ตื่นเช้ามา หากใครเคยฝันไว้ อยากมีชีวิตแบบที่ไม่ต้องเร่งรีบอะไรมาก
ลืมตามาลมทะเลเย็นๆ อากาศดีๆสักแห่ง
ผมขอแนะนำ สวี อำเภอเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ในจังหวัดชุมพร นั่งรถไฟยาวๆ อีกนิดก็ถึงสุราษฎ ผู้คนไม่วุ่นวาย ใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆ แต่ในความธรรมดา มันโครตมีเสน่ห์บางอย่างเลย เวลาเดินช้าๆ ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองนานๆ อารามณ์ก็คล้ายๆ เราได้นั่งรถกลับมาหาครอบครัวที่ต่างจังหวัดอย่างไงอย่างงั้นเลย
ทริปเดินทางครั้งนี้ เริ่มจากการจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าเป็นเดือนๆ โดยวางแผนการเดินทางในคืนวันศุกร์หลังเลิกงาน เพื่อที่จะถึงเช้าวันเสาร์ แล้วนอนพัก 1 คืน พอรุ่นเช้าอีกวันสายๆ ค่อยหารถเดินทางกลับกรุงเทพ
เรื่องที่น่าโชคดีที่สุดในทริปนี้ ผมพบกับคุณลุงใจดีทั้งสองท่าน ระหว่างที่แวะมาจิ๊บกาแฟยามเช้าหลังจากลงรถไฟ เดินหลงๆไม่รู้จะไปทางไหน ผมไปเจอร้านกาแฟร้านหนึ่ง เต็มไปด้วยชาวบ้านท้องถิ่นมาเสวนาถามไถ่สาระทุกข์ สุขดิบกันทุกเช้า เรื่องของเรื่องอาจจะคุยกันถูกคอครับ ท่านเลยอาสาพาพวกเราไปส่งที่พัก แถมยังให้เดินไปบอกรถที่จองไว้ทีแรก ว่า พอดีญาติมารับญาติจะไปส่งที่พักให้แทน
ขับรถไปได้สักพัก ระหว่างทางก็ยังพาแวะจุดเช็คอินที่ต่างๆ ที่สำคัญๆ ของเมืองสวี ไล่ชมธรรมชาติสองข้างทาง มันเต็มไปด้วยความเป็นธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์ดีจริงๆ ยังพาไปชมโฮมสเตย์หลายๆที่ ขนาดไม่ได้ไปพักเจ้าของก็ยังออกมาต้อนรับกันดิบดี มันเป็นช่วงเวลาที่ประทับใจมากจริงๆครับ
พอมาถึงที่พัก ยังคุยกับเจ้าของที่พัก และรู้สึกประทับใจในธรรมชาติของชาวบ้านของที่นี่ แต่แล้วหลังจากที่จะทำการเช็คอิน เพิ่งจะมารู้ทีหลังว่า เราจองที่พักผิดที่ จริงๆ ชื่อที่พักคล้ายๆกันมากและสลับหน้าหลังกัน ไหนๆ เรามาพักที่นี่แล้วรู้สึกชอบ จึงตัดสินใจทิ้งเงินจองที่พักเดิมที่จองไว้ครับ ใครจะตามมาเช็คชื่อที่พักดูดีๆนะครับ เพราะคนที่มาพักที่นี่สลับกับหลายๆครั้งแล้ว
เหตุผลของการเดินทางครั้งนี้ ใจจริง อยากมาบามหมึก เพราะไม่เคยเห็น อยากออกเรือไปดูชาวบ้านทำประมง ไปดูวิถีชีวิตเขากลางทะเล แต่ก็น่าเสียใจที่สภาพอากาศไม่เต็มใจในวันที่เราเดินทางมาพอดี แผนที่วางมาเป็นเดือนๆ ต้องชะงัก แต่ครับในความโชคร้ายยังโชคดี เจ้าของที่พักเองพยายามหากิจกรรมให้นักเดินทางที่มาพักได้ทำกัน อย่างดี บอกได้เลยว่าเจ้าของที่พักสุดยอดจริงๆ เอาจริงๆ แค่อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร ซึมซับกับบรรยากาศในหมูบ้านรอบๆด้าน หลับนิ่งๆพักผ่อนสักหน่อย ตื่นมาเห็นทะเล กินอาหารอร่อยๆ มันก็คุ้มค่ามากแล้ว ถ้าเทียบกับราคาที่พักไม่เท่าไร มันคุ้มค่ามากจริง
ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
- รถไฟ. ไปกลับ 1124 บาท
- ที่พัก 1200 บาท
- รถสองแถว เข้าสวี (ลุงคิดคนละ 60 บาท แต่เจอชาวบ้านได้ไปฟรี)
- อาหารมื้ออื่นๆ แล้วแต่
เหมาๆทั้งทริปไม่เกิน 4000 บาท ผมประมาณให้ดูเฉยๆนะ
รถไฟ
ขาไป ขบวน " 39 " ออก สถานีกรุงเทพ 22:50 ถึง สถานีสวี 6:23
ขากลับ ขบวน " 40 " ออก สถานีสวี 12:18 ถึง สถานีกรุงเทพ 19:45
มาลงทีสถานทีก็หาเหมารถสองแถวในตลาด มาที่โฮมสเตย์ได้เลย
Day 1 วันแรกของการเดินทาง
หลังจากเลิกงานแล้ว เวลาประมาณ 22.50. เริ่มออกเดินทางจากสถานีรถไฟกรุงเทพ ตามตั๋วรถไฟ บอกไว้ว่าใช้เวลาถึงสวีประมาณ 7.00 นะคัรบ
รถไฟขบวนนี้วิ่งไปสุดสายที่ สุราษฎร์ธานี แต่ผมลงสวีก่อนครับ
Day 2
ถึงสวี ประมาณ 7 โมงเช้า หลังจากลงจากรถไฟ บรรยากาศตลาดเช้าๆ ฝนตกปรอยๆ ผมตะแวนหารถสองแถวเพื่อที่จะเหมาไปที่โฮมสเตย์ เดินมาเรื่อยๆตรงธนาคารออมสิน จะเจอลุงจอดรถไว้อยู่ ลองสอบถามและตกลงราคากับลุงดูครับ
ส่วผมขอแวะมาหาร้านกาแฟก่อน เดินผ่านมาอีกนิด เรื่องบังเอิญได้คุยกับชาวบ้าน ทักทายผมประสาคนต่างถิ่น ไม่รู้จะไปไหนต่อ
"มาจากไหนกัน ทำงานอะไรกัน ที่กรุงเทพเป็นยังไงบ้าง "
คุณลุงถาม ไล่ถามสารทุกข์สุขดิบกับยกใหญ่ คุยกับเรื่อยๆ นานๆไปจนถูกคอ
"ไอ้หนุ่ม เดี่ยวลุงไปส่งที่พัก พาขับรถเล่น "
เองเดินไปบอกรถสองแถวที่จองไว้ บอกไปเลยว่าเดี๋ยวให้ญาติพาไปส่ง
เท่านั้นแหละด้วยความเกรงใจ ได้ครับ เดี่ยวผมเดินไปบอก
ลุงชื่อคุณลุงดำ และ ผอ สง่า ทั้งสองท่านทำงานเผ็น ผอ เขตธนาคารออมสิน และ ผอ โรงเรียน ขับรถตะแวนไปรอบๆ เมือง ลุงทั้งสองท่าน น่าจะเป็นเพื่อนกันมานานเล่าเรื่องราวระหว่างสองข้างทางที่ขับรถผ่านให้พวกเราฟัง พร้อมกับบรรยากาศฝนตกปรอยๆ เย็นๆ ที่เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น มองไปด้านซ้ายมือจะเป็นท้องทะเลที่เงียบสงบ มันเหมาะแก่การเดินทางมาพักผ่อนจริงๆ คนสวีน่ารักดี อธัยาศัยดีจริงๆ
จุดแรกที่ขับรถมา จะเป็น ศาลกรมหลวงชุมพร (หัวเขาถ่าน) จุดชุมวิว พื้นที่ของพระตำหนักของพลเรือเอกพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรณ์เกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ สร้างขึ้นบนหัวเขาถ่าน. มีทัศนียภาพที่สวยงาม ผืนน้ำทะเล สลับกับทิวเขาเรียงรายไกลจนสุดลูกหูลูกตา
ขับรถลงมาหน่อยด้านล่างไม่ไกลนัก จะมีลานกว้างๆ เนินดินคล้ายๆจุดพักรถสำหรับถ่ายรูปให้เช็คอิน
ถนนเส้นนี้ลุงแนะนำว่าขับเลียบริมหาดไปได้เรื่อยๆ เพลินๆ เลย จะเห็นทั้งบ้านของชาวประมงที่ปลูกออกไปชายทะเลบ้างก็มี
สักพักระหว่างขับรถ คุณลุงทั้งสองท่าน พาแวะไปทักทายเพื่อน ที่รู้จักกัน พาไปดู การทำยางพาราบ้าง การต่อไม้เฟอร์นิเจอร์ที่ใ้ช้เองบ้าง รวมถึงสวนมะพร้าวสลับไปมาให้เห็น
ชีวิตที่นี่ไม่มีอะไรยากเลย เรื่องง่ายๆ ทำประมง ใช้กินกันในครอบครัว ถ้าเหลือก็ขายในหมู่บ้านหรือเอาไปส่งตามตลาดนัด ทั้งสดและราคาไม่แพงมาก
ลุงบอกจะพาเราไป แดนโดมโฮมสเตย์ ระหว่างทางจะผ่าน หาดลกแพะ ให้เราไปพักสูดลมชายทะเลดู
หาดลกแพะ เป็นหาดสวย เงียบ สงบ มีเรือประมงชาวบ้านมาจอดบ้าง ข้างๆเป็นป่ามีคลองเล็กๆ
พอฝนหยุดตก อยากออกมารับลมท้ายรถกระบะบ้าง ทางเนินสูงๆ ขึ้นลงๆ สลับกันไปตามไหล่เขา
มาถึงหมูบ้านชาวประมง บริเวณอ่าวคราม ยังเป็นชุมชนเล็ก ๆ ใช้ชีวิตกันแบบชาวบ้าน ส่วนใหญ่ทำการประมงพื้นบ้าน เป็นเสน่ห์วิถีชาวบ้าน ขอแนะนำ อยากให้ลองมาสัมผัสกันดู
ในบริวเวณใกล้ๆกัน เดินไปหน่อย จะเป็นแดนโดมโฮมสเตย์ ที่นี่เคยออกรายการต่างๆมากมาย ลองหาดูได้จากยูทูปนะครับ วิวที่นี่สวยมากจริงๆ มีร้านกาแฟด้วยนะ ตัวบ้านพักโอบล้อมด้วยขุนเขา ท้องฟ้า และผืนน้ำกว้างไกลสุดสายตา แนะนำท่านผู้สนใจอยากจะมาพักที่นี่ให้จองล่วงหน้านะครับ เพราะที่พักค่อนข้างเต็มไว นี่ขนาดเราไม่ได้พักที่นี่ คุณลุงเจ้าของที่พักยังดูแลเราดีขนาดนี้
ยังมีพื้นที่ตรงกลางที่มองเห็นทะเลได้จากในตัวบ้าน บรรยากาศจะดีอะไรขนาดนี้ ถึงแดดที่นี่จะค่อนข้างแรง และลมทะเลยังพัดพาความเย็นมาให้เราสบายๆ
ยังมีธนาคารปูม้า นอกจากที่พักแล้ว ยังเป็นต้นแบบของการเรียนรู้คู่ชุมชนอีกด้วย
สักพักใหญ่ เริ่มเต็มอิ่มจากบรรยากาศของ แดนโดมโฮมสเตย์ แล้ว ต้องขอบคุณที่พักที่ให้การต้อนรับมา ณ โอกาสนี้อีกครั้ง ถึงเวลาที่ต้องเข้าไปเช็คอินที่พักที่ได้จองไว้ หากจากที่นี่ไม่กี่นาที แต่ก็ยังอยู่คนละฝั่งกัน
โฮมสเตย์ท้องตมใหญ่ จังหวัดชุมพร คนดูแลที่พักให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงขนาดเรายอมทิ้งใบจองที่เดิมมาพักที่นี่ เพราะคุยกันและชอบที่นี่มากกว่า อยากลองทานกับข้าวพื้นบ้านของที่นี่ด้วย บรรยากาศก็ดี ลมเย็นสบายๆ ลงตัวเลย มีครบ บางช่วงที่พักจะมีกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น ดำน้ำ เก็บขยะ แต่ต้องไม่ใช้ช่วงมรสุมนะครับ ใครจะมาพักลองโทรเช็คกับที่พักได้เลย เราได้อยู่กับชาวบ้าน ใช้ชีวิตเสมือนเป็นคนที่นี่จริงๆ
ตื่นมาก็เห็นทะลรอบด้าน ผมชอบมากที่พักเป็นบ้านไม้ที่ยื่นออกมาสู่ทะเล เราสามารถมองเห็นน้ำทะเลที่อยู่ใต้ถุนบ้านได้เลย น่าจะเป็นอาคารไม้ที่เก่าแก่ที่สุด ที่หลงเหลือให้เราชมอยู่ครับ และที่นี่ยังเป็นโอมสเตย์ที่เปิดมานานที่สุดในหมู่บ้านนี้เลย
เวลามาพักที่นี่ คนดูแลที่พักบอกว่า อยากให้เราเป็นเหมือนญาติ พี่น้อง คำว่าโฮมสเตย์โดยแท้จริง เหมือนได้กลับมาพักที่บ้าน ได้มากินข้าวกัน ฉะนั้นที่นี่การทำกิจกรรมต่างๆ จะต้องดูแลตัวเอง ทั้งกินข้าวเสร็จ ต้องล้างจานเอง จัดหาที่พักเอง เก็บที่พักเอง ใครอยากพักตรงไหน เต็มที่ตามสบายได้เลย
คำว่าท้องตมใหญ่ เพี้ยนเสียงมาจากทองตุ่มใหญ่ ซึ่งตุ่มในภาษาใต้ก็คือโอ่งนั่นเอง สัญญาลักษณ์สำคัญของที่นี่ก็คือม้าน้ำเรียกได้ว่าเป็นแหล่งเดียวในสยาม ที่มีม้าน้ำอยู่ใต้ถุนบ้าน
ราคา 2 วัน 1 คืน อาหาร 4 มื้อ คนละ 1,200 บาท อาหารทั้งถูกปาก จัดหนักจัดเต็ม แล้วแต่ช่วงวัตถุดิบที่จะหาได้ในเช้าวันนั้น วันไหนมีปลากินปลา วันไหนไม่มีปลาก็ยังมีผักท้องถิ่นมาทำอาหารให้ชิมกันใหม่ๆทุกมื้อ อย่าลืมลองชิมน้ำพริกกะปินะครับ ที่นี่เด็ดจริงๆ
อาหารมื้อแรกที่ได้กิน กับข้าวเติมได้ตลอด กินข้าวเหมือนกินอยู่บ้านจริง ล้อมวงคุยกันกับเพื่อนแก้งค์อื่นๆ
บ่ายๆ ใครอยากจะพักหรือ จะลองขอยืมรถมอไซต์จากที่พักเขาก็ไม่ว่ากัน เขาบอกไม่คิดเงินนะ แต่เติมน้ำมันคืนให้ด้วย
หาดท้องตม จะเดินเลาะจากที่พักหรือขี่มอไซต์อ้อมโลกมาอีกด้าน แต่ได้บรรยากาศก็แล้วแต่ความชอบเลย
ชวงมรสุมน้ำจะขุ่นหน่อย แต่ถ้าคลื่นลมสงบน้ำใสแน่นอนครับ ชาวบ้านบอกมา
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่ตามมาเล่นน้ำทะเล ด้วยมันกลายเป็นความผูกพัน ความน่ารักใสๆ ดูแล้วชวนให้เราคิดถึงวัยเด็กขึ้นมาเลย
เริ่มใกล้พระอาทิตย์ตก กลับมาที่พัก นั่งชมวิวทะเลที่ไกลออกไป บรรยากาศมันสวยงามดีจริงๆ
วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่คือ ตกปลา หาปลา แต่วันนี้คลื่นลมมรสุมเข้า ทำได้แค่ตกปลา เล็กๆน้อยๆ มาทำอาหารรับประทานตอนเย็น ใช้ชีวิตอยู่แบบชาวบ้านจริงๆ หาอาหารทะเลเท่าที่กิน แค่พอหามาได้ รวมถึงต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
แนะนำเลยนะคัรบ น้ำพริกกะปิ กับผักสด กะปิที่นี่คือจากเคย เป็นเคล็ดลับความอร่อย ให้ความเปรี้ยวจากส้มจีดแทนมะนาว ซึ่งเขาบอกว่าจะได้ความกลมกล่อมมากกว่า
Day 3
หลังจากตื่นนอน มาเก็บกวาดบ้านเก็บกวาดที่พัก ได้เวลาดื่มกาแฟนั่งคิดอะไรเพลินๆ อาหารเช้านี้ เป็นข้าวต้มปลาอินทรี พริกน้ำส้มที่นี่จะใช้ส้มจีดแทนมะนาว จะได้รสที่กลมกล่อมพอดี
กินข้าวเสร็จไม่นาน มีไอเดียพาขับมอไซต์เล่นๆ จะมีหาดลกกำหาดทรายขาว ยาว 500 เมตร หาดทราย ละเอียด สวยงาม สงบ ปูลมชุกชุมมากและเป็นหาดทรายขาวสะอาด น้ำใสที่สุดในชายหาดของอ่าวท้องตม
เดินเล่นทะเลสักพักได้เวลาเตรียมตัวกลับ สัก 11 โมง อาหารมื้อสุดท้ายของที่พักทำให้เราทาง 4 อย่าง เมื่อคืนออกประมงไม่ได้ อาหารจะเป็นปลาที่แช่แข็งไว้อย่างดี แต่ยังคงความสุดได้ดีจริงๆ ผักชุบแป้งทอด น้ำยำรสเด็ดลงตัวดีจริง ไข่เค็มที่สังตรงจากไชยา ไม่เค็มเกินไป ทอดไข่ดาวกำลังดี
สุดท้ายนี้กินข้าวเพลิน เหมือนเวลาไม่มาก ชาวบ้านที่น่ารักก็ยังขับรถมอไซต์มาส่ง เพราะกลัวจะตกรถไฟกัน ไปไม่ทัน มาถึงสถานีสวี อีก 3 นาทีรถไฟจะมาถึงแบบเฉียดจริงๆ
สุดท้าย ผมแนะนำ ถ้ารู้จักคำว่า โฮมสเตย์ ที่แท้จริง เป็นอย่างไร ลองแวะมาสวีดูนะครับ ที่นี่ไม่วุ่นวาย เหมาะแก่การพักผ่อนเงียบๆเบาๆ อยู่แล้วมีความสุขมากจริงๆ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
หากมีข้อมูลผิดพลาดประกาศใดขออภัยนะครับ แนะนำเพิ่มเติมได้เลย
tourmainut
วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เวลา 22.43 น.