เสียวกันจนสติแทบแตก ก็ได้เวลาไปสงบจิตสงบใจกันในวัดกันต่อ วัดหนึ่งเดียวใน จ.ตรัง ที่เราบรรจุไว้ในแผนการเดินทางนั้นย่อมไม่ธรรมดา เพราะมีพระพุทธรูปศิลปะที่แปลกและมีหนึ่งเดียวในไทย
เราไปกันต่อที่วัดภูเขาทอง วัดนี้มีพระพุทธรูปทรงเทริดมโนราห์หนึ่งเดียวในประเทศไทย หรืออาจจะเป็นหนึ่งเดียวในโลก โดยเป็นพระพุทธรูปปางไสยยาสน์ประดิษฐานอยู่ที่ปากถ้ำเขาชุมทอง ตามประวัติพระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นโดยเจ้าพระยากุมาร เจ้าเมืองพัทลุง กับพระนางเลือดขาว เมื่อปีพ.ศ.1493 อายุถึงปัจจุบันจึงกว่าพันปี จนเป็นสร้อยต่อท้ายชื่อว่า วัดภูเขาทอง 1000 ปี
สำหรับสาเหตุที่วัดมีชื่อว่าภูเขาทอง น่าจะเพี้ยนมาจากเขาชุมทอง โดยเชื่อกันว่าภายในถ้ำที่อยู่ด้านหลังพระพุทธรูปเป็นที่เก็บแก้วแหวนเงินทองจำนวนมาก ที่เจ้าพระยากุมารกับพระนางเลือดขาวนำมาเก็บไว้ ด้วยเหตุที่ตั้งใจจะนำไปร่วมสร้างพระธาตุนครศรีธรรมราช แต่ในระหว่างทรงช้างมาที่บริเวณนี้ได้รับข่าวว่าพระธาตุสร้างเสร็จแล้ว จึงนำทรัพย์สมบัติที่ติดมาเก็บไว้ที่ถ้ำแห่งนี้แทน เท็จจริงเช่นไหร่ไม่มีใครรู้ มีแต่กาลเวลาเมื่อพันกว่าปีที่แล้วที่จะให้คำตอบ
แล้วก็ถึงการเดินทางไปสถานที่สุดท้ายที่ผมตั้งใจมากๆว่าจะต้องไป อย่างน้อยสัก 1 แห่งก็ยังดี เพราะแม้ จ.ตรังจะมีชื่อเสียงเรื่องท้องทะเล แต่พื้นที่บนบกก็มีของดีมากอยู่ โดยเฉพาะเรื่องป่าไม้ เพราะมีแนวเทือกเขาบันทัดพาดผ่าน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบันทัดจึงมากไปด้วยน้ำตกหลายต่อหลายหลัง หากจะเที่ยวกันให้หมดผมคงต้องจัดทริปเที่ยวแต่น้ำตกเป็นการเฉพาะ แต่ในเมื่อเวลามีเท่านี้ และอยากจะไปสัมผัสความเป็นตรังให้ครบทุกรส ผมจึงเลือกไปน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และสวยงามมากที่สุด นั่นคือ น้ำตกโตนเต๊ะ
จากวัดภูเขาทองสู่น้ำตกโตนเต๊ะมีระยะทาง 60 กิโลเมตรเศษ ทีแรกคิดว่าคงใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. แต่ของจริงใช้เวลานานกว่านั้นมาก เพราะจากถนนสายหลักต้องขับรถเข้าไปถนนสู่ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบันทัดอีกไกลพอดู แต่ก็ยังดีที่เป็นทางลาดยางตลอด และเพียงเทือกเขาบันทัดปรากฏให้ได้เห็น ภาพของสายน้ำที่ไหลตกจากแผ่นผาของน้ำตกโตนเต๊ะก็ปรากฏให้เราได้เห็นแต่ไกล
แท่งเดินเป็นเพื่อนผมบนเส้นทางเดินทางสู่น้ำตกเพียงแค่ระยะแรก เมื่อเจอม้านั่งริมลำธาร ก็ถอดใจโดยเลือกที่จะนั่งรอที่นี่ ปล่อยให้ผมเดินขึ้นเขาต่อเพียงลำพัง
ทางเดินสู่น้ำตกถือว่าค่อนข้างง่าย ไม่สูงชันมากนัก และเส้นทางค่อนข้างชัดเจน จะมีก็แต่ตรงช่วงสุดท้ายก่อนถึงน้ำตกที่ทางเริ่มเลือนลาง แล้วเสียงสายน้ำที่ดังถาโถมก็บอกเส้นทางที่ถูกต้องว่าควรเดินไปทางไหน หลังจากผ่านพ้นม่านสีเขียวของเหล่าแมกไม้ ภาพน้ำตกโตนเต๊ะที่สายน้ำใสสะอาดไหลตกจากหน้าผาสูงกว่า 50 เมตรก็ปรากฏให้ได้เห็น
ทางเดินสู่ด้านหน้าน้ำตกนั้นมีความเสี่ยงพอดู เพราะหากไม่เดินบนแอ่งน้ำที่น้ำสูงจนเลยเข่าแล้ว ก็ต้องเดินไปบนขอนไม้ที่พาดขวางการไหลของสายน้ำ หากลื่นตกก็คงเปียกไปทั้งตัว แต่ไหนๆก็มาถึงที่แล้ว จะให้เห็นน้ำตกแต่เพียงด้านข้างคงไม่ดีแน่ เป็นไงเป็นกันผมจึงถลกขากางเกงแล้วเดินลุยน้ำไปชมความงามและยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งนี้
ผมกลับมาเจอแท่งอีกครั้งด้วยเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่สิบนาที แต่แท่งก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรที่ไม่ได้ตัดสินใจเดินต่อไปด้วยกัน เพราะการนั่งเล่นสบายๆริมลำธารก็มีความสุขเพียงพอแล้ว สิ่งเดียวกันจึงนำความสุขมาให้แต่ละคนได้ไม่เท่ากัน
ผมขับรถออกจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบันทัด ระหว่างทางแวะกินข้าวหมูแดงกับติ่มซำก่อนไปท่าอากาศยานตรัง การเดินทาง 4 วัน 3 คืนในจังหวัดตรังนั้นเต็มที่จริงๆ เป็นการท่องเที่ยวที่ครบรส เพราะจังหวัดนี้มีครบทุกอย่าง ตั้งแต่ท้องทะเลยันภูเขา ไว้มีโอกาสคงได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง...
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.39 น.