"ม่อนจอง"
สถานที่ที่คุ้นหูของใครหลายๆคน
สถานที่ที่เป็นการทดสอบการเดินป่าระยะใกล้ๆ
ที่เหล่าบรรดาคนที่อยากลองเดินป่าได้ทดสอบ
พร้อมกับแลกในสิ่งที่คุ้มค่ากับการได้สัมผัสกับธรรมชาติที่นั่น
การเดินป่าม่อนจอง ถือได้ว่าเป็นเทศกาลเลยก็ว่าได้
เพราะม่อนจองปีนึงจะเปิดแค่ช่วงเดือนพฤศจิกายน - ประมาณ 15 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
ซึ่งถ้าไปช่วงแรกๆเราก็จะพบกับความขียวชอุ่ม
บรรยากาศที่เริ่มจะหนาวเย็นในช่วงของใกล้สิ้นปี
ส่วนถ้ารอเวลาหน่อยสักช่วงปลายๆมกราคม ทุ่งหญ้าที่เริ่มเขียว
ก็เปลี่ยนมาเป็นมาเป็นสีทอง
ใครฮึดๆหน่อยก็ไปทั้งสองช่วงเลย เพราะมันสวยต่างกันจริงๆ
คือสวยทั้งสองช่วงเลยแหละ
สำหรับเราแล้วเราตั้งใจจะมาที่นี่หลายทีแล้วก็โดนเทมาประมาณ 2 ปีได้
เห็นรูปคนที่ไปมาแล้วมันถูกใจมากจริงๆกับสถานที่แบบนั้น
ในที่สุดครั้งนี้ก็มาถึง มาเห็นกับตาตัวเองมามันดีจริงๆ
มีเวลาไม่เยอะ ใช้เวลาแค่เสาร์อาทิตย์ ก็สามารถเดินทางไปได้
แม้ว่าการเดินทางจะต้องเดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ก็ตาม
การเดินทางครั้งนี้จึงได้เริ่มขึ้น...
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่โดยเครื่องบิน
ครั้งนี้เราจะไปตั้งหลักกันที่เชียงใหม่ก่อน
เพราะเราได้จองรถตู้ที่หน้าศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่เพื่อ
ที่จะเดินทางไปหมู่บ้านมูเซอใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดอยม่อนจอง
ค่ารถไปกลับอยู่ที่ 500 บาทต่อคน ระหว่างทางรถตู้ก็จะพาเราแวะตลาดสดเช้าเพื่อหาเสบียง
ที่จะเตรียมขึ้นไปบนม่อนจอง พร้อมทั้งอาหารเช้าที่ต้องเติมพลังกันก่อน
รถตู้ถ้าจองและโทรเช็คก่อนจะดีมากเพราะที่วินรถจะจัดการจัดจำนวนคนให้เราพอดี
เผลอๆเราอาจจะได้คนหารค่ารถโฟวิลอีกด้วย
พอประมาณสิบโมงนิดๆ เราก็เดินทางมาถึงที่ศุนย์บริการนักท่องเที่ยวม่อนจองกันแล้ว
มาถึงก็จัดการหาลูกหาบโดยที่ศูนย์ก็จะจัดแจงให้
ส่วนใครที่ไม่ได้นำเต๊นมาด้วยก็ไม่ต้องห่วง ทางศูนย์ฯก็มีบริการให้เช่า
(ค่าเช่าเต๊นหลังละ 100 บาท ค่าบริการลูกหาบ กิโลกรัม 30 บาท ลูกหาบ 1 คนได้ประมาณ 10 - 15 โล แล้วแต่คน ถ้า 10 โลก็ตกวันละ 300 บาท อยู่กับเรา 2 วันก็ 600 บาท ค่า)
เพราะเราเดินทางไปจากกรุงเทพฯก็ไม่ได้เอาอะไรเยอะมาก
ที่สำคัญตอนไปให้เช็คสภาพอากาศดีๆ ตอนที่เราไปก็เข้าช่วงอากาศเย็นๆ
แต่จะบอกว่าตอนนั้นลมดีและแรงมากพร้อมทั้งอากาศเย็นมากค่อยไปทางหนาวเลย
อากาศอยู่ที่อุณหภูมิเลขตัวเดียว บวกกับลมอีก เรียกว่าหนาวสุดๆขดเป็นลูกหมาอยู่ในเต๊นเลย
อุปกรณ์การนอนและเสื้อผ้าก็สำคัญ ส่วนน้ำไม่ได้อาบอยู่แล้วเพราะไม่มีห้องน้ำเน้อ
แต่อาจจะมีน้ำน้ำหลุมที่เจ้าหน้าที่ได้ทำไว้ให้บริการก็ถือว่าช่วยได้ส่วนนึง
แต่ก็เกิดจากคนใช้บริการเยอะ ถ้าทุกคนช่วยกันรักษาความสะอาด มันก็โอเค
พอถ่ายหนักเบาได้ โดยที่ไม่ต้องระแวงหน้าหลัง
อ่ะ.. หลังจากจัดแจงลูกหาบเรียบร้อยก็เตรียมตัวขึ้นรถเพื่อไปยังจุดเดินเท้า
จากศูนย์ไปก็ประมาน 40 นาที - 1 ชั่วโมง ระหว่างนั้นก็จะผ่านด่านอุทยาน
ชำระผ่านค่าเข้าอุทยานคนละ 30 บาท ค่ากางเต็นท์หลังละ 50 บาท
เมื่อถึงจุดเริ่มเดินเท้าแล้วก็เริ่มกันเลย
เดินไปสักพักสลับกันไปมากับลูกหาบสุดท้ายลูกหาบเราเดินชิวมาก
มาถึงหนึ่งจุดไฮไลท์ที่นี่ หลายๆคนอาจจะพักเหนื่อยแวะทานข้าวเที่ยงที่จุดนี้กัน
ถ้าถึงจุดนี้แล้วก็เกือบจะถึงครึ่งทางแล้ว คือ จุดภูหินช่อ
แต่เราไม่ใช่จุดแรกที่พัก เพราะพักมาตลอดทางจ้า 5555
เมื่อเราต่อต่อมาอีกสักพักเราก็มาถึงเนินตรงหน้าที่ใครๆก็พูดถึง ที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้
เพราะพ้นเนินนี้ไปแล้วเราก็จัดใกล้ถึงจุดกางเต๊นท์เราแล้ว คือ เนินฮิบฮอบ หรือ เนินหมาหอบ นั่นเอง
ถ้าดูแบบนี้มันจะดูไม่ชันมาก แต่ทุกคนมันตั้งฉากประมาณ 45 องศาได้ และลมแรงด้วย
หอบแฮกๆของจริง แตาลมดีเดินเย็นสบาย
ขาขึ้นไม่เท่าขาลง ใครที่กลัวความสูงคงมาขาสั่นกันบ้าง
หลังจากที่ขึ้นเนินมาอีกนิดเดียวก็ถึงจุดกางเต๊นท์แล้ว
เมื่อเราเดินขึ้นมาเราก็จะเจอกับ สนามกอลฟ์ช้าง ทุ่งสีทองที่แบบเห็นแล้วต้องร้องว้าว
และเมื่อเรามองเห็นไกลๆนั้น เราก็จะเจอผาสิงห์ ที่มีหน้าตาคล้ายสิงโต
แต่เรายังไม่ไปตอนนี้เราจะมาช่วงเย็นๆ เพื่อมารอดูพระอาทิตย์ตกด้วย
ตอนนี้ต้องไปหาที่กางเต๊นท์ และเตรียมเสบียงกันก่อน
จัดแจงกางเต๊นท์ เตรียมเสบียงสำหรับเย็นนี้เสร็จก็ยังพอมีเวลาให้ได้งีบสักนิดก่อนที่จะเดินไปผาสิงห์
พอสัก 3-4 โมงเราก็จะเดินไป แต่ด้วยความเดินไปเก็บบรรยากาศไปเลยยังไม่ไปถึงไหนสักที
เลยขอนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่สนามกอล์ฟช้างตรงนี้ละกัน
ถ้าใครจะเดินไปที่ผาหัวสิงห์แนะนำให้ดูเวลาดีๆเพราะค่อนข้างมืด บางคนไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
บางคนไปดูพระอาทิตย์ตก ให้เผื่อเวลาช่วงพระอาทิตย์ตกด้วยเพราะจะได้เดินกลับมาสะดวกๆ
เรานั่งไปแปปเดียวมันเป็นช่วงที่ทั้งสวยทั้งเย็น เพราะลมค่อนข้างแรง
แต่ก็รู้สึกดีมากเพราะความตั้งใจที่เราจะได้มาม่อนจองสักครั้ง
เรามาอยู่ในจุดนี้แล้ว มันสวยจริงๆ สวยอย่างที่ใครหลายๆคนได้เล่ากล่าว
สวยเหมือนดั่งใครหลายๆคนได้รีวิวเอาไว้
เรานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินจนลับตาไป พร้อมกับทิ้งทวนแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไป
ให้ได้เห็นท้องฟ้าสีพาสเทลที่สวยงาม
ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดสนิทลง เพื่อให้เราได้พอกับแสงดาวที่รอสว่างขึ้น
เราได้กลับไปที่เต๊นท์ ทำอาหารที่เตรียมมากินกัน พร้อมทั้งทำอาหารเผื่อลูกหาบด้วย
ทุกคนกินกันง่ายๆสบายๆ ทำให้นึกถึงตอนเข้าค่ายลูกเสือเลย
ก่อกองไฟคลายความหนาว นั่งเล่าเรื่องต่างๆ ได้เจอเพื่อเต๊นท์ข้างๆ
พูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปตามประสาคนรักการท่องเที่ยวเหมือนกัน
และสักพักก็พากันแยกย้ายไป เราคุยกับเพื่อนว่าอยากออกไปดูดาว
พร้อมกับอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า
ก็วางแผนไว้ดิบดี แต่ด้วยอากาศที่หนาวและลมแรง ความขี้เกียจครอบงำ
จึงทำให้ต้องมุดเข้าเต๊นท์ไป และบอกกับตัวเองว่าไว้เดี๋ยวรอบหน้านะ อิอิ
ตอนเช้าลูกหาบเราเป็นผู้ช่วยที่ดีมาก ปลุกแต่เช้าพร้อมทั้งบอกว่าพี่ครับ
เช้าแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้วครับ
ด้วยความที่ความอุ่นในถุงนอนมันทำให้เราไม่อยากย่างกายออกไป เลยขอทำใจสักครู่
ก็ทำให้ชวดกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกแล้วจ้าาา
หลังจากนั้นเราก็จัดแจงตื่นมาแปรงฟันเก็บเต๊นท์ และกินอาหารเช้าก่อนที่จะเตรียมตัวเดินทางกลับ
ข้าวเช้าทุกคนกินกันได้สนุกและอร่อยมาก มีอะไรก็ใส่ให้หมด จะได้ไม่ต้องขนกลับ :)
แต่..... ที่สำคัญสิ่งที่เราต้องขนกลับด้วยก็คือพวกขยะที่เกิดจากเรา
นำกลับลงมาทิ้งข้างล่างกันด้วยนะจ๊ะ
ขากลับการเดินของใครหลายๆคนอาจบอกว่ามันเร็วกว่าเดินไป
เราก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน
มาถึงก็จะเจอรถมารอรับกลับไปยังศูนย์กันแล้ว
หลังจากถึงศูนย์เราก็มาเจอรถตู้ที่รอรับกลับเหมือนเดิม
เราได้จองไว้ทั้งไปกลับจากเชียงใหม่ ก็ทำให้ไม่ยากในการที่จะมีรถกลับเข้าเมือง
การเดินทางกลับเชียงใหม่จากศูนย์มาก็ประมาณ 4 ชั่วโมงเหมือนกันขาไป
และเราก็มาถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ
การรีวิวนี้เหมือนไม่ได้รีวิวเต็มร้อย เรียกว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังมากกว่า
แต่ถ้าใครอยากรู้ข้อมูลตรงไหนเพิ่มเติมก็สอบถามมาที่เพจกันได้เลยจ้า
ปล.หลายๆภาพที่เราถ่ายมากพร้อมกับที่เห็นด้วยตาตัวเอง
มันมีหลายจุดมากที่มีเหมือนจุดควันขึ้นมา อาจดูเหมือนไฟป่าที่เกิดจากความแห้งของต้นไม้ใบไม้
ไม่ใช่แค่จากวิวที่เห็น ถ้ายิ่งเวลาอยู่ขึ้นเครื่องมองลงมาก็มีหลายจุดมาก
บางจุดนี่คิดว่าแสงนี่จัดงานวัดได้เลย
บางจุดเราว่ามันไม่ได้เกิดจากภัยธรรมชาติ
แต่มันเกิดจากฝีมือคนเรานี่แหละ ที่ทำลายธรรมชาติ
มีคนรักษา ก็ยังมีคนทำลาย ที่มันสวยมาก สวยจริงๆ ไม่ใช่แค่ที่นี่
ทุกที่ที่ธรรมชาติสร้างมา มันมีความงามในตัวเองของมันหมด
อยากให้ทุกคนช่วยรักษาตรงนี้ไว้ เพื่อให้ธรรมชาติ ความสวยงามอยู่กับเราตลอดไป
t.aroundtogether
วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 14.12 น.