จะว่าไป จ.ตรังมีสถานที่ท่องเที่ยวแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ทะเล เกาะ ดำน้ำ โบราณสถาน ของกิน ช่วงที่ผ่านมาเราไปเที่ยวมาหมดแล้ว เหลือก็แต่การไปวัด เข้าถ้ำ เดินป่าเที่ยวน้ำตก โดยครึ่งวันก่อนที่จะเดินทางกลับเราจะไปสถานที่เหล่านั้นกัน
ลอดถ้ำกลางทะเลก็ลอดมาแล้ว จึงได้เวลาลอดถ้ำบนบกกันบ้าง โดยถ้ำเลเขากอบสถานที่ที่เรากำลังเดินทางไปนี้ไม่ใช่ถ้ำธรรมดา ที่เดินถือไฟฉายแล้วส่องดูหินงอกหินย้อย แต่ไฮไลน์คือการนอนบนเรือแล้วรอดถ้ำ ใช่ครับผมเขียนไม่ผิดหรอก ไม่ใช่การนั่งเรือ แต่เป็นการนอนบนเรือจริงๆ เพราะระยะห่างระหว่างผิวน้ำกับเพดานถ้ำนั้นน้อยมาก แถมยังใช้เวลาร่วม 10 นาทีกว่าจะที่พ้น เรียกได้ว่าใครได้มาเยือนเป็นได้เสียวไปตามๆกัน จนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยกให้สถานที่แห่งนี้เป็นสุดยอด Unseen in Thailand
เรามาถึงถ้ำเลเขากอบตั้งแต่ 8.30 น. เรียกว่ามาหลังคนเปิดประตูแค่ไม่กี่นาที ดูเหมือนเราจะมาเร็วจนเกินไป เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าน้ำยังลงไม่เยอะ ยังเข้าถ้ำไม่ได้ รอไปก่อนครึ่งชั่วโมง
เวลาไม่คอยท่า การท่องเที่ยวไม่คอยใคร แล้วต้องคอยนานถึงครึ่งชั่วโมงเชียวหรือนี่ เวลาเรายิ่งมีน้อยอยู่ ผมจึงอยู่ในอาการกระวนกระวายว่าอาจไม่ได้ไปเที่ยวครบตามที่วางแผนไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่คงดูออก เวลาผ่านไปเพียงแค่ 10 กว่านาที เจ้าหน้าที่จึงบอกว่า เอ้าเข้าถ้ำเลยก็ได้
การเข้าถ้ำเลเขากอบต้องเดินทางด้วยเรือเท่านั้น เป็นเรือแจว ต้องเหมาลำ 1 ลำนั่งได้สูงสุดไม่เกิน 4 คน ราคาลำละ 400 บาท ถ้ำช่วงแรก เรือจะจอดให้เราขึ้นไปชม แล้วกลับมาลงเรืออีกครั้งเพื่อไปถ้ำห้องต่อไป โดยจุดนี้ไม่จำเป็นต้องรอให้น้ำลง แต่ไฮไลท์ของถ้ำเลเขากอบนั้นอยู่ที่การลอดท้องมังกร ซึ่งก็คือจุดที่ผมบอกว่าต้องนอนบนเรือแล้วลอดถ้ำ เพราะเพดานถ้ำห่างจากผิวน้ำแค่นิดเดียว ตรงนี่แหละที่ต้องรอให้น้ำลง เพราะหากน้ำยังไม่ลงก็ไม่มีสิทธิ์ลอดเข้าไปได้ หรือหากยังลงไม่มากก็อาจเกิดอันตรายกับผู้ลอดได้
คนเรือมี 2 คนนั่งประจำหัวเรือและท้ายเรือ เรือค่อยๆพาเราเคลื่อนตัวไปตามลำคลองที่สายน้ำไหลออกมาจากถ้ำ บรรยากาศ 2 ฝั่งคลองนั้นร่มรื่นมาก นั่งไปสักพักเรือก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในโพรงถ้ำ แล้วจอดริมตลิ่ง คนเรือบอกให้เราขึ้นจากเรือเพื่อไปชมถ้ำห้องแรก มีชื่อว่า ถ้ำคนธรรพ์ โดยไม่ต้องกลับทางเดิม เพราะเรือจะไปจอดรับเราอีกฟากหนึ่งของถ้ำ
ถ้ำคนธรรพ์นั้นกว้าง โปร่ง อากาศถ้ำเทดีมาก มีแสงไฟให้สามารถเดินได้อย่างสบาย คนเรือเล่าว่า สาเหตุที่ถ้ำนี้มีชื่อว่าคนธรรพ์ เนื่องจากเคยมีคนได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงมาจากถ้ำแห่งนี้ วันที่เรามาไม่ได้ยินเสียงดนตรีใดๆ แต่เห็นเพียงความสวยงามของเหล่าหินงอกหินย้อย ที่แต้มเติมความสวยงามให้เพิ่มมากขึ้นจากเหล่าไฟหลากสี หินงอกหินย้อยเหล่านี้ยังมีชีวิต ที่ยังคงเติบโตขึ้นทุกวันจากหยดน้ำที่ไหลพาเอาแร่ธาตุแคลเซียมมาด้วย
เราลงเรืออีกครั้ง คนเรือพาเราไปต่อที่ถ้ำห้องเจ้าสาว ฟังชื่อแล้วชวนสงสัย ว่าเคยมาการจัดงานแต่งที่นี่หรืออย่างไร จนเมื่อเดินเข้าไปได้ระยะหนึ่ง คนเรือจึงเชิญให้เราเข้าชมห้องเจ้าสาว เป็นหินงอกหินย้อยที่ไหลมาบรรจบกัน จนเหมือนเป็นผ้าม่านที่กั้นพื้นที่ส่วนในไว้ จนเป็นที่มาของชื่อห้องเจ้าสาว
คนเรือพาเราชมโน่นชมนี้ไปตลอด ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยแปลกตามากมาย หินตายาย หินรูปช้าง เยอะแยะไปหมด บางส่วนมีดอกไม้พวงมาลัยมาวางบูชาตามความเชื่อของพื้นที่ จนเมื่อได้เวลาที่คนเรือคาดการว่าระดับน้ำจะลดต่ำลงจนเรือสามารถลอดได้ ก็พาเรากลับขึ้นเรืออีกครั้ง แล้วก็ถึงเวลาที่จะได้หวาดเสียวกันสุดๆกับการลอดท้องมังกร
จากการนั่ง คนเรือให้เราเปลี่ยนเป็นการนอนหงาย และเขาสองคนก็นอนหงายด้วยเช่นกัน เรือค่อยๆเคลื่อนตัวไปตามลำธารที่ผนังถ้ำอยู่ห่างจากผิวน้ำนิดเดียว จากการพาย คนเรือเปลี่ยนเป็นการใช้มือดันผนังถ้ำที่เต็มไปด้วยเหล่าหินย้อยที่แหลมคม เพื่อพาเรือให้ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไป เหนือหน้าเราขึ้นไปด้วยระยะห่างไม่ถึงเซ็นติเมตรคือยอดแหลมของเหล่าหินย้อยที่พุ่งออกมาจากเพดานถ้ำ นั่นคือความเสียวสุดๆจนแทบจะกลั้นหายใจ เพราะกลัวว่ายอดแหลมของหินย้อยก้อนใดก้อนหนึ่งจะขูดเข้ากับใบหน้า
ผมที่ตัวผอมนั้นไม่เท่าไหร่ แต่แท่งนี่สิ แม้จะกลั้นหายใจจนตัวเกร็ง แต่ก็ถูกยอดแหลมของหินย้อยขูดเข้าไปที่พุงหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งความเสียวนี้ไม่ใช่แค่นาทีสองนาที แต่ยาวนานถึง 10 นาที จนต้องยอมรับว่า ถ้ำเลเขากอบนี้สมแล้วที่ได้รับให้เป็นสุดยอด Unseen in Thailand
เมื่อขึ้นจากเรือ เรากล่าวขอบคุณคนเรือที่พาเราเข้าชมสถานที่ที่เป็นที่สุดทั้งในเรื่องความสวยงามและความหวาดเสียว พร้อมให้สินน้ำใจเพิ่มเติมเล็กน้อย กับการที่เขาต้องใช้มือดันเพดานถ้ำ ที่มากไปด้วยยอดแหลมคม เพื่อพาเราเข้าชม
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 19.58 น.