ่อน ว่ายน้ำ ที่โรงแรมดีกว่าครับ

มื้อบ่ายผมเลือกไปทานอาหารทะเลกันที่บางเสร่ ครั้งก่อนผมเคยมาทานแถวบางเสร่ครั้งหนึ่งแล้ว ที่ร้านปรีชาซีฟู้ด รอบนี้เลยขอเปลี่ยนรสชาติ มาลองชิมกันที่ร้านเจ๊จุก 4 ดูบ้าง ร้านเจ๊จุก 4 อยู่ติดกับร้านปรีชาซีฟู้ดเลยครับ

เริ่มกันที่หอยนางรมสด เอามาทานเล่นๆ ระหว่างรออาหารครับ

ต่อที่ยำไข่ 3 อย่าง ประกอบด้วย ไข่ปู ไข่แมงดา และไข่ปลาเรียวเซียว เสิร์ฟมากับมะม่วงสับ รสชาติโดยรวม เปรี้ยวจี๊ด...

ตามมาด้วย น้ำพริกไข่ปู เปรี้ยวจี๊ด... อีกเช่นเคย

แกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว ไข่ปลาค่อนข้างแข็ง สงสัยจะแช่เย็นมานาน รสชาติเปรี้ยวอีกเช่นกัน

เลยต้องสั่งปลาอินทรีย์ทอดน้ำปลามาตัดความเปรี้ยวครับ

โดยรวมแล้วผมว่าอาหารที่นี่เน้นความเปรี้ยว ใครคออาหารเปรี้ยว น่าจะถูกใจร้านเจ๊จุก 4 แต่สำหรับผม หากมาครั้งหน้าคงกลับไปใช้บริการของร้านปรีชาซีฟู้ดครับ

หลังมื้อบ่าย ผมตรงเข้าที่พัก คืนนี้จองที่พักไว้ที่ ADELPHI PATTAYA ครับ

โรงแรม ADELPHI PATTAYA ตั้งอยู่ที่พัทยากลาง การเดินทางมายังโรงแรมก็ไม่ยาก โรงแรมจะอยู่บนนถนนพัทยาสาย 3 สังเกตซอยเฉลิมพระเกียรติ 21 เลี้ยวเข้ามาประมาณ 100 เมตรก็ถึงโรงแรมครับ

ขับรถเลี้ยวเข้ามาทางด้านซ้ายของตัวโรงแรมเพื่อเข้ามายังลานจอดรถที่อยู่ชั้นใต้ดิน และมีที่จอดรถสำรองเป็นลานกว้างอยู่ด้านหลังของโรงแรมครับ

Lobby แบบเรียบง่าย โรงแรมยังดูใหม่อยู่เลยครับ

มาเหนื่อยๆ เจอ Welcome drink เป็นน้ำแอปเปิ้ล เย็นๆ กับรอยยิ้มหวานๆ ของพนักงาน เรียกความสดชื่นกลับมาได้เยอะเลยครับ

ทางโรงแรมจัดเตรียมพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อนอยู่ด้านหน้า Lobby และมีมุม Internet ให้ใช้งานด้วยครับ


ติดกับพื้นที่ที่ให้แขกได้นั่งเล่น จะเป็นพื้นที่ห้องอาหาร The Café Grande โดย The Café Grande ส่วนด้านหน้าที่ติด Lobby(ตามรูป) จะบริการมื้อกลางวันและมื้อค่ำแบบ A la Carte พร้อม Cocktail ห้องอาหารนี้ปิดเที่ยงคืนครับ ส่วน The Café Grande ในส่วนด้านหลังจะให้บริการอาหารเช้าแบบ Buffet เริ่มให้บริการตั้งแต่ 07.00 น. ครับ

เดินผ่านห้องอาหารเข้าไป จนเกือบจะทะลุประตูหลังของโรงแรม จะมีห้องฟิตเนสไว้บริการด้วย ห้องฟิตเนสเปิดบริการตั้งแต่ 06.00-22.00 น. การเข้าไปใช้งานเพียงนำ Keycard แตะที่ประตูก็สามารถเปิดเข้าไปใช้งานได้แล้วครับ

บริเวณชั้น 8 เป็นสระว่ายน้ำ เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00-22.00 น. ครับ

โดยรอบของสระว่ายน้ำจะมี Day bed ให้แขกได้มานั่งพักผ่อน และยังมี Dip 'n' Sip ไว้คอยบริการเครื่องดื่มเย็นๆ เช่น พันช์ Cocktail และเบียร์เย็นๆ ครับ

ช่วงค่ำสามารถใช้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกท่ามกลางเมืองพัทยาได้ด้วยนะครับ

ดูสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่เข้าพักกันแล้ว คราวนี้ไปดูห้องพักของผมในคืนนี้กันบ้างดีกว่าครับ

ภายนอกห้องพักดูใหม่ และสะอาดตาเชียวครับ

ห้องพักของผมคืนนี้เป็นแบบ Deluxe with Balcony ครับ

ห้องพักถือว่ากว้างขวางเลยทีเดียว ภายในห้องเน้นโทนสีครีม รวมถึงงานไม้ พื้นห้องปูไม้เทียม ดูหรูหรา เวลาเดินเท้าเปล่าในห้องทำให้ไม่รู้สึกเย็นเท้าและมีผิวสัมผัสของลายไม้ ทำให้ไม่ลื่นด้วยครับ

มีโซฟาเล็กๆ ให้แขกได้นั่งเล่นอยู่บริเวณปลายเตียง มีมุมเขียนหนังสือ ทีวี LCD 32 นิ้ว กาต้มน้ำ พร้อม free wifi ครับ

เตียงขนาด King size พร้อมหมอนหนุนคนละ 2 ใบครับ

ข้างเตียงจะเป็นระเบียงให้ออกไปนั่งเล่นสูดอากาศด้านนอก มีโต๊ะเก้าอี้ไว้ให้พร้อมครับ

ภายในตู้เสื้อผ้า มีชุดคลุมอาบน้ำ ตู้นิรภัย และไฟฉายให้ด้วยครับ

พื้นที่ภายในห้องน้ำขนาดกำลังดี แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยตู้กระจก พื้นที่อาบน้ำเป็นฝักบัว ที่โถสุขภัณฑ์มีสายฉีดชำระ พร้อมไดร์เป่าผมติดตั้งอยู่บริเวณอ่างล้างหน้าครับ

มื้อค่ำ ผมไปหาอาหารทะเลทานที่ร้านมุมอร่อย แต่เนื่องจากคนเยอะมาก และที่นั่งที่จองไว้ริมทะเลค่อนข้างมืด ผมเลยไม่ได้เก็บบรรยากาศมาให้ชมนะครับ ดูจากขนาดของร้านแล้ว ผมว่าร้านนี้น่าจะมีลูกค้าเยอะทุกวัน ไม่เคยเห็นร้านอาหารที่ใหญ่ขนาดนี้เลยจริงๆ เสียดายที่ผมมาถึงมืดไป ไม่งั้นคงมีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ตกที่ร้านมุมอร่อยอย่างแน่นอน

เช้าวันใหม่ ผมมาใช้บริการ The Café Grande ในส่วนด้านหลังของโรงแรม เปิดบริการตั้งแต่ 07.00 น.ครับ

ห้องอาหารขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป ทางโรงแรมจะจัดโต๊ะแบบนั่ง 4 คน หากแขกทยอยลงมาก็คงไม่แออัด แต่ถ้าแขกลงมาพร้อมๆ กัน อาจจะต้องนั่งทานข้าวรวมโต๊ะกับแขกท่านอื่นๆ กะด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะรองรับแขกได้พร้อมๆ กัน 40 คนครับ

อาหารถือว่าหลากหลายดีครับ รสชาติดีด้วย

นอกจากอาหารที่จัดเตรียมไว้แล้ว จะมี Egg Station ด้วยครับ

หลังมื้อเช้า เราออกเดินทางกันต่อสู่ Swiss Sheep Farm ตามโปรแกรมที่ค้างไว้เมื่อวาน การเดินทางมา Swiss Sheep Farm ก็ไม่ยากครับ มาตามถนนสุขุมวิท แล้วเลี้ยวซ้ายบริเวณสี่แยกไฟแดง ที่ กม.161ตรงมาตามถนนสาย 331 ประมาณ 3.5 กม. จะเห็น Swiss Sheep Farm อยู่ทางขวามือครับ

Swiss Sheep Farm เปิดบริการทุกวัน โดยวันธรรมดาเปิดตั้งแต่ 10.00 – 19.00 น. ส่วนวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์จะเปิดเร็วขึ้น 1 ชม. คือตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. ครับ

มีน้องแกะตัวใหญ่รอต้อนรับอยู่ด้านหน้าฟาร์ม ด้านหน้าเป็นลานจอดรถครับ

สำหรับค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 90 บาท เด็กคนละ 50 บาท หางบัตรสามารถนำไปแลกหญ้าเพื่อเอาไปให้แกะได้ด้วยครับ

บริเวณทางเข้าตกแต่งเป็นโรงนาขนาดใหญ่

ได้กลิ่นไอความเป็นฟาร์มแบบเก๋ไก๋มากๆ ครับ

Swiss Sheep Farm ยกบรรยากาศฟาร์มสวิส ท่ามกลางหุบเขาแห่งความรักที่โอบล้อมด้วยไออุ่นสไตล์ยุโรปคันทรีฟาร์มมาไว้ที่พัทยาครับ

ด้านหน้าของ Swiss Midway Games มีฝูงแกะยืนรอต้อนรับอยู่ครับ Swiss Midway Games เป็นซุ้มกิจกรรมต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปาเป้า ปากระป๋อง ปาโป่ง ชู้ดลูกบาสเกตบอลลงห่วง เบสบอล ควบม้าพยศ ซุ้มกิจกรรมคล้ายๆ บรรยากาศงานวัดครับ

มีชิงช้าสวรรค์จำลอง หมุน หมุน หมุน ตลอดเวลา

บริเวณนี้จำลองบรรยากาศทุ่งหญ้า มองเห็น Windmill ครับ

มีเครื่องบินจำลองด้วย

หงส์ที่นี่คุ้นเคยกับคนมากๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ไม่หนีด้วย

มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปมากมาย รับรองโดนใจขาเซลฟี่แน่นอนครับ

รูปปั้นหุ่นไม้พินอคคิโอขนาดใหญ่มากๆ ครับ

ภายใน Swiss Sheep Farm นอกจากจะมีมุมถ่ายรูปในบรรยากาศฟาร์มแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่พักด้วยนะครับ โดยมีห้องพัก 14 ห้องหลากหลายสไตล์ครับ ชั้นล่างเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและมีร้าน pizza ด้วย

มีบริการขี่ม้าด้วย แต่เสียค่าบริการเพิ่มเติมจากค่าเข้าครับ

บริเวณที่ให้อาหารแกะครับ เพียงแค่ถือหญ้าเข้าไป แกะตัวเล็กตัวใหญ่ต่างยืดคอแย่งกินหญ้ากันใหญ่เลยครับ

และกิจกรรมนี้ผมว่าน่าจะเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยครับ นั่นก็คือ Runner Sheep แกะนักวิ่ง ไม่ใช่วิ่งทางเรียบแบบธรรมดา แต่เป็นการวิ่งผ่านสิ่งกีดขวาง เรียกเสียงเชียร์เสียงหัวเราะจากนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีครับ

กิจกรรมแกะนักวิ่งจะจัดเป็นรอบๆ ผมไม่แน่ใจว่าจะมีทุกชั่วโมงหรือเปล่า แต่จะมีเจ้าหน้าที่ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง เชื้อเชิญให้นักท่องเที่ยวได้มาร่วมสนุกกัน โดยให้นักท่องเที่ยวทายหมายเลขแกะว่าแกะตัวใดจะวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่ 1 2 และ 3 ได้ถูกต้อง คล้ายๆ กับการลุ้นล๊อตเตอรี่ 3 ตัว หนึ่งคนสามารถทายได้เพียง 1 ครั้ง แกะจะมีทั้งหมด 8 ตัว หากใครทายถูกได้ตรงทั้ง 3 ลำดับ(ถูกตรง ไม่มีโต๊ด) จะได้ตุ๊กตาแกะไปนอนกอดที่บ้านแบบฟรีๆ ครับ

หลังจากที่ปล่อยตัวแกะแล้ว คงต้องจับตากันให้ดีๆ เพราะแกะทุกตัวเหมือนรู้หน้าที่ ต่างวิ่งแข่งกันอย่างเอาจริงเอาจังเข้าสู่เส้นชัย เรียกเสียงเชียร์จากนักท่องเที่ยวกันอย่างสนุกสนานครับ

บอกตรง ผมงี้ลุ้นกันตัวโก่งเลยครับ

หลังจากนักวิ่งแต่ละตัวทำหน้าที่กันเสร็จสิ้นแล้ว ต่างก็รุมกันกินอาหารเม็ดเติมพลังกันใหญ่เลยครับ

ผมมาปิดทริปกันที่ Swiss Sheep Farm ทริปนี้ถือเป็นหนึ่งทริปสั้นๆ สำหรับ 2 วัน 1 คืน ที่ไม่เหนื่อยจนเกินไป แต่แดดอาจจะร้อนสักนิด หากเพื่อนๆ ที่ไม่อยากไปเที่ยวไหนไกลๆ ลองปักหมุดที่พัทยาอย่างผมดูบ้างก็ได้นะครับ แนะนำว่า มาเที่ยวกันช่วงเช้าๆ แดดจะได้ไม่ร้อนจนเกินไป ขอให้มีความสุขกับวันหยุดพักผ่อนครับผม

เข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt

Kamol Phapoom

ลุงเสื้อเขียว

 วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.07 น.

ความคิดเห็น