"อีก 5 นาที รถบัสจะออกแล้วนะ"

"ทันป้ะพี่"

"พี่ว่าไม่ทัน เราต้องออกจากร้านเลย"

พี่หนอนรีบวิ่งไปบอกพนักงานว่าให้เอาปาเอญ่าใส่กล่อง แล้วจ่ายเงินทันที

เสร็จแล้วพวกเราก็ วิ่ง! วิ่ง! วิ่ง! สภาพไม่ต่างจากขโมยของแล้ววิ่งหนี 

เสียงหายใจหอบ แฮ่กๆ ของเราตลอดทาง พร้อมมือที่หิ้วถุงปาเอญ่า ในใจเอาแต่คิดว่าจะตกรถไหมวะ

โชคดีที่เราสองคนมาทันก่อนบัสออกเพียงไม่กี่นาที เราบอกชื่อและยื่นพาสปอร์ตให้คนขับรถบัสดู เขาเพียงแค่เอาปากกาติ๊กชื่อว่าคนมาครบแล้ว ก็ออกรถทันที

นี่คือรถบัสของบริษัท  Alsa เราจองก่อนออกเดินทางสองสัปดาห์ ราคาไปกลับอันเดอร์รา-บาร์เซโลน่าอยู่ที่ 28 ยูโร โดยเราจองรอบ 15.00 น. เพื่อให้ไปถึงอันเดอร์ราตอน 18.00 น. 

บนรถบัสมีคนบางๆ น่าจะประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ได้

ในระหว่างที่เรากับพี่หนอนนั่งคุยกันเรื่องนู่นนี่บนรถบัสยาวๆ 3 ชั่วโมง เราขอใช้เวลานี้มาเล่าให้คุณผู้อ่านฟังสักเล็กน้อยว่าอันเดอร์ราคืออะไร

อันเดอร์ราไม่ใช่ชื่อเมือง แต่มันคือชื่อ "ประเทศเล็กๆ " ประเทศหนึ่งในเทือกเขาพีเรนีส ที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศฝรั่งเศสและสเปน ทำให้เราสามารถเดินทางมาจากเมืองตูรูสประเทศฝรั่งเศส หรือจากบาร์เซโลน่าประเทศสเปนก็ได้ 

ซึ่งอันเดอร์ราไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศเชงเก้นแต่ถ้าหากมีวีซ่าเชงเก้นแบบ Multi-Entry ก็สามารถเข้า-ออกประเทศเล็กๆ นี้ได้  และถึงเมืองจะเล็กแต่ก็มีรายได้ใหญ่ๆ มาจากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาช้อปปิงสินค้าแบรนด์เนมที่ราคาถูกว่าทางสเปนและฝรั่งเศส เพราะคิดภาษีค่อนข้างต่ำ

อันเดอร์รามีประชากรแค่แปดหมื่นกว่าคน แต่คนจะเข้ามาเยอะขึ้นถ้าเป็นฤดูที่สามารถเล่นสกีได้ ทำให้รายได้อีกส่วนก็มาจากการที่หลายคนลหลบหนีความวุ่นวายจากในเมืองขึ้นมาเล่นสกีนี่แหละ โดยเฉพาะฤดูหนาวจะมากันค่อนข้างเยอะ 

พูดถึงสภาพอากาศที่อันเดอร์รา อากาศจะค่อนข้างเย็นเป็นส่วนใหญ่ พอเดือนสิงหาคมก็เริ่มจะหมดหน้าร้อนแล้ว ในขณะที่ประเทศอื่นในยุโรปยังหน้าร้อนกันอยู่
อีกอย่างคือภาษียาสูบที่นี่ก็ถูกมาก ทำให้ไม่แปลกถ้าจะมีคนซื้อบุหรี่กลับไปเป็นของฝาก และพี่หนอนก็เล่าให้ฟังเพิ่มว่ายูทูปเบอร์ของสเปนบางคนก็มาอาศัยอยู่ที่นี่เพราะจ่ายภาษีต่ำกว่าเมืองในสเปน

...เอาเป็นว่ารายละเอียดที่เหลือ เรามาค่อยๆ ทำความรู้จักอันเดอร์ราไปพร้อมๆ กันดีกว่า


ตัดภาพมาที่บนรถบัส ตอนนี้วิวข้างทางที่เริ่มเปลี่ยนจากพื้นหญ้าสีเขียว ต้นไม้ที่ไม่หนาแน่นมาก กลายเป็นวิวภูเขาลูกใหญ่ตั้งซ้อนกันไปอย่างมีมิติ และมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนวิวไปเรื่อยๆ ตามจังหวะของล้อรถ

เรากับพี่หนอนใช้เวลาบนรถบัสเลือกเส้นทางที่จะเดิน trek ที่อันเดอร์รา 

สุดท้ายแล้วมาจบที่เส้นทางไปที่ Mirador Del Roc ที่เมือง Canillo เมืองหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนเหนือของอันเดอร์รา ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตบอกว่าใช้เวลาเดินทางไปกลับ 2 ชั่วโมง สำหรับ 'Beginner'

พี่หนอนเปิดรูปให้ดูคร่าวๆ ว่าวิวประมาณนี้นะ สุดท้ายเราสองคนเลยเลือกเส้นทางนี้เพราะใช้เวลาไม่นาน เส้นทางไม่ยาก และวิวก็สวยใช้ได้ ถึงแม้ว่าที่นี่จะสามารถนั่งรถสาย CS-240 นั่งมาประมาณ 6.5 กม. ก็จะถึงจุดชมวิว แต่พวกเราเลือกที่จะลองประสบการณ์แปลกใหม่ด้วยการเดิน + ปีนขึ้นไป ซึ่งคนอย่างเราไม่เคยลองมาก่อน

รถบัสหยุดจอดก่อนเข้าไปพรมแดนประเทศอันเดอร์รา เราเห็นแค่คนขับลงไปคุยกับตำรวจเฉยๆ แต่ตำรวจไม่ได้ขึ้นมาตรวจพาสปอร์ตอะไรบนรถเหมือนที่เคยอ่านในรีวิว ซึ่งเราว่ามันคงแล้วแต่สถานการณ์

ระหว่างเคลื่อนผ่านเข้าพรมแดนประเทศอันเดอร์รา พี่หนอนบอกว่าที่อันเดอร์ราเราจะใช้อินเทอร์เน็ตจากซิมที่ซื้อมาจากสปนไม่ได้ ถ้าจะใช้ต้องซื้อแพ็กเกจเพิ่ม เราสองคนคิดว่าไม่คุ้มเพราะพรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว เลยอาศัยใช้ไวฟายที่โรงแรม ตามห้างและร้านแมคโดนัลด์เอาแทน ซึ่งหลักๆ ก็ใช้โหลดแมพส์แบบออฟไลน์เก็บไว้ และใช้ติดต่อคนที่ไทย

เมื่อรถบัสจอดให้เราลง เรารีบหยิบแบ็กแพ็กมาสะพายหลัง มองดูของเรียบร้อยว่าไม่ลืมอะไร แล้วก้าวลงจากรถ

เรากับพี่หนอนรีบเดินเอาของไปเก็บที่โรงแรม เราสองคนพักกันคนละที่ แต่พี่หนอนอาสาเดินพาเราไปส่งที่โรงแรม Pyrenees ก่อน ระหว่างทางก็นึกขึ้นไ้ด้ว่าหิวมาก อยากจะให้ถึงที่พักเร็วๆ นึกภาพตัวเองตักปาเอญ่าเข้าปากแล้ว แล้วทันใดนั้นก็รู้สึกตัวเบาแปลกๆ.... 

ยกมือขึ้นมาก็พบว่าไม่มีถุงข้าวปาเอญ่าในมือ

เราลืมกล่องข้าวปาเอญ่าบนรถบัส!! 

เรารีบบอกพี่หนอน แต่ก็กลัวพี่เค้าจะดุอะไรไหม กลับกันพี่หนอนใจเย็นมากๆ จนเราตกใจและรู้สึกผิดไปเอง

"ไม่เป็นไรๆ ปาเอญ่าใส่กล่องอันนั้นมันก็ดูไม่ได้น่ากินมาก ดีแล้วเนสจะได้ไม่จำรสชาติไม่ดีกลับไทยไป สมมติว่ามันไม่อร่อยขึ้นมาน่ะ เดี๋ยวกลับไปบาร์เซโลน่า ไปหาร้านกินใหม่นะ" 

พอขึ้นมาถึงที่พักเรารีบหยิบแซนด์วิชหนึ่งชิ้นที่เหลือจากมื้อเช้ามากินในสภาพยัดเข้าปากทั้งหิวและทั้งโกรธตัวเองที่ลืมปาเอญ่าไปได้! 

แต่ตอนนี้มันไม่มีเวลามาเสียใจแล้ว ต้องรีบลงไปเจอพี่หนอนพื่อไปเดินเขา ก่อนที่ฟ้าจะเริ่มมืด

เรานัดเจอพี่หนอนที่ครึ่งทางระหว่างโรงแรมเราสองคน แล้วรีบเดินไปขึ้นบัสสาย L6 รอบัสไม่นานก็มา เราสองคนกระโดดขึ้นบัสไป นั่งไปประมาณยี่สิบนาที บัสก็พาเราเข้าสู่เมือง  Canillo 

ถนนที่อันเดอร์ราจะไม่กว้างมากบวกกับตึกข้างทางที่สูง บางช่วงก็เป็นทุ่งหญ้าสีเขียว มีม้ากำลังกินหญ้า มีน้ำตกไหลผ่าน มีภูเขาเป็นฉากหลัง ดูเหมือนจะเป็นทิวทัศน์เฉพาะตัวของอันเดอร์รา

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ  บัสพาพวกเรามาถึงจุดที่ใกล้ทางเดิน trek  พอดี

"พี่หนอน เนสเห็นตรงนั้นมีปั๊มอะ เราไปซื้อน้ำกันก่อนไหมพี่"

และเราสองคนก็เข้าไปซื้อน้ำคนละขวด พี่หนอนหยิบขนมเยลลี่ติดมือมาด้วย 1 ถุง

เมื่อเดินออกมาข้างนอกร้านพี่หนอนชี้ให้ดูว่าเห็นที่ยื่นๆ ออกมาตรงนั่นไหม เราจะขึ้นไปบนนั้นนะ

"ห้ะ จริงหรอพี่"

ภาพที่เห็นคือแผ่นไม้เล็กๆ สี่เหลี่ยมยื่นออกมาจากภูเขา ที่ไกลจากตัวเองมาก จนทำให้แผ่นไม้ชิ้นนั้นมีขนาดเล็กนิดเดียว ไหนจะทางขึ้นที่ดูชันและสูงกว่าที่คิดไว้มาก ได้แต่คิดในใจ

'เราจะขึ้นไปถึงขางบนนั้นได้จริงๆ หรอวะ'


ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ขาก็เดินตามพี่หนอนไปแล้ว

ทางเดินแรกเป็นเหมือนทางเดินในหมู่บ้านที่มันจะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ....

เหมือนกับเสียงหายใจของเราที่แม้ผ่านไปเพียง 5 นาที ก็รู้สึกได้ว่าใจมันเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้น...

"เนส หายใจแรงมากเลย อีกนิดนึงมันจะไม่เป็นทางแบบนี้แล้ว ตรงนี้จะเหนื่อยหน่อยนะ"

โอเค อีกนิดนึงก็อีกนิดนึง ไปลุยเดินต่อ!

เราเดินขึ้นมาถึงถนนที่เป็นทางรถวิ่ง แล้วพักเหนื่อยมองลงไปเห็นวิวหมู่บ้านที่ผ่านมา

เฮ้ย เรามาสูงขนาดนี้แล้วหรอ

พี่หนอนพาเราเดินไปเรื่อยๆ จนเจอป้ายที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นทางขึ้น

"นี่ไงเนส ป้ายชี้ทางขึ้น"

"ไหนอะพี่ เนสไม่เห็นทางขึ้นไรเลย"

คือเห็นแต่ทางขวามือเป็นลำธารน้ำ มีโขดหิน กับทางซ้ายมือเป็นทางเนินผาชันๆ ไม่เห็นมีทางเดินอะไรเลย

"นี่ไงๆ "

พี่นอนชี้ให้ดูทางซ้ายมือ

"ห้ะ!! เราจะขึ้นไปยังไงอะพี่ ทางนี้เนี่ยนะ"

ไม่มีเวลามาคิดหน้าคิดหลัง ว่าจะขึ้นไปหรือไม่ รู้ตัวอีกทีพี่หนอนก็ยื่นมือมาจับแขนเราไม่ให้ไถลลงไปตามผาหิน สภาพเราที่ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนมันทุลักทุเลมากจริงๆ 

"เนสลองสังเกตดูนะ มันจะมีสัญลักษณ์ลูกศรสีเหลือง ให้เราเดินตามมันไปนะ มันเป็นเส้นทางเดิน เดี๋ยวพี่จะให้เราเดินนำ แล้วพี่เดินตามหลังคอยระวังให้นะ เนสจะได้ลองเดินเอง"

เราเดินงงๆ ตามลูกศร ผิดๆ ถูกๆ บ้าง เพราะบางทีเจอทางแยกที่ลูกศรมันดูไม่ชัด 

บางตอนก็ไม่ได้เป็นทางเดินให้ดีๆ จุดที่ให้เกาะยึดจับเพื่อเป็นหลักก็ยาก เราเลยต้องทำท่าหมาสี่ขา และเราก็มาสังเกตเอาตอนหลังๆ ว่ายิ่งทำท่านั้นมันรู้สึกเซฟกว่าก็จริง แต่มันก็ค่อนข้างเหนื่อย เราเลยพยายามเดินแบบสองขาให้ได้ด้วยตัวเอง 

"หยุดพักแป้บนึงได้ป้ะพี่หนอน"

"ได้ๆ ถ้าเรารู้สึกหน้ามืดหรือจะเป็นลมบอกพี่ไ่ด้เลยนะ"

เราพูดประโยคขอหยุดพักแบบนี้ถี่มาก เหมือนสิบกว่านาทีก็พูดอีกแล้ว ทุกครั้งที่พัก แกจะยื่นน้ำมาให้เรากินน้ำของตัวเองหมดไปนานแล้ว ขวดที่กำลังกินอยู่ตอนนี้เป็นขวดของพี่หนอนด้วยซ้ำ และพี่แกก็จะยื่นเยลลี่มาให้กิน 

"แป้บนึงนะพี่ ถ้าเคี้ยวเยลลี่เสร็จ แล้วเดี๋ยวเนสเดินต่อ"

ทุกครั้งที่หยุดพัก เราจะไม่ค่อยกล้ามองลงไปข้างล่าง เพราะมันสูง เราจะรู้สึกเสียวสันหลัง หันมามองนาฬิกาก็จับอัตราการเต้นหัวใจอยู่ที่ 170! นี่ร่างกายมันคงเหนื่อยมาก ขนาดเป็นคนที่เข้าฟิตเนสเกือบทุกวัน มาเจอเดินป่าเดินเขาแบบนี้ ร่างกายมันคงไม่ชินจริงๆ 

มีตอนหนึ่งพี่หนอนคงเห็นสภาพเราไม่ไหวแล้ว พี่แกเลยหากิ่งไม้แถวนั้น มาให้เราใช้เป็นไม้ค้ำ ช่วพยุงตัวเอง จะได้ไ่ต้องลงไปทำท่าสี่ขานั่นให้เหนื่อย

และกิ่งไม้นั่นก็ช่วยเราได้เยอะเหมือนกัน

ขณะที่กำลังปีนป่าย จัดท่าให้ไม่แย่ ก็ได้ยินเสียงพี่หนอนพูดขึ้นมาว่า 

"เฮ้ยเนสถึงแล้ว"

ตอนนั้นคิดจริงๆ ว่าพี่หนอนอำแน่ๆ เพราะมันดูเป็นการเดินทางที่ดูจะไม่มีวันถึง ฮ่าๆ 

"จริงหรอพี่ อย่าแกล้งกัน"

"จริง จริ๊ง เนสหันมาดูดิ เราถึงแล้ว"

เราหันไปมองตามที่พี่หนอนบอก คราวนี้เห็นสะพานที่ยื่นๆ ออกไปเป็นจุดชมวิว ใหญ่และชัดขึ้น ไม่ใช่ภาพลางๆ แบบที่เห็นตอนอยู่ข้างล่างแล้ว

แต่มันเป็นภาพความจริง! 

เรารีบวิ่งไปที่จุดชมวิว แล้วมองลงไป กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่า เราทำมันได้แล่วจริงๆ หรอนี่ ภาพเมืองมันเล็ก จนแทบไม่อยากจะชื่อว่าเราขึ้นมาถึงข้างบนแล้ว 

ผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมงแทบไม่รู้ตัวเลย เพราะมัวแต่โฟกัสอยู่ที่ลมหายใจตัวเองและการเสียวว่าจะร่วงลงไปไหม ฮ่าๆ

พอมองไปรอบๆ ก็เห็นเป็นภูเขาลูกหญ่ หลายลูกเป็นฉากหลัง บางลูกก็มีหิมะสีขาวๆ เข้ามาปะปน และที่สำคัญอากาศมันเย็นขึ้นเรื่อยๆ 

ฟีลดีมากๆ

รูปปั้น The Ponderer โดยศิลปิน Miguel Ángel González

มองลงไปเห็นวิว Montaup and Valira d'Orient สวยงามมาก

เราหยิบกล้องขึ้นมาอัดวิดีโอกับพี่หนอนอย่างมีความสุข และตอนนี้เราไม่รู้สึกเหนื่อยเลย

คำพูดพี่หนอนที่บอกว่า 'พอขึ้นมาถึงแล้วจะหายเหนื่อย มันคงจะจริงสินะ'

ท่ามกลางเทือกเขาพีเรนีส ท่ามกลางบรรยากาศตอนนี้ ทำให้เรามีความสุขเหลือเกิน


เมื่อถ่ายรูปเสร็จ เราหันไปมองรอบๆ ก็พบว่าจุดชมวิวที่เรายืนอยู่นี้ ไม่ค่อยมีคนมาเลย มีแค่เพียง 4-5 คน หนึ่งในนั้นเห็นเป็นครอบครัว ที่ลูกๆ เขาก็มาเล่นใกล้ๆ เรา

"ตอนนี้ จะสามทุ่มแล้ว"

"พี่หนอนเรารอดูพระอาทิตย์ตกได้ไหมอะแล้วค่อยกลับ"

"พระอาทิตย์มันน่าจะตกอีกฝั่งไปแล้วนะเนส ฮ่าๆ"

"อ้าวหรอ แล้วเรากลับไงกันดีอะ เนสเดินลงเส้นทางเดิมไม่ไหวแล้วนะ"

"เดินตามเส้นทางรถวิ่งไหม มันไกลกว่าหน่อย หรือไม่ก็โบกรถเอา เพราะบัสที่อยู่ข้างล่างมันวิ่งรอบสุดท้ายสามทุ่มครึ่งเราไม่น่าทันแล้ว"

หืม โบกรถหรอ ?

"โบกรถกันไหมพี่ เนสเดินลงไ่ม่ไหวแล้ว"

ตอนนั้นอาจจะด้วยความบออะไรสักอย่าง เลยคิดว่าเราจะสามารถโบกขอติดรถลงไปข้างล่างได้เหมือนในหนัง เลยสบายใจและเดินไปถ่ายรูปวิวต่อ

เราชอบบรรยากาศตอนนี้มากๆ มันเหมือนรัฐโอเรกอนเลย ที่มีภูเขาและต้นสนเยอะๆ แบบนี้

ทุกอย่างตอนนั้นมันสวยงามมาก จนเราสตั๊นท์ไปเลย

เมื่อถึงเวลาต้องกลับ เรากับพี่หนอนตัดสินใจเดินตามเส้นทางรถวิ่ง ตอนนั้นข้างทางค่อยๆ มืดลงแล้ว ไฟข้างถนนก็ไม่เปิด รถสักคันจะวิ่งผ่านก็ไม่มี เหมือนความหวังที่จะโบกรถค่อยๆ ริบหรี่ลงเรื่อยๆ

แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงรถคันหนึ่งกำลัใกล้เข้ามา

"พี่หนอนเราลองโบกเลยป้ะ"

ว่าแล้วพี่หนอนก็ยกนิ้วโป้งเป็นสัญลักษณ์ 

เราก็ได้แต่ยืนลุ้นดูเหตุการณ์ว่ารถจะจอดหรือไม่ 

รถจอด! 

คนในรถเปิดกระจกลงมา พี่หนอนเข้าไปพูดสเปนด้วย แต่เหมือนคนในรถจะพูดสเปนไม่ได้ เราเลยใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกัน 

"ขอโทษนะครับ ถ้าจะขอติดรถลงไปข้างล่างด้วยได้ไหมครับ"

"ได้เลย จะให้ไปที่ข้างล่างใช่ไหม มาๆ เปิดประตูหลังขึ้นมาเลย"

เราสองคนเลยรีบวิ่งไปเปิดประตูขึ้นหลังรถ เด็กคนหนึ่งลงมาจากรถแล้วบอกว่าไม่ใช่ประตูท้าย แต่เป็นประตูเบาะหลังรถเลยๆ

แล้วเราสองคนก็ขึ้นรถไปด้วยสภาพเกร็งๆ 

พวกเราคุยทำความรู้จักกันได้ความว่า ผู้ชายที่ขับรถเป็นชาวอเมริกันมีลูกสี่คน ตอนนี้พาพวกลูกชายสามคนที่อายุสิบกว่าๆ มาโร้ดทริป โดยนั่งเรือมาจากฟลอริด้า แล้วมาเช่ารถเที่ยวยุโรปต่อไม่ค่อยมีแพลนอะไร เหมือนขับรถไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น นอนบนรถเนี่ยแหละ ประหยัดงบดี พวกอาหารส่วนใหญ่ก็ซื้อจากร้านสะดวกซื้อ มันถูกดี

เราฟังแล้วก็รู้สึกโคตรเจ๋งเลยว่ะ เหมือนเป็นเรื่องราวที่เคยได้ยิน ได้เห็นตามในหนัง แต่ตอนนี้เราได้มารู้ว่ามันมีอยู่จริง

รถกำลังขับผ่านทางลงภูเขามองออกไปข้างทางเห็นเมืองเริ่มเปิดไฟแล้ว มันส่องสว่างท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดสนิท 

"เอ้อให้ฉันขับไปส่งพวกเธอที่แถวที่พักเลยไหม"

"เอ่อ คุณจะรีบไปไหนต่อหรือเปล่าคะ"

"ไม่นะ อย่างที่บอกพวกเราไม่มีแพลนอะไร ขับรถไปเรื่อยๆ ฮ่าๆ"

"งั้นถ้าไม่รบกวน ช่วยไปส่งพวกเราในเมืองได้ไหมคะ"

ลูกชายของเค้ายื่นโทศัพท์มาให้พวกเราปักหมุด

พี่หนอนรับโทรศัพท์ไปปักหมุดในเมืองว่า Andorra la vella ซึ่งมันก็คือชื่อเมืองหลวงของประเทศอันเดอร์รานี้แหละ

และแล้วชาวอเมริกันก็พาพวกเราไปส่ง ก่อนจากกันพี่หนอนได้แนะนำสถานที่เที่ยวให้เค้าลองไปในวันพรุ่งนี้ชื่อ Llacs de Tristaina ถ้าขึ้นไปแล้วจะเห็นวิวทะเลสาบสามแห่ง เป็นเส้นทางที่เราสองคนแพลนกันว่าจะไปพรุ่งนี้เช้าเหมือนกัน

เมื่อมาถึงในเมือง เราก็บอกลากัน ก่อนที่ชายชาวอเมริกันคนนั้นจะขับรถออกไปจนลิบตาพวกเรา

นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม!

ทำไมจู่ๆ ก็โชคดีที่โบกรถแล้วเค้าก็กล้าที่จะรับคนปลกหน้าแบบเราขึ้นไป มันสุดยอดจริงๆ ถ้าไม่ได้พวกเค้า ป่านนี้คงยังเดินกันลงมาไม่ถึงตีนเขาแน่ๆ แถมบัสกลับเข้าเมืองก็หมดแล้ว ฟ้าก็มืดสนิทแบบนี้ ไม่อยากจะนึกสภาพ

เรากับพี่หนอนแทบจะไม่เชื่อเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น 

บรรยากาศเมืองอันเดอร์ราตอนกลางคืน เปิดไฟสวยและโรแมนติกเอามากๆ 

ลานนาฬิกาที่ออกแบบโดยคุณซัลบาดอ ดาลี

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มกว่าๆ แล้ว เราบอกพี่หนอนว่า

"พี่หนอนไปหาร้านอาหารดีๆ กินกันเถอะ เนสกินแต่แซนด์วิชมาเกือบทุกมื้อเลยตอนเที่ยวคนเดียวเบื่อแล้วอะ"

เราสองคนเดินเลือกร้าน จนมาจบที่ร้านสเต๊กร้านหนึ่ง ที่ตกแต่งแสงไฟอย่างสวยงาม โต๊ะในร้านก็เกือบจะคนเต็มทุกโต๊ะ แต่โชคดีที่ยังมีที่ว่างให้เราสองคนอยู่

เราสั่งสเต๊ก ทีรามิสุ ไส้กรอกเลือด และพิซซ่า พี่หนอนกินเบียร์ ส่วนเราสั่งโค้ก

เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ เราหั่นสเต๊ก entrecote คำแรกเข้าปาก

โอ้ว มาย ก้อด! เนื้อมันฉ่ำมากๆ รสชาติดี อร่อย รู้สึกเหมือนได้กินอาหารจริงๆ ตั้งแต่มา เคี้ยวและหลับตาฟินกับรสชาติสเต๊กแล้วค่อยๆ กลืนมันไปอย่างช้าๆ 

บอกตามตรงไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันที่ทำให้มื้อนั้นมันอร่อยขาดนั้น

อาจจะเพราะเหนื่อยมากๆ 

อาจจะเพราะบรรยากาศของเมืองอันเดอร์ราตอนกลางคืนที่โคตรดี 

อาจจะเพราะว่าวันนี้เราได้ทำสำเร็จตามแพลน 

อาจจะเพราะเจอเรื่องราวดีๆ ที่มีคนขับรถมาส่งถึงในเมือง

อาจจะเพราะบทสนทนาของเรากับคนข้างๆ มันไหลลื่น

หรืออาจจะเพราะร้านเค้าทำสเต๊กอร่อยมากจริงๆ 

มื้อนั้นถึงได้พิเศษขนาดนี้

เราสองคนกินเสร็จตอนเกือบจะเที่ยงคืน จากร้านที่ตอนแรกดูครึกครื้น เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย ตอนนี้มันกลับกลายเป็นเงียบ มีแค่เสียงพนักงานเก็บจาน และเสียงเรากับพี่หนอนผลัดกันเล่าเรื่องนู่นนี่ให้กันฟัง


เราเดินออกมาจากร้าน บรรยากาศข้างทางดูเงียบแล้ว แม้ว่าจะมีคนเดินอยู่บ้าง แวะผ่านตรอกที่มันเหมือนแหล่งรวมคนมาปาร์ตี้สังสรรค์ ก่อนที่พี่หนอนจะพาเรามาส่งที่โรงแรม และเดินกลับไป

ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งจะได้นอนที่โรงแรมกี่ชั่วโมงกันนะ เพราะพรุ่งนี้ 7 โมงก็ต้องตื่นมาเจอพี่หนอนแล้วไปเดินเขาอีกเส้นทางหนึ่งกันต่อ!


เรานัดเจอกัน 8.30 น. เที่หน้าโรงแรม Pyrennes เพื่อเดินไปจุดชมวิวที่อยู่ไม่ไกล ชื่อ Rec del sola ใช้เวลา 30 นาที แล้วค่อยไปจุดเดิน trek 

เส้นทางขึ้นไปจุดชมวิวมันมีทางให้เห็นอย่างชัดเจน ขึ้นไปจะเห็นทางเดินที่เรียบไปตามเขาข้างๆ จะมีกระแสน้ำไหลผ่าน มองดูแล้วให้บรรยากาศเหมือนเดินสวนญี่ปุ่นเล็กน้อย แล้วมองลงมาจะเห็นวิวเมือง ไม่ได้สูงและลำบากเหมือนเมื่อวาน มีแค่ตอนแรกๆ ที่เป็นเนินเล็กน้อย ทำเราหอบไม่มาก 

บรรยากาศตอนเช้าที่แดดกำลังเริ่มออกประมาณนี้

พวกเราเดินกันไม่นานก็หาทางลงเพื่อไปเดินอีกจุดต่อ

ระหว่างลงมีตอนหนึ่งที่เผลอไปเข้าโซนไพรเวททำให้หาทางเดินออกไม่ได้ ต้องเดินกลับ

ตอนนี้เป็นเวลา 9.30 น. เราสองคนกำลังจะไปเดินเขา อีกจุดตามที่แพลนไว้ คือ Llanos de tristaina  ซึ่งจุดนี้จะอยู่ค่อนข้างไกล ต้องนั่งรถสามต่อคือบัส มินิบัส และบัส

เริ่มจากไปขึ้นรถบัสสาย นั่ง 20 นาที ไปลงที่ เพื่อไปไปต่อมินิบัส ตอนที่ลงจากบัสก็เห็นมินิบัสจอดอยู่พอดี เราสองคนเลยรีบวิ่งไป

พี่คนขับบอกว่า "วันนี้ไม่มีบัสวิ่งไปต่อนะ แต่คุณจะลองไปดูก็ได้"

"เอาไงดีพี่ เราจะโบกรถกันเหมือนเมื่อวานอีกหรอพี่ 555 "

"จะลองไปดูป้ะล่ะ"

"ลองก็ได้พี่"

วิวระหว่างทาง

เมื่อบัสพาเราไปถึง พี่หนอนบอกว่าถ้าไม่มีบัสมาเราอาจต้องเดิน 4 กม. แต่นี่ยังไม่รวมเวลาที่ใช้เดินเขานะ 

งั้นเรารอตรงนี้อีก 15 นาที ถ้ารถบัสไม่มา เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ แล้วถ้ามีรถผ่านก็ลองโบกรถไปด้วยดีไหม

เรายืนรอตรงหน้าโรงแรม หันไปเห็นวิวภูเขา จึงเดินไปถ่ายรูประหว่างนั้นก็สังเกตเห็นผู้คนที่เดินผ่านไป แต่งตัวชุดไปเล่นสกี พร้อมถืออุปกรณ์ 

"พี่หนอน เนี่ยคนเค้าไปเล่นสกีกัน ที่ที่เรากำลังจะไปมันต้องเปิดแน่ๆ เลยพี่"

เราพูดแบบมีความหวัง

เวลาผ่านไปครบ 15 นาที ไม่มีวี่แววของรถบัสสักคัน

เรากับพี่หนอนจึงเริ่มออกเดินไปตามทาง เราเดินไปหยุดไป พร้อมผลัดกันโบกรถ 

คันแล้วคันเล่าไม่มีคันไหนจอดรับสักคัน

"สงสัยเมื่อวานเราคงใช้ดวงกันหมดไปแล้วอะพี่"

เราสองคนมาหยุดหน้าทางแยก เห็นว่าไม้จราจรที่กั้นทางเปิดอยู่ แสดงว่าวันนี้ลานสกีน่าจะเปิด

อันที่จริงถ้ารถบัสจะไปส่งเราก็จะไปแค่จุดเล่นสกี ซึ่งเราก็ต้องนั่งกระเช้าต่อไปอีกเพื่อไปทางเดินเขา มันก็ค่อนข้างลำบากอยู่ไม่น้อย แถมคราวนี้จะเสียวตกรถบัสกลับบาร์เซโลน่า ตอน 14.30 น. เข้าจริงๆ 

ถ้าหากยังไม่เริ่มเดินทางกลับ 

ซึ่งตอนนี้ก็ 11.05 น.แล้ว รถผ่านไปหลายสิบคันก็ไม่มีทีท่าว่าจะจอดรับ

เราสองคนตัดสินใจเดินตามทางกลับลงไป เห็นมินิบัสกับคนขับคนเดิมนั่งอยู่ เราเลยเข้าไปแล้วเล่าให้ฟังว่า

"พวกเราลองไปโบกรถดูแล้ว แต่ไม่มีใครจอดรถเลย จึงเดินมาขึ้นรถกลับเข้าเมืองกัน"

"ฉันว่าแล้วล่ะ เอ้อนี่รู้ไหม โบกรถที่อันเดอร์รามันผิดกฎหมายนะ"

พี่หนอนหันมาแปลประโยคนี้ให้เราฟัง เราสองคนก็ทำสีหน้าตกใจกันมาก

"คือเมื่อไม่กี่ปีก่อนมีผู้หญิงเคยโบกรถแล้วโดนข่มขืนน่ะ ตอนนี้เขาเพิ่งเปลี่ยนกฏว่าห้ามโบกรถนะ ถ้าจับได้จะโดนปรับ 600 ยูโร นี่ๆ เดี๋ยวจะเปิดให้ดูว่ามันมีแอพที่สามารถเปิดเช็กได้ว่าส่วนไหนของเมืองที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่บ้าง" 

ว่าแล้วคนขับก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดให้ดู

ภาพที่เห็นคือจุดกลมๆ สีดำ เต็มไปตลอดเส้นทางในแผนที่ นั่นคือแสดงว่าหลายจุดจะมีกล้องวงจรปิดติดอยู่ 

"เฮ้ยจะเป็นไรไหมอะพี่"

"พี่ว่าไม่นะ คนขับบอกว่าถ้าเรายังไม่ได้ขึ้นรถน่าจะไม่เป็นอะไร"

"แล้วเมื่อคืนอะพี่"

"เมื่อคืนอ่าหรอ พี่ว่าตอนนั้นถนนมันมืดมากเลยนะเนส กล้องน่าจะมองไม่เห็นพวกเรา อีกอย่างพี่ว่าตรงนั้นไม่น่ามีกล้องนะ มันดูไม่มีอะไรเลนมากกว่าด้วยซ้ำ"

"กฏนี้ใช้กกับที่ยุโรปด้วยไหมครับ"

"ไม่นะ ที่อันเดอร์ราเฉยๆ"

พอได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าเมื่อคืนโชคดีมากๆ ที่คนที่พวกเราโบกรถได้เป็นชาวเมกัน เค้าคงคุ้นเคยกับวัฒนธรรมนี้ดี อีกอย่างเค้าคงไม่รู้ว่าที่นี่ห้ามโบกรถเหมือนกัน

ระหว่างนั่งรถกลับพี่หนอนก็คุยกับคนขับรถและหันมาแปลเป็นไทยให้เราฟังเรื่อยๆ ว่า เค้าเป็นคนโปรตุเกส มาทำงานที่นี่นานแล้ว เมื่อไม่นานมานี้หิมะเพิ่งจะตกหนักมากๆ จนตำรวจต้องคอยเอาข้าวมาส่งตามแต่ละบ้าน และเมื่อก่อนถนนหนทางยังไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้นะ

เมื่อบัสมาจอดตรงจุดเดิม เราสองคนบอกลาพี่คนขับแล้วก้าวลงจากรถ

"พี่หนอนแวะเดินเล่นกันที่นี่กันเถอะ เดี๋ยวค่อยนั่งบัสกลับเข้าเมือง"

เราสองคนก็เดินลงไปตามเสียงของน้ำที่ไหล จนไปเจอกับฟาร์มเลี้ยงม้าที่ดูมีเนื้ออ้วนสมบูรณ์ 

ซึ่งจากข้อมูลที่เคยอ่านมาเหมือนกับว่า อันเดอร์ราเป็นประเทศที่ส่งออกเนื้อสัตว์ออร์แกนิกมากเหมือนกัน เพราะธรรมชาติยังสมบูรณ์ 

เราเดินถึงลำธารน้ำที่ส่งเสียงซู่ๆ เหมือนเป็นการทักทายเราสองคน เราก้มเอามือไปสัมผัสน้ำสี่ห้าครั้ง 

น้ำเย็นมาก จนตอนนี้มือเราชาไปชั่วขณะ

แวะถ่ายรูปกันเล็กน้อยและเดินไปขึ้นบัสป้ายหน้าที่บอกว่าจะมีบัสผ่านทุกครึ่งชัั่วโมง 

เราจึงไปนั่งพักกันที่ร้านกาแฟ

เราสั่งช็อกโกแลตร้อน พี่หนอนสั่งเบียร์อีกตามเคย นั่งคุยกันสักพักก็ออกไปรอบัส

บัสพาเราสองคนกลับมาถึงเมืองประมาณ 13.00 น. มีเวลาเดินชอปปิงในเมืองนิดหน่อย


ที่บอกว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ควรจะมาช้อป แต่เราแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเท่าไหร่เลย เพราะเวลาเหลือน้อยมาก เลยได้แต่ซื้อกระเป๋าสตางค์จากร้าน Mango ไปฝากคนที่ไทย แค่นั้นก็ต้องเดินกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม และรีบวิ่งไปขึ้นบัสกันอีกแล้ว! เราสองคนมาทันในเวลา 5 นาทีอีกเช่นเคย เรารีบกินพิซซ่าแห้งๆ ที่เหลือจากเมื่อวาน จนคนขับหันมาพูดว่าใจเย็นๆ เหลืออีกตั้ง 5 นาที 

ถึงวันนี้พวกเราจะไม่ได้เดินเขาแบบเมื่อวาน แต่ก็ได้เดินชมหมู่บ้าน และเข้าใก้ลำธารน้ำ ได้เดินชมวิวต้นสนระหว่างทางที่รอโบกรถ มันก็สวยและเติมพลังชีวิตให้เราได้มากเลย

และที่สำคัญวันนี้ก็ได้ความรู้ใหม่ก็คือ

ยูห้ามโบกรถที่อันเดอร์รานะ มันผิดกฎหมาย!

20.1 ชั่วโมงกับการอยู่อันเดอร์ราที่ผ่านมา เรามีความสุขมาก เหมือนได้ขึ้นเจอธรรมชาติ มาสูดอากาศบริสุทธิ์ สัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นสบาย เหมือนได้มาเที่ยวยุโรปแล้ว และเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันก็เป็นความทรงจำที่ใหญ่มากสำหรับเรา ถ้าเทียบกับขนาดพื้นที่ประเทศเล็กๆ แห่งนี้ที่ชื่อว่า...อันเดอร์รา

พูดแล้วก็ไม่อยากจะกลับลงไปเจอความวุ่ยวายที่สเปนต่อเลย!



Nali

 วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 14.54 น.

ความคิดเห็น