783lku86r1gs

เบตง เมืองที่อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาน้อยใหญ่ในเขตจังหวัดยะลา เมืองที่ถ้าไม่ตั้งใจมาก็คงจะมาไม่ถึง ด้วยเพราะเบตงไม่ใช่เมืองผ่าน และยังต้องนั่งรถลัดเลาะโค้งแล้วโค้งเล่าตามแนวเขา ทำให้เบตงเป็นอำเภอเดียวที่มีชื่ออำเภออยู่บนแผ่นป้ายทะเบียนรถแทนที่จะเป็นชื่อจังหวัดยะลา เหตุเพราะในสมัยก่อน การเดินทางเพื่อไปต่อทะเบียนที่ยะลาลำบากกว่าการเดินทางในสมัยนี้มาก แถมต้องเดินทางไกลถึง 140 กิโลเมตร กระทรวงมหาดไทยจึงให้อภิสิทธิ “เบตง” สามารถจดทะเบียนรถยนต์และมอเตอร์ไซด์ได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่เบตงโดดเด่นไม่เหมือนใครนั่นคือ เบตงมีหมอกให้ชมตลอด 365 วันกันเลยทีเดียว ด้วยความมีเสน่ห์ของเบตง ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาสัมผัสเบตงกันอย่างไม่ขาดสาย ผมเองก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเหมือนกัน สำหรับการมาเยือนเบตงของผมในครั้งนี้ ผมได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวของเบตงที่ไม่ควรพลาดมาฝากเพื่อนๆ กันด้วย เบตงมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตามเข้าไปชมกันได้เลยครับ


ทะเลหมอกอัยเวอร์เวง

    ทะเลหมอกไหนๆ ที่ว่าสวยๆ คงต้องหลบชิดซ้ายให้ "ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง" ครับ จะบอกว่าที่อัยเยอร์เวง สามารถชมหมอกได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี Skywalk ให้นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความตื่นเต้น ความหวาดเสียว ได้สัมผัสกับปุยหมอกอย่างใกล้ชิดด้วย บอกเลยว่าตั้งแต่ที่ผมได้ไปจุดชมทะเลหมอกดังๆ มา ที่อัยเยอร์เวงนี่ มาแรงแซงโค้งเลยครับ

    rh7tbgguscd9
    kbwtzk4qfsqm
    hq8b2wjwu1ez
    cn4zxymmnmlz
    wceo27fsm919
    omigv1dsbsnj

    การเดินทาง สามารถเข้ามายังจุดชมทะเลหมอกได้ 2 ทาง แต่ทั้งสองเส้นทางจะมาบรรจบพบกัน จากนั้นต้องจอดรถไว้ที่ลานจอดรถ และต่อรถสองแถวขึ้นไปยัง Skywalk โดยเสียค่าบริการขาขึ้น 20 บาท จากนั้นเดินเท้ากันอีกนิดหน่อย พอกระตุ้นการเต้นของหัวใจบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าใครอยากสบาย ก็สามารถนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างได้ ค่าบริการ 20 บาท สำหรับขาลงรถสองแถว 10 บาทครับ แนะนำว่าให้มาถึงแต่เช้า เพราะจะได้ชมแสงแรก รวมถึงช่วงที่พระอาทิตย์กำลังส่องแสงสีทองมาสัมผัสกับปุยเมฆ มันสวยเกินบรรยายจริงๆ ครับ

    dnm6v169otr5

    ช่วงที่รอต่อคิวด้านบนเพื่อจะไปเดินบน Skywalk พื้นกระจก หากคิวยาว ผมแนะนำว่าให้ขึ้นไปบนหอคอยก่อนเลยครับ จะได้มุมมองเห็น Skywalk ลอยอยู่บนปุยหมอก เสียดายที่ผมไหวตัวช้า เมื่อขึ้นไปด้านบน หมอกก็เริ่มหายไปแล้ว นี่ถ้าไหวตัวเร็ว คงจะได้เห็นหมอกเต็มๆ มาคลอเคลียอยู่แถวๆ Skywalk มากกว่านี้ การชมทะเลหมอกบน Skywalk ไม่เสียค่าเข้าชมนะครับ การบริหารจัดการที่นี่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

    quq9wo353vt5

    แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ สาดส่องมายังปุยหมอก เป็นหมอกสีทอง สวยงามจับใจ

    y9c27olp3b3x
    3ugboz5g3tdp
    742ww1p63ikc
    uu7pvku4u4cn
    0u3xtuoneb1d
    tql5korsr89m

    จุดชมวิวเก่า จุดนี้ก็สามารถชมทะเลหมอกได้สวยงามไม่แพ้บริเวณ Skywalk ครับ เพราะสามารถมองเห็น Skywalk ได้แบบเต็มๆ

    6qgkngdegut4
    lpoc5w6ze42d

    อีกมุมหนึ่งที่ไม่อยากให้พลาด เมื่อมาที่ Skywalk แล้ว ให้เดินขึ้นเนินผ่านเสาส่งสัญญาณ เดินไปสัก 200 เมตร จะพบกับจุดชมวิวอีกหนึ่งจุด ที่สามารถมองเห็น Skywalk ได้แบบเต็มๆ ตาครับ


    ทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต

    เป็นจุดชมทะเลหมอกที่มีความสูง 607 เมตร จากระดับน้ำทะเล การขึ้นไปชมทะเลหมอกด้านบนทำได้ด้วยการเดินเท้าเท่านั้น ระยะทางประมาณ 800 เมตร (เริ่มต้นจากบ้านภูนภา)

    mmo9nyigpgn4
    t1pk1y9c84c8
    dqh5fo81u25r
    43qwjsfz1bws
    eo09a8sdl2v7

    การขึ้นมาชมทะเลหมอกด้านบน คงต้องพกดวงกันมาด้วย ถ้าคืนไหนมีฝนตกพรำๆ อาจจะเจอหมอกฟุ้งไปหมด ซึ่งผมเองก็เจอแบบนั้นเช่นกัน แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นไปด้านบนครับ และคงต้องรอสักพัก จนกว่าจะมีลมพัดหมอกที่ลอยฟุ้งออกไป จะได้เห็นทะเลหมอกแบบปุยๆ ครับ

    g05vb96zr1t7

    บนยอดฆูนุงซีรีปัต สามารถชมหมอกได้แบบ 360 องศา และสามารถสัมผัสกับหมอกได้แบบใกล้ชิดครับ

    w48g0g24o2v0

    เส้นทางค่อนข้างลาดชัน และในช่วงประมาณ 100-200 เมตรสุดท้าย ต้องอาศัยความใจกล้ากันสักเล็กน้อย เพราะเส้นทางเดินยากกว่าช่วงแรกๆ แต่ไม่ต้องกังวลเพราะมีเชือกให้ไต่ครับ แต่ละคนจะใช้เวลาเดินไม่เท่ากัน สำหรับผมใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 25 นาทีครับ

    tbkwojrut1zx

    ที่เห็นด้านล่างคือบ้านภูนภาครับ

    บ้านภูนภา

    ใครที่อยากจะมาชมทะเลหมอกบนยอดฆูนุงซีรีปัต ผมแนะนำให้มาพักกางเต้นท์ที่บ้านภูนภาครับ เพราะเราสามารถเดินเท้าจากบ้านภูนภาขึ้นไปบนยอดฆูนุงซีรีปัตได้เลย สำหรับเส้นทางที่มายังบ้านภูนภาก็ไม่ลำบากครับ รถยนต์ รถตู้ สามารถเข้ามาได้แบบสบายๆ น้องจรและคุณแม่ ผู้ดูแลลูกค้า ให้บริการดีมากๆ ยิ้มแย้มแจ่มใส คอยมาทักทายอยู่ตลอดเวลา หากสนใจลองโทรสอบถามได้ที่ 081-0933124 หรือ inbox FB: Punapa Gunung Silipat ภูนภาแคมป์ปิ้ง

    xhaewydcryei
    zzm9h8lospgc
    kcftuwed5kyx

    หากใครไม่มีเต้นท์ สามารถเช่าเต้นท์ได้ ค่าบริการในวันธรรมดา 600 บาท/เต้นท์ วันหยุด 800 บาท/เต้นท์ เข้าพักได้ 2 คน ภายในเต้นท์มีฟูก หมอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว ให้พร้อม สำหรับใครนำเต้นท์มาเอง คิดค่าบริการ 200 บาท/คน ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวม จากจุดกางเต้นท์มองออกไปจะมองเห็นยอดฆูนุงซีลีปัตอยู่ใกล้แค่เอื้อมครับ

    สำหรับใครที่คิดว่าเดินขึ้นไม่ไหว สามารถชมหมอกจากหน้าเต้นท์ได้เลยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่เห็นหมอกแบบ 360 องศา แต่ก็ได้เห็นหมอกแบบใกล้ชิดเหมือนกันครับ

    f21cghoqj67m
    yph2tfmdc0ay

    เรื่องอาหารการกินที่นี่ มื้อค่ำจะมีบริการเซตหมูไก่กระทะ หรือ เซตปลานิลเผาพร้อมชุดผัก เซตละ 400 บาท เซตหนึ่งทานได้ 2 ท่าน ผมเองเลือกเซตปลานิลเผา แต่พลาดที่ไม่ได้ถ่ายภาพมาฝากกัน นอกจากนี้ผมเตรียมหมูกระทะมาด้วย มาเช่าเตาปิ้งย่างที่นี่ ในราคาเตาละ 30 บาทครับ

    สำหรับอาหารเช้ามีให้เลือก 2 แบบ แบบแรกเป็นเซตไข่กระทะ ไส้กรอก ขนมปัง พร้อมเครื่องดื่มชา กาแฟ ท่านละ 100 บาท อีกหนึ่งเซตเป็นอาหารพื้นเมืองเบตง จะมีซาลาเปาไส้หมูซึ่งใช้น้ำซีอิ้วสูตรเฉพาะของเบตง ก๋วยเตี๋ยวขาวทานคู่กับกระดูกหมู ข้าวเหนียวไก่ (คล้ายๆ บ๊ะจ่าง) ขนมจีบกุ้ง พร้อมเครื่องดื่มชากาแฟ คนละ 200 บาทครับ


    อุโมงค์ปิยะมิตร

    เป็นอุโมงค์ดินที่อดีตขบวนการโจรคอมมิวนิสต์มลายาสร้างขึ้น เพื่อเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ทางการเมือง แต่ต่อมาได้กลับมาร่วมพัฒนาชาติไทย อุโมงค์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2519 ใช้หลบการโจมตีทางอากาศและสะสมเสบียง ในปัจจุบันได้อนุรักษ์และเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้ที่สนใจได้มาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ครับ สำหรับการเข้าชม ผู้ใหญ่จะเสียค่าเข้าชมคนละ 40 บาท เด็กคนละ 10 บาทครับ

    w73oyrhrakmq

    จากจุดจำหน่ายบัตรเข้าชม เราต้องเดินเท้าขึ้นไปตามเส้นทางลาดชันที่มีการตกแต่งแบบสวยงามด้วยพันธุ์ไม้มากมาย ระยะทางไกลไม่ใช่ปัญหาอะไรมาก แต่เส้นทางที่ลาดชันนี่แหล่ะ เล่นเอาผมหายใจเป็นหมาหอบแดดเหมือนกันครับ

    mfjw6hcjgmjr

    ระหว่างทางก็เริ่มจะเห็นอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานจริงในสมัยนั้นครับ

    3x760rf8rj33

    ไฮไลท์ของที่นี่ จะมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปิยะมิตร ซึ่งจะรวบรวมของเก่าที่มีการใช้งานในสมัยนั้นมาสะสมไว้มากมายครับ

    zgqrakl8u3m9

    อุ๊ย ของบางสิ่งบางอย่างในตู้ ผมเกิดทันด้วยแหละ แถมที่บ้านก็ยังเคยมีใช้ด้วยครับ

    0g7rjp3vmlxu
    atpw0co8fszi
    os197hd3sp93
    2h45ovp8ack4

    แต่บางสิ่งบางอย่างนี่ เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกันครับ

    6odc2oni6l04
    zzeq5ghi9tcq
    v5u7k85mlbbm
    y9o88bvpudjq

    อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คืออุโมงค์ ที่ถูกขุดเข้าไปในภูเขา อุโมงค์นี้ขุดเมื่อปี 2519 โดยใช้กำลังคน 45-50 คน ใช้เวลาในการขุดเพียง 3 เดือน มีทางเข้าออกอุโมงค์ 9 ทาง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 ทาง ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหมด อุโมงค์มีความกว้างประมาณ 50-60 ฟุต ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในสามารถจุคนได้เกือบ 200 คนครับ

    ภายในอุโมงค์ก็จะทำเป็นห้องเล็กๆ แต่ละห้องก็จะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป เช่น ห้องนอน ห้องเก็บเสบียง สถานีวิทยุ ภายในอุโมงค์อากาศเย็นสบาย มีการติดไฟให้แสงสว่างตลอดเส้นทาง

    8jx1lgym7qni
    63yuqckoz474

    ไฮไลท์สุดท้าย จะเป็นต้นไทรยักษ์ หรือชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่า ต้นไม้พันปี วัดโดยรอบได้ 60.8 เมตร สูง 40 เมตร ต้นไทรยักษ์นี้ ถูกจัดให้เป็นรุกข มรดกของแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมีด้วยครับ


    สวนหมื่นบุปผา

    สวนหมื่นบุปผาเป็นสวนไม้ดอกเมืองหนาวท่ามกลางขุนเขาของเบตง มีทั้งสวนแบบกลางแจ้งและในร่ม ที่นี่มีค่าบำรุงสถานที่คนละ 40 บาทครับ

    7lx9glyofjpc
    xsthzqqy1kjq
    1vjnqb4qbwdj
    4ryz1c007tzc

    สำหรับผม ที่นี่ยังไม่ค่อยเท่าไรเมื่อเทียบกับสวนอื่นๆ ที่เคยได้ไปชมมา แต่ที่นี่คือแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเบตง ยังไงก็คงต้องแวะมา Check in กันสักหน่อย ถ้าไม่มา เดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องครับ

    th2hjk6y7bzi
    dl6wudymu4xv

    โรงเรือนปลูกเบญจมาศหลากสี จะอยู่ก่อนถึงจุดชำระค่าบำรุง ในความรู้สึกผม ดอกไม้ในโรงเรือนนี้ยังดูสดใสกว่าดอกไม้ในสวนด้านในอีกครับ


    ปลานิลสายน้ำไหล

    ปลานิลสายน้ำไหล หนึ่งเดียวในเบตง การเลี้ยงปลานิลที่นี่จะเลี้ยงด้วยระบบสายน้ำไหลธรรมชาติ โดยทำฝายกักน้ำและใช้แหล่งน้ำธรรมชาติจากภูเขาถ่ายเทตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ไม่ต้องใช้เครื่องทำออกซิเจน จุดขายของปลานิลสายน้ำไหลคือ ไม่มีกลิ่นโคลน เนื้อแน่น ครับ โดยพันธุ์ปลาจะรับมาจากเพชรบุรี ในราคาตัวละ 1 บาท นำมาเลี้ยงประมาณ 8 เดือน ก็พร้อมออกจำหน่าย 1 ตัวจะมีน้ำหนักประมาณ 0.80-1.2 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 90-100 บาท

    clhepackekmo
    ceidta9ojfre
    0nq1cri9z61r
    u6abo4oi4f44
    u5agx8qkzqdt

    ปลานิลที่นี่น่าจะคุ้นเคยกับคนมากครับ ผมเดินไปทางไหน ปลาเหล่านี้ก็ผุดขึ้นตามที่ผมเดิน คงคิดว่าผมจะมาให้อาหารแน่ๆ เห็นภาพแล้วพาลนึกในใจว่า นี่ถ้าหากเราตกลงไปในบ่อ คงจั๊กจี๋แน่นอน เพราะปลาคงรุมตอดกันน่าดู 555

    ติดกับบ่อปลานิลสายน้ำไหล เป็นที่ตั้งของร้านอาหารปลานิลน้ำไหลโกหงิ่ว อยากจะแนะนำว่าใครมาเที่ยวเบตงให้มาทานมื้อเที่ยงกันที่นี่ครับ เพราะท่านจะได้ทานปลานิลหลากหลายเมนูแบบสดๆ ตักจากบ่อปลากันเลยทีเดียว ถ้าสดกว่านี้ คงต้องกินแบบตัวเป็นๆ แล้ว

    mbf9pw3te84o
    3lhyu4n0w50v

    ปลานิล 1 ตัวสามารถเลือกทำได้ 2 เมนู ผมสั่งแบบทอดกระเทียมและต้มยำไปครับ ปลาเนื้อแน่น หวาน อร่อยสมชื่อจริงๆ

    yeg6q0z7tzrt

    นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเมนูที่ขึ้นชื่อให้เลือกชิม อย่างผักน้ำผัดน้ำมันหอย

    r8gadsajd1yb

    ผัดเผ็ดกบภูเขา บอกเลยว่ากบภูเขาน่องโตมาก

    z4ujpoqkp8n5

    ขาหมูซอสเปรี้ยว อยู่ภาคกลางเคยทานแต่ขาหมูออกหวานๆ มาเจอเมนูขาหมูซอสเปรี้ยว ก็แปลกลิ้นดีครับ

    x7i0p7qvysqq

    ปิดท้ายด้วยไข่เจียว

    ร้านอาหารปลานิลน้ำไหลโกหงิ่วไม่มีไก่เบตงนะครับ ถ้าหากอยากชิมคงต้องไปหาชิมกันในเมืองอีกที


    บ่อน้ำร้อนเบตง

    เป็นบ่อน้ำร้อนธรรมชาติกลางแจ้ง มีน้ำร้อนผุดขึ้นมาจากใต้ดิน กินพื้นที่กว้างประมาณ 3 ไร่ครับ เห็นว่าอุณหภูมิของน้ำประมาณ 80 องศาเซลเซียส ทางท้องถิ่นได้ก่อสร้างสระขนาดใหญ่ เพื่อกักน้ำจากน้ำพุร้อนไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งแช่เท้าเพื่อผ่อนคลายกัน

    02022nqqkm24
    74mvggnqwzsc
    0p0kfso1g3j2

    นอกจากนี้ยังแบ่งพื้นที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ต้มไข่ด้วย ใช้เวลาต้มราวๆ 10 นาทีครับ


    ท่าอากาศยานนานาชาติเบตง

    สนามบินเบตง เป็นสนามบินแห่งใหม่ลำดับที่ 39 ของเมืองไทย รันเวย์มีความยาว 1,800 เมตร รองรับได้เฉพาะเครื่องบินพาณิชย์แบบใบพัดเท่านั้น ถึงยังไม่เปิดให้ใช้บริการ แต่นักท่องเที่ยวสามารถมาถ่ายภาพสนามบินเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้นะครับ นี่ถ้าสนามบินเปิดใช้เมื่อไร ผมว่านักท่องเที่ยวต้องแห่กันมาเที่ยวเบตงกันมากมายครับ

    t2fbgbz1kijz
    xix9j255d027
    57kdagulzfr9
    crtw7o15i1jp

    สนามบินเบตง จะใช้ไม้ไผ่มาเป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง ทั้งนี้เนื่องมาจากคำว่า “เบตง” ในภาษามลายู มีความหมายว่า “ไม้ไผ่” และในอดีต เบตงเป็นเมืองที่มีไม้ไผ่เป็นจำนวนมาก แต่ไม้ไผ่ที่นำมาตกแต่งสนามบิน เป็นไม้ไผ่ที่ผ่านกระบวนการอบแห้งมาจากจังหวัดนนทบุรีครับ สำหรับการตกแต่งจะเป็นรูปโค้งมน เพราะได้แรงบันดาลใจจากเส้นโค้งของภูเขา สมกับที่เบตงเป็นเมืองที่อยู่ในอ้อมกอดของขุนเขาครับ


    เฉาก๊วยเบตง กม.4

    เฉาก๊วยร้านนี้เป็นร้านดั้งเดิมมาตั้งแต่รุ่นแรกที่มีการสืบทอดทายาทมาจนถึงรุ่น 4 แล้วครับ โดย “เฉา” แปลว่าหญ้า ส่วนคำว่า “ก๊วย” แปลว่า ขนม “เฉาก๊วย” จึงหมายรวมคือ ขนมที่ทำมาจากต้นหญ้า โดยทางร้านจะนำหญ้าเฉาก๊วยไปต้ม ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นจะกรองเอาเฉพาะน้ำ แล้วนำไปผสมกับแป้ง แล้วนำมาเคี่ยวต่ออีกครั้งให้เหนียวจนเข้าเนื้อ แล้วจะตักใส่ภาชนะ ตั้งพักไว้ให้เย็นจนเฉาก๊วยจับตัว แล้วจึงนำมาตัดจำหน่ายครับ

    alhuwn6xwopb
    4tumg7r95nwg
    nrr0dudqeukj

    หากผมบอกว่าเฉาก๊วยที่นี่อร่อยมากๆ หลายคนอาจจะคิดว่าผมโฆษณาให้กับทางร้าน แต่ผมอยากให้เพื่อนๆ ได้มาลองชิมด้วยตัวเองครับ ผมสั่งทานในร้าน 1 ถ้วย ในราคาถ้วยละ 10 บาท และซื้อขึ้นไปทานบนรถอีก 1 ถ้วยใหญ่ ในราคา 20 บาท คืออร่อยดีงามมากครับ แต่ถ้าใครอยากจะซื้อเป็นของฝากก็สามารถนะครับ แต่จะต้องโทรสั่งล่วงหน้า จำหน่ายกิโลกรัมละ 60 บาทครับ นอกจากเฉาก๊วยแล้ว ที่นี่ยังมี “มี่ข้าวปัน” เป็นขนมถ้วยโบราณ กินกับกระเทียมเจียว และซอสหวานๆ ผมเองก็เพิ่งจะเคยลองทานครั้งแรกเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด ถ้วยละ 6 บาทครับ

    4bduy0qmyi3c
    mq1afnu0w36r
    slcdw98bw010

    ร้านเฉาก๊วยเบตง ตั้งอยู่ในชุมชนฮากกา เป็นเรือนไม้อยู่คูหาแรกเลยครับ หาไม่ยาก


    วัดพุทธาธิวาส

    วัดพุทธาธิวาส ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ในตัวเมืองเบตง จุดเด่นของวัดนี้เห็นจะเป็น “พระธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ” สีทอง ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล องค์พระธาตุเจดีย์นี้สร้างขึ้นตามศิลปกรรมแบบศรีวิชัยประยุกต์ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

    kfpr1ijtxtkh
    mcmn74q3es1m
    r7qoryicuc95
    ufw8q7brdi0o
    7hlnr6bx518e
    4nvikqv5txd3

    ป้ายใต้สุดสยาม

    มาเบตงทั้งที ถ้าไม่มาถ่ายรูปคู่กับป้ายใต้สุดสยาม มันก็จะยังไงๆ อยู่ เพื่อเป็นการการันตีว่าเราได้มายืนบริเวณจุดสุดท้ายของผืนแผ่นดินไทยทางตอนใต้จริง แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ ป้ายนี้จะอยู่บริเวณชายแดนปลายสุดของถนนสุขยางค์ ห่างจากตัวเมืองเบตงประมาณ 7 กม. เป็นแนวเขตแดนระหว่างอำเภอเบตง กับรัฐเปรัค มาเลเซียครับ

    4po4kgocg57k


    สนามกีฬาเบตง

    สนามกีฬากลางหุบเขา ขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ เป็นสนามกีฬาที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงที่สุดในประเทศไทย ผมว่าที่นี่เป็นสนามกีฬาที่บรรยากาศดีที่สุดในเมืองไทย เท่าที่ผมเคยเห็นมาครับ

    q0qmxp2puru4

    สวนสุดสยาม

    สวนสุดสยาม หรือ สวนสาธารณะเทศบาลเมืองเบตง ตั้งอยู่บนเนินเขากลางเมืองเบตง กินเพื้นที่ประมาณ 120 ไร่ อยู่ตรงข้ามกับสนามกีฬาเบตงเลยครับ สวนแห่งนี้เป็นจุดชมทัศนียภาพเมืองเบตง และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายของชาวเบตงและนักท่องเที่ยวครับ

    2jg3bltwgtzc

    Street Art เบตง

    Street Art ในเบตง จะกระจายอยู่ตามผนังอาคารบ้านเรือน ตามตรอกซอกซอย แต่ละภาพจะบอกเล่าเรื่องราว วิถีชีวิต รวมถึงเอกลักษณ์ของชาวเบตง เพิ่มสีสันการท่องเที่ยวให้กับเบตงขึ้นอีกเยอะเลยครับ

    gqtv39jk1ixv
    o35eb996nnvj
    q6wz0n65ala5
    jpqjhhrtzbp8
    3yqwgs8c2sh8
    io1dvhu6boyc
    tom2pjqoervs

    หอนาฬิกาเบตง

    หอนาฬิกาแห่งนี้อยู่คู่กับเมืองเบตงมาช้านาน สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์และเป็นจุดศูนย์กลางของเมือง สร้างจากหินอ่อนขาวนวลจากยะลา

    vbrwxk5gg4zw

    ตู้ไปรษณีย์สูง-ใหญ่ที่สุดในโลก

    จริงๆ แล้วในเบตงยังมีอีกหนึ่งตู้ไปรษณีย์ที่สูงใหญ่กว่านี้ แต่ตู้นี้ถือเป็นตู้ต้นตำรับที่ใช้กันมานมนานแล้วครับ ตั้งอยู่บริเวณวงเวียนหอนาฬิกา นอกจากจะเป็นตู้ไปรษณีย์แล้ว ด้านบนสุดของตู้ยังใช้เป็นลำโพงเพื่อใช้กระจายเสียงแจ้งข่าวสารให้กับชาวเบตงด้วย

    8wtvp310bolc

    อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์

    อุโมงค์รถยนต์ลอดภูเขาแห่งแรกของเมืองไทย ที่ขุดทอดเป็นแนวโค้งให้รถวิ่งไปมา มีความยาวประมาณ 273 เมตร ช่วงค่ำๆ ถึงเช้า จะมีการประดับประดาไฟอย่างสวยงามครับ

    74nlmejqks4l

    เดินเล่นชมแสงสียามเย็นเมืองเบตง

    tq856zxm22uy
    jjoki6w8uxrz
    zfan72xvf4a8
    h76aaf8b472c
    szqnu9aqp70u
    tw4k15bvkks4
    o64ntyquzpw2
    puaqfmubptbj
    u4wjjd7f68gt

    โดยรอบของหอนาฬิกาจะมีสายไฟระโยงรยางค์เต็มไปหมด ช่วงค่ำๆ ก็จะมีนกนางแอ่นที่บินหนีความหนาวเย็นจากไซบีเรียมาเกาะอยู่เต็มสายไฟเลยครับ จะพบเห็นนกนางแอ่นได้เฉพาะช่วงค่ำๆ ของเดือนกันยายน-มีนาคมเท่านั้น ส่วนช่วงเช้า-เย็น นกเหล่านั้นจะบินออกหากินตามป่าเขาโดยรอบ และค่ำก็จะกลับมาพักอยู่ในตัวเมือง เป็นประจำแบบนี้ทุกวันครับ


    ร้านต้าเหยิน

    ร้านอาหารจีนชื่อดังกลางเมืองเบตง อยู่ไม่ไกลจากหอนาฬิกามากนัก ช่วงที่ผมไป ทัวร์ลงพอดี คนแน่นร้านไปหมดครับ มาเบตง ต้องมาลองครับ

    dahx4hw3k4xo

    "ไก่สับเบตง" ไก่เนื้อนุ่ม สมแล้วที่เป็น signature ของเบตงครับ

    bswetvprjn7h

    "ปลาจีนนึ่งซีอิ้ว" ปลาสด เนื้อหวานเลยทีเดียว

    g70ci3wb66bu

    "เคาหยก" หรือหมูสามชั้นอบเผือก เพิ่งจะเคยทานครั้งแรกเหมือนกันครับ  


    โรงแรมแกรนด์แมนดาริน เบตง

    น่าจะหรูที่สุดในเบตงแล้ว ด้วยอาคารที่สูงมากๆ มองเห็นได้แต่ไกล ที่ผมเลือกพักที่นี่ เพราะต้องการถ่ายภาพมุมสูงของเบตงครับ

    7qjihu8md1fn
    1h1gw8fi1r1a

    ภายในกว้างขวางเลยทีเดียว

    psp0mluzjr24
    pqo114tglfm4
    zqrqgyn57loc

    โรงแรมอาจจะดูเก่าไปสักนิด แต่ว่าสะอาด ห้องกว้างขวางดีครับ เห็นวิวเมืองเบตงแบบเต็มๆ ตา ที่สำคัญ อยู่ใจกลางเมืองเบตงเลย เดินไปเที่ยวไหนก็สะดวก ออกมาจากโรงแรม ด้านข้างก็เจอ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ เดินถัดมาสัก 100 เมตร ก็จะเป็นหอนาฬิกาครับ


    gamhthh6j6a5
    rk00kw9kek06

    จริงๆ แล้วเบตงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายจุดเลยทีเดียว ทั้งการล่องแก่งและยังมีจุดชมทะเลหมอกอีกหลายๆ ที่ ผมมีเวลาอยู่ที่เบตง 2 วัน 2 คืน ยังเก็บสถานที่ท่องเที่ยวได้ไม่ครบเลยครับ ตอนนี้คงรอสนามบินเบตงว่าจะเปิดเมื่อไร หากเปิดใช้คงจะได้กลับมาเยือนเบตงอีกครั้งเป็นแน่ๆ คิดถึงฆูนุงซีลีปัต คิดถึงอัยเยอร์เวงเป็นที่สุด หากเพื่อนคนไหนกำลังสองจิตสองใจกับเบตง ผมว่ารีบๆ มาสัมผัสเบตงเถอะครับ แล้วจะบอกกับตัวเองว่า "รู้อย่างนี้ มาเบตงซะตั้งนานแล้ว" 

    ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

    Kamol Phapoom

    ลุงเสื้อเขียว

     วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.

    ความคิดเห็น